ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
สุดยอดรถ 4×4 สมรรถนะสูง 2025: ปลดปล่อยพลังบนถนนแอสฟัลต์และทุกเส้นทาง
ในโลกยานยนต์ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและความเร็ว ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (All-Wheel Drive หรือ 4×4) ได้ก้าวข้ามบทบาทเดิมๆ ของการเป็นเพียงผู้พิชิตเส้นทางออฟโรด กลายมาเป็นหัวใจสำคัญที่ปลดล็อกขีดจำกัดของรถยนต์สมรรถนะสูงบนถนนแอสฟัลต์ได้อย่างน่าทึ่ง นับตั้งแต่ Audi Quattro สร้างปรากฏการณ์เปลี่ยนโลกในการแข่งขัน World Rally Championship ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของตน ศักยภาพมหาศาลของการส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ก็ได้ถูกตอกย้ำอย่างชัดเจน และนับแต่นั้นมา แบรนด์ชั้นนำมากมายก็เดินหน้าพัฒนาระบบนี้อย่างไม่หยุดยั้ง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตและสัมผัสกับวิวัฒนาการของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมาโดยตลอด ในปี 2025 นี้ บทบาทของ AWD ยิ่งมีความสำคัญและซับซ้อนกว่าที่เคยเป็นมา มันไม่ใช่แค่ “ตัวช่วยยึดเกาะ” อีกต่อไป แต่เป็น “สิ่งจำเป็น” ในการควบคุมพละกำลังอันมหาศาลและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของเครื่องยนต์ไฮบริดและระบบไฟฟ้า บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจสุดยอดรถยนต์ 4×4 สมรรถนะสูงแห่งปี 2025 ที่โดดเด่นทั้งบนทางเรียบและพร้อมรับมือกับทุกสภาพถนน
วิวัฒนาการของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ: จากสนามแรลลี่สู่ท้องถนนยุคดิจิทัล
เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อถูกมองว่าเป็นไม้ตายสำหรับรถแรลลี่ เพื่อให้สามารถถ่ายทอดกำลังลงพื้นได้สูงสุดในทุกสภาพพื้นผิว ตั้งแต่กรวด หิมะ ไปจนถึงโคลน รถอย่าง Audi Quattro, Lancia Delta Integrale, Mitsubishi Lancer Evo หรือ Subaru Impreza WRX STI ได้สร้างตำนานที่ทุกคนจดจำ พวกมันได้พิสูจน์ให้เห็นว่า AWD คือกุญแจสำคัญสู่ความเร็วและการควบคุมที่เหนือชั้น
ต่อมา Porsche ได้นำระบบ AWD มาใช้กับ 911 Carrera 4 และ 959 ซูเปอร์คาร์ในตำนาน ขณะที่ Nissan ก็ปล่อย Skyline GT-R R32 ออกมาท้าทายวงการด้วยระบบ ATTESA E-TS Pro ที่ฉลาดล้ำ เหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเริ่มเข้าสู่รถยนต์สมรรถนะสูงสำหรับถนนสาธารณะ แต่ในยุค 2025 นี้ เทคโนโลยีได้ก้าวล้ำไปไกลกว่าที่ใครจะจินตนาการได้
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่กลไกเชิงกลอีกต่อไป แต่เป็นการผสานรวมกับระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, เฟืองท้ายแบบแอคทีฟ (Active Differential), และแม้กระทั่งมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อสร้าง “แรงบิดเวกเตอร์ริ่ง” (Torque Vectoring) ที่แม่นยำและตอบสนองได้ทันท่วงที ทำให้รถยนต์สามารถปรับการกระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้อได้อย่างอิสระ เพื่อเพิ่มการยึดเกาะสูงสุด ลดอาการอันเดอร์สเตียร์/โอเวอร์สเตียร์ และเพิ่มความคล่องตัวในการเข้าโค้ง ระบบไฮบริดเองก็ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้าโดยตรง โดยที่เครื่องยนต์สันดาปขับเคลื่อนล้อหลัง ทำให้เกิดระบบ AWD แบบ “อิเล็กทรอนิกส์” ที่ทั้งทรงพลังและมีประสิทธิภาพ
ทำไม AWD จึงสำคัญอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงปี 2025
สาเหตุที่ทำให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงในยุคปัจจุบันมีหลายประการ:
พละกำลังมหาศาล: รถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่มีแรงม้าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด Hot Hatchback บางรุ่นอย่าง Audi RS3 มีกำลังเกือบ 400 แรงม้า, Super SUV อย่าง Range Rover Sport SV มีมากกว่า 600 แรงม้า, และ Supercar ระดับท็อปอย่าง Lamborghini Revuelto พุ่งทะลุ 1,000 แรงม้าไปแล้ว ด้วยตัวเลขขนาดนี้ การส่งกำลังทั้งหมดลงพื้นผ่านล้อเพียงสองล้อจึงเป็นเรื่องยากและอันตราย AWD ช่วยให้สามารถถ่ายทอดกำลังได้เต็มที่โดยไม่สูญเสียการยึดเกาะ
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น: ระบบไฮบริด, แบตเตอรี่, และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ทำให้รถยนต์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ AWD ช่วยชดเชยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้ โดยกระจายภาระการยึดเกาะไปยังล้อทั้งสี่ ทำให้รถยังคงมีเสถียรภาพและควบคุมได้ง่าย
ความคล่องตัวและไดนามิกที่เหนือกว่า: ด้วยเทคโนโลยี Torque Vectoring ระบบ AWD สามารถ “พลิกรถ” เข้าโค้งได้เร็วกว่าและแม่นยำกว่า โดยการส่งแรงบิดไปยังล้อที่ต้องการ เพื่อช่วยให้รถหมุนตัวเข้าโค้งได้อย่างเป็นธรรมชาติและควบคุมได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดอาการท้ายปัดหรือช่วยให้รถเลี้ยวคมขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้รถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่มีความคล่องตัวและตอบสนองต่อการขับขี่ได้อย่างน่าทึ่ง
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ทางเลือกสำหรับสายลุยอีกต่อไป แต่มันคือแกนหลักของวิศวกรรมที่ทำให้รถยนต์สมรรถนะสูงปี 2025 สามารถแสดงศักยภาพสูงสุดของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นบนสนามแข่ง ถนนสาธารณะ หรือแม้กระทั่งเส้นทางที่ท้าทาย นี่คือรายชื่อรถยนต์ 4×4 สมรรถนะสูงที่เราคัดสรรมาเป็นพิเศษสำหรับปี 2025 ที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายและนวัตกรรมอันล้ำหน้า:
สุดยอดรถ 4×4 สมรรถนะสูงแห่งปี 2025
Ferrari Purosangue (ราคาเริ่มต้นประมาณ 313,000 ปอนด์)
รถสี่ประตูสี่ที่นั่ง “คันแรก” ของ Ferrari ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร 715 แรงม้า Purosangue แสดงให้เห็นว่า Ferrari สามารถสร้างรถยนต์ที่ผสานความอเนกประสงค์แบบ SUV เข้ากับสมรรถนะและจิตวิญญาณของม้าลำพองได้อย่างไร้ที่ติ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออันชาญฉลาดช่วยให้มันสามารถพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.3 วินาที แม้จะมีน้ำหนักเกินสองตันก็ตาม มันคือการปฏิวัติที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของ Ferrari ไว้ได้อย่างครบถ้วน ให้ความรู้สึกทั้งนุ่มนวลในการเดินทางไกล และดุดันเมื่อต้องการปลดปล่อยพละกำลังเต็มที่
BMW M4 CS (ราคาเริ่มต้นประมาณ 122,685 ปอนด์)
M4 CS เป็นการผสมผสานที่ดีที่สุดจาก M4 Competition และ M4 CSL ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบเทอร์โบคู่ 542 แรงม้า และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ที่เน้นส่งกำลังไปล้อหลังเป็นหลัก ทำให้มันเป็นรถที่ดุดันแต่ควบคุมได้ง่ายกว่า CSL รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังอย่างเห็นได้ชัด ระบบ xDrive ช่วยให้ M4 CS สามารถถ่ายทอดกำลังลงพื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาง Cup 2 R ที่อุณหภูมิเหมาะสม ทำให้มันเป็นหนึ่งในรถที่เร็วและเฉียบคมที่สุดในกลุ่ม Sports Coupe
Land Rover Defender Octa (ราคาเริ่มต้นประมาณ 145,300 ปอนด์)
Defender Octa ยกระดับความสามารถของ Defender ไปอีกขั้น ด้วยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 626 แรงม้าที่มาจาก BMW M ผสานกับระบบกันสะเทือน 6D ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งประกอบด้วยแดมเปอร์กึ่งแอคทีฟที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบไฮดรอลิก ทำให้ Octa ไม่เพียงแต่เป็นเจ้าแห่งออฟโรดที่ทรงพลัง แต่ยังมีความสามารถบนถนนดำที่น่าทึ่ง เทคโนโลยี AWD และช่วงล่างอัจฉริยะช่วยให้มันรักษาการทรงตัวและความคล่องตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะเป็นรถ SUV คันใหญ่ก็ตาม มันคือรถ “ไปได้ทุกที่” ที่มาพร้อมความหรูหราและสมรรถนะที่ไม่มีใครเทียบ
Toyota GR Yaris (ราคาเริ่มต้นประมาณ 46,045 ปอนด์)
GR Yaris คือรถ Hot Hatch ที่ถือกำเนิดจากการแข่งขันแรลลี่โดยแท้ ด้วยเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.6 ลิตร เทอร์โบ 276 แรงม้า และระบบขับเคลื่อน GR-Four ที่สามารถปรับการกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้า-หลังได้ถึงสามรูปแบบ มันคือรถที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นนักแข่งแรลลี่ได้ทุกครั้งที่กดคันเร่ง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออันชาญฉลาดนี้ไม่เพียงแต่ให้การยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมในสภาพถนนเปียก แต่ยังให้ความคล่องตัวและสนุกสนานในการขับขี่ที่เหนือความคาดหมาย ทำให้มันเป็นรถที่มีเอกลักษณ์และคุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการความตื่นเต้น
Bentley Continental GT Speed (ราคาเริ่มต้นประมาณ 236,600 ปอนด์)
Continental GT Speed โฉมใหม่มาพร้อมขุมพลังไฮบริดที่ดุดันที่สุดเท่าที่ Bentley เคยสร้างมา ด้วยเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบและมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 771 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและระบบ Bentley Dynamic Ride ที่มาพร้อมเหล็กกันโคลงแอคทีฟ 48V ช่วยให้รถขนาดใหญ่และหนักกว่า 2.4 ตันคันนี้ มีความคล่องตัวและสามารถควบคุมได้อย่างน่าทึ่ง มันสามารถล่องลอยไปอย่างเงียบเชียบด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงราวกับรถสปอร์ตชั้นเลิศ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ผสานความหรูหราและสมรรถนะเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
Mercedes-AMG GT 63 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 170,000 ปอนด์)
AMG GT 63 โฉมