• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N1912003 หน าตาด ทำไม ไม หาผ ชายเปย part 2

admin79 by admin79
December 19, 2025
in Uncategorized
0
N1912003 หน าตาด ทำไม ไม หาผ ชายเปย part 2

ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇

สุดยอดรถสปอร์ตปี 2025 – พร้อมเปิดเผยรุ่นที่ควรพิจารณาเป็นพิเศษ

ในโลกที่ความเร็วและความเร้าใจคือหัวใจสำคัญของการขับขี่ ไม่มีอะไรจะเทียบได้กับการได้สัมผัสพลังงานอันเหลือล้นของรถสปอร์ตขนานแท้ และสำหรับปี 2025 นี้ ตลาดรถสปอร์ตได้ก้าวเข้าสู่มิติใหม่ของการผสมผสานระหว่างสมรรถนะอันดุดัน เทคโนโลยีล้ำสมัย และความสามารถในการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ที่คร่ำหวอดในวงการมานานกว่าทศวรรษ ผมเข้าใจดีว่าการเลือกรถสปอร์ตสักคันไม่ใช่แค่การมองหา “รถเร็ว” เท่านั้น แต่เป็นการลงทุนในประสบการณ์การขับขี่ที่จะตราตรึงอยู่ในใจคุณไม่ว่าจะเจอสภาพอากาศแบบไหนก็ตาม

หลายคนอาจมองว่ารถสปอร์ตคือความฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น แต่สำหรับผมแล้ว มันคือผลงานทางวิศวกรรมที่หลอมรวมความหลงใหลเข้ากับความแม่นยำ ทุกรายละเอียดถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อมอบความสุขสูงสุดหลังพวงมาลัย ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งที่กระชากวิญญาณ การควบคุมที่เฉียบคมราวกับดาบซามูไร หรือแม้แต่ความสะดวกสบายที่เกินคาดสำหรับยานพาหนะประเภทนี้ บทความนี้คือผลสรุปจากการทดสอบอย่างเข้มข้นนับร้อยชั่วโมง ทั้งบนท้องถนนสาธารณะและการประลองความเร็วในสนามทดสอบส่วนตัว เพื่อคัดเลือกรถสปอร์ตที่ดีที่สุด 10 อันดับแรกประจำปี 2025 ที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้ พร้อมกับเปิดเผยรุ่นที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบที่สุดในยุคสมัยนี้

เราไม่ได้มองหารถสปอร์ตที่เร็วที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้รถเหล่านี้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพภายในห้องโดยสารที่ประณีต ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน และพื้นที่เก็บสัมภาระที่เพียงพอสำหรับการเดินทางในแต่ละวัน นี่คือรถสปอร์ตที่ไม่ได้มีดีแค่ความเร็ว แต่ยังมอบความสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างความเร้าใจและการใช้งานจริง เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่เหนือระดับอย่างแท้จริง

เตรียมตัวให้พร้อมที่จะดำดิ่งสู่โลกแห่งยานยนต์สมรรถนะสูง ที่จะทำให้หัวใจคุณเต้นระรัว และค้นพบว่ารถสปอร์ตคันไหนที่จะกลายเป็นเพื่อนคู่ใจบนทุกเส้นทางของคุณในปี 2025 นี้

Porsche 718 Cayman (ปอร์เช่ 718 เคย์แมน)

จุดเด่น:

การควบคุมที่ยอดเยี่ยมและตอบสนองได้ทันที

เครื่องยนต์ Flat-Six ขนาด 4.0 ลิตรในรุ่น GTS ที่เปี่ยมด้วยพลังเสียงอันทรงเสน่ห์

ตำแหน่งการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ

คุณภาพงานประกอบระดับพรีเมียมและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ Porsche

ข้อควรพิจารณา:

อุปกรณ์มาตรฐานค่อนข้างจำกัด

ชุดความปลอดภัยเชิงรุกมีให้เลือกน้อย

เสียงเครื่องยนต์ 4 สูบอาจไม่เร้าใจเท่าที่ควร

สำหรับผู้เชี่ยวชาญอย่างผม แทบไม่มีรถรุ่นไหนที่จะทำให้เราประกาศได้อย่างเต็มปากว่า “เครื่องยนต์คือหัวใจสำคัญ” เท่ากับ Porsche 718 Cayman อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น GTS ที่มาพร้อมขุมพลัง Flat-Six ขนาด 4.0 ลิตร ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล มันไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข 395 แรงม้า หรืออัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.5 วินาทีเท่านั้น แต่เป็นความรู้สึกของการส่งกำลังที่ต่อเนื่อง แรงดึงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ที่จะทำให้คุณหลงใหลทุกครั้งที่ลากรอบไปจนถึง 7800 รอบ/นาที พร้อมกับการเปลี่ยนเกียร์ด้วยระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีดอันคลาสสิกที่มอบประสบการณ์การเชื่อมโยงกับตัวรถได้อย่างลึกซึ้ง

ประสบการณ์การขับขี่ในรุ่น GTS นั้นเหนือชั้นกว่าคู่แข่งหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Alpine A110 หรือ BMW M2 ด้วยการเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมและการทรงตัวที่ราบเรียบแม้ในทางโค้งที่รุนแรง ทำให้คุณมั่นใจในทุกการเข้าโค้ง นอกจากนี้ Cayman ยังแสดงให้เห็นถึงความอเนกประสงค์ในการขับขี่ในชีวิตประจำวันได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยช่วงล่างที่รองรับแรงกระแทกได้ดี และห้องโดยสารที่หรูหราพร้อมเบาะ Alcantara และหนังคุณภาพสูง ทำให้การขับขี่ในเมืองเป็นไปอย่างผ่อนคลาย เรียกได้ว่าเป็นรถสปอร์ตที่พร้อมจะมอบความสนุกสุดเหวี่ยงในทุกจังหวะ และยังคงความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในวันธรรมดา นี่คือเหตุผลที่ Porsche 718 Cayman GTS ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับรถสปอร์ตที่สมบูรณ์แบบในปี 2025

CPC Keywords: Porsche Cayman GTS ราคา, รถสปอร์ต Porsche, รีวิว 718 Cayman, เครื่องยนต์ Flat-Six, รถสปอร์ตสมรรถนะสูง

Porsche 718 Boxster (ปอร์เช่ 718 บ็อกสเตอร์)

จุดเด่น:

การควบคุมที่ยอดเยี่ยมและการเกาะถนนที่ดีเยี่ยม

เสียงเครื่องยนต์ Flat-Six ในรุ่น GTS ที่ไพเราะน่าหลงใหล

ห้องโดยสารที่ประณีตและงานประกอบคุณภาพสูง

ประสบการณ์การขับขี่แบบเปิดประทุนที่เหนือระดับ

ข้อควรพิจารณา:

เสียงเครื่องยนต์ 4 สูบอาจจะยังไม่เร้าใจเท่าที่ควร

จำเป็นต้องเพิ่มออปชั่นเพื่อความสมบูรณ์แบบ

ชุดความปลอดภัยเชิงรุกยังจำกัด

แม้ว่า 718 Cayman จะให้ความรู้สึกที่เฉียบคมกว่าเล็กน้อย แต่ 718 Boxster ก็ยังคงเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนที่มอบความเร้าใจได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะรุ่น GTS ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Flat-Six ขนาด 4.0 ลิตร 395 แรงม้า ชุดเดียวกันกับ Cayman ซึ่งให้เสียงที่ไพเราะและสมรรถนะที่เหลือล้น การขับขี่แบบเปิดประทุนช่วยเพิ่มอรรถรสในการสัมผัสกับเสียงคำรามของเครื่องยนต์และสายลมที่ปะทะหน้า สร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและน่าจดจำ

แม้ว่าคุณจะเลือกเริ่มต้นที่รุ่น 2.0 ลิตรมาตรฐาน Boxster ก็ยังคงเป็นหนึ่งในรถสปอร์ตที่ขับสนุกที่สุด ด้วยการควบคุมที่เป็นเลิศและช่วงล่างที่นุ่มนวลอย่างน่าประหลาดใจสำหรับรถสปอร์ต ทำให้มันเป็นรถที่สามารถใช้งานได้ดีทั้งในการขับขี่แบบสปอร์ตและการเดินทางระยะไกล นอกจากนี้ หลังคาผ้าใบยังสามารถเปิดหรือปิดได้ภายในเวลาเพียง 9 วินาที และพื้นที่เก็บสัมภาระทั้งด้านหน้าและด้านหลังก็เพียงพอสำหรับการเดินทางช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ด้วยความสมดุลที่ลงตัวระหว่างความเร้าใจและความสง่างาม Porsche 718 Boxster GTS จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการรถสปอร์ตเปิดประทุนที่ไม่มีใครเทียบได้ในปี 2025

CPC Keywords: Porsche Boxster GTS ราคา, รถเปิดประทุน, รีวิว 718 Boxster, รถสปอร์ตหรู, ซื้อ Porsche

Alpine A110 (อัลไพน์ A110)

จุดเด่น:

การควบคุมที่น่าหลงใหลและมอบความบันเทิงสูงสุด

ช่วงล่างที่ให้ความสบายเกินคาดสำหรับรถสปอร์ต

สมรรถนะที่รวดเร็วพร้อมอัตราสิ้นเปลืองที่น่าประทับใจ

น้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ทำให้การขับขี่คล่องตัว

ข้อควรพิจารณา:

พื้นที่เก็บสัมภาระค่อนข้างน้อย

ระบบ Infotainment ยังไม่ทันสมัยเท่าคู่แข่ง

คุณภาพภายในห้องโดยสารอาจไม่หรูหราเท่ารถราคาใกล้เคียง

หลักการสำคัญข้อหนึ่งในการสร้างรถสปอร์ตที่ดีที่สุดคือการลดน้ำหนัก และ Alpine A110 ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปรัชญานี้ ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 1,100 กก. ซึ่งเทียบเท่ากับรถคอมแพคอย่าง Ford Fiesta ทำให้เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.8 ลิตร 249 แรงม้าของ A110 สามารถพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.5 วินาที อย่างง่ายดาย แม้จะมีรุ่นที่แรงกว่า แต่รุ่นเริ่มต้นก็เพียงพอที่จะมอบความสุขในการขับขี่อย่างเต็มเปี่ยม

น้ำหนักที่เบายังส่งผลโดยตรงต่อการควบคุม ตัวรถให้ความรู้สึกสมดุล คล่องตัว และพวงมาลัยที่แม่นยำทำให้การเข้าโค้งเป็นไปอย่างเฉียบคม แม้ A110 จะไม่ให้ความรู้สึกหรูหราเท่า 718 Cayman และมีพื้นที่ใช้สอยน้อยกว่า แต่ด้วยความหายากและความเป็นเอกลักษณ์ ทำให้มูลค่าการขายต่อของมันแข็งแกร่งกว่า Porsche เสียอีก ถึงแม้จะมีข้อเสียเล็กน้อยในเรื่องระบบควบคุมภายในบางจุด แต่ประสบการณ์การขับขี่ที่ A110 มอบให้นั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากในรถสปอร์ตยุคใหม่ ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่มองหารถสปอร์ตที่เน้นความบริสุทธิ์ในการขับขี่ในปี 2025

CPC Keywords: Alpine A110 ราคาไทย, รถสปอร์ตน้ำหนักเบา, รีวิว Alpine A110, รถสปอร์ตยุโรป, ซื้อรถสปอร์ตมือสอง

Aston Martin Vanquish (แอสตัน มาร์ติน แวนควิช)

จุดเด่น:

เครื่องยนต์ V12 อันเป็นเอกลักษณ์ ให้เสียงคำรามที่น่าหลงใหล

การเดินทางที่สะดวกสบาย เหมาะสำหรับการขับขี่ระยะไกล

คุณภาพภายในห้องโดยสารที่ประณีตและหรูหรา

สมรรถนะที่น่าทึ่งและความเร็วสูงสุดที่สูงกว่า 320 กม./ชม.

ข้อควรพิจารณา:

ราคาค่อนข้างสูง

ไม่มีเบาะหลัง ทำให้จำกัดจำนวนผู้โดยสาร

ขาดเทคโนโลยีไฮบริดช่วยประหยัดเชื้อเพลิง

ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ Aston Martin Vanquish กลับเลือกเดินในเส้นทางที่แตกต่าง ด้วยการคงไว้ซึ่งหัวใจหลักคือเครื่องยนต์ V12 แบบไร้เทคโนโลยีไฮบริดที่ซับซ้อนใดๆ ผลลัพธ์คือเสียงเครื่องยนต์ที่ดิบและบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากรถยนต์ยุคใหม่หลายรุ่น คุณจะพบว่าตัวเองอยากลดเกียร์เพื่อเหยียบคันเร่งลงไปให้สุด เพื่อดื่มด่ำกับเสียงคำรามอันทรงพลังที่ทะลุเข้ามาในห้องโดยสาร Vanquish มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.5 วินาที และความเร็วสูงสุดกว่า 320 กม./ชม. ทำให้มันเป็น Grand Tourer ที่เร็วและสง่างาม

ภายในห้องโดยสาร คุณจะถูกโอบล้อมด้วยวัสดุคุณภาพสูงและการออกแบบที่ประณีตสมกับราคาค่าตัว เบาะนั่งด้านหน้าให้ความสบายอย่างเหนือชั้น แม้ระบบ Infotainment ใน Aston Martin รุ่นก่อนหน้าอาจจะดูเก่าไปบ้าง แต่ใน Vanquish นั้นได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย ตอบสนองได้รวดเร็ว และมีกราฟิกที่สวยงาม ถึงแม้จะไม่มีเบาะหลังและอาจไม่เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ แต่ Aston Martin Vanquish ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการรถสปอร์ตที่หรูหรา สมรรถนะสูง และมีจิตวิญญาณแห่งความคลาสสิกในปี 2025

CPC Keywords: Aston Martin Vanquish ราคา, รถสปอร์ต V12, Grand Tourer หรู, รีวิว Aston Martin, ซื้อรถซูเปอร์คาร์

Ferrari 296 GTB (เฟอร์รารี่ 296 จีทีบี)

จุดเด่น:

สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้นในทุกช่วงความเร็วและรอบเครื่อง

การควบคุมที่ละเอียดอ่อน ทำให้คุณเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ

สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ ช่วยลดมลพิษในเมือง

เทคโนโลยี F1 Hybrid ที่ล้ำสมัย

ข้อควรพิจารณา:

เทคโนโลยีสุดล้ำทำให้ราคาสูงมาก

การควบคุมระบบ Infotainment อาจใช้งานยากและรบกวนสมาธิ

ตัวเลือกออปชั่นอาจมีราคาสูงมากจนน่าตกใจ

Ferrari 296 GTB ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญสำหรับแบรนด์ม้าลำพอง ด้วยการนำเทคโนโลยีไฮบริดจากสนามแข่ง F1 มาใช้ในรถซูเปอร์คาร์รุ่นหลัก นี่คือวิศวกรรมที่น่าทึ่ง ถึงแม้ว่า “รถรุ่นหลัก” จะมาพร้อมป้ายราคาที่สูงลิ่ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้มันไม่สามารถขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของเราได้ แต่ถ้ากระเป๋าเงินของคุณลึกพอ คุณจะได้ครอบครองผลงานชิ้นเอกที่ไม่มีใครเทียบได้

สิ่งที่ทำให้ 296 GTB แตกต่างจาก Lamborghini Huracán ที่ให้ความรู้สึกแบบ Old-School คือความสามารถในการวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกลถึง 25 กม. ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถขับออกจากบ้านได้โดยไม่รบกวนเพื่อนบ้าน แต่เมื่อคุณเหยียบคันเร่งสุด แรงบิดมหาศาลจากเครื่องยนต์ V6 และมอเตอร์ไฟฟ้าจะผสานรวมกันเพื่อส่งให้รถพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือแม้จะมีสมรรถนะระดับนี้ แต่ 296 GTB กลับขับขี่ง่ายอย่างเหลือเชื่อและสามารถดึงประสิทธิภาพสูงสุดออกมาใช้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ด้วยความลงตัวของพลังงานไฮบริดและสมรรถนะที่เร้าใจ Ferrari 296 GTB คือซูเปอร์คาร์แห่งอนาคตที่เปิดประตูสู่มิติใหม่ของการขับขี่ในปี 2025

CPC Keywords: Ferrari 296 GTB ราคา, ซูเปอร์คาร์ไฮบริด, รีวิว Ferrari, เทคโนโลยี F1, รถสปอร์ตประหยัดน้ำมัน

Porsche 911 (ปอร์เช่ 911)

จุดเด่น:

สมรรถนะที่รวดเร็วและน่าประทับใจ

การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมในทุกสภาพถนน

มีความอเนกประสงค์สูงสำหรับรถสปอร์ต

ตัวเลือกเครื่องยนต์และรุ่นย่อยที่หลากหลาย

ข้อควรพิจารณา:

718 Cayman มีราคาถูกกว่าและอาจขับสนุกกว่าในบางมิติ

ออปชั่นเสริมมีราคาสูง

มีเสียงรบกวนจากถนนค่อนข้างมากในบางรุ่น

Porsche 911 รุ่นล่าสุดยังคงรักษาชื่อเสียงอันยาวนานของตระกูลไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยม การควบคุมที่เหนือชั้น และภายในห้องโดยสารที่ประณีต รุ่นเริ่มต้นอย่าง Carrera มาพร้อมเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร 380 แรงม้า ซึ่งให้สมรรถนะที่เพียงพอและคุ้มค่าที่สุด แต่หากคุณต้องการพลังที่มากขึ้น ก็ยังมีรุ่นย่อยอีกมากมายให้เลือกสรร ตั้งแต่ Carrera S ไปจนถึง Turbo S ที่มีกำลังถึง 641 แรงม้า ทุกรุ่นมาพร้อมระบบช่วงล่างแบบปรับได้ ทำให้คุณสามารถปรับแต่งการขับขี่ให้เข้ากับสภาพถนนได้อย่างอิสระ

หนึ่งในจุดแข็งของ 911 คือความอเนกประสงค์ที่ไม่เหมือนใคร รถส่วนใหญ่รองรับผู้โดยสารได้สี่คน ถึงแม้ว่าเบาะหลังอาจจะไม่สบายนักสำหรับผู้ใหญ่ตัวสูง แต่ก็ยังใช้งานได้ดีสำหรับเด็กหรือการเดินทางระยะสั้น การลงทุนในออปชั่นเสริมอย่างกล้องมองหลัง ระบบพับกระจกข้างไฟฟ้า และเบาะสปอร์ตแบบปรับได้ จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประสบการณ์การขับขี่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถรอบด้านและสมรรถนะที่โดดเด่น Porsche 911 จึงยังคงเป็นตำนานที่น่าครอบครองในปี 2025

CPC Keywords: Porsche 911 ราคา, รถสปอร์ต 4 ที่นั่ง, รีวิว Porsche 911, ซื้อ 911 Carrera, รถสปอร์ตไอคอน

Lamborghini Huracán (ลัมโบร์กินี อูรากัน)

จุดเด่น:

รูปลักษณ์ที่โดดเด่นและสร้างความตื่นตาตื่นใจ

เครื่องยนต์ V10 ที่ดุดันและทรงพลัง

ขับขี่ง่ายกว่าที่คิดสำหรับซูเปอร์คาร์

เสียงเครื่องยนต์ V10 ที่เป็นเอกลักษณ์

ข้อควรพิจารณา:

การควบคุมอาจไม่เฉียบคมเท่าคู่แข่งบางรุ่น

ราคาสูงเมื่อเทียบกับ Audi R8 ที่ใช้แพลตฟอร์มเดียวกัน

รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังอาจให้ความรู้สึกที่ท้ายไวเมื่อขับถึงขีดจำกัด

สำหรับผู้ที่ต้องการรถสปอร์ตที่ดึงดูดทุกสายตา Lamborghini Huracán คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม นับตั้งแต่เปิดตัว รถคันนี้ก็สร้างความประทับใจด้วยรูปลักษณ์ที่น่าตื่นเต้นและเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ V10 ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Lamborghini ได้ปรับปรุงการควบคุมของ Huracán อย่างต่อเนื่อง ทำให้มันสามารถแข่งขันกับรถสปอร์ตที่ดีที่สุดในตลาดได้ในปัจจุบัน เครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร ได้รับการอัพเกรดให้มีกำลังสูงถึง 631 แรงม้า มอบสมรรถนะที่เหนือชั้น

Huracán มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่ารุ่นขับเคลื่อนล้อหลังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจและให้การตอบสนองที่ดีกว่า ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบที่ดีขึ้นกว่า Lamborghini รุ่นเก่าๆ และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ยังคงยึดมั่นในความ “ดิบ” ของซูเปอร์คาร์ บางคนอาจจะพบว่ามันขาดความสะดวกสบายเล็กน้อย เช่น การไม่มีที่วางแก้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครและสมรรถนะอันดุดัน Lamborghini Huracán ยังคงเป็นซูเปอร์คาร์ที่ควรมีไว้ครอบครองในปี 2025

CPC Keywords: Lamborghini Huracán ราคา, ซูเปอร์คาร์ V10, รีวิว Lamborghini, รถสปอร์ตอิตาลี, ซื้อ Huracán

Maserati MC20 (มาเซราติ MC20)

จุดเด่น:

การควบคุมที่ละเอียดอ่อนและสนุกสนาน

การส่งกำลังที่ดุดันและฉับไว

การควบคุมตัวถังที่ยอดเยี่ยม

การออกแบบภายในที่เรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริง

ข้อควรพิจารณา:

เสียงเครื่องยนต์อาจไม่เร้าใจเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง V8/V10

การเสื่อมราคาเป็นสิ่งที่ต้องกังวล

ภายในห้องโดยสารอาจขาดความหรูหราอลังการ

ในขณะที่ซูเปอร์คาร์จำนวนมากหันมาใช้เทคโนโลยีไฮบริด Maserati MC20 กลับเลือกแนวทางที่ดั้งเดิมกว่า True ที่ว่าเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตรของมันอาจจะไม่ได้ให้เสียงที่น่าทึ่งเท่าบางรุ่น แต่การส่งกำลังของมันนั้นดุดันและรุนแรงอย่างเหลือเชื่อ นอกจากนี้ การควบคุมของ MC20 ยังเข้ากับสภาพถนนในบ้านเราได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยพวงมาลัยที่แม่นยำและช่วงล่างแบบปรับได้ที่สามารถรับมือกับพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบได้อย่างยอดเยี่ยม

ภายในห้องโดยสารอาจจะไม่หวือหวาเท่า Ferrari 296 หรือ McLaren Artura แต่ความเรียบง่ายของมันกลับเป็นสิ่งที่สดชื่น คุณสามารถหาตำแหน่งการขับขี่ที่ดีได้อย่างง่ายดาย และทัศนวิสัยด้านหน้าก็ดีเยี่ยม MC20 เป็นรถสองที่นั่ง แต่มีพื้นที่เก็บสัมภาระที่พอใช้ได้ เมื่อรวมกับการขับขี่ที่นุ่มนวลอย่างน่าประหลาดใจ ทำให้มันเป็นรถที่สามารถใช้เดินทางไกลได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยความสมดุลระหว่างความสนุกสนานในการขับขี่และสไตล์ที่หรูหรา Maserati MC20 จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหาซูเปอร์คาร์ที่มีเอกลักษณ์ในปี 2025

CPC Keywords: Maserati MC20 ราคา, ซูเปอร์คาร์ Maserati, รีวิว MC20, รถสปอร์ต V6, ซื้อ Maserati

Mazda MX-5 (มาสด้า MX-5)

จุดเด่น:

ความสมดุลที่ดีเยี่ยมระหว่างการขับขี่และการควบคุม

สมรรถนะที่เหมาะสมกับการใช้งานบนถนนทั่วไป

ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำ

ความสนุกสนานในการขับขี่ที่หาใครเทียบยากในราคาเดียวกัน

ข้อควรพิจารณา:

พื้นที่ศีรษะอาจจำกัดสำหรับผู้ขับขี่ตัวสูง

พื้นที่เก็บของมีจำกัด

ตำแหน่งการขับขี่จะดีขึ้นหากสามารถปรับได้มากกว่านี้

หากคุณกำลังมองหาความสนุกสูงสุดด้วยงบประมาณที่น้อยที่สุด Mazda MX-5 คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม แม้แต่รุ่นท็อปก็ยังมีราคาที่ต่ำกว่ารถคันอื่นๆ ในรายการนี้อย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่า MX-5 จะเป็นรถที่ช้าที่สุดในรายการ และอาจจะถูก Hot Hatch บางรุ่นแซงได้ง่ายๆ แต่สิ่งที่มันมอบให้คือความง่ายในการขับขี่และความสนุกที่หาใดเทียบได้ มันเป็นรถที่ทำให้คุณอยากขับไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมาย

เรายกให้รุ่น 1.5 ลิตร Prime-Line เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกรุ่นเครื่องยนต์ไหน รถคันนี้ก็ให้ความรู้สึกอิสระ คล่องตัว และแม่นยำอย่างเหลือเชื่อ แม้ในรุ่น 2.0 ลิตรที่มีช่วงล่างแข็งขึ้น ก็ยังคงให้ความนุ่มนวลที่เพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน สิ่งเดียวที่ต้องจำคือ MX-5 ไม่ใช่รถคันใหญ่ ซึ่งมีข้อดีในเรื่องความคล่องตัว แต่ก็หมายความว่าผู้ที่มีรูปร่างสูงอาจจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยความสนุกสนานในการขับขี่แบบดิบๆ และค่าใช้จ่ายที่เป็นมิตร Mazda MX-5 จึงเป็นรถสปอร์ตคันเล็กที่มีหัวใจใหญ่ และยังคงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับปี 2025

CPC Keywords: Mazda MX-5 ราคา, รถสปอร์ตราคาประหยัด, รีวิว MX-5, รถสปอร์ตเปิดประทุน, ซื้อรถสปอร์ตญี่ปุ่น

Mercedes-AMG SL (เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี SL)

จุดเด่น:

เครื่องยนต์ที่ทรงพลังและให้สมรรถนะสูง

มีความอเนกประสงค์สูงสำหรับรถเปิดประทุน

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่ในทุกสภาพอากาศในรุ่น V8

การออกแบบที่หรูหราและทันสมัย

ข้อควรพิจารณา:

คุณภาพงานประกอบภายในบางจุดอาจยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควร

เบาะหลังเหมาะสำหรับเด็กเล็กหรือสัมภาระเท่านั้น

ระบบ Infotainment อาจใช้งานยากเล็กน้อย

Mercedes-AMG SL เป็นรถยนต์ที่ได้รับการยกย่องมานานว่าเป็นตัวกลางที่สมบูรณ์แบบระหว่างรถสปอร์ตเปิดประทุนและความสะดวกสบายสำหรับการเดินทางไกล และในรุ่นล่าสุดนี้ได้เพิ่มความสำคัญไปที่ “ความสุขในการขับขี่” มากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันไม่สบาย ตรงกันข้าม แต่มันมอบการตอบสนองที่เหนือกว่าเมื่อคุณพาไปโลดแล่นบนถนนที่คดเคี้ยว

แม้แต่รุ่นเริ่มต้นก็ยังมอบสมรรถนะที่เหลือเฟือ แต่หากคุณต้องการประสบการณ์ที่พิเศษยิ่งขึ้น ผมแนะนำให้พิจารณารุ่น SL 55 4Matic+ Premium Plus ที่จะมอบความเร้าใจในอีกระดับ ภายในห้องโดยสารของ SL ได้รับการออกแบบมาอย่างดีเยี่ยม แต่เราหวังว่าคุณภาพของวัสดุบางจุดจะดีกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากราคาค่าตัว มันเป็นรถเปิดประทุนที่มีความอเนกประสงค์พอสมควร แม้ว่าเบาะหลังจะเหมาะสำหรับเด็กเล็กหรือกระเป๋าเดินทางเท่านั้น ด้วยความลงตัวของความหรูหรา สมรรถนะ และความอเนกประสงค์ Mercedes-AMG SL จึงเป็นรถเปิดประทุนที่คู่ควรในปี 2025

CPC Keywords: Mercedes-AMG SL ราคา, รถเปิดประทุนหรู, รีวิว Mercedes SL, รถสปอร์ตเยอรมัน, ซื้อ AMG SL

รถสปอร์ตที่ควรพิจารณาเป็นพิเศษในปี 2025: McLaren 720S (แมคลาเรน 720S)

ในขณะที่รถสปอร์ตหลายรุ่นในรายการของเราต่างพัฒนาไปสู่เทคโนโลยีไฮบริด ความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น หรือการออกแบบที่เน้นความทันสมัย McLaren 720S ยังคงยืนหยัดในฐานะซูเปอร์คาร์ที่มุ่งเน้นสมรรถนะดิบๆ และประสบการณ์การขับขี่ในสนามแข่งเป็นหลัก ซึ่งเมื่อเปิดตัวมันเป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ที่เร็วที่สุดและทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา อย่างไรก็ตาม ในบริบทของตลาดปี 2025 ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว 720S อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนอีกต่อไป

ทำไมถึงต้องพิจารณาเป็นพิเศษ?

สมรรถนะที่ดุดันเกินไปสำหรับถนนสาธารณะ: ด้วยพละกำลัง 710 แรงม้าจากเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ ทำให้ 720S มีสมรรถนะที่เหลือล้นมากเกินไปสำหรับการใช้งานบนถนนสาธารณะทั่วไป การดึงศักยภาพสูงสุดออกมาใช้ทำได้ยากและอาจเป็นอันตรายหากไม่ชำนาญ

ขาดความสะดวกสบายและความอเนกประสงค์: 720S ถูกออกแบบมาเพื่อสนามแข่งเป็นหลัก ทำให้ภายในห้องโดยสารค่อนข้างสปาร์ตัน ขาดความหรูหราและฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่พบในซูเปอร์คาร์ยุคใหม่ที่เน้นความสมดุลมากขึ้น การใช้งานในชีวิตประจำวันหรือการเดินทางไกลอาจไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร

เทคโนโลยีที่กำลังจะล้าสมัย: ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Ferrari 296 GTB หรือ Maserati MC20 เริ่มนำเทคโนโลยีไฮบริดและระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ทันสมัยเข้ามาใช้ McLaren 720S ซึ่งเปิดตัวมาระยะหนึ่งแล้ว เริ่มแสดงให้เห็นถึงความล้าหลังในด้านเทคโนโลยีบางอย่าง

ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา: ซูเปอร์คาร์อย่าง McLaren มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมที่สูงมาก ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับรุ่นใหม่กว่าที่ให้ความคุ้มค่าและเทคโนโลยีที่สดใหม่กว่า

มูลค่าการขายต่อในอนาคต: เมื่อมีรุ่นใหม่ๆ ที่มีเทคโนโลยีและสมรรถนะที่เหนือกว่าออกมาอย่างต่อเนื่อง มูลค่าการขายต่อของ 720S อาจจะลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ หากคุณมองหารถที่รักษามูลค่าได้ดีในระยะยาว อาจมีตัวเลือกอื่นที่น่าสนใจกว่า

ข้อสรุปสำหรับ McLaren 720S: 720S ยังคงเป็นซูเปอร์คาร์ที่น่าทึ่งและทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่าในตลาดปี 2025 ที่เน้นความสมดุลระหว่างสมรรถนะ เทคโนโลยี และความสามารถในการใช้งานในชีวิตประจำวัน ซูเปอร์คาร์ที่เน้นความดิบเถื่อนอย่าง 720S อาจไม่ใช่ตัวเลือก “ที่ดีที่สุด” สำหรับผู้ซื้อส่วนใหญ่ที่ต้องการรถสปอร์ตที่ขับสนุกและใช้งานได้จริงในยุคสมัยใหม่ หากคุณคือผู้ที่ต้องการรถเพื่อขับในสนามแข่งเป็นหลักและไม่กังวลเรื่องความสะดวกสบาย McLaren 720S ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม แต่สำหรับผู้ที่มองหารถสปอร์ตที่สามารถตอบโจทย์ได้ครบครันในปี 2025 อาจมีตัวเลือกอื่นที่น่าพิจารณามากกว่า

CPC Keywords: McLaren 720S ราคา, ซูเปอร์คาร์ McLaren, ข้อเสีย McLaren, รถสปอร์ตความเร็วสูง, ค่าบำรุงรักษา McLaren

บทสรุปและคำเชิญพิเศษ

ตลาดรถสปอร์ตในปี 2025 กำลังเฟื่องฟูด้วยตัวเลือกที่น่าตื่นเต้นและหลากหลาย ตั้งแต่รถสปอร์ตที่เน้นความบริสุทธิ์ในการขับขี่ ไปจนถึงซูเปอร์คาร์ไฮบริดที่ล้ำสมัย แต่ละรุ่นที่เราได้คัดสรรมานั้นล้วนมีเอกลักษณ์และคุณสมบัติโดดเด่นที่พร้อมจะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าจดจำให้กับคุณ

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ ผมเชื่อว่าการเลือกรถสปอร์ตสักคันไม่ใช่แค่การตัดสินใจซื้อ แต่เป็นการเริ่มต้นบทใหม่ในชีวิตของคุณที่เต็มไปด้วยความหลงใหล ความตื่นเต้น และอิสระบนท้องถนน ไม่ว่าคุณจะให้ความสำคัญกับสมรรถนะที่เร้าใจ การควบคุมที่เฉียบคม ความหรูหราที่เหนือระดับ หรือความอเนกประสงค์ในการใช้งานในชีวิตประจำวัน รายการนี้คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับการค้นหารถในฝันของคุณ

หากคุณพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกแห่งความเร้าใจนี้ ผมขอเชิญชวนให้คุณลงลึกในรายละเอียดของแต่ละรุ่นที่สนใจ และหากเป็นไปได้ ลองสัมผัสประสบการณ์การขับขี่จริง เพื่อให้คุณได้ค้นพบรถสปอร์ตที่ “ใช่” สำหรับคุณอย่างแท้จริง การตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับความสุขและประสบการณ์ที่คุณจะได้รับไปตลอดเส้นทาง

อย่ารอช้าที่จะทำความฝันของคุณให้เป็นจริง! ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ของเราวันนี้ เพื่อรับคำแนะนำพิเศษและข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับรถสปอร์ตปี 2025 ที่คุณใฝ่ฝัน เราพร้อมที่จะช่วยให้คุณเป็นเจ้าของความเร็วและความหรูหราที่คุณคู่ควร

สุดยอดรถ 4×4 ประจำปี 2025 – ดาวเด่นแห่งสมรรถนะระบบขับเคลื่อนสี่ล้อบนท้องถนน

ในโลกยานยนต์ยุคปัจจุบันที่ขีดจำกัดแห่งสมรรถนะถูกผลักดันไปไกลกว่าที่เคย ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือ 4×4 ไม่ได้เป็นเพียงแค่กลไกสำหรับลุยเส้นทางออฟโรดอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้รถยนต์สมรรถนะสูงสามารถปลดปล่อยศักยภาพอันมหาศาลลงสู่พื้นถนนได้อย่างเต็มที่ ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มานานกว่าทศวรรษอย่างผม สามารถยืนยันได้เลยว่าวิวัฒนาการของระบบขับเคลื่อนนี้ได้พลิกโฉมวงการอย่างสิ้นเชิง

ย้อนกลับไปในยุคที่ Audi สร้างปรากฏการณ์ใน World Rally Championship ด้วย Quattro ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นครั้งแรก พลังอันไร้ขีดจำกัดจากการส่งกำลังไปสู่ล้อทั้งสี่ได้ถูกพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจน และนับแต่นั้นมา แบรนด์ชั้นนำมากมายก็เดินตามรอยความสำเร็จนี้ ทั้ง Porsche ที่นำระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมาใช้กับ 911 และ 959 สุดยอดซูเปอร์คาร์ในตำนาน หรือ Nissan ที่สร้างความสั่นสะเทือนด้วย Skyline GT-R ในขณะที่ Mitsubishi, Subaru, Lancia, Toyota และ Ford ต่างก็นำเทคโนโลยีที่พิชิตสนามแรลลี่มาสู่รถยนต์สมรรถนะสูงบนท้องถนนของตนเอง สี่ทศวรรษผ่านไปนับตั้งแต่การเปิดตัวของ Quattro ตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงในปี 2025 เต็มไปด้วยยานยนต์ที่ส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ในหลากหลายรูปแบบ และรถ 4×4 ชั้นยอดเหล่านี้ยังคงเป็นมาตรฐานที่ยากจะหาผู้ใดเทียบ

บทบาทของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในฐานะตัวช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ แต่สิ่งที่เคยเป็นเพียงวิธีหนึ่งในการทำให้รถสมรรถนะสูงใช้งานได้หลากหลายขึ้นในสภาพพื้นผิวถนนที่ต่างกัน ปัจจุบันได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดเพื่อควบคุมพลังมหาศาล (และรับมือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น) ของรถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นล่าสุด ลองนึกภาพรถ Hot Hatchbacks อย่าง Audi RS3 ที่มีกำลังเกือบ 400 แรงม้า หรือ Super SUVs อย่าง Range Rover Sport SV ที่พกพากำลังมามากกว่า 600 แรงม้า ไม่ต้องพูดถึงรถในกลุ่ม Supercars ระดับสูงสุดอย่าง Lamborghini Revuelto ที่มีพละกำลังทะลุ 1000 แรงม้าไปแล้ว

ดังนั้น ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจึงสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความหลากหลายของรูปแบบที่มันสามารถปรากฏออกมาได้ในปัจจุบัน รถยนต์ไฮบริดบางรุ่นถึงขั้นไม่เชื่อมต่อเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับล้อหน้าเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่ระบบคอมพิวเตอร์อันชาญฉลาดและฮาร์ดแวร์เฟืองท้ายแบบพิเศษทำงานร่วมกันเพื่อทำให้รถสมรรถนะสูงรุ่นใหม่ล่าสุดมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นสูงกว่าที่เคยเป็นมา จากการทดสอบอย่างละเอียดในทุกรุ่นของรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูง ทั้งบนถนนและในสนามแข่ง ผมได้ข้อสรุปว่าระบบ 4×4 ไม่ได้มีไว้แค่ลุยโคลน หรือทำให้ Porsche 911 ขับง่ายขึ้นสำหรับทุกคนอีกต่อไป แต่มันคือวิถีทางที่ช่วยเพิ่มความสามารถอันน่าทึ่งของรถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่ให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น นี่คือรถรุ่นโปรดของผมที่โดดเด่นในด้านนี้

Ferrari Purosangue
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 12 ล้านบาท (อ้างอิงจากราคาต่างประเทศที่แปลงแล้ว)

ข้อดี: เครื่องยนต์อันทรงพลัง ช่วงล่างอันน่าประทับใจ เครื่องยนต์ V12 ที่เร้าใจ
ข้อเสีย: อินเทอร์เฟซผู้ใช้ซับซ้อน น้ำหนักตัวถังมาก

Ferrari Purosangue เปิดตัวท่ามกลางคำถามมากมายว่านี่คือ SUV คันแรกของ Ferrari หรือเป็นรถสปอร์ตสี่ประตูสี่ที่นั่งแบบแท้จริงคันแรกกันแน่ แต่เมื่อได้ลองขับแล้ว ทุกข้อสงสัยก็มลายหายไปทันที นี่คือรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ด้วยขุมพลังอันทรงเกียรติและระดับความสามารถด้านไดนามิกที่น่าประทับใจ

หัวใจสำคัญของ Purosangue คือเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่ให้กำลังมหาศาล 715 แรงม้า แรงบิด 528 ปอนด์-ฟุต รอบเครื่องยนต์สูงสุดถึง 8250 รอบต่อนาที แม้จะมีน้ำหนักตัวมากกว่าสองตัน แต่ก็สามารถทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.3 วินาที เสียงเครื่องยนต์นั้นไพเราะน่าทึ่ง เงียบสงบเมื่อขับด้วยความเร็วคงที่ แต่จะเปลี่ยนเป็นเสียงคำรามที่สร้างแรงบันดาลใจเมื่อคุณปลดปล่อยพลัง V12 เต็มที่ ความสามารถที่หลากหลายนี้สรุปความเป็น Purosangue ได้อย่างดีเยี่ยม มันสามารถเป็นรถ GT ที่นุ่มนวลและสง่างามสำหรับการเดินทางไกลในชั่วขณะหนึ่ง และสามารถเปลี่ยนเป็นรถสปอร์ตที่ปราดเปรียวและน่าตื่นเต้นบนถนนคดเคี้ยวในอีกชั่วขณะ

นี่คือเครื่องจักรที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง ระบบกันสะเทือน Multimatic ของมันล้ำสมัยถึงขนาดต้องมีระบบระบายความร้อนแยกต่างหาก แต่กลับให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติอย่างมากในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง Purosangue อาจไม่สมบูรณ์แบบนักด้วย UI แบบสัมผัสที่ค่อนข้างใช้งานยาก และพื้นที่เก็บสัมภาระที่อาจไม่มากเท่าที่คาดหวังจากรถประเภทนี้ แต่เมื่อคุณปลดปล่อยเครื่องยนต์ V12 แบบไร้เทอร์โบ และดื่มด่ำไปกับการควบคุมที่แม่นยำ คุณจะให้อภัยทุกสิ่ง

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “Purosangue ไม่ใช่แค่การนำเสนอสมรรถนะ แต่เป็นการยกระดับประสบการณ์การขับขี่ SUV ให้ถึงขีดสุด การควบคุมมวลอันมหาศาล การส่งกำลังที่เฉียบคม และการแหวกทะลุถนนที่ท้าทายนั้นน่าทึ่งอย่างแท้จริง ด้วยพวงมาลัยที่คมกริบ การตอบสนองที่ฉับไว และช่วงล่างที่นุ่มนวลแต่ยึดเกาะเป็นเลิศ ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง V12 จากเทพเจ้า นี่แหละคือ Ferrari ที่ไม่เหมือน Ferrari คันไหนที่ผมเคยขับมา”

ทางเลือกอื่น: ปัจจุบันแทบไม่มีคู่แข่งโดยตรงสำหรับ Ferrari Purosangue ในแง่ของ SUV เครื่องยนต์ V12 แต่อย่างไรก็ตาม Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE นำเสนอชื่อเสียงที่เทียบเคียงกันได้ พร้อมการผสมผสานระหว่างสมรรถนะและการใช้งานที่ใกล้เคียงกัน

BMW M4 CS
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 4.8 ล้านบาท

ข้อดี: ความเร็วที่ดุดัน ช่วงล่างที่สมบูรณ์แบบ
ข้อเสีย: ต้องเพิ่มตัวเลือกราคาแพงเพื่อดึงสมรรถนะสูงสุด

BMW M4 CS มีส่วนผสมที่ลงตัวสำหรับการเป็นหนึ่งในรถยนต์ในตำนาน เครื่องยนต์หกสูบเรียงเทอร์โบคู่ ให้กำลัง 542 แรงม้า แรงบิด 479 ปอนด์-ฟุต เกียร์ 8 สปีดที่เปลี่ยนได้อย่างราบรื่น และช่วงล่างระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบเน้นล้อหลังที่ยึดเกาะถนนเป็นเยี่ยม ทำให้รถคันนี้ดุดันอย่างแท้จริงบนถนนที่เหมาะสมและสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย

M4 CS เป็นการผสมผสานจุดเด่นที่ดีที่สุดของ M4 Competition และ M4 CSL โดยใช้เครื่องยนต์หกสูบเรียงที่ได้รับการอัปเกรดของ CSL และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของ Competition ซึ่งทำให้มันดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด M4 CSL ที่เป็นขับเคลื่อนล้อหลังนั้นค่อนข้างท้าทายในการควบคุมในสภาพที่ไม่สมบูรณ์แบบนัก ในขณะที่ M4 CS ก็ยังคงต้องการสภาพถนนที่เหมาะสมเช่นกัน โดยเฉพาะยาง Cup 2 R ที่ต้องใช้เวลาในการทำความร้อนเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

แต่เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง มันก็มอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจอย่างแท้จริง ด้วยด้านหน้าที่ต้านทานอาการอันเดอร์สเตียร์ได้ดีเยี่ยม และระบบ xDrive ที่ปรับแต่งโดย M ทำให้คุณสามารถดึงศักยภาพสูงสุดของรถออกมาได้ในเกือบทุกสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ M4 CS เปล่งประกายที่สุด คุณยังคงต้องเลือกสภาพถนนและสภาพอากาศที่เหมาะสม

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “แม้ว่า M4 CS จะเป็นรถที่เน้นขับเคลื่อนล้อหลังเป็นหลัก แต่เมื่อคุณเริ่มที่จะเข้าใกล้ขีดจำกัด ล้อหน้าก็จะเข้ามาช่วยดึงรถกลับมาได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย รถยนต์ M3, M4 และ M5 ในปัจจุบันได้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในยุคสมัยใหม่ว่ามันสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มการยึดเกาะ แต่ยังคงรักษาเสน่ห์ของรถสมรรถนะสูงเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม”

ทางเลือกอื่น: คู่แข่งของ BMW M4 CS ค่อนข้างจำกัด หากคุณไม่ได้ต้องการความอเนกประสงค์แบบ BMW, Porsche 911 GTS รุ่นใหม่ เป็นตัวเลือกที่เน้นการขับขี่มากกว่า แต่ก็ไม่ถึงกับฮาร์ดคอร์เท่า M4 CS

Land Rover Defender Octa
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 5.7 ล้านบาท

ข้อดี: คุณสมบัติไดนามิกที่ท้าทายรถสปอร์ต
ข้อเสีย: คุณจะสำรวจศักยภาพของมันได้อย่างเต็มที่ที่ไหน?

Land Rover เป็นแบรนด์ที่ผูกติดอยู่กับความสามารถในการลุยโคลนของตลาดขับเคลื่อนสี่ล้อมาโดยตลอด และแม้ว่าผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันจะก้าวเข้าสู่ตลาดพรีเมียมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงมีความสามารถในการลุยทางวิบากอย่างมหาศาล และนั่นก็เป็นจริงยิ่งขึ้นสำหรับ Defender Octa ซึ่งเป็น Land Rover ที่ถูกยกระดับสมรรถนะทั้งบนถนนและนอกถนนให้ถึงขีดสุด

ภายใต้ฝากระโปรงคือเครื่องยนต์ V8 ขนาด 626 แรงม้า ที่มาจาก BMW M ซึ่งสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที เมื่อใช้โหมด Launch Control ตัวรถกว้างขึ้นเพื่อรองรับปีกนกที่ยาวขึ้น และยังสูงขึ้นเพื่อเพิ่มระยะห่างจากพื้นสำหรับการขับขี่ออฟโรด เทคโนโลยีที่น่าสนใจที่สุดของมันคือระบบกันสะเทือน 6D ที่รวมเอาแดมเปอร์กึ่งแอคทีฟแบบปรับได้ต่อเนื่องซึ่งเชื่อมต่อด้วยระบบไฮดรอลิกเข้าไว้ด้วยกัน แม้จะไม่ใช่การตั้งค่าที่สื่อสารได้ดีเท่ารถสปอร์ตทั่วไป แต่ Octa ให้ความรู้สึกแน่นหนา ตอบสนองได้ดีเยี่ยม และพร้อมที่จะลุยบนถนนมากกว่ารถ SUV สมรรถนะสูงที่ดีที่สุดหลายคัน

สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือความสามารถบนถนนที่เพิ่งค้นพบนี้ยังคงมีอยู่เมื่อคุณขับออกนอกเส้นทางลาดยาง ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวแบบใด Octa ก็สามารถฝ่าฟันทุกอุปสรรคได้อย่างมั่นใจราวกับอยู่ในสนามแข่ง Dakar Special Stage แต่ตลอดการเดินทาง ผู้โดยสารกลับได้รับความสะดวกสบายและการควบคุมที่รถ Defender มาตรฐานไม่สามารถทำได้ นี่คือรถ “Go Anywhere” ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “Defender Octa คือความสำเร็จอันน่าทึ่ง มันเหนือกว่าภาพลักษณ์ ‘Defender SVR’ ที่หลายคนจินตนาการไว้มากนัก นับตั้งแต่ไอคอนของ Land Rover ถือกำเนิดขึ้นในปี 2019 Octa ได้พิสูจน์แล้วว่า SUV สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นและซับซ้อนได้ไม่แพ้รถสปอร์ตหรู”

ทางเลือกอื่น: ตลาด Super SUV นั้นกว้างขวาง แต่ไม่มีใครเทียบ Defender Octa ได้โดยตรงในฐานะรถ Trophy Truck สำหรับถนนที่แท้จริง หากต้องการความสามารถออฟโรดที่ใกล้เคียง มีเพียง Ford Ranger (หรือ F150) Raptor เท่านั้นที่พอจะเทียบได้ แม้จะขาดความสามารถบนถนนที่น่าทึ่งของ Defender ในฐานะ Super Truck ที่น่าเกรงขามบนถนน Mercedes-AMG G63 คือเป้าหมายที่ชัดเจน

Toyota GR Yaris
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 1.8 ล้านบาท

ข้อดี: ความเร็วข้ามประเทศที่เหนือชั้น, สปิริตนักแข่ง, เครื่องยนต์ทรงพลัง
ข้อเสีย: ราคาสูง, หายาก, ไม่ค่อยขี้เล่นเท่าที่ควร

มีช่วงเวลาหนึ่งที่รถ Homologation Special ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ยุคนั้นได้จางหายไป ซึ่งเป็นเหตุผลที่การเปิดตัวของ GR Yaris เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจอย่างยิ่ง ใช่แล้ว นี่คือรถยนต์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะลงแข่ง และมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งในรุ่น Gen 1 และ Gen 2 มันคือความสนุกอย่างแท้จริงในการขับขี่

GR Yaris รุ่นปัจจุบัน (Gen 2) ได้เพิ่มฮาร์ดแวร์มากมายและได้พิสูจน์ตัวเองอย่างน่าชื่นชมในการทดสอบ eCoty 2024 โดย Stuart Gallagher บรรณาธิการ ได้แสดงความเห็นว่า “ผมสนุกกับคุณภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมของ Yaris ซึ่งรวมกับขนาดที่กะทัดรัด ความคล่องตัวที่น่าทึ่ง และพละกำลังอันล้นเหลือจากเครื่องยนต์สามสูบ ทำให้มันเป็นรถที่สนุกสุดเหวี่ยง มันยังโดดเด่นในสภาพถนนเปียกอีกด้วย” ความสามารถในสภาพถนนเปียกส่วนหนึ่งมาจากระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ GR-Four ที่ชาญฉลาด ซึ่งมีสามการตั้งค่าสำหรับการแบ่งแรงบิดระหว่างล้อหน้าและหลัง และมันก็มีประสิทธิภาพอย่างเหลือเชื่อ

เครื่องยนต์สามสูบ 1.6 ลิตร อาจไม่ฟังดูน่าตื่นเต้นที่สุด แต่ด้วยกำลัง 276 แรงม้า และแรงบิด 265 ปอนด์-ฟุต ก็มีพละกำลังมากพอที่จะขับเคลื่อน GR ที่มีน้ำหนัก 1280 กก. ให้พุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 5.2 วินาที GR Yaris เป็นรถ Hot Hatch ที่คุณจะอดใจไม่ไหวที่จะขับเต็มที่ทุกที่ พร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า มันยังเป็นรถที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย และเท่สุด ๆ หากคุณเข้าใจในสิ่งที่กำลังมองอยู่

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “GR Yaris แสดงพฤติกรรมในแบบที่ธรรมดาที่สุด แต่สามารถทำสิ่งที่เหนือธรรมดาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ รถเพียงไม่กี่คันในทุกระดับราคาจะเข้าถึงง่ายหรือใช้งานได้ทันทีเท่านี้ ไม่มี Hot Hatch คันไหนที่ให้ความรู้สึกราวกับถูกสร้างมาเพื่อความท้าทายของถนนคดเคี้ยวอย่างสมบูรณ์แบบเท่า GR Yaris อีกแล้ว มันคือบทเรียนอันล้ำค่าในการผสมผสานสมรรถนะและฟังก์ชันการใช้งานในรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด”

ทางเลือกอื่น: โดยธรรมชาติของการเป็นรถที่ถือกำเนิดจากการแข่งขันแรลลี่ Toyota GR Yaris จึงไม่มีคู่แข่งโดยตรง การมาถึงของมันไม่เคยได้รับการตอบสนองในรูปแบบ ‘Fiesta RS’ จาก Ford อย่างที่เราพบเห็น รถ Super Hatch ขับเคลื่อนสี่ล้อในปัจจุบันมาจากเยอรมนีในรูปแบบของ Audi RS3 และ Mercedes-AMG A45 S

Bentley Continental GT Speed
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 9.3 ล้านบาท

ข้อดี: ระบบส่งกำลังไฮบริดใหม่เข้ากับบุคลิกของ GT ได้อย่างลงตัว
ข้อเสีย: ทำให้รถที่หนักอยู่แล้วยิ่งหนักขึ้นไปอีก

Bentley Continental GT Speed ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบคูเป้และเปิดประทุน GTC คือตัวอย่างของการท้าทายหลักฟิสิกส์ Bentley ไม่เคยเป็นที่รู้จักในเรื่องของน้ำหนักเบา และด้วยระบบส่งกำลังไฮบริด ทำให้รุ่น GT Speed มีน้ำหนักมากถึง 2459 กก. สำหรับรุ่นคูเป้ และ 2636 กก. ในรูปแบบ GTC แต่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใด ก็ล้วนแล้วแต่น่าหลงใหลอย่างยิ่ง

GT Speed เป็น Bentley ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยกำลัง 771 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบชาร์จและมอเตอร์ไฟฟ้า 140kW พร้อมแรงบิดมหาศาล 738 ปอนด์-ฟุต แม้จะมีน้ำหนักมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกรวดเร็วทุกครั้งที่คุณกดคันเร่งเต็มที่ และการเปลี่ยนผ่านระหว่างการล่องไปอย่างเงียบสงบด้วยพลังงานแบตเตอรี่ไปสู่การปลุกเครื่อง V8 นั้นราบรื่นและละเอียดอ่อน มีระบบ Bentley Dynamic Ride พร้อมเหล็กกันโคลงแอคทีฟ 48V และซอฟต์แวร์สำหรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบแอคทีฟและ e-diff หลังได้รับการปรับแต่งใหม่สำหรับ Continental รุ่นล่าสุดนี้

มันจะล่องลอยไปอย่างเงียบเชียบด้วยพลังงานไฟฟ้า แต่เมื่อ V8 ทำงาน มันก็จะแสดงสมรรถนะที่ใกล้เคียงกับรถสปอร์ตได้อย่างน่าทึ่ง แม้บนถนนที่คดเคี้ยว พวงมาลัยค่อนข้างเบาแต่ตอบสนองได้โดยตรง และแม้ว่าจะไม่ใช่การตั้งค่าที่ให้ความรู้สึกมากที่สุด แต่คุณก็ยังรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ยางหน้ากำลังทำอยู่ ด้วยการยึดเกาะและการตอบสนองจากแชสซีที่ช่วยให้คุณเชื่อมโยงกับขีดจำกัดของมัน ในฐานะ GT ที่สมบูรณ์แบบพร้อมคุณสมบัติสปอร์ต มันมีคู่แข่งน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “คุณอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยความชื่นชมในความคล่องตัวที่วิศวกรของ Bentley มอบให้มันได้ ไม่ว่า Bentley จะมีน้ำหนักเท่าไรก็ตาม มันเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบแบ่งแรงบิดแปรผันสามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือแชสซีและระบบส่งกำลังอื่นๆ ที่วิศวกรมีได้อย่างไร เพื่อทำให้รถยนต์หรูหนัก 2.4 ตันคันนี้มีความปราดเปรียวและฉับไวอย่างน่าทึ่ง”

ทางเลือกอื่น: Bentley Continental GT Speed ผสมผสานความหรูหราที่ไม่มีใครเทียบได้กับสมรรถนะอันร้อนแรง คู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Aston Martin DB12 และ Maserati GranTurismo ซึ่งให้ความรู้สึกและวัตถุประสงค์ที่เน้นความเป็นสปอร์ตมากกว่า แต่ Bentley คือรถที่สมบูรณ์แบบกว่าสำหรับการเดินทางไกล

Mercedes-AMG GT 63
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 6.7 ล้านบาท

ข้อดี: ขับขี่ได้คมกริบ, GT ที่ใช้งานได้จริงและเร้าใจยิ่งขึ้น
ข้อเสีย: เสียงเครื่องยนต์ V8 ที่เคยเป็นเอกลักษณ์ถูกลดทอน, ระบบเลี้ยวล้อหลังและ eLSD ต้องการการปรับแต่งที่ละเอียดขึ้น

เป็นที่ยอมรับว่า Mercedes-AMG ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดกับรถยนต์บางรุ่นที่ผ่านมา แต่ก็ได้กลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้งด้วย GT 63 รุ่นใหม่ ด้วยเบาะหลังแบบ +2 ที่นั่งและพื้นที่เก็บสัมภาระที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มันใช้งานได้จริงมากขึ้น พร้อมทั้งทรงพลังและน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น แม้จะมีชื่อ GT แต่ AMG เชื่อว่ามันเป็นรถสปอร์ตมากกว่า

แน่นอนว่ามันมีพละกำลังที่จำเป็น ด้วยเครื่องยนต์ M177 V8 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้กำลัง 577 แรงม้า และแรงบิด 590 ปอนด์-ฟุต ทำให้ GT 63 มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม. แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจและน่าประทับใจคือแชสซีของ GT ที่สร้างขึ้นบนโครงสร้างอลูมิเนียมสเปซเฟรมใหม่ทั้งหมด โดยมีการผสมผสานเหล็ก แมกนีเซียม และวัสดุคอมโพสิต ซึ่งทำให้มีความแข็งแกร่งในด้านการบิดงอ, แนวขวาง และแนวยาวอย่างมีนัยสำคัญ

ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบมัลติลิงค์อลูมิเนียมฟอร์จ ประกอบด้วยแดมเปอร์แอคทีฟที่เชื่อมต่อด้วยระบบไฮดรอลิกทั่วทั้งแชสซี, ระบบเหล็กกันโคลงแอคทีฟ, ระบบเลี้ยวล้อหลัง, เฟืองท้ายหลังลิมิเต็ดสลิปควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic+ ที่สามารถส่งแรงบิดได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ไปยังเพลาหน้า ในโหมด Comfort และ Sport มันให้ความรู้สึกเป็นรถ GT มากกว่า แต่เมื่อปรับเป็น Sport+ หรือ Race บุคลิกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจะปรากฏออกมา นั่นคือรถสปอร์ตที่น่าดึงดูด เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ และแม่นยำ

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “มันยึดเกาะและไปได้อย่างมั่นคง ลองเล่นกับสไตล์การเข้าโค้งของคุณเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นการยกเท้าออกจากคันเร่งเมื่อเลี้ยว หรือการใช้ Trail-braking อย่างระมัดระวัง และท้ายรถก็จะเริ่มลอยเข้าสู่การสไลด์ที่ควบคุมได้ ซึ่งสามารถคงไว้และขยายออกไปได้ด้วยการกดคันเร่งอย่างมั่นใจ ลองนึกถึงการผสมผสานระหว่าง R35 GT-R ที่มีระดับและไม่แปลกประหลาดจนเกินไป กับ 911 Turbo ที่ดุดันกว่า มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก และส่วนใหญ่ต้องขอบคุณผลกระทบของ 4Matic+”

ทางเลือกอื่น: Mercedes-AMG GT 63 เป็นรถที่ทำได้หลายอย่าง มันสามารถเล่นบทบาทรถสปอร์ตได้เกือบเท่ามาตรฐานของ Porsche 911 GTS หรือ Aston Martin Vantage แต่มาพร้อมคุณสมบัติ Grand Touring ที่เพิ่มเข้ามา

BMW M5
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 4.4 ล้านบาท

ข้อดี: รวดเร็วอย่างมหาศาล, มีความสามารถที่น่าทึ่ง
ข้อเสีย: ขนาดใหญ่มาก, น้ำหนักค่อนข้างมาก

น้ำหนักที่มหาศาลของ M5 เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากก่อนการเปิดตัว แน่นอนว่ามันได้เปลี่ยนมาใช้ระบบไฮบริด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 500 กก. จากรุ่นก่อนหน้า สิ่งนี้สร้างความกังวลในกลุ่มผู้คลั่งไคล้ BMW M พอสมควร เช่นเดียวกับที่เคยเกิดจากการตัดสินใจนำระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมาใช้ในรุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม หากเราต้องการคงตัวเลือก Super Saloon ไว้ เราก็จะต้องคุ้นเคยกับรถไฮบริดที่หนักขึ้น

และเมื่อคุณได้อยู่หลังพวงมาลัยและทำความคุ้นเคยกับ M5 อย่างแท้จริง ดูเหมือนว่าการเพิ่มระบบไฟฟ้าไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป แม้จะมีกำลัง 717 แรงม้าให้เล่น M5 มีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่แย่กว่ารุ่น V8 ที่ไม่ใช่ไฮบริดก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 305 กม./ชม. หากเลือกแพ็คเกจ M Driver’s

แต่สิ่งที่น่าประทับใจไม่ใช่ความเร็วสูงสุด แต่มันคือการที่ M5 สามารถ “หดตัว” รอบตัวคุณได้อย่างแท้จริง ทำให้รู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าที่ตัวเลขระบุไว้อย่างมาก มีโหมดการขับขี่ให้เลือกไม่รู้จบสำหรับไดนามิกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย, แดมเปอร์, แผนที่เกียร์, การฟื้นฟูพลังงาน, แผนที่ระบบส่งกำลัง และแม้กระทั่งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M5 ยังสามารถสลับระหว่างโหมด 4WD, โหมด 4WD Sport ที่เน้นล้อหลังมากขึ้น และโหมดขับเคลื่อนล้อหลังล้วนๆ และในโหมด 4WD Sport มันขี้เล่นอย่างไม่น่าเชื่อ พรางน้ำหนักตัวด้วยความคล่องตัวที่เหนือความคาดหมาย

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “วิธีที่ M5 เข้าและผ่านโค้ง ทำให้มันรู้สึกเหมือนรถที่เล็กกว่ามาก คุณจะสาบานได้เลยว่ามันมีน้ำหนักน้อยกว่าที่เป็นอยู่ประมาณ 800 กก. การเปลี่ยนมาใช้ไฮบริดได้เพิ่มขอบเขตความสามารถที่กว้างขึ้น และหากนั่นหมายถึงว่า M5 จะยังคงอยู่กับเราในรูปแบบที่เราคุ้นเคยได้อีกนาน มันก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง”

ทางเลือกอื่น: BMW M5 มีคู่แข่งอย่าง Panamera Turbo E-Hybrid แต่หากคุณต้องการพลังงานที่ไม่ใช่ไฮบริด Audi RS7 คือทางเลือกเดียวในปัจจุบัน หากพร้อมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าล้วน Porsche Taycan Turbo และ Audi RS E-Tron GT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในแบบของตัวเอง

Range Rover Sport SV
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 7 ล้านบาท

ข้อดี: คุณภาพไดนามิกในระดับรถสปอร์ต
ข้อเสีย: ราคาสูง, เป็นคำตอบสำหรับคำถามที่ไม่มีใครเคยถาม

Range Rover Sport SV รุ่นก่อนหน้าอาจดูหรูหราเกินไปสำหรับบางรสนิยม ดังนั้นรุ่นล่าสุดนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดี ด้วยรูปลักษณ์ที่ละเอียดอ่อนกว่า แต่ซ่อนขุมพลังที่ไม่แพ้กัน ด้วยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบชาร์จ 626 แรงม้า ที่มาจาก BMW M มันสามารถทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที และจะลดเวลาลงไปอีก 0.2 วินาที หากคุณเลือกแพ็คเกจคาร์บอนพร้อมล้อคาร์บอนและยางที่ยึดเกาะถนนมากขึ้น

มันรวดเร็วอย่างนั้น แต่ SUV ขนาด 2.5 ตันคันนี้จะสามารถสร้างความบันเทิงเมื่อเจอโค้งได้หรือไม่? กล่าวสั้นๆ คือ ใช่ มันทำได้ มันมีแชสซีที่รองรับขุมพลัง ด้วยระบบกันสะเทือนไฮดรอลิก 6D แบบเชื่อมโยงกันอย่างชาญฉลาด ซึ่งคล้ายกับที่พบใน McLaren 750S เพื่อมอบการผสมผสานระหว่างความสบายและการควบคุมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตลาด SUV

แม้จะยังคงมีการเอียงตัวอยู่บ้าง ซึ่งช่วยให้คุณสามารถพิงกับแรงเหวี่ยงได้ แต่ระบบ 6D ป้องกันการโยนตัวที่มากเกินไปซึ่งรถยนต์ประเภทนี้มักประสบปัญหาภายใต้การเข้าโค้งและการเบรกอย่างหนัก ด้วยการเพิ่มระบบเลี้ยวล้อหลัง ทำให้ SV รู้สึกมั่นคงอย่างสมบูรณ์แบบบนสนามแข่ง การไหลจากจุดเลี้ยวไปสู่จุด Apex ไปสู่การออกจากโค้งด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง ทำให้คุณแทบจะรู้สึกผิดที่ประทับใจในความสามารถของรถที่คุณคาดว่าจะเห็นจอดอยู่ใน Paddock มากกว่าที่จะกำลังเข้าโค้งอย่างเฉียบคม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าของส่วนใหญ่จะไม่กล้าลองขับในสนามแข่ง แต่ก็ดีที่รู้ว่า SV ยังคงมีความสามารถเมื่ออยู่นอกเขตสบายของมัน

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “พุ่งเข้าโค้งและ Sport SV รู้สึกไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เปลี่ยนทิศทางด้วยความคมชัดที่ไม่คาดคิดสำหรับยานพาหนะขนาดยักษ์เช่นนี้ ไม่ว่าคุณจะมอง SUV อย่างไร Range Rover Sport SV คือเครื่องจักรที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง”

