• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N1712162 แม วแบบน งจะอย ไหม part 2

admin79 by admin79
December 19, 2025
in Uncategorized
0
N1712162 แม วแบบน งจะอย ไหม part 2

ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇

สุดยอดรถขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูงแห่งปี 2025: ดาวเด่นผู้พิชิตทุกเส้นทาง

ในโลกยานยนต์ที่หมุนไปอย่างไม่หยุดยั้งของปี 2025 ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (All-Wheel Drive หรือ AWD) ได้ก้าวข้ามบทบาทของการเป็นเพียงแค่ “รถลุย” ไปสู่แก่นแท้ของ “รถสมรรถนะสูง” อย่างแท้จริง ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของเทคโนโลยี AWD ที่เปลี่ยนจากฟังก์ชันเสริมเพื่อการยึดเกาะในสภาพถนนที่ท้าทาย สู่ระบบพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในการปลดปล่อยพละกำลังมหาศาลของยานยนต์ยุคใหม่ ให้สามารถโลดแล่นได้อย่างมั่นใจบนทุกสภาพพื้นผิว โดยเฉพาะบนถนนลาดยาง ซึ่งเป็นสมรภูมิที่ดาวเด่นเหล่านี้เปล่งประกายอย่างแท้จริง

จากจุดเริ่มต้นอันโดดเด่นของ Audi Quattro ที่ปฏิวัติวงการ World Rally Championship สู่การประยุกต์ใช้ใน Porsche 911 และ 959 อันเป็นตำนาน หรือการกำเนิดของ Nissan Skyline GT-R ผู้ทำลายทุกขีดจำกัด ค่ายรถชั้นนำอย่าง Mitsubishi, Subaru, Lancia, Toyota และ Ford ต่างก็รับเอาปรัชญาการขับเคลื่อนสี่ล้อจากสนามแข่งมาสู่รถยนต์สมรรถนะสูงบนท้องถนน ผ่านไปกว่าสี่ทศวรรษ เทคโนโลยี AWD ไม่ได้เป็นเพียงแค่กลไกในการส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบสมองกลอัจฉริยะที่ผนวกรวมเข้ากับการออกแบบทางวิศวกรรมที่ซับซ้อน เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น ทั้งความคล่องตัว ความสามารถในการยึดเกาะ และความมั่นใจในทุกสภาวะ ทุกวันนี้ การเลือก “รถ 4×4 สมรรถนะสูง” ไม่ได้หมายถึงการมองหารถที่พร้อมจะเปื้อนโคลนอีกต่อไป แต่คือการค้นหาสุดยอดวิศวกรรมยานยนต์ที่ผสานความเร็ว แรง และการควบคุมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

AWD: หัวใจสำคัญของพละกำลังยุคใหม่

ในปัจจุบันที่รถยนต์สมรรถนะสูงมีพละกำลังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นรถ Hot Hatch อย่าง Audi RS3 ที่มีเกือบ 400 แรงม้า, Super SUV อย่าง Range Rover Sport SV ที่ทะลุ 600 แรงม้า หรือแม้กระทั่ง Production Supercar ระดับท็อปอย่าง Lamborghini Revuelto ที่มีมากกว่า 1,000 แรงม้า การส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น “ความจำเป็น” เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมพละกำลังอันมหาศาลนี้ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจากแบตเตอรี่และระบบไฮบริดในรถยนต์ยุค 2025 ระบบ AWD อัจฉริยะจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนัก และมอบความคล่องตัวที่น่าทึ่ง

ระบบ AWD ในปัจจุบันมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น บางรุ่นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้า โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์สันดาปที่ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งเปิดมิติใหม่ของการกระจายแรงบิดและการจัดการพลังงาน ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่ฉลาดล้ำและฮาร์ดแวร์เฟืองท้ายที่ก้าวหน้า รถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่จึงมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นกว่าที่เคยเป็นมา จากประสบการณ์การทดสอบอย่างเข้มข้นทั้งบนถนนและในสนามแข่ง ผมยืนยันได้ว่า AWD ไม่ได้มีไว้แค่ลุยโคลน หรือทำให้ Porsche 911 ขับง่ายขึ้นเท่านั้น แต่มันคือการยกระดับขีดความสามารถที่โดดเด่นของรถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่ให้กว้างขวางขึ้นไปอีก นี่คือสุดยอดรถยนต์ 4×4 สมรรถนะสูงที่เราคัดสรรมาให้คุณพิจารณาในปี 2025 โดยไม่มีลำดับความสำคัญใดๆ

Ferrari Purosangue (ราคาเริ่มต้นประมาณ 14 ล้านบาท)

Ferrari Purosangue คือนิยามใหม่ของ Ferrari ที่หลายคนถกเถียงว่านี่คือ SUV คันแรกของค่ายม้าลำพองหรือไม่ แต่หลังจากได้สัมผัสและขับขี่ด้วยตัวเอง ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่านี่คือสุดยอดยานยนต์ที่ผสานขุมพลังอันเร้าใจเข้ากับสมรรถนะการขับขี่ที่น่าทึ่งอย่างไม่มีใครเทียบเคียง ด้วยหัวใจหลัก V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่ให้พละกำลัง 715 แรงม้า แรงบิด 528 ปอนด์-ฟุต รอบเครื่องยนต์สูงสุด 8250 รอบต่อนาที แม้จะมีน้ำหนักตัวกว่า 2 ตัน แต่ก็สามารถทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.3 วินาที และเสียงคำรามของ V12 ก็สร้างความเร้าใจได้อย่างไร้ที่ติ

Purosangue แสดงให้เห็นถึงสองบุคลิกที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัว สามารถเป็นรถ Gran Turismo ที่หรูหราและนุ่มนวลสำหรับการเดินทางไกล และพลิกกลับมาเป็นรถสปอร์ตที่ปราดเปรียว พร้อมลุยบนถนนคดเคี้ยวได้อย่างน่าทึ่ง ระบบช่วงล่าง Multimatic ที่ซับซ้อนถึงขนาดต้องมีระบบระบายความร้อนแยกต่างหาก คือหัวใจสำคัญที่ทำให้รถคันนี้ควบคุมมวลได้อย่างยอดเยี่ยม การวางตำแหน่งพวงมาลัยที่แม่นยำ และการตอบสนองที่ฉับไว ทำให้มันขับขี่ได้เป็นธรรมชาติ แม้จะมีอินเทอร์เฟซผู้ใช้แบบ Haptic ที่อาจต้องปรับตัวเล็กน้อย และพื้นที่เก็บสัมภาระที่จำกัดไปบ้าง แต่เมื่อได้ปลดปล่อยขุมพลัง V12 และสัมผัสการควบคุมที่เชื่อมโยงกับผู้ขับขี่อย่างแท้จริง ข้อด้อยเหล่านั้นก็แทบจะเลือนหายไป คู่แข่งโดยตรงที่ใช้เครื่องยนต์ V12 ในกลุ่ม SUV อาจไม่มี แต่ Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE คือทางเลือกที่มีศักดิ์ศรีและสมรรถนะใกล้เคียงกัน

BMW M4 CS (ราคาเริ่มต้นประมาณ 5.5 ล้านบาท)

BMW M4 CS คือบทสรุปของความสำเร็จในการผสานส่วนผสมที่ดีที่สุดจาก M4 Competition และ M4 CSL ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงเทอร์โบคู่ที่ได้รับการอัปเกรดจาก CSL ให้พละกำลัง 542 แรงม้า แรงบิด 479 ปอนด์-ฟุต จับคู่กับเกียร์ 8 สปีดที่ตอบสนองฉับไว และแชสซีส์ AWD ที่เน้นการขับเคลื่อนล้อหลังเป็นหลัก มอบการยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมและการตอบสนองที่เป็นกลาง ทำให้ M4 CS เป็นรถที่เร็วและเฉียบคมอย่างเหลือเชื่อบนเส้นทางที่เหมาะสม

ระบบ xDrive ของ M4 CS ได้รับการปรับแต่งโดย M ทำให้การกระจายแรงบิดมีความยืดหยุ่นสูง ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถดึงสมรรถนะสูงสุดของรถออกมาได้ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ แม้ว่ายาง Cup 2 R จะต้องใช้เวลาในการสร้างอุณหภูมิให้เหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด แต่เมื่อถึงจุดนั้น M4 CS จะมอบการยึดเกาะด้านหน้าที่แข็งแกร่ง และท้ายที่พร้อมจะช่วยให้รถพุ่งออกจากโค้งได้อย่างรวดเร็ว ระบบ AWD ใน M4 CS เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการขับเคลื่อนสี่ล้อสามารถเพิ่มความหลากหลายในการขับขี่ได้อย่างไร โดยไม่ลดทอนความสนุกและเอกลักษณ์ของการขับขี่สไตล์ M คู่แข่งโดยตรงมีไม่มากนัก แต่ Porsche 911 GTS รุ่นใหม่ ถือเป็นทางเลือกที่เน้นการขับขี่ที่คมชัดกว่า แม้จะไม่ใช่รถที่ฮาร์ดคอร์เท่า M4 CS

Land Rover Defender Octa (ราคาเริ่มต้นประมาณ 6.5 ล้านบาท)

Land Rover Defender Octa ยกระดับความสามารถของ Defender ไปอีกขั้น ทั้งบนทางเรียบและทางออฟโรด ด้วยเครื่องยนต์ V8 จาก BMW M ที่ให้กำลัง 626 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที ตัวรถกว้างขึ้นเพื่อรองรับปีกนกที่ยาวขึ้น และสูงขึ้นเพื่อเพิ่มระยะห่างจากพื้น ระบบกันสะเทือน 6D ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ พร้อมโช้คอัพแบบกึ่งแอ็คทีฟที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบไฮดรอลิก ทำให้ Octa มีความรู้สึกกระชับ ตอบสนองดีเยี่ยม และพร้อมจะพาคุณลุยไปทุกที่อย่างที่ไม่เคยมี Defender รุ่นใดทำได้มาก่อน

สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือความสามารถบนทางเรียบที่เพิ่มขึ้นนี้ ยังคงรักษาความเหนือชั้นในการลุยเส้นทางออฟโรดไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวแบบใด Octa ก็สามารถฝ่าฟันไปได้ราวกับอยู่ในสนามแข่ง Dakar แต่ในขณะเดียวกัน ผู้โดยสารกลับได้รับความนุ่มนวลและเสถียรภาพในการขับขี่ที่เหนือกว่า Defender มาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ Octa เป็นรถ “ไปได้ทุกที่” ที่สมบูรณ์แบบ คู่แข่งในกลุ่ม Super SUV มีมากมาย แต่ไม่มีคันใดที่สามารถเทียบเท่า Defender Octa ในฐานะ “Trophy Truck สำหรับท้องถนน” ได้อย่างแท้จริง หากต้องการความสามารถออฟโรดที่ใกล้เคียง อาจมี Ford Ranger Raptor แต่ขาดความสามารถบนทางเรียบของ Defender ส่วน Mercedes-AMG G63 คือเป้าหมายที่ชัดเจนในฐานะ Super Truck หรูบนท้องถนน

Toyota GR Yaris (ราคาเริ่มต้นประมาณ 2 ล้านบาท)

Toyota GR Yaris คืออัญมณีหายากในยุคปัจจุบัน เป็นรถยนต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือ “การแข่งแรลลี่” และมันก็แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณนั้นอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งในรุ่น Gen 1 และ Gen 2 GR Yaris มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจและสนุกสนานอย่างแท้จริง รุ่นปัจจุบัน (Gen 2) ได้รับการอัปเกรดฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมมากมาย และแสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการทดสอบ eCoty 2024

ด้วยเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.6 ลิตร ที่อาจฟังดูไม่น่าตื่นเต้น แต่ให้พละกำลัง 276 แรงม้า แรงบิด 265 ปอนด์-ฟุต เพียงพอที่จะขับเคลื่อน GR Yaris ที่มีน้ำหนัก 1280 กก. ให้ทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 5.2 วินาที ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ GR-Four อันชาญฉลาด มีการตั้งค่าการกระจายแรงบิดหน้า-หลังถึงสามโหมด ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพถนนเปียก ทำให้ Yaris คันนี้เป็น Hot Hatch ที่คุณจะอดไม่ได้ที่จะขับอย่างเต็มที่และมีความสุขอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังเป็นรถที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น และมีสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร คู่แข่งโดยตรงไม่มี เนื่องจากเป็นรถที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสนามแรลลี่โดยตรง แต่ Audi RS3 และ Mercedes-AMG A45 S เป็น Super Hatch ขับเคลื่อนสี่ล้อจากเยอรมนีที่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้

Bentley Continental GT Speed (ราคาเริ่มต้นประมาณ 10.6 ล้านบาท)

Bentley Continental GT Speed ทั้งในรูปแบบคูเป้และเปิดประทุน GTC คือผลงานชิ้นเอกที่ท้าทายกฎฟิสิกส์ได้อย่างน่าทึ่ง แม้ว่า Bentley จะไม่เคยมีชื่อเสียงเรื่องน้ำหนักเบา และรุ่น GT Speed Hybrid นี้จะมีน้ำหนักมากถึง 2459 กก. ในรุ่นคูเป้ และ 2636 กก. ในรุ่น GTC แต่กลับมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าหลงใหลอย่างไม่น่าเชื่อ

GT Speed คือ Bentley ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบชาร์จ ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 140kW ให้พละกำลังรวม 771 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล 738 ปอนด์-ฟุต แม้จะมีน้ำหนักมาก แต่ก็รู้สึกปราดเปรียวทุกครั้งที่กดคันเร่ง การเปลี่ยนผ่านระหว่างการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนๆ กับการทำงานของเครื่องยนต์ V8 ก็เป็นไปอย่างราบรื่นและละเอียดอ่อน ระบบ Bentley Dynamic Ride พร้อมเหล็กกันโคลงแอ็คทีฟ 48V และซอฟต์แวร์สำหรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแอ็คทีฟและ e-diff ด้านหลัง ได้รับการปรับแต่งใหม่เพื่อ Continental รุ่นล่าสุดนี้ ซึ่งช่วยให้รถยนต์ขนาด 2.4 ตันคันนี้ มีความคล่องตัวที่น่าประหลาดใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน ถือเป็นสุดยอด GT ที่มีสมรรถนะแบบรถสปอร์ตอย่างแท้จริง คู่แข่งที่เทียบเคียงได้คือ Aston Martin DB12 และ Maserati GranTurismo ซึ่งอาจให้ความรู้สึกสปอร์ตกว่า แต่ Bentley เหนือกว่าในด้านความหรูหราและสมรรถนะในการเดินทางไกล

Mercedes-AMG GT 63 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 7.6 ล้านบาท)

Mercedes-AMG GT 63 คือการกลับมาอย่างสง่างามของ AMG ด้วยการออกแบบใหม่ที่เพิ่มเบาะหลังแบบ +2 ที่นั่ง และพื้นที่เก็บสัมภาระที่ใหญ่ขึ้น ทำให้รถคันนี้ใช้งานได้จริงมากขึ้น ควบคู่ไปกับพละกำลังและความบันเทิงที่เพิ่มขึ้น AMG GT 63 อาจมีชื่อ GT แต่ AMG เชื่อว่านี่คือรถสปอร์ตอย่างแท้จริง

ด้วยเครื่องยนต์ M177 V8 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้พละกำลัง 577 แรงม้า แรงบิด 590 ปอนด์-ฟุต ทำให้ GT 63 สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม. แต่สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือแชสซีส์ของ GT ที่สร้างขึ้นบนโครงอะลูมิเนียมสเปซเฟรมใหม่ทั้งหมด ทำให้มีความแข็งแกร่งอย่างมีนัยสำคัญ ระบบกันสะเทือนแบบมัลติลิงก์หน้า-หลัง พร้อมโช้คอัพแอ็คทีฟที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบไฮดรอลิก, ระบบเหล็กกันโคลงแอ็คทีฟ, ระบบเลี้ยวล้อหลัง, เฟืองท้ายแบบจำกัดการลื่นไถลควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic+ ที่สามารถส่งแรงบิดไปยังเพลาหน้าได้ถึง 50% ทำให้ GT 63 สามารถเปลี่ยนบุคลิกจากรถ GT ที่นุ่มนวลในโหมด Comfort และ Sport ไปสู่รถสปอร์ตที่แม่นยำและเร้าใจในโหมด Sport+ หรือ Race ได้อย่างน่าทึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนผสมระหว่าง R35 GT-R ที่หรูหราน้อยกว่า กับ 911 Turbo ที่ดุดันกว่ามาก

BMW M5 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 5 ล้านบาท)

BMW M5 รุ่นล่าสุดได้สร้างความประหลาดใจด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการนำระบบไฮบริดมาใช้ ทำให้มีน้ำหนักมากกว่ารุ่นก่อนหน้าประมาณ 500 กก. ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลในหมู่แฟนๆ BMW M พอสมควร อย่างไรก็ตาม หากต้องการรักษาสุดยอดรถซูเปอร์ซาลูนไว้ เราก็ต้องยอมรับว่ารถไฮบริดที่มีน้ำหนักมากจะกลายเป็นเรื่องปกติ

แต่เมื่อได้ขับขี่และทำความคุ้นเคยกับ M5 อย่างแท้จริง การเพิ่มระบบไฟฟ้ากลับไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป แม้ว่าจะมีกำลังรวม 717 แรงม้า แต่มีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่ด้อยกว่า V8 รุ่นที่ไม่ใช่ไฮบริดเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 305 กม./ชม. (เมื่อติดตั้ง M Driver’s Pack) สิ่งที่น่าประทับใจไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่คือความสามารถของ M5 ที่ทำให้รู้สึกว่ารถมีขนาดเล็กกว่าและน้ำหนักเบากว่าความเป็นจริงอย่างมาก ด้วยโหมดการตั้งค่าไดนามิกที่หลากหลาย ทั้งการบังคับเลี้ยว, การหน่วง, แผนที่เกียร์, การกู้คืนพลังงาน, แผนที่ระบบส่งกำลัง และแม้กระทั่งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M5 สามารถสลับระหว่าง 4WD, โหมด 4WD Sport ที่เน้นการขับเคลื่อนล้อหลังมากขึ้น และโหมดขับเคลื่อนล้อหลังล้วนๆ โดยในโหมด 4WD Sport รถมีความสนุกสนานและสามารถปกปิดน้ำหนักด้วยความคล่องตัวที่คาดไม่ถึง คู่แข่งสำคัญคือ Porsche Panamera Turbo E-Hybrid ส่วน Audi RS7 คือทางเลือกเครื่องยนต์สันดาปล้วน หากต้องการพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ Porsche Taycan Turbo และ Audi RS E-Tron GT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

Range Rover Sport SV (ราคาเริ่มต้นประมาณ 7.9 ล้านบาท)

Range Rover Sport SV เจเนอเรชันล่าสุดนี้มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่สุขุมขึ้น แต่ซ่อนขุมพลังที่ดุดันไว้ภายใต้ฝากระโปรง ด้วยเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่จาก BMW M ที่ให้กำลัง 626 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที และลดเวลาลงได้อีก 0.2 วินาที หากเลือกแพ็คเกจคาร์บอนพร้อมล้อคาร์บอนและยางสมรรถนะสูง

แน่นอนว่ามันเร็ว แต่ SUV น้ำหนัก 2.5 ตันคันนี้จะสร้างความบันเทิงเมื่อเจอทางโค้งได้หรือไม่? คำตอบคือ “ได้” อย่างแน่นอน ด้วยแชสซีส์ที่รองรับพละกำลังมหาศาลได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมระบบกันสะเทือนไฮดรอลิก 6D แบบครอสลิงก์อัจฉริยะ ซึ่งคล้ายกับที่พบใน McLaren 750S มอบความสมดุลระหว่างความสะดวกสบายและการควบคุมที่เป็นหนึ่งในสุดยอด SUV ในตลาด ระบบ 6D ช่วยป้องกันการโยนตัวที่มากเกินไป ซึ่งมักเป็นปัญหาของรถประเภทนี้เมื่อเข้าโค้งและเบรกอย่างหนัก นอกจากนี้ ด้วยระบบเลี้ยวล้อหลัง ทำให้ SV รู้สึกมั่นคงอย่างสมบูรณ์แบบบนสนามแข่ง สามารถเปลี่ยนทิศทางจากจุดเข้าโค้งไปยังจุดยอดโค้งและออกจากโค้งได้อย่างมั่นใจ ทำให้ผู้ขับขี่ประทับใจในขีดความสามารถของรถคันนี้อย่างมาก แม้ว่าเจ้าของส่วนใหญ่จะไม่นำรถไปลงสนามแข่ง แต่ก็เป็นเรื่องดีที่รู้ว่า SV ยังคงมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมเมื่อต้องออกนอก Comfort Zone คู่แข่งโดยตรงคือ Porsche Cayenne Turbo (ซึ่งตอนนี้มีเฉพาะรุ่น e-Hybrid) รวมถึง BMW X5M และ Audi RSQ8 แต่ Range Rover Sport SV เหนือกว่าด้วยความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์

Audi RS3 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 2.7 ล้านบาท)

ก่อนการมาถึงของ Mercedes-AMG A45 S, Audi RS3 เคยเป็น Hot Hatch ที่ทรงพลังที่สุดในโลก แม้ว่าจะถูกแซงไปแล้ว แต่ RS3 ก็ยังคงเป็น Hyperhatch ที่ให้ความบันเทิงอย่างมหาศาลและเป็นรถที่ใช้งานได้หลากหลาย ด้วยพละกำลัง 394 แรงม้า ทำให้สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 4 วินาที และด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ทำให้สามารถทำความเร็วได้อย่างมั่นใจไม่ว่าสภาพถนนจะเป็นอย่างไร

หัวใจสำคัญของการพัฒนาสมรรถนะของ RS3 รุ่นนี้คือ “Torque Splitter” เฟืองท้ายหลังของ Audi ซึ่งสามารถกระจายแรงบิดไปยังเพลาล้อหลังได้ตามความต้องการของแต่ละล้อ สามารถส่งแรงบิดเครื่องยนต์ได้ถึง 50% ไปยังล้อหลัง และทั้งหมดนั้นยังสามารถส่งไปยังล้อหลังเพียงล้อเดียวได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นล้อด้านนอกเพื่อลดอาการอันเดอร์สเตียร์ (หรือทำให้รถสไลด์) หรือล้อด้านในเพื่อเพิ่มเสถียรภาพเมื่อจำเป็น หัวใจของ RS3 คือเครื่องยนต์ 5 สูบเทอร์โบชาร์จที่ยอดเยี่ยม ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสร้างเสียงคำรามของ 5 สูบที่ชวนให้นึกถึง V8 ของ R8 ในบางสถานการณ์ แม้จะไม่ได้ให้ความรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้ขับขี่เท่า GR Yaris หรือ Civic Type R แต่ก็ใกล้เคียงมาก และเมื่อไม่ได้ต้องการทำเวลาในสนามแข่ง ก็เป็นรถที่สะดวกสบายและประณีต คู่แข่งหลักคือ Mercedes-AMG A45 S ซึ่งเป็นรถ Hot Hatch พรีเมียมขับเคลื่อนสี่ล้อจากเยอรมนีเช่นกัน หากต้องการความสนุกสนานและการมีส่วนร่วมที่มากกว่าแต่ไม่มี AWD Honda Civic Type R คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม

Porsche 911 Carrera 4 GTS (ราคาเริ่มต้นประมาณ 6.4 ล้านบาท)

Porsche 911 Carrera 4 GTS รุ่นล่าสุดเป็นรถที่ถือได้ว่าเป็นแนวคิดใหม่สำหรับ Porsche เพราะเป็น 911 รุ่นแรกที่มีระบบไฮบริด (แม้เพียงเล็กน้อย) แต่อีกมุมหนึ่ง ก็เป็นรุ่นล่าสุดในตระกูลรถขับเคลื่อนสี่ล้ออันยาวนานของ 911 ที่เริ่มต้นด้วย Carrera 4s เจเนอเรชัน 964 ในยุค 1980s Porsche เป็นผู้บุกเบิกรถสปอร์ตขับเคลื่อนสี่ล้อ จึงไม่น่าแปลกใจที่รุ่นล่าสุดนี้เป็นผลงานอันน่าทึ่งที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์ยาวนานหลายปี

GTS รุ่นล่าสุดมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 3.6 ลิตรใหม่ โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กอยู่ระหว่างเครื่องยนต์และกระปุกเกียร์ รวมถึงในเทอร์โบชาร์จเจอร์เดี่ยวใหม่ ผลลัพธ์ที่ได้คือพละกำลังมหาศาลถึง 534 แรงม้า แรงบิด 450 ปอนด์-ฟุต ส่งไปยังยางได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เครื่องยนต์ไฮบริดนี้มอบความรู้สึกที่หลากหลาย สามารถให้กำลังตอบสนองแบบเครื่องยนต์หายใจตามธรรมชาติขนาดเล็ก และในขณะเดียวกันก็มีพละกำลังของเครื่องยนต์หลายสูบขนาดใหญ่ ระบบ AWD ของ Carrera 4 GTS T-Hybrid ช่วยเพิ่มการยึดเกาะที่มีค่าเมื่อต้องการแรงยึดเกาะสูงสุด แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์การขับขี่แบบ 911 ที่เน้นล้อหลัง ทำให้ผสานความเป็น GT3 และ 911 Turbo เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว คู่แข่งที่สามารถเทียบเคียงความหลากหลายของ 911 มีน้อยมาก อาจมี Mercedes-AMG GT63 ที่จับคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อเข้ากับเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จที่ทรงพลัง

Aston Martin DBX707 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 9.2 ล้านบาท)

Aston Martin DBX707 ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่เคยตั้งคำถามถึงความเป็น Aston Martin ที่แท้จริง เมื่อได้สัมผัสหลังพวงมาลัยของ DBX707 รุ่นล่าสุด ผมกล้าพนันว่าผู้ที่ยึดติดกับธรรมเนียมเดิมๆ ส่วนใหญ่จะต้องยอมรับในความสามารถของมัน นี่คือ SUV สำหรับครอบครัวที่สูงตระหง่าน แต่มีรูปทรง งานออกแบบ และความหรูหราภายใน (แม้จะยังต้องปรับปรุงรายละเอียดบางอย่าง) ตามแบบฉบับของ Aston Martin ผสานเข้ากับความประณีต สมรรถนะ และไดนามิกที่เหนือชั้น และด้วยการตกแต่งภายในที่ได้รับการอัปเดตใหม่ ทำให้มีคุณภาพและใช้งานง่ายขึ้น

เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตรที่พัฒนาจาก AMG ได้รับการปรับแต่งเทอร์โบชาร์จเฉพาะของ Aston Martin ให้พละกำลัง 697 แรงม้า แรงบิด 663 ปอนด์-ฟุต เพียงพอที่จะขับเคลื่อนรถน้ำหนัก 2.2 ตันคันนี้ได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่โช้คอัพ Bilstein DTX รุ่นล่าสุดช่วยให้รถยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นคงในทางโค้ง การบังคับเลี้ยว การหน่วง และเฟืองท้ายแบบจำกัดการลื่นไถล ให้ความรู้สึกเป็นเส้นตรงเหมือนรถ Lotus ซึ่งมอบความมั่นใจในการขับขี่ที่น่าประหลาดใจสำหรับรถขนาดใหญ่มหึมาคันนี้ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถบนถนนและสำรวจขีดจำกัดของสมรรถนะได้อย่างมั่นใจและเป็นธรรมชาติ DBX707 ให้ความรู้สึกที่แท้จริง ไม่เหมือนคู่แข่งหลายรายที่ให้ความรู้สึกเหมือนรถขนของที่ถูกจับมาใส่ฮาร์ดแวร์สมรรถนะสูงเข้าไปอย่างไม่ลงตัว เพราะ DBX707 สร้างขึ้นมาเฉพาะทางอย่างแท้จริง

Lamborghini Revuelto (ราคาเริ่มต้นประมาณ 20 ล้านบาท)

