ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
10 อันดับรถยนต์ที่แพงที่สุดในโลก ปี 2025 [อัปเดตล่าสุด]
July 9, 2025

Share
ในโลกของยานยนต์ มีเพียงไม่กี่คันที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อน “ความเป็นที่สุด” ทั้งในแง่ของราคา ดีไซน์ และความหายาก ในบทความนี้ Car2Day พาคุณมาดู 10 อันดับรถยนต์ที่แพงที่สุดในโลก ปี 2025 ที่ถูกยกให้เป็นสุดยอดของความหรูหราและทรงพลังในโลกยนตรกรรม
1. Rolls-Royce Boat Tail – ประมาณ $28 ล้าน (กว่า 1,000 ล้านบาท)


รถหรูแบบ Coachbuild ที่ออกแบบตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า ผลิตเพียง 3 คันในโลก มาพร้อมฝาท้ายเปิดเป็นโต๊ะปิกนิก หรูหราไร้ที่ติทั้งภายนอกและภายใน ถือเป็นรถยนต์ที่แพงที่สุดในโลก ณ ขณะนี้
2. Bugatti La Voiture Noire – ประมาณ $18.7 ล้าน หรือประมาณ 683 ล้านบาท

ชื่อภาษาฝรั่งเศสแปลว่า “รถสีดำ” คันนี้คือรถคันเดียวในโลกจาก Bugatti ออกแบบเพื่อรำลึกถึง Type 57 SC Atlantic ที่หายสาบสูญ สมรรถนะสูงลิ่วแต่แฝงด้วยความลึกลับและคลาสสิก
3. Pagani Zonda HP Barchetta – ประมาณ $17.5 ล้าน 639 ล้านบาทหรือ 639 ล้านบาท

หนึ่งในซูเปอร์คาร์เปิดประทุนที่หายากที่สุดในโลก ผลิตเพียง 3 คัน มีฝาครอบล้อหลังแบบไม่เหมือนใคร และใช้วัสดุไทเทเนียมคาร์บอนแบบพิเศษทั้งคัน
4. Bugatti Centodieci – ประมาณ $9 ล้าน หรือประมาณ 329 ล้านบาท
สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง 110 ปีของ Bugatti เป็นรุ่นพิเศษที่นำแรงบันดาลใจจาก EB110 ในยุค 90 มาออกแบบใหม่ เครื่องยนต์ W16 กำลัง 1,600 แรงม้า ผลิตเพียง 10 คันเท่านั้น
5. Bugatti Divo – ประมาณ $5.8 ล้าน หรือประมาณ 212 ล้านบาท


เน้นเรื่องแอโรไดนามิกส์และการเข้าโค้งที่เหนือชั้นกว่า Chiron ผลิตเพียง 40 คันทั่วโลก ดีไซน์ดุดัน พร้อมสมรรถนะระดับไฮเอนด์
6. Pagani Huayra Imola – ประมาณ $5.4 ล้านหรือประมาณ 197 ล้านบาท
รุ่นพิเศษของ Huayra ที่เน้นการใช้งานในสนามแข่ง เครื่องยนต์ V12 twin-turbo จาก AMG ให้พลัง 827 แรงม้า ตัวถังใช้วัสดุเบาเป็นพิเศษเพื่อการควบคุมที่แม่นยำ
7. Bugatti Bolide – ประมาณ $5.2 ล้านหรือประมาณ 190 ล้านบาท
ซูเปอร์คาร์ที่เกิดมาเพื่อสนามโดยเฉพาะ น้ำหนักเพียง 1,240 กิโลกรัม แต่แรงถึง 1,850 แรงม้า ด้วยอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักเกือบ 1:1 ผลิตจำกัดเพียง 40 คัน
8. Koenigsegg CCXR Trevita – ประมาณ $4.8 ล้านหรือประมาณ 175 ล้านบาท

หนึ่งในรถที่มีเทคโนโลยี “ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์เคลือบเพชร” จริง ๆ ในโลก มีเพียง 2 คันเท่านั้น เครื่องยนต์ V8 1,018 แรงม้า ความหรูหราและสมรรถนะรวมอยู่ในคันเดียว
9. Lamborghini Veneno Roadster – ประมาณ $4.5 ล้านหรือประมาณ 164 ล้านบาท

เปิดประทุนดีไซน์ล้ำยุค เครื่องยนต์ V12 750 แรงม้า ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 9 คัน มาพร้อมคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคันและความเร็วระดับ 355 กม./ชม.
10. Bugatti Chiron Super Sport 300+ – ประมาณ $3.9 ล้านหรือประมาณ 142 ล้านบาท

เป็นรถโปรดักชันคันแรกในโลกที่วิ่งเร็วเกิน 300 ไมล์ต่อชั่วโมง (482 กม./ชม.) ความแรงระดับตำนาน พร้อมรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวแบบ Chiron รุ่นพิเศษ
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ
10 อันดับ มอเตอร์ไซค์ราคาแพงที่สุดในโลก!
Rolls-Royce รถหรูราคาแพงที่สุดในปี 2025 ครั้งหนึ่งถูกหุ้มเกราะใช้ในสงคราม
13 ก.พ. 2568
สารพัดแบรนด์รถยนต์หรูในปัจจุบันเรียกว่าแทบเดากันไม่ออกว่า ยี่ห้อไหนที่ผลิตรถไฮฟังก์ชั่นออกมาแล้วมีราคาแพงที่สุดในเวลานี้
ข้อมูลจาก ‘Sotheby’s’ บริษัทจัดการประมูลงานศิลปะระดับโลกที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้เปิดประเด็น “Top 10 Most Expensive Cars In The World 2025” ซึ่งแบรนด์รถลักชัวรีที่ชนะอันดับหนึ่งในแง่ราคา ‘แพงที่สุด’ ก็คือ ‘The La Rose Noire Droptail’ รถโรดสเตอร์ 2 ที่นั่งสั่งทำพิเศษผลิตโดย Rolls Royce ในราคาถึง 32 ล้านดอลลาร์ (หรือกว่า 1,000 ล้านบาท)
ความพิเศษของรถ Rolls Royce รุ่นนี้คือ มีแค่ 4 คันบนโลกนี้ โดยแต่ละ Droptail จะมีการตั้งชื่อและเจาะจงรายละเอียดเฉพาะ ซึ่ง La Rose Noire เป็น Droptail คันแรกที่ได้ส่งมอบ ใช้เวลากว่า 4 ปีจึงจะผลิตเสร็จ
ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากกุหลาบแบล็คบาคาร่า (Black Baccara) ขึ้นชื่อในเรื่องรูปลักษณ์และสีราวกับกำมะหยี่ จึงทำให้ปัจจุบันรถยนต์คันนี้กลายเป็นรถยนต์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกในปี 2025
การจัดอันดับของ Sotheby’s ครั้งนี้ยังมีรถหรูจาก Rolls Royce ติดอันดับถึง 3 รุ่น ก็คือ The La Rose Noire Droptail, Rolls Royce Boatail (28 ล้านดอลลาร์) และ Rolls-Royce Sweptail (12.8 ล้านดอลลาร์) สะท้อนความเป็นไอคอนิกของความหรูหรา ความไฮเอนด์ และลักชัวรี ตลอดกาลของ Rolls Royce
แต่หารู้ไม่ว่า Rolls Royce ในปัจจุบันต่างจาก Rolls Royce ในอดีตโดยสิ้นเชิง เพราะรถหรูที่เห็นกันทุกวันนี้ เคยถูกประดิษฐ์หุ้มเกราะเหล็ก เพื่อใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 หลายคนน่าจะคาดไม่ถึงแน่ๆ
[ Rolls Royce แบรนด์รถหรูเกิดจากแพชชั่น ‘ชาตินิยม’ ]
ย้อนไปเมื่อ 121 ปีก่อน ในปี 1904 ที่เกิดเป็นแบรนด์ที่ชื่อว่า ‘Rolls Royce’ แต่กว่าจะมาเป็นชื่อนี้ได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 20 ปีกว่าที่ ‘เฮนรี รอยซ์’ หนุ่มชาวอังกฤษที่ชื่นชอบเรื่องระบบรถไฟและพยายามทำสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ในแบบความเข้าใจของตัวเอง จนวันหนึ่งลองผลิตรถให้ตัวเอง เพียงเพราะไม่อยากใช้รถนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส
จากสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับรถ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไดนาโม, รถเครน พัฒนามาเป็นรถยนต์คันแรกของตัวเองในชื่อว่า ‘Royce 10hp’ ความสำเร็จนี้ไปเข้าตา ‘ชาร์ลส โรลส์’ หนุ่มเลือดแรง ผู้บุกเบิกด้านยานยนต์และการบินของอังกฤษที่สนใจเรื่องรถยนต์ไม่ต่างกัน
ทั้งสองได้พบกันโดยบังเอิญ คุยกันถูกคอตามประสานักประดิษฐ์ที่รักความเป็น ‘ชาตินิยม’ อยากเห็นรถยนต์ที่สามารถผลิตจากอังกฤษได้สักครั้งหนึ่ง และนั่นทำให้ต่างคนต่างประทับใจ และตัดสินใจลงขันร่วมลงทุนสร้างบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติอังกฤษขึ้น เป็นที่มาของรถหรู Rolls Royce อย่างที่ทั่วโลกรู้จัก
[ ก่อนเป็นรถหรู เคยหุ้มเกราะในสงครามโลก ]
ผลงานที่สร้างชื่อของแบรนด์ Rolls Royce ต้องยกให้กับ ‘Silver Ghost’ เปิดตัวในปี 1907 หลังก่อตั้งบริษัทร่วมกันประมาณ 3 ปี
โดยชื่อเสียงอันเลื่องลือของ Silver Ghost ก็คือ การทดสอบวิ่งระยะไกลแบบต่อเนื่อง ด้วยระยะทางกว่า 23,000 กิโลเมตร ซึ่งรถรุ่นนี้ของ Rolls Royce เคยได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘รถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก’ ในยุคนั้นด้วย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือราวปี 1914 ‘Rolls-Royce’ ได้สร้างรถหุ้มเกราะที่พัฒนาจากรุ่น Silver Ghost จากอังกฤษมากกว่า 100 คันเพื่อใช้งานในสนามรบของยุโรปและตะวันออกกลาง อีกทั้งรถรุ่นนี้ยังถูกใช้ในสงครามกลางเมืองไอร์แลนด์ และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือด้วย
นอกจากนี้ รถหุ้มเกราะ Rolls Royce ได้ใช้ในการขนส่งพระราชินีนาถ (H.M. The Queen) ซึ่งสร้างขึ้นเป็นพิเศษในปี 1920 ซึ่งหลังจากนั้นได้ส่งมอบให้กับกระทรวงกลาโหมของอังกฤษในเวลาต่อมาสำหรับใช้ทางการทหาร โดยรถหุ้มเกราะ Silver Ghost บางคันมีการติดอาวุธเพื่อยับยั้งเหตุรุนแรงได้ทันเวลา
นอกจากรถยนต์ ผลงานที่ทำให้ชื่อเสียงของ Rolls Royce ได้รับการยอมรับอีกอย่างก็คือ ‘The Eagle’ เครื่องยนต์ทางอากาศของ Rolls Royce ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์แรก และถูกนำไปใช้ในสงครามทางอากาศด้วย
พิษเศรษฐกิจในปี 1925 ทำให้ Rolls Royce จำเป็นต้องปรับตัว และขายกิจการบางส่วนออกไปเพื่อพยุงบริษัท ทั้งที่เคยถูกสั่งให้ล้มละลายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่สิ่งประดิษฐ์หลายอย่าง รวมถึงรถยนต์หรูกลายมาเป็นตัวเลือกในการดำเนินธุรกิจต่อ
ความหรูหราของ Rolls Royce เกิดขึ้นตั้งแต่ที่แบรนด์รถยนต์ ‘Bentley’ ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งปัจจุบัน Bentley อยู่ในเครือของ Volkswagen Group สองแบรนด์นี้ที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกะแกะ ทำให้ผู้บริโภคเริ่มลังเลว่ารถคันไหนคือ Rolls Royce และคันไหนคือ Bentley ทั้งยังเป็นรถสัญชาติอังกฤษทั้งคู่
ดังนั้น กลยุทธ์แก้เกมของ Rolls Royce ตั้งแต่ยุคนั้นก็คือ การหาประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า สร้างรถยนต์ที่มาจากความต้องการของลูกค้าเท่านั้น พร้อมดีไซน์ฟังก์ชั่นต่างๆ ร่วมกับลูกค้า ผลตอบรับดีเกินคาด รวมไปถึงตัวเลขปิดการขายที่ไม่ตายตัวเพราะขึ้นอยู่กับความยาก/ง่าย และฟังก์ชั่นต่างๆ ภายในตัวรถ
สำหรับผลประกอบการของ Rolls Royce ในครึ่งปีแรกของปี 2024 กำไรจากการดำเนินงานพื้นฐานอยู่ที่ 1,149 ล้านปอนด์ หรือ 14% ส่วนกระแสเงินสดอยู่ที่ 1,158 ล้านปอนด์
ส่วนรายได้ธุรกิจทั้งหมดรวมกันอยู่ที่ 8,182 ล้านปอนด์ โดยแบ่งสัดส่วนเป็น
-อุตสาหกรรมการบินพลเรือน 50%
-อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ 27%
-ระบบพลังงาน 23%
กว่า 120 ปีของ Rolls Royce นับจากความบังเอิญแรกๆ ของนักประดิษฐ์สองคน ตราบจนตอนนี้ การบริหารภายใต้ ‘ทูฟาน เออร์กินบิลลิค’ (Tufan Erginbilgic) ซีอีโอคนปัจจุบัน ถือเป็นบุคคลที่หลายคนจับตาหลังจากที่สร้างกำไรให้กับ Rolls Royce ได้ 2 เท่าหลังเข้ามาบริหารได้เพียง 1 ปี
และจากผลงานของ Rolls Royce ของปี 2023 ที่ได้ส่งมอบเครื่องยนต์ทั้งหมด 458 เครื่อง รวมถึงเครื่องบินพลเรือนขนาดใหญ่ 262 เครื่อง และออเดอร์สั่งซื้อเครื่องยนต์อีกประมาณ 700 เครื่อง ทำให้คู่แข่งหลายรายจับตาเพราะปรากฎการณ์นี้ถือว่า เป็นผลงานครั้งประวัติศาสตร์ของ Rolls Royce เลยก็ว่าได้
	    	
		    