ทางเลือกอื่น: Range Rover Sport SV คือการตอบโต้โดยตรงต่อ Porsche Cayenne Turbo ซึ่งเป็นรถสปอร์ตบนยกสูงที่มีมาอย่างยาวนานของ Porsche ซึ่งตอนนี้มีเฉพาะรุ่น e-Hybrid เท่านั้น นั่นหมายความว่า Range Rover ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปล้วนๆ กลับมีน้ำหนักเบากว่า Cayenne ในขณะที่ยังคงรักษาสัมผัสแห่งความหรูหราแบบ ‘Range Rover’ ที่เป็นเอกลักษณ์ไว้เหนือกว่าคู่แข่งอย่าง BMW X5M และ Audi RSQ8 เช่นกัน หากคุณต้องการความหรูหรามากกว่านั้น Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ

Audi RS3
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 2.3 ล้านบาท

ข้อดี: เครื่องยนต์อันยอดเยี่ยม, แชสซีที่เร้าใจ
ข้อเสีย: ขาดการตอบสนองและความแม่นยำในระดับสูงสุด

ก่อนการมาถึงของ Mercedes-AMG A45 S, RS3 เคยเป็น Hot Hatch ที่ทรงพลังที่สุดในโลกชั่วขณะหนึ่ง และแม้จะถูกคู่แข่งจากชตุทท์การ์ทแซงหน้าไปแล้ว RS3 ก็ยังคงเป็น Hyperhatch ที่น่าตื่นเต้นอย่างมหาศาล และยังเป็นรถ All-rounder ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย มันเป็นข้อเสนอที่ละเอียดอ่อนกว่าพี่น้อง RS ที่ใหญ่กว่า และเมื่อเลือกออปชั่นที่เหมาะสม มันแทบจะสามารถขับผ่านไปได้โดยไม่เป็นที่สังเกต

ด้วยกำลัง 394 แรงม้า มันสามารถทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 4 วินาที และด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ทำให้มันสามารถทำความเร็วได้อย่างมีความสุขไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร กุญแจสำคัญสู่การก้าวกระโดดด้านไดนามิกของ RS3 เจเนอเรชันนี้คือ ‘Torque Splitter’ เฟืองท้ายหลังของ Audi ซึ่งสามารถกระจายแรงบิดไปทั่วเพลาล้อหลังได้ ขึ้นอยู่กับว่าล้อใดต้องการและสามารถรับแรงบิดได้ แรงบิดของเครื่องยนต์สูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์สามารถส่งไปยังด้านหลังได้ แต่แรงบิดทั้งหมดนั้นสามารถส่งไปยังล้อหลังข้างเดียวได้ ไม่ว่าจะเป็นล้อด้านนอกเพื่อลดอาการอันเดอร์สเตียร์ (หรือทำให้รถสไลด์) หรือล้อด้านในเพื่อเพิ่มเสถียรภาพเมื่อจำเป็น

หัวใจของ RS3 คือเครื่องยนต์ห้าสูบเทอร์โบชาร์จที่ยอดเยี่ยม ซึ่งน่าประทับใจอย่างยิ่งและเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ด้วยเสียงคำรามของเครื่องยนต์ห้าสูบที่เลียนแบบเสียง V8 ของ R8 ได้อย่างน่าทึ่งในบางสถานการณ์ แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกเชื่อมโยงกับการขับขี่เท่า GR Yaris หรือ Civic Type R แต่ก็ใกล้เคียงอย่างมาก และเมื่อคุณไม่ได้กำลังขับขี่อย่างดุดันเพื่อทำเวลาในสนามแข่ง แต่ต้องการเพียงแค่ขับขี่แบบสบายๆ มันก็ยังคงให้ความสะดวกสบายและความประณีต

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “RS3 นั้นน่าตื่นเต้นอย่างมหาศาล มันอาจจะไม่ได้มีความสมดุลและการตอบสนองของ Civic Type R แต่ความดิบและระดับการปรับแต่งที่หลากหลายทำให้มันมีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป หากปิดระบบทุกอย่าง Torque Splitter จะเริ่มให้ทางเลือกมากขึ้น และความสามารถในการคงการสไลด์ที่ควบคุมได้ยาวนานในโหมด Torque Rear มันเป็นรถที่แสดงออกถึงความสามารถและใช้งานได้จริงมากกว่าที่หลายคนคาดหวัง”

ทางเลือกอื่น: คู่แข่งหลักของ Audi RS3 ในด้านราคา, สมรรถนะ และตำแหน่งทางการตลาดคือ Mercedes-AMG A45 S ทั้งคู่เป็นรถ Hot Hatch พรีเมียมจากเยอรมนีที่มีกำลังประมาณ 400 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ และได้ต่อสู้กันมาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความลงตัวระหว่างความเร็วและความสนุก หากมองต่ำลงมา คุณอาจจะได้ Volkswagen Golf R ในราคาที่ถูกกว่า หากต้องการการตอบสนองและการเชื่อมโยงกับรถที่มากขึ้น โดยปราศจากความปลอดภัยและความสามารถของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Honda Civic Type R คือรถที่ไม่มีใครเทียบได้

Porsche 911 Carrera 4 GTS
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 5.7 ล้านบาท

ข้อดี: เป็น 992 Carrera ที่สมบูรณ์แบบและมีเสน่ห์ที่สุด
ข้อเสีย: เทคโนโลยีไฮบริดหมายถึงไม่มีตัวเลือกเกียร์ธรรมดา

Porsche 911 Carrera 4 GTS ล่าสุดเป็นแนวคิดที่ใหม่มากสำหรับ Porsche ในแง่หนึ่ง คือ 911 (แม้จะเพียงเล็กน้อย) ที่เป็นไฮบริดคันแรกของพวกเขา ในอีกแง่หนึ่ง มันคือรุ่นล่าสุดในสายเลือดของรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งเริ่มต้นด้วย Carrera 4s รุ่น 964 ของ 911 ในทศวรรษ 1980 Porsche เป็นผู้บุกเบิกรถสปอร์ตขับเคลื่อนสี่ล้อ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่รุ่นล่าสุดนี้เป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์และวิวัฒนาการมาหลายปี

GTS รุ่นล่าสุดนี้แน่นอนว่ามาพร้อมเครื่องยนต์ 3.6 ลิตรใหม่ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างเครื่องยนต์และเกียร์ และในเทอร์โบชาร์จเดี่ยวใหม่ ผลลัพธ์คือมันสามารถส่งกำลังที่มหาศาล – 534 แรงม้า และ 450 ปอนด์-ฟุต – ไปยังยางได้อย่างรวดเร็วเกือบจะทันทีที่ได้รับคำสั่งของคุณ

เมื่อคุณลองขับเป็นครั้งแรก คุณจะรู้สึกราวกับว่าเครื่องยนต์เป็นทั้งเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่ไม่มีระบบอัดอากาศและเครื่องยนต์หลายสูบขนาดใหญ่ที่ทรงพลัง มันมีความหลากหลายอย่างมาก พลังและอัตราเร่งที่รวดเร็วทำให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งใน Carrera มอบการยึดเกาะที่มีค่าเมื่อต้องการแรงยึดเกาะสูงสุด แต่ยังคงรักษาสมรรถนะแบบขับเคลื่อนล้อหลังของ 911 ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ความรู้สึกของ GT3 และ 911 Turbo รวมกันอยู่ใน Carrera 4 GTS T-Hybrid อย่างลงตัวและยอดเยี่ยม

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “ในขณะที่ 911s มีการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยมเสมอมา เนื่องจากการกระจายน้ำหนักไปทางด้านหลังที่มีชื่อเสียง แต่ C4 ก็ยังคงมีแรงยึดเกาะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย มันเป็นความรู้สึกที่น่าหลงใหลเมื่อรู้สึกถึงท้ายรถที่กดลงจากโค้งความเร็วต่ำและปานกลาง ในขณะที่เพลาหน้าก็ได้รับแรงยึดเกาะพร้อมกัน และ GTS ก็พุ่งทะยานไปตามเส้นทาง โดยมีเทอร์โบไฟฟ้าทำงานอยู่แล้ว”

ทางเลือกอื่น: ไม่มีใครสามารถเทียบความหลากหลายของรุ่น 911 ได้ ดังนั้นจึงมีคู่แข่งโดยตรงไม่กี่รายที่จะเทียบเคียงความสามารถของ Carrera 4 GTS ได้ นอกจาก Mercedes-AMG GT63 ซึ่งจับคู่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อกับขุมพลังเทอร์โบชาร์จอันทรงพลังและกำลังเพิ่มขึ้นอีก 50 แรงม้า GT55 เป็นคู่ที่ใกล้เคียงกับ 911 ในด้านราคามากกว่า แม้ว่าจะมีกำลังน้อยกว่า 60 แรงม้า หากไม่จำเป็นต้องมี AWD ลองดู Carrera GTS มาตรฐาน… หรือ Aston Martin Vantage

Aston Martin DBX707
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 8 ล้านบาท

ข้อดี: สมรรถนะที่แท้จริง พร้อมการควบคุมที่ยอดเยี่ยม
ข้อเสีย: หน้าจอสัมผัสยังต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติม

การพัฒนาแพลตฟอร์มอลูมิเนียมเฉพาะสำหรับตัวเอง แทนที่จะซื้อโครงสร้างจาก Mercedes เป็นวิธีที่ดีในการทำให้ผู้ที่สงสัยในความแท้จริงของ SUV คันแรกของ Aston Martin ต้องคิดใหม่ หรืออย่างน้อยก็ควรเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อได้อยู่หลังพวงมาลัยของ DBX707 รุ่นล่าสุดแล้ว ผมกล้าเดิมพันได้เลยว่าแม้แต่พวกอนุรักษ์นิยมที่หัวรั้นที่สุดก็ยังต้องยอมรับ

นี่คือรถ SUV ที่ยกสูงสำหรับครอบครัว ที่มาพร้อมเส้นสาย, ตัวถัง และความหรูหราภายใน (หากไม่นับรายละเอียดที่อาจดูซับซ้อน) ตามแบบฉบับของ Aston Martin รวมถึงความประณีต, สมรรถนะ และไดนามิกที่ยอดเยี่ยม ตอนนี้ด้วยการตกแต่งภายในที่ได้รับการอัปเดต มันจึงมีคุณภาพที่ดีขึ้นและใช้งานง่ายขึ้นด้วย

เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตรที่พัฒนามาจาก AMG ได้รับการปรับแต่งเทอร์โบชาร์จตามสเปกของ Aston เพื่อให้ได้กำลัง 697 แรงม้า และแรงบิด 663 ปอนด์-ฟุต เพื่อขับเคลื่อนน้ำหนัก 2.2 ตันไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แดมเปอร์ Bilstein DTX ล่าสุดช่วยให้มันยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นคงในโค้ง พวงมาลัย, การหน่วง และเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป ล้วนแล้วแต่ให้ความรู้สึกเป็นเส้นตรงคล้ายกับ Lotus ซึ่งมอบความน่าเชื่อถือที่ไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับเครื่องจักรขนาดมหึมาเช่นนี้แก่ DBX707

คุณสามารถวางรถคันนี้บนถนนและสำรวจขีดจำกัดสูงสุดของสมรรถนะได้อย่างมั่นใจ ซึ่งความมั่นใจนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติเมื่ออยู่หลังพวงมาลัย จากนั้น เมื่อถึงเวลาที่จะขับขี่อย่างสงบ มันก็เป็นรถที่นุ่มนวลอย่างแท้จริง DBX707 ให้ความรู้สึกที่แท้จริง ไม่เหมือนคู่แข่งหลายรายที่ให้ความรู้สึกเหมือนรถบรรทุกที่ติดตั้งฮาร์ดแวร์สมรรถนะสูงที่ไม่เข้ากันและถูกย้ายมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เพราะมันถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะในขณะที่คู่แข่งไม่ใช่

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “บนถนนที่ evo มักใช้ในการทดสอบ eCoty และ Group Test มันสามารถจัดการกับสภาพถนนที่ขรุขระและท้าทายได้อย่างสมดุล การสื่อสาร และการยึดเกาะถนนที่เป็นเอกลักษณ์ของ DBX มันยังคงเป็นรถที่ดีที่สุดในประเภทนี้สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ และตอนนี้มันมีห้องโดยสารที่สวยงามขึ้นมากให้เพลิดเพลินกับประสบการณ์นั้น”

ทางเลือกอื่น: คู่แข่งที่แท้จริงของ Aston Martin DBX707 มีไม่มากนัก แม้ว่าตลาด Super SUV จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม มีเพียง Ferrari Purosangue ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรถในสายพันธุ์นี้ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่ให้ความรู้สึกสมบูรณ์แบบและการควบคุมในระดับเดียวกัน Porsche Cayenne Turbo e-Hybrid ก็ทำผลงานได้ดีเยี่ยมเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาพร้อมแพ็คเกจ GT ที่เน้นสมรรถนะยิ่งขึ้น

Lamborghini Revuelto
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 18 ล้านบาท

ข้อดี: ในที่สุดก็ได้ V12 Lambo ที่ขับขี่ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับรูปลักษณ์
ข้อเสีย: ราคาสูงและขายหมดแล้ว (ในตอนนี้)

หนึ่งในรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ซับซ้อนที่สุดในตลาดปัจจุบัน Lamborghini Revuelto มีเอกลักษณ์ในการรวมพลังงานไฟฟ้าเข้ากับล้อหน้าและพลังงานเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับล้อหลัง โดยทั้งสองระบบเชื่อมต่อกันด้วยสมองอิเล็กทรอนิกส์อันชาญฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ รถคันนี้บังเอิญเป็นรุ่นล่าสุดในตระกูลเรือธงเครื่องยนต์ V12 อันยิ่งใหญ่ของ Lamborghini ซึ่งมีประวัติย้อนไปถึง Miura ดังนั้น Lamborghini Revuelto จึงท้าทายประเพณีด้วยการก้าวล้ำทางเทคโนโลยีอย่างมาก และจากที่ผมได้สัมผัส มันถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตและแม่นยำกว่าบรรพบุรุษที่อาจจะดิบกว่าเล็กน้อย

สิ่งที่สำคัญเกือบเท่ากับการขับขี่คือรูปลักษณ์ ซึ่งดูดุดันและน่าตื่นตาตื่นใจ แต่การออกแบบที่สะกดทุกสายตาไม่ได้โอ้อวดตัวเลขสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่ ด้วยกำลัง 1001 แรงม้า อันเป็นผลจากเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่สามารถเร่งรอบได้ถึง 9500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว มันสามารถทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีน้ำหนัก 1772 กก. (น้ำหนักแห้ง) แต่ก็มีความไดนามิกราวกับนักบัลเลต์ ระบบไฟฟ้าและกลไกทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว ระบบเลี้ยวล้อหลังช่วยเพิ่มความคล่องตัว ระบบ Torque Vectoring ที่เพลาล้อได้รับการปรับแต่งมาอย่างดี และอินเทอร์เฟซผู้ขับขี่ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างชาญฉลาด นี่คือรถที่มีกำลังและภาพลักษณ์บนท้องถนนที่เหนือกว่า Bugatti Veyron แต่เต้นระบำได้อย่างคล่องแคล่วราวกับ Audi R8 รุ่นแรก

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่สร้างขึ้นรอบๆ เทคโนโลยีไฮบริดได้เปลี่ยนโฉมเรือธงของ Lamborghini อย่างสิ้นเชิง ลักษณะที่เทอะทะและน่าเกรงขามของ Aventador ถูกแทนที่ด้วยความคล่องตัวและการใช้งานที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อรวมกับสมรรถนะที่ระเบิดได้และเสียงเครื่องยนต์ที่เข้ากัน มันยากที่จะไม่ประกาศให้ Revuelto เป็นสุดยอดซูเปอร์คาร์แห่งยุคสมัยใหม่”

ทางเลือกอื่น: Lamborghini Revuelto ครองตำแหน่งสูงสุดในสายพันธุ์ที่ Ferrari SF90 (และกลุ่ม Hypercars Trinity ก่อนหน้า) ได้สร้างไว้ในตอนนี้ แม้ว่า Aston Martin Valhalla ใหม่กำลังแย่งชิงตำแหน่งอยู่ หากต้องการซูเปอร์คาร์ที่เน้นความเร็วและดิบ McLaren 750S ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แม้จะขาดความตื่นเต้นของเครื่องยนต์ V12 ก็ตาม

Mercedes-AMG A45 S
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 2.5 ล้านบาท

ข้อดี: ความเร็วแบบ Point-to-Point, แชสซีที่ขี้เล่น, เครื่องยนต์ทรงพลัง
ข้อเสีย: ไม่ได้ดูแปลกใหม่หรือน่าดึงดูดเท่า RS3

Mercedes-AMG A45 เริ่มต้นชีวิตโดยไม่ได้รับการกล่าวขวัญมากนัก เป็นรถที่ค่อนข้างไร้ชีวิตชีวาและไม่น่าสนใจในการขับขี่แบบ Point-to-Point มากกว่าที่จะเป็น Hot Hatch ที่น่าตื่นเต้น Mercedes-AMG รับฟังคำวิจารณ์เหล่านี้อย่างจริงจัง และได้ปรับปรุงรถรุ่นแรกให้ดีขึ้นอย่างมากก่อนที่จะนำเสนอรถเจนเนอเรชันที่สอง (และปัจจุบัน) ที่ยอดเยี่ยม มันมาพร้อมความรู้สึกที่หรูหราและได้รับการพัฒนาอย่างดีในการควบคุม และสมรรถนะอันมหาศาล พร้อมความสามารถในการปรับแต่งแชสซีอย่างแท้จริง ความขี้เล่น และความรู้สึกที่เต็มใจ นี่คือรถที่ดูเหมือนจะสนุกกับการถูกขับด้วยความเร็ว ไม่ใช่แค่ความเร็วสูงสุดเท่านั้น

สิ่งนี้น่าประทับใจเมื่อพิจารณาถึงคลังเทคโนโลยีที่กว้างขวางของ A45 ระบบกันสะเทือนแบบปรับได้ AMG Ride Control, การตั้งค่าผู้ขับขี่ Dynamic Select, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic และเกียร์ Speedshift 8 สปีด ทั้งหมดนี้สามารถแยกผู้ขับขี่ออกจากประสบการณ์การขับขี่ได้ง่ายๆ แต่การปรับแต่งและการจูนที่ยอดเยี่ยมได้สร้างความรู้สึกเป็นธรรมชาติและความกลมกลืน เครื่องยนต์ก็เป็นเครดิตสำหรับความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์สันดาปของ AMG – เครื่องยนต์สี่สูบ 2 ลิตร เทอร์โบชาร์จที่สามารถสร้างกำลัง 415 แรงม้า ได้อย่างน่าเชื่อถือ

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “A45 S เป็นรถที่น่าประทับใจด้วยความสามารถในการผสานเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเข้ากับการขับขี่ที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติได้อย่างลงตัว ความรวดเร็วในการพุ่งทะยานจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งนั้นน่าทึ่ง พร้อมทั้งแชสซีที่เชิญชวนให้เล่นสนุก และเครื่องยนต์อันทรงพลังที่ตอบสนองได้ในทุกสถานการณ์ มันพิสูจน์ให้เห็นว่ารถ Hot Hatch ก็สามารถเป็นรถสมรรถนะสูงที่ครบเครื่องได้ไม่แพ้ Supercar”

ทางเลือกอื่น: A45 S เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Audi RS3 ทั้งสองเป็นรถ Hatchbacks พรีเมียมจากเยอรมนีที่มีกำลังประมาณ 400 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ และได้ต่อสู้กันมาตลอดหลายปีเพื่อสร้างความลงตัวที่น่าปรารถนาระหว่างความเร็วและความสนุก แต่ก็มีทางเลือกอื่นเช่นกัน – Honda Civic Type R คือ Hot Hatch แบบ Hardcore ที่สุด ในขณะที่ Toyota GR Yaris เป็น Hot Hatch ขับเคลื่อนสี่ล้อที่มาในรสชาติที่แตกต่างออกไป

ก้าวสู่ยุคใหม่แห่งการขับขี่ 4×4

ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงยานยนต์สมรรถนะสูงมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ จากจุดเริ่มต้นของการเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับสนามแรลลี่ สู่บทบาทอันสำคัญยิ่งในการปลดปล่อยพลังมหาศาลของรถยนต์ยุคใหม่ ทุกรุ่นที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นดาวเด่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าระบบ 4×4 ในปี 2025 ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการยึดเกาะถนนเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนความคล่องตัว ความแม่นยำ และประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน

หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่ผสมผสานพลังอันเหลือเฟือ เทคโนโลยีสุดล้ำ และความสามารถในการควบคุมที่เหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นบนถนนหลวงที่เรียบเนียนหรือเส้นทางที่ท้าทาย รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูงเหล่านี้คือคำตอบที่ไม่อาจปฏิเสธได้

คุณพร้อมที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่อันน่าทึ่งนี้แล้วหรือยัง? ลองพิจารณารถยนต์ในฝันของคุณจากลิสต์นี้ หรือเยี่ยมชมโชว์รูมเพื่อสัมผัสพลังและนวัตกรรมด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจึงเป็นอนาคตของรถยนต์สมรรถนะสูงอย่างแท้จริง มาร่วมแบ่งปันรถ 4×4 สมรรถนะสูงในดวงใจของคุณ และประสบการณ์อันน่าประทับใจที่คุณได้รับกับเรา!

Previous Post

N1912005 ไม ยอมให ใครหน าไหนมาร งแก #ตอนสอง part 2

Next Post

N1912001 สาม ดไม องทำการร อให นซาก part 2

Next Post
N1912001 สาม ดไม องทำการร อให นซาก part 2

N1912001 สาม ดไม องทำการร อให นซาก part 2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N1712162 แม วแบบน งจะอย ไหม part 2
  • N1712160 อย าแต งนะ part 2
  • N1912006 ไม ยอมให ใครหน าไหนมาร งแก #ตอนแรก part 2
  • N1912001 สาม ดไม องทำการร อให นซาก part 2
  • N1912003 หน าตาด ทำไม ไม หาผ ชายเปย part 2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • July 2025
  • June 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.