Lamborghini Revuelto คือหนึ่งในรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ซับซ้อนที่สุดในตลาดปัจจุบัน ด้วยการผสานพลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์ขับเคลื่อนล้อหน้าเข้ากับเครื่องยนต์สันดาป V12 อันทรงพลังที่ขับเคลื่อนล้อหลัง โดยทั้งสองระบบเชื่อมต่อกันด้วยสมองกลอิเล็กทรอนิกส์อันชาญฉลาด Revuelto จึงแหวกแนวจากธรรมเนียมดั้งเดิมด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและงานฝีมือที่ประณีตเมื่อเทียบกับบรรพบุรุษ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้สมรรถนะคือรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตา แต่การออกแบบที่ชวนตะลึงนั้นไม่ได้โอ้อวดเกินจริงไปกว่าตัวเลขสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่ ด้วยพละกำลังรวม 1,001 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่สามารถเร่งรอบได้ถึง 9500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ทำให้สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. แม้จะมีน้ำหนัก (แห้ง) 1,772 กก. แต่ก็มีความคล่องตัวอย่างเหลือเชื่อ ระบบไฟฟ้าและกลไกทำงานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ ระบบเลี้ยวล้อหลังช่วยเพิ่มความคล่องตัว ระบบ Torque Vectoring บนเพลาล้อได้รับการปรับแต่งมาอย่างดี และอินเทอร์เฟซผู้ขับขี่ก็ได้รับการออกแบบมาอย่างชาญฉลาด ทำให้ Revuelto เป็นรถที่มีกำลังและรูปลักษณ์ที่โดดเด่นกว่า Bugatti Veyron แต่กลับเต้นรำได้อย่างพลิ้วไหวราวกับ Audi R8 รุ่นดั้งเดิม

Mercedes-AMG A45 S (ราคาเริ่มต้นประมาณ 2.9 ล้านบาท)

Mercedes-AMG A45 S เริ่มต้นมาอย่างเรียบง่าย แต่ AMG ได้รับฟังข้อเสนอแนะและได้ทำการอัปเดตและปรับปรุงรถรุ่นแรกให้ดีขึ้นอย่างมาก ก่อนที่จะนำเสนอรถรุ่นที่สอง (และรุ่นปัจจุบัน) ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งผสานความรู้สึกแพงและการพัฒนาที่ยอดเยี่ยมเข้ากับการควบคุมที่แม่นยำและสมรรถนะที่มหาศาล พร้อมความสามารถในการปรับแต่งแชสซีส์ที่แท้จริง ความสนุกสนาน และความเต็มใจในการตอบสนอง นี่คือรถที่ดูเหมือนจะสนุกกับการขับขี่ด้วยความเร็ว ไม่ใช่แค่การขับขี่ด้วยความเร็วสูงสุด

สิ่งนี้ถือว่าน่าประทับใจเมื่อพิจารณาจากเทคโนโลยีอันกว้างขวางของ A45 S ระบบกันสะเทือนแบบปรับได้ AMG Ride Control, การกำหนดค่าผู้ขับขี่ Dynamic Select, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic และเกียร์ Speedshift 8 สปีด ทั้งหมดนี้อาจทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวจากรถยนต์ได้ง่ายๆ แต่ด้วยการปรับแต่งและตั้งค่าที่ยอดเยี่ยม ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นธรรมชาติและความกลมกลืน เครื่องยนต์ 2 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จที่สามารถสร้างกำลังได้ถึง 415 แรงม้า อย่างน่าเชื่อถือ ก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจในความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์สันดาปของ AMG คู่แข่งโดยตรงของ A45 S คือ Audi RS3 ซึ่งทั้งคู่เป็นรถ Hatchback พรีเมียมขับเคลื่อนสี่ล้อจากเยอรมนี ที่มีกำลังประมาณ 400 แรงม้า และต่อสู้กันมาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความเร็วและความสนุกสนาน หากต้องการความสุดขีดที่แตกต่างออกไป Honda Civic Type R คือสุดยอด Hot Hatch ที่เน้นการขับขี่แบบฮาร์ดคอร์ ส่วน Toyota GR Yaris ก็เป็น Hot Hatch ขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีรสชาติเฉพาะตัว

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ ผมมั่นใจว่ารถขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูงที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของความก้าวหน้าทางวิศวกรรมที่น่าทึ่งในปี 2025 เท่านั้น แต่ยังเป็นยานพาหนะที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือความคาดหมาย ให้ความมั่นใจในทุกสภาวะ และความตื่นเต้นเร้าใจที่ไม่มีวันลืมเลือน ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาสุดยอดสมรรถนะบนทางเรียบ ความสามารถในการผจญภัยแบบออฟโรดที่เหนือชั้น หรือความหรูหราที่มาพร้อมกับพละกำลังอันน่าเกรงขาม รายการนี้มีรถที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณอย่างแน่นอน

หากคุณพร้อมที่จะยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของคุณสู่ขั้นต่อไป และสัมผัสกับนวัตกรรมยานยนต์ที่แท้จริงของปี 2025 อย่าลังเลที่จะศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม หรือติดต่อผู้จำหน่ายเพื่อทดลองขับยานยนต์สุดยอดเหล่านี้ด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อถึงเป็นหัวใจสำคัญของอนาคตแห่งรถยนต์สมรรถนะสูงอย่างแท้จริง.

สุดยอดรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อสมรรถนะสูงแห่งปี 2025 – พลังที่ไร้ขีดจำกัดบนทุกเส้นทาง

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) หรือ 4×4 ที่เปลี่ยนผ่านจากการเป็นเพียงกลไกสำหรับลุยทางออฟโรด ไปสู่หัวใจสำคัญที่ปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของรถยนต์สมรรถนะสูงบนพื้นถนนลาดยาง ย้อนกลับไปเมื่อ Audi ได้ปฏิวัติวงการ World Rally Championship ด้วยระบบ Quattro AWD โลกก็ได้ประจักษ์ถึงพลังและประสิทธิภาพอันมหาศาลของการส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ ปัจจุบัน แบรนด์ชั้นนำมากมายต่างก้าวเข้าสู่สนามการแข่งขันนี้อย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็น Porsche ที่นำระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมาใช้กับ 911 สปอร์ตคาร์ และ 959 ซูเปอร์คาร์ในตำนาน, Nissan กับการสร้างปรากฏการณ์ Skyline GT-R, ไปจนถึง Mitsubishi, Subaru, Lancia, Toyota และ Ford ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งแรลลี่สู่รถถนนสมรรถนะสูง สี่ทศวรรษหลังจาก Quattro เปิดตัว ตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงก็เต็มไปด้วยยนตรกรรมที่ส่งพลังไปสู่ทุกมุมล้อในรูปแบบที่หลากหลาย และรถยนต์ 4×4 ที่ดีที่สุดในปี 2025 ยังคงเป็นมาตรฐานที่ยากจะหาใครเทียบเคียง

บทบาทของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในฐานะตัวช่วยในการยึดเกาะถนนนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เคยเป็นวิธีทำให้รถสมรรถนะสูงใช้งานได้จริงในสภาพพื้นผิวถนนที่หลากหลายกว่าเดิม ตอนนี้กลับกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมพละกำลังมหาศาล (และแบกรับน้ำหนัก) ของรถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่ รถแฮทช์แบ็กพลังสูงบางรุ่น เช่น Audi RS3 มีกำลังเกือบ 400 แรงม้า ในขณะที่ซูเปอร์ SUV อย่าง Range Rover Sport SV มีกำลังเกิน 600 แรงม้า และรถยนต์ในระดับสูงสุดของตลาดซูเปอร์คาร์ เช่น Lamborghini Revuelto มีกำลังทะลุ 1,000 แรงม้า ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความหลากหลายของรูปแบบที่สามารถนำมาใช้ได้ในปัจจุบัน รถไฮบริดบางรุ่นไม่ได้เชื่อมต่อเครื่องยนต์เบนซินเข้ากับล้อหน้าโดยตรงด้วยซ้ำ แต่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะและชุดเฟืองท้ายที่ทำงานร่วมกันเพื่อทำให้รถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นล่าสุดมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นกว่าที่เคยเป็นมา จากการทดสอบอย่างครอบคลุมกับรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูงรุ่นล่าสุด ทั้งบนถนนและในสนามแข่ง เราได้ค้นพบว่าระบบ 4×4 ไม่ได้มีไว้แค่สำหรับการลุยโคลน หรือทำให้ Porsche 911 ขับง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถอันน่าทึ่งของรถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น นี่คือรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อสมรรถนะสูงที่เราชื่นชอบที่สุดในปี 2025 โดยไม่มีการจัดอันดับ

Ferrari Purosangue: การปฏิวัติวงการ SUV ด้วยหัวใจ V12

Ferrari Purosangue คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า Ferrari ไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างสรรค์นวัตกรรม เมื่อเปิดตัว หลายคนถกเถียงกันว่านี่คือ SUV คันแรกของ Ferrari หรือเป็นรถสปอร์ต 4 ประตู 4 ที่นั่งของ Ferrari ที่แท้จริงกันแน่ แต่เมื่อได้ลองขับแล้ว ความคลางแคลงใจทั้งหมดก็มลายหายไป เหลือไว้แต่ความประทับใจในยนตรกรรมที่เหนือชั้น ด้วยขุมพลัง V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่ให้กำลังถึง 715 แรงม้า และแรงบิด 528 ปอนด์-ฟุต รอบเครื่องยนต์สูงสุด 8250 รอบต่อนาที ทำให้ Purosangue ที่มีน้ำหนักกว่า 2 ตัน สามารถพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.3 วินาที เสียงเครื่องยนต์อันไพเราะราวบทเพลงจะขับกล่อมคุณขณะเดินทางด้วยความเร็วสูง และปลุกเร้าอารมณ์สปอร์ตเมื่อคุณปลดปล่อยพลัง V12 ออกมาอย่างเต็มที่ นี่คือรถที่มีสองบุคลิกในคันเดียว สามารถเป็นรถแกรนด์ทัวริ่งที่หรูหรา นุ่มนวล และสะดวกสบายในระยะทางไกล ก่อนจะแปลงร่างเป็นรถสปอร์ตที่ปราดเปรียวและเร้าใจบนถนนคดเคี้ยวได้อย่างไร้รอยต่อ

ภายใต้รูปทรงที่โฉบเฉี่ยว Purosangue คือเครื่องจักรที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง ระบบกันสะเทือน Multimatic อันล้ำสมัยถึงกับต้องมีระบบระบายความร้อนแยกต่างหาก แต่กลับให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติอย่างน่าทึ่งเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง แม้จะมีข้อจำกัดเล็กน้อย เช่น อินเทอร์เฟซผู้ใช้แบบ Haptic ที่อาจยังไม่ลื่นไหลนัก และพื้นที่เก็บสัมภาระที่อาจไม่กว้างขวางเท่าที่คาดหวังจากรถประเภทนี้ แต่เมื่อคุณได้สัมผัสกับพละกำลังของเครื่องยนต์ V12 ที่หายใจเองตามธรรมชาติ และการควบคุมที่แม่นยำ ทุกข้อบกพร่องเล็กน้อยก็ดูจะถูกลืมเลือนไปโดยปริยาย ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของ Purosangue ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีแชสซีขั้นสูง ทำให้มันควบคุมมวลน้ำหนักอันมหาศาลได้อย่างน่าทึ่ง การกระจายแรงบิดที่แม่นยำช่วยให้การเข้าโค้งเฉียบคมและการเปลี่ยนทิศทางรวดเร็ว พร้อมกับการยึดเกาะถนนที่เหนือชั้น ทำให้ Purosangue ไม่ใช่แค่ SUV พลังสูง แต่เป็น Ferrari ที่ถ่ายทอด DNA ความเป็นรถสปอร์ตออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะอยู่ในร่างที่สูงโปร่งขึ้นก็ตาม

BMW M4 CS: ความแม่นยำอันเฉียบขาดกับ XDrive อันชาญฉลาด

BMW M4 CS คือสูตรสำเร็จของรถยนต์สมรรถนะสูงที่มาพร้อมส่วนผสมที่ลงตัวทุกประการ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียงเทอร์โบคู่ ที่ให้กำลัง 542 แรงม้า และแรงบิด 479 ปอนด์-ฟุต ทำงานร่วมกับเกียร์ 8 สปีดที่เปลี่ยนได้รวดเร็ว และแชสซีขับเคลื่อน 4 ล้อแบบเน้นล้อหลังที่ให้การยึดเกาะถนนเป็นเลิศ ทำให้ M4 CS เป็นรถที่ “บ้าระห่ำ” อย่างแท้จริงบนถนนที่เหมาะสมในสภาพที่เอื้ออำนวย M4 CS ได้รับการผสมผสานสิ่งที่ดีที่สุดจาก M4 Competition และ M4 CSL โดยใช้เครื่องยนต์ 6 สูบที่ได้รับการปรับปรุงจาก CSL และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจาก Competition การมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อช่วยให้รถคันนี้ควบคุมได้ง่ายขึ้นมากเมื่อเทียบกับ CSL ที่ขับเคลื่อนล้อหลังเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะ “ดุร้าย” เกินไปในสภาพถนนที่ไม่สมบูรณ์แบบ แม้ว่า M4 CS ก็ยังต้องการสภาพถนนและยาง Cup 2 R ที่อุณหภูมิเหมาะสมเพื่อปลดปล่อยสมรรถนะสูงสุด แต่เมื่อทุกอย่างลงตัว มันก็พร้อมที่จะมอบประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นอย่างแท้จริง

M4 CS โดดเด่นด้วยส่วนหน้าของรถที่ทนทานต่ออาการอันเดอร์สเตียร์ ให้ความรู้สึกยึดเกาะถนนอย่างมั่นคง และระบบ xDrive ที่ปรับแต่งโดย M ช่วยให้คุณดึงสมรรถนะที่ดีที่สุดของรถออกมาได้ในเกือบทุกสถานการณ์ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนี้มีความสามารถในการกระจายแรงบิดอย่างชาญฉลาด ทำให้ M4 CS เป็นรถที่เน้นการขับเคลื่อนล้อหลังเป็นหลัก แต่เมื่อถึงจุดที่รถอาจจะเสียการควบคุม ล้อหน้าก็จะเข้ามาช่วยดึงรถให้กลับสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นี่คือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อยุคใหม่ที่สามารถมอบความอเนกประสงค์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ใช่แค่การเพิ่มการยึดเกาะ แต่ยังช่วยเสริมความสนุกในการขับขี่อีกด้วย M4 CS แสดงให้เห็นว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อสามารถปรับสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความสามารถในการควบคุมได้อย่างลงตัว มอบประสบการณ์ขับขี่ที่ทั้งดุดันและสามารถเข้าถึงได้ไปพร้อมกัน

Land Rover Defender Octa: ยานยนต์แห่งการผจญภัยที่ผสานสมรรถนะสปอร์ต

Land Rover เป็นชื่อที่คุ้นเคยในตลาดรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อสายลุยมาโดยตลอด และแม้ว่าผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันจะยกระดับสู่ตลาดพรีเมียมมากขึ้น แต่ก็ยังคงความสามารถในการบุกตะลุยได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Defender Octa ซึ่งเป็น Defender ที่ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้นทั้งบนถนนและออฟโรด ภายใต้ฝากระโปรงคือเครื่องยนต์ V8 ที่มาจาก BMW M ให้กำลัง 626 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.8 วินาทีในโหมด Launch Control ตัวรถมีความกว้างขึ้นเพื่อรองรับปีกนกที่ยาวขึ้น และมีความสูงขึ้นเพื่อเพิ่มระยะห่างจากพื้นสำหรับการขับขี่แบบออฟโรด

เทคโนโลยีที่น่าสนใจที่สุดของ Octa คือระบบกันสะเทือน 6D ที่ประกอบด้วยโช้คอัพแบบกึ่งแอคทีฟที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบไฮดรอลิก แม้จะไม่ใช่การตั้งค่าที่ให้การสื่อสารแบบรถสปอร์ตดั้งเดิม แต่ Octa กลับให้ความรู้สึกกระชับ ตอบสนองดีขึ้น และพร้อมที่จะขับขี่บนถนนยิ่งกว่า SUV สมรรถนะสูงชั้นนำบางรุ่น สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือความสามารถบนถนนที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้ ยังคงทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อคุณขับขี่ออกนอกเส้นทางลาดยาง ไม่ว่าพื้นผิวจะเป็นอย่างไร Octa ก็พร้อมจะบุกตะลุยทุกอุปสรรคราวกับอยู่ในสนามแข่ง Dakar ขณะเดียวกันผู้โดยสารก็ยังคงได้รับความสะดวกสบายและการทรงตัวที่เหนือกว่า Defender รุ่นมาตรฐาน นี่คือรถที่พร้อมจะพาคุณไปได้ทุกที่อย่างแท้จริง ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออันซับซ้อนที่ทำงานร่วมกับระบบกันสะเทือน 6D มันสามารถกระจายแรงบิดได้อย่างแม่นยำไปยังล้อแต่ละข้าง เพื่อให้การยึดเกาะสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการไต่หิน หรือการวิ่งด้วยความเร็วบนทางฝุ่น ระบบนี้ยังช่วยลดอาการโยนตัวของรถอย่างน่าทึ่ง ทำให้ Octa ให้ความรู้สึกมั่นคงและควบคุมได้ราวกับรถสปอร์ตบนเส้นทางที่คดเคี้ยว มันคือ “รถบรรทุกรางวัล” สำหรับถนนที่รวมเอาความทนทานแบบออฟโรดเข้ากับพลวัตการขับขี่ที่เหนือชั้น

Toyota GR Yaris: จิตวิญญาณแรลลี่ในร่างแฮทช์แบ็กพลังสูง

เคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่รถ Homologation Special เป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ปัจจุบันวันเวลาเหล่านั้นได้เลือนหายไปแล้ว ทำให้การเปิดตัวของ GR Yaris เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง นี่คือรถยนต์ที่มีอยู่จริงด้วยความต้องการที่จะลงแข่งขันแรลลี่ และมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งในรุ่น Gen 1 และ Gen 2 GR Yaris คือรถที่ขับสนุกสุดเหวี่ยงอย่างแท้จริง GR Yaris รุ่นปัจจุบัน (Gen 2) ได้เพิ่มอุปกรณ์และฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมมากมาย และแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ยอดเยี่ยมในการทดสอบ eCoty 2024 ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ GR-Four อันชาญฉลาดของมันมีสามโหมดสำหรับการแบ่งแรงบิดระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง ทำให้มีประสิทธิภาพสูงอย่างเหลือเชื่อในสภาพเปียกชื้น

แม้เครื่องยนต์ 3 สูบ 1.6 ลิตร อาจจะฟังดูไม่น่าตื่นเต้นนัก แต่ด้วยกำลัง 276 แรงม้า และแรงบิด 265 ปอนด์-ฟุต ก็เพียงพอที่จะทำให้ GR Yaris ที่มีน้ำหนักเพียง 1280 กก. พุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 5.2 วินาที GR Yaris เป็นรถแฮทช์แบ็กพลังสูงที่คุณจะต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ขับเต็มที่ทุกที่ และมักจะมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า มันยังเป็นรถที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย และดูเท่สุดๆ สำหรับคนที่เข้าใจ ระบบ GR-Four ของ GR Yaris ไม่ได้เป็นเพียงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อธรรมดา แต่เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการกระจายแรงบิดได้ตามต้องการ (Normal, Track, Sport) เพื่อให้ได้การตอบสนองที่แตกต่างกัน ทำให้ GR Yaris สามารถเป็นรถที่เกาะถนนได้อย่างมั่นคง หรือเป็นรถที่สนุกสนานกับการสไลด์เล็กน้อยได้ตามใจผู้ขับขี่ ความสามารถในการปรับตัวนี้ทำให้มันเป็นรถที่เข้าถึงได้และสามารถดึงศักยภาพออกมาใช้ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นนักขับมือใหม่หรือมืออาชีพ และยังคงความคล่องตัวและทรงประสิทธิภาพบนถนนที่ท้าทาย

Bentley Continental GT Speed: นิยามใหม่ของความหรูหราที่ท้าทายฟิสิกส์

Bentley Continental GT Speed ที่มีให้เลือกทั้งแบบคูเป้และเปิดประทุน (GTC) คือบทพิสูจน์ของการท้าทายกฎฟิสิกส์ Bentley ไม่เคยขึ้นชื่อเรื่องน้ำหนักเบา และด้วยขุมพลังไฮบริดทำให้ GT Speed มีน้ำหนักมากถึง 2459 กก. ในรุ่นคูเป้ และ 2636 กก. ในรุ่น GTC ทว่าทั้งสองรุ่นก็มอบประสบการณ์ขับขี่ที่น่าหลงใหลอย่างยิ่ง Continental GT Speed คือ Bentley ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยกำลัง 771 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบชาร์จ และมอเตอร์ไฟฟ้า 140kW พร้อมแรงบิดมหาศาล 738 ปอนด์-ฟุต แม้จะมีน้ำหนักมาก แต่ก็ยังให้ความรู้สึกที่รวดเร็วทันใจเมื่อคุณเหยียบคันเร่งเต็มที่ และการเปลี่ยนผ่านระหว่างการล่องลอยด้วยพลังงานแบตเตอรี่กับการปลุกเครื่องยนต์ V8 ให้ตื่นขึ้นนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นและละเอียดอ่อน

รถคันนี้มาพร้อมกับระบบ Bentley Dynamic Ride พร้อมเหล็กกันโคลงแอคทีฟ 48V และซอฟต์แวร์สำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟ และ E-diff ด้านหลังได้รับการปรับเทียบใหม่สำหรับ Continental รุ่นล่าสุดนี้ สามารถแล่นไปข้างหน้าด้วยพลังงานไฟฟ้าเกือบจะเงียบสนิท แต่เมื่อเครื่องยนต์ V8 ทำงาน มันก็จะทำหน้าที่เป็นรถสปอร์ตได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ในทางคดเคี้ยว ระบบบังคับเลี้ยวมีน้ำหนักเบาแต่ตอบสนองได้โดยตรง และแม้ว่าจะไม่ได้ให้ความรู้สึกที่สื่อสารได้อย่างเต็มที่ แต่คุณก็ยังคงรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ยางหน้ากำลังทำอยู่ ด้วยการยึดเกาะและการตอบสนองจากแชสซีที่ช่วยให้คุณรับรู้ถึงขีดจำกัดของรถ ในฐานะรถแกรนด์ทัวริ่งที่สมบูรณ์แบบพร้อมคุณสมบัติของรถสปอร์ต ทำให้มันมีคู่แข่งน้อยมากหากมีอยู่เลย ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบปรับแรงบิดได้ของ Bentley ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีแชสซีและระบบส่งกำลังอื่นๆ ได้อย่างลงตัว ทำให้รถหรูน้ำหนักกว่า 2.4 ตันคันนี้ มีความคล่องตัวที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ความแม่นยำในการกระจายแรงบิดช่วยให้รถเข้าโค้งได้อย่างมั่นคงและรวดเร็ว แม้จะมีขนาดและน้ำหนักที่มาก แต่ก็ยังคงมอบประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือระดับ ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกมั่นใจและเป็นหนึ่งเดียวกับรถได้อย่างไม่น่าเชื่อ

Mercedes-AMG GT 63: สปอร์ตคาร์ 4 ที่นั่งที่คล่องตัวและน่าหลงใหล

เรียกได้ว่า Mercedes-AMG ได้กลับมาทำผลงานได้ดีเยี่ยมอีกครั้งกับ GT 63 ใหม่ ซึ่งตอนนี้มาพร้อมเบาะหลัง 2 ที่นั่ง และพื้นที่เก็บสัมภาระที่ใหญ่ขึ้น ทำให้รถใช้งานได้จริงมากขึ้น ควบคู่ไปกับความแรงและความบันเทิงที่เพิ่มขึ้น แม้จะมีชื่อ GT แต่ AMG ก็เชื่อว่านี่คือรถสปอร์ตมากกว่า มันมีพละกำลังที่จำเป็น ด้วยเครื่องยนต์ M177 V8 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้กำลัง 577 แรงม้า และแรงบิด 590 ปอนด์-ฟุต ทำให้ GT 63 สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม.

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจและน่าตื่นเต้นคือแชสซีของ GT 63 ที่สร้างขึ้นบนโครงอลูมิเนียมสเปซเฟรมใหม่ทั้งหมด โดยมีการผสมผสานเหล็ก แมกนีเซียม และวัสดุคอมโพสิต ซึ่งทำให้มีความแข็งแกร่งเชิงแรงบิด แนวขวาง และแนวยาวอย่างมีนัยสำคัญ ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบมัลติลิงก์อลูมิเนียมฟอร์จ ประกอบด้วยโช้คอัพแอคทีฟที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบไฮดรอลิก ระบบกันโคลงแอคทีฟ ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง เฟืองท้ายหลังแบบลิมิเต็ดสลิปควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic+ ที่สามารถส่งแรงบิดไปยังเพลาหน้าได้สูงสุด 50% ในโหมด Comfort และ Sport มันคือรถ GT ที่แท้จริง แต่เมื่อปรับไปที่ Sport+ หรือ Race บุคลิกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงก็จะปรากฏขึ้น – มันคือรถสปอร์ตที่น่าหลงใหล มีเอกลักษณ์ และแม่นยำ ระบบ 4Matic+ ของ GT 63 ไม่ใช่แค่ช่วยเพิ่มการยึดเกาะ แต่ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รถคันนี้มีพลวัตการขับขี่ที่น่าทึ่ง สามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็วและควบคุมการสไลด์ได้อย่างมั่นใจ ทำให้มันเป็นรถที่อยู่ตรงกลางระหว่าง R35 GT-R ที่มีความคลาสสิกน้อยกว่า และ 911 Turbo ที่ดุดันกว่า มันคือสุดยอดยานยนต์ที่ผสานความคล่องตัวของรถสปอร์ตเข้ากับความสะดวกสบายของรถแกรนด์ทัวริ่งได้อย่างลงตัว

BMW M5: ซูเปอร์ซาลูนไฮบริดที่ท้าทายน้ำหนัก

น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของ BMW M5 เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางก่อนการเปิดตัว ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนไปใช้ขุมพลังไฮบริด ทำให้มีน้ำหนักมากกว่ารุ่นก่อนหน้าประมาณ 500 กก. การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความกังวลในหมู่แฟนคลับ BMW M พอๆ กับการตัดสินใจใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในรุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม หากเรายังต้องการเห็นซูเปอร์ซาลูนยังคงอยู่ เราก็ต้องทำความคุ้นเคยกับรถไฮบริดที่มีน้ำหนักมากเช่นนี้ และเมื่อคุณได้อยู่หลังพวงมาลัยและทำความคุ้นเคยกับ M5 อย่างถ่องแท้แล้ว การเพิ่มระบบไฟฟ้าก็ไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป แม้จะมีกำลัง 717 แรงม้า แต่ M5 ก็มีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่แย่กว่าเครื่องยนต์ V8 ที่ไม่ใช่ไฮบริดรุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 305 กม./ชม. หากเลือกแพ็คเกจ M Driver’s

แต่สิ่งที่น่าประทับใจไม่ใช่ความเร็วสูงสุดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความรู้สึกที่ M5 “หดตัวลงรอบตัวคุณ” ทำให้รู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าที่ตัวเลขระบุไว้อย่างมาก มีโหมดการขับขี่ที่ปรับแต่งได้ไม่รู้จบ ทั้งการบังคับเลี้ยว การหน่วง เกียร์ แผนที่การฟื้นฟูพลังงาน แผนที่ระบบส่งกำลัง และแม้กระทั่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ M5 ยังสามารถสลับระหว่างโหมด 4WD, โหมด 4WD Sport ที่เน้นล้อหลังมากขึ้น และโหมดขับเคลื่อนล้อหลังล้วนๆ ในโหมด 4WD Sport มันจะให้ความสนุกสนานอย่างแท้จริง ซ่อนน้ำหนักอันมหาศาลด้วยความคล่องตัวที่คาดไม่ถึง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออันชาญฉลาดนี้ทำงานร่วมกับระบบช่วงล่างแบบแอคทีฟ ทำให้ M5 เข้าโค้งได้อย่างแม่นยำและมั่นคง ราวกับเป็นรถที่เล็กกว่าและเบากว่ามาก การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฮบริดได้มอบขีดความสามารถที่กว้างขวางยิ่งขึ้นให้กับ M5 และหากสิ่งนี้หมายถึงการที่ M5 จะยังคงอยู่กับเราต่อไปในรูปแบบที่เราคุ้นเคย นี่ก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง

Range Rover Sport SV: SUV ระดับสปอร์ตคาร์ที่หรูหราเหนือระดับ

Range Rover Sport รุ่นก่อนหน้าอาจจะดูหรูหรามากเกินไปสำหรับบางคน ดังนั้นรุ่นล่าสุดนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดี ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูสุขุมนุ่มนวลขึ้น แต่กลับซ่อนขุมพลังที่ไม่แพ้กัน ด้วยเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ที่มาจาก BMW M ให้กำลัง 626 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที และจะลดลงอีก 0.2 วินาที หากคุณเลือกแพ็คเกจคาร์บอนไฟเบอร์พร้อมล้อคาร์บอนและยางที่ยึดเกาะถนนได้ดีกว่า แน่นอนว่ามันเร็ว แต่ SUV น้ำหนัก 2.5 ตันคันนี้จะสามารถให้ความบันเทิงได้หรือไม่เมื่อต้องเข้าโค้ง? สรุปสั้นๆ คือ “ได้” อย่างแน่นอน

มันมีแชสซีที่รองรับพละกำลังมหาศาล ด้วยระบบกันสะเทือนไฮดรอลิก 6D แบบไขว้กัน ซึ่งคล้ายกับที่คุณพบใน McLaren 750S เพื่อมอบการผสมผสานระหว่างความสะดวกสบายและการควบคุมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตลาด SUV แม้จะยังคงมีการโยนตัวในระดับหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถพิงกับแรงเหวี่ยงได้ แต่ระบบ 6D ก็ช่วยป้องกันการเอียงตัวที่มากเกินไป ซึ่งรถประเภทนี้มักจะประสบปัญหาเมื่อเข้าโค้งและเบรกอย่างรุนแรง ด้วยการเพิ่มระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง ทำให้ SV ให้ความรู้สึกที่มั่นคงอย่างสมบูรณ์แบบในสนามแข่ง มันเข้าโค้งจากจุดเลี้ยวไปสู่จุด Apex ไปสู่ทางออกโค้งได้อย่างมั่นใจ จนคุณแทบจะรู้สึกผิดที่ประทับใจกับความสามารถของรถที่คุณคาดว่าจะเห็นจอดอยู่ในแพดด็อกมากกว่าที่จะวิ่งทำความเร็วในสนามแข่ง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ทำงานร่วมกับ 6D Dynamics ช่วยให้ Range Rover Sport SV สามารถกระจายแรงบิดและควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวรถได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดอาการโยนตัวและการเอียงของรถอย่างน่าทึ่ง ทำให้มันรู้สึกคล่องตัวและตอบสนองได้ดีเกินคาดสำหรับ SUV ขนาดใหญ่เช่นนี้ มันคือการผสมผสานอันลงตัวของความหรูหราแบบ Range Rover เข้ากับสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ที่หาตัวจับยาก

Audi RS3: แฮทช์แบ็กพลังสูงกับเครื่องยนต์ 5 สูบอันเป็นเอกลักษณ์

ก่อนการมาถึงของ Mercedes-AMG A45 S, RS3 เคยเป็นแฮทช์แบ็กที่ทรงพลังที่สุดในโลก แม้จะถูกแซงหน้าไปโดยคู่แข่งจากสตุทการ์ท แต่ RS3 ก็ยังคงเป็นไฮเปอร์แฮทช์ที่ให้ความบันเทิงอย่างยิ่ง และเป็นรถที่ใช้งานได้หลากหลาย มันให้ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนกว่าพี่น้อง RS ที่มีขนาดใหญ่กว่า และเมื่อเลือกออปชั่นที่เหมาะสม ก็แทบจะเป็นไปได้ที่จะขับผ่านไปโดยไม่เป็นที่สังเกต ด้วยกำลัง 394 แรงม้า มันจึงทำความเร็วได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ต่ำกว่า 4 วินาที และด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro มันจึงสามารถทำความเร็วได้อย่างมั่นคงไม่ว่าสภาพถนนจะเป็นอย่างไร

กุญแจสำคัญสู่การก้าวกระโดดทางพลวัตของ RS3 เจเนอเรชันนี้ คือ “Torque Splitter” ของ Audi ซึ่งเป็นเฟืองท้ายหลังที่สามารถกระจายแรงบิดไปทั่วเพลาหลังตามความต้องการของล้อแต่ละข้าง แรงบิดของเครื่องยนต์สูงสุด 50% สามารถส่งไปยังล้อหลังได้ และแรงบิดทั้งหมดนั้นสามารถส่งไปยังล้อหลังเพียงข้างเดียวได้ ไม่ว่าจะเป็นล้อด้านนอกเพื่อลดอาการอันเดอร์สเตียร์ (หรือทำให้รถสไลด์) หรือล้อด้านในเพื่อปรับปรุงเสถียรภาพเมื่อจำเป็น หัวใจของ RS3 คือเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 5 สูบอันยอดเยี่ยม ซึ่งน่าประทับใจและมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง ด้วยเสียงเครื่องยนต์ 5 สูบที่ฟังดูคล้าย R8 V8 ในบางสถานการณ์ มันอาจจะไม่ได้ให้การมีส่วนร่วมในระดับเดียวกับ GR Yaris หรือ Civic Type R แต่ก็ใกล้เคียงอย่างมาก และเมื่อคุณไม่ได้ขับขี่แบบสุดขีด แต่ต้องการขับขี่สบายๆ มันก็ยังคงความสะดวกสบายและนุ่มนวลไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ระบบ Torque Splitter นี้ทำให้ RS3 เป็นรถที่ขับขี่สนุกสนานและสามารถปรับแต่งการตอบสนองได้มากขึ้นกว่าที่หลายคนคาดหวัง สามารถควบคุมการสไลด์ได้อย่างยาวนานในโหมด Torque Rear ทำให้มันเป็นแฮทช์แบ็กพลังสูงที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ยังให้ความรู้สึก “มีชีวิตชีวา” ในมือผู้ขับขี่อีกด้วย

Porsche 911 Carrera 4 GTS: การผสานรวมไฮบริดและขับเคลื่อน 4 ล้อในตำนาน

Porsche 911 Carrera 4 GTS ล่าสุดนี้ ในแง่หนึ่งคือแนวคิดใหม่สำหรับ Porsche เพราะเป็น 911 รุ่นแรก (แม้จะเล็กน้อย) ที่ใช้ระบบไฮบริด ในอีกทางหนึ่ง มันคือรุ่นล่าสุดในสายเลือดรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้ออันยาวนาน ที่เริ่มต้นด้วย Carrera 4 รุ่นแรกของ 911 เจเนอเรชัน 964 ในยุค 1980s Porsche เป็นผู้บุกเบิกรถสปอร์ตขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงไม่น่าแปลกใจที่รุ่นล่าสุดนี้จะเป็นยานยนต์ที่โดดเด่น ซึ่งสร้างขึ้นจากประสบการณ์และการพัฒนาต่อเนื่องหลายปี GTS ล่าสุดมาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 3.6 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างเครื่องยนต์และกระปุกเกียร์ และในเทอร์โบชาร์จเจอร์เดี่ยวใหม่ ผลลัพธ์คือสามารถส่งกำลังอันมหาศาลถึง 534 แรงม้า และ 450 ปอนด์-ฟุต ไปยังยางได้อย่างรวดเร็วแทบจะทันทีที่คุณสั่งการ

เมื่อคุณลองสัมผัสพละกำลังเป็นครั้งแรก คุณจะรู้สึกว่ามอเตอร์นั้นมีขนาดเล็กและมีแรงบิดสูงในลักษณะของเครื่องยนต์หายใจเองตามธรรมชาติ แต่ก็มีความดุดันของเครื่องยนต์หลายสูบขนาดใหญ่ มันมีความยืดหยุ่นสูงมาก ปริมาณพละกำลังและความเร็วในการตอบสนอง ทำให้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมีความสำคัญอย่างยิ่งใน Carrera เพื่อให้การยึดเกาะถนนอันมีค่าเมื่อต้องการ และยังคงรักษาเอกลักษณ์ของ 911 ที่ขับเคลื่อนล้อหลังไว้ได้ มันคือการผสมผสานระหว่าง GT3 และ 911 Turbo ในร่างของ Carrera 4 GTS T-Hybrid ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของ Carrera 4 GTS T-Hybrid ช่วยเพิ่มการยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่า 911 จะมีชื่อเสียงด้านการยึดเกาะถนนอยู่แล้วเนื่องจากการกระจายน้ำหนักไปทางด้านหลังที่มีชื่อเสียง มันให้ความรู้สึกที่น่าหลงใหลเมื่อสัมผัสได้ถึงการย่อตัวของท้ายรถขณะออกจากโค้งความเร็วต่ำและปานกลาง ในขณะที่เพลาหน้าก็ได้รับแรงยึดเกาะพร้อมกัน ทำให้ GTS พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วด้วยเทอร์โบไฟฟ้าที่พร้อมบูสต์อยู่เสมอ นี่คือ 911 ที่รวมเอาสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองโลกไว้ด้วยกัน

Aston Martin DBX707: SUV สมรรถนะสูงที่แท้จริง

การออกแบบแพลตฟอร์มอลูมิเนียมโดยเฉพาะ แทนที่จะซื้อโครงสร้างจาก Mercedes-Benz เป็นวิธีที่ดีในการทำให้ผู้ที่เคยตั้งข้อสงสัยในความถูกต้องของ Aston Martin SUV คันแรก ต้องคิดใหม่ และเมื่อได้อยู่หลังพวงมาลัยของ DBX707 รุ่นล่าสุด ผมกล้าเดิมพันว่าแม้แต่นักอนุรักษ์นิยมที่ดื้อรั้นที่สุดก็จะต้องยอมจำนน นี่คือรถครอบครัวที่สูงโปร่ง พร้อมรูปทรง ตัวถัง และความหรูหราภายใน (หากไม่มีรายละเอียดที่ยุ่งยาก) ที่คุณคาดหวังจาก Aston Martin พร้อมด้วยความประณีต สมรรถนะ และพลวัตการขับขี่ที่เหนือชั้น ตอนนี้ด้วยการตกแต่งภายในที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ มันจึงมีคุณภาพดีขึ้นและใช้งานง่ายขึ้นด้วย

เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร ที่มาจาก AMG ได้รับการติดตั้งเทอร์โบชาร์จเจอร์เฉพาะของ Aston Martin เพื่อให้กำลังอันแข็งแกร่ง 697 แรงม้า และแรงบิด 663 ปอนด์-ฟุต เพื่อขับเคลื่อนมวลน้ำหนัก 2.2 ตันไปข้างหน้า ขณะที่โช้คอัพ Bilstein DTX ล่าสุดช่วยให้รถมั่นคงในทุกโค้ง ระบบบังคับเลี้ยว การหน่วง และเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป ล้วนให้ความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาคล้ายกับ Lotus ซึ่งทำให้ 707 มีความน่าเชื่อถืออย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเครื่องจักรขนาดใหญ่เช่นนี้ คุณสามารถวางตำแหน่งรถบนถนนและสำรวจขีดความสามารถทางพลวัตได้อย่างมั่นใจ ซึ่งสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติหลังพวงมาลัย และเมื่อถึงเวลาที่ต้องผ่อนคลาย มันก็ยังคงความนุ่มนวล DBX707 ให้ความรู้สึกที่แท้จริง แตกต่างจากคู่แข่งหลายรายที่ให้ความรู้สึกเหมือนรถบรรทุกที่นำฮาร์ดแวร์สมรรถนะมาติดตั้งอย่างไม่ลงตัว เพราะ DBX707 คือผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของ DBX707 ทำงานร่วมกับแชสซีที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ทำให้มันสามารถจัดการกับพละกำลังมหาศาลและการกระจายน้ำหนักได้อย่างยอดเยี่ยม ช่วยให้การยึดเกาะถนนสูงสุดและมอบความมั่นคงในการขับขี่ที่เหนือชั้น ไม่ว่าจะอยู่บนถนนที่ราบเรียบหรือเส้นทางที่ท้าทาย

Lamborghini Revuelto: ซูเปอร์คาร์ไฮบริด V12 ที่พลิกโฉมวงการ

หนึ่งในรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อที่ล้ำสมัยที่สุดในตลาดปัจจุบันคือ Lamborghini Revuelto ซึ่งมีความโดดเด่นในการรวมพลังงานไฟฟ้าเข้ากับล้อหน้า และพลังงานจากการเผาไหม้ภายในเข้ากับล้อหลัง โดยทั้งสองระบบเชื่อมต่อกันด้วยสมองอิเล็กทรอนิกส์อันชาญฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ รถคันนี้บังเอิญเป็นรุ่นล่าสุดในสายเลือดเรือธงเครื่องยนต์ V12 ของ Lamborghini ซึ่งย้อนกลับไปถึง Miura ดังนั้น Lamborghini Revuelto จึงท้าทายธรรมเนียมด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมาก และจากที่เราได้เห็น มันถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างประณีต เมื่อเทียบกับบรรพบุรุษที่อาจจะดูดิบและทื่อกว่า

สิ่งที่สำคัญเกือบเท่ากับวิธีที่มันขับเคลื่อนคือรูปลักษณ์ที่ดูแปลกตา แต่ดีไซน์ที่ชวนตะลึงนั้นไม่ได้ทำให้ตัวเลขสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่ดูด้อยลง ด้วยกำลัง 1001 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่สามารถเร่งรอบได้ถึง 9500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ทำให้มันสามารถพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. ทว่าแม้จะมีน้ำหนัก 1772 กก. (น้ำหนักแห้ง) แต่มันก็มีความคล่องตัวอย่างน่าทึ่ง ระบบไฟฟ้าและกลไกทำงานประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังช่วยเพิ่มความคล่องตัว ระบบกระจายแรงบิดที่เพลาล้อได้รับการปรับเทียบมาอย่างดี และอินเทอร์เฟซผู้ขับขี่ได้รับการออกแบบมาอย่างประณีต นี่คือรถที่มีพละกำลังและภาพลักษณ์บนท้องถนนที่เหนือกว่า Bugatti Veyron แต่เต้นรำได้อย่าง Audi R8 รุ่นแรก ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีไฮบริดได้เปลี่ยนแปลงเรือธงของ Lamborghini จากคุณสมบัติที่เคยควบคุมยากและน่าเกรงขามของ Aventador ให้กลายเป็นความคล่องตัวและการใช้งานที่ง่ายดายอย่างไม่เคยมีมาก่อน เมื่อรวมกับสมรรถนะที่ระเบิดพลังและเสียงเครื่องยนต์ที่ไพเราะ ทำให้ยากที่จะไม่ประกาศให้ Revuelto เป็นสุดยอดซูเปอร์คาร์ยุคใหม่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

Mercedes-AMG A45 S: แฮทช์แบ็กพลังสูงที่พัฒนาจากความเฉื่อยชาสู่ความเร้าใจ

Mercedes-AMG A45 เริ่มต้นชีวิตโดยไม่มีการกล่าวถึงมากนัก โดยเป็นเพียงรถที่เน้นความเร็วจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นรถแฮทช์แบ็กพลังสูงที่น่าตื่นเต้น Mercedes-AMG ได้รับข้อวิจารณ์เหล่านี้ไปปรับปรุง พัฒนารถรุ่นแรกและปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมาก ก่อนที่จะเปิดตัวรถรุ่นที่สอง (และปัจจุบัน) ที่ยอดเยี่ยม มันผสานความรู้สึกหรูหราและการควบคุมที่ได้รับการพัฒนาอย่างดีเยี่ยมเข้ากับสมรรถนะที่มหาศาล พร้อมด้วยความสามารถในการปรับแต่งแชสซีอย่างแท้จริง ความสนุกสนาน และความเต็มใจที่จะขับขี่ นี่คือรถที่ดูเหมือนจะสนุกกับการถูกขับด้วยความเร็ว ไม่ใช่แค่ความเร็วสูงสุดเพียงอย่างเดียว

สิ่งนี้เป็นที่น่าประทับใจเมื่อพิจารณาจากคลังเทคโนโลยีอันกว้างขวางของ A45 ระบบกันสะเทือนแบบปรับได้ AMG Ride Control, การปรับแต่งการขับขี่แบบ Dynamic Select, ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic+ และเกียร์ Speedshift 8 สปีด ทั้งหมดนี้อาจทำให้รถรู้สึกโดดเดี่ยวจากผู้ขับขี่ได้ง่ายๆ แต่การปรับเทียบและปรับแต่งที่ยอดเยี่ยมได้สร้างความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและความกลมกลืน เครื่องยนต์ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมในความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์สันดาปภายในของ AMG ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ที่สามารถสร้างกำลังได้ 415 แรงม้า อย่างน่าเชื่อถือ ระบบ 4Matic+ ของ A45 S เป็นมากกว่าแค่การส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ มันคือระบบที่ได้รับการปรับแต่งมาอย่างละเอียดเพื่อให้ความรู้สึกที่ “มีส่วนร่วม” กับผู้ขับขี่อย่างแท้จริง ด้วยความสามารถในการกระจายแรงบิดแบบ Torque Vectoring ที่แม่นยำ ทำให้ A45 S สามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็วและควบคุมอาการโอเวอร์สเตียร์เล็กน้อยเพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ มันคือรถที่พิสูจน์ให้เห็นว่าแฮทช์แบ็กขนาดเล็กก็สามารถมอบสมรรถนะและประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นได้ไม่แพ้รถสปอร์ตขนาดใหญ่

อนาคตของยานยนต์สมรรถนะสูงกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

จากบทความที่เราได้สำรวจมา จะเห็นได้ชัดว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ 4×4 ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ และกลายเป็นแกนหลักที่ผลักดันขีดความสามารถของรถยนต์สมรรถนะสูงในยุค 2025 ให้ก้าวไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับพละกำลังมหาศาลของซูเปอร์คาร์ไฮบริด การมอบความคล่องตัวที่น่าทึ่งให้กับ SUV ขนาดใหญ่ หรือการเพิ่มความเร้าใจและแม่นยำให้กับแฮทช์แบ็กพลังสูง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ชาญฉลาดและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ได้เปิดประตูสู่ประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า ทั้งในด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความสนุกสนาน

รถยนต์ที่เราได้นำเสนอไปในวันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสุดยอดนวัตกรรมที่ตลาดได้นำเสนอ แต่ละคันล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อที่โดดเด่น ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าอนาคตของยานยนต์สมรรถนะสูงจะยังคงน่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้ง ระบบไฮบริดและการกระจายแรงบิดแบบอิเล็กทรอนิกส์กำลังกำหนดทิศทางใหม่ ทำให้รถยนต์ในปัจจุบันสามารถผสานความแรง ความประหยัด และความสามารถในการควบคุมได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้เห็นภาพรวมของสุดยอดยานยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อสมรรถนะสูงแห่งปี 2025 และเข้าใจถึงความสำคัญของเทคโนโลยีนี้ หากคุณหลงใหลในความเร็ว ความแม่นยำ และประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือระดับ รถยนต์เหล่านี้คือตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม

อย่ารอช้าที่จะสัมผัสประสบการณ์ขับขี่อันน่าตื่นเต้นด้วยตัวคุณเอง! เราขอเชิญชวนให้คุณติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการเพื่อทดลองขับรถยนต์ในฝันของคุณ หรือแบ่งปันความคิดเห็นและรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อสมรรถนะสูงที่คุณชื่นชอบในช่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างนี้ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางในโลกยานยนต์ที่ก้าวล้ำไปด้วยกัน!

Previous Post

N1712160 อย าแต งนะ part 2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N1712162 แม วแบบน งจะอย ไหม part 2
  • N1712160 อย าแต งนะ part 2
  • N1912006 ไม ยอมให ใครหน าไหนมาร งแก #ตอนแรก part 2
  • N1912001 สาม ดไม องทำการร อให นซาก part 2
  • N1912003 หน าตาด ทำไม ไม หาผ ชายเปย part 2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • July 2025
  • June 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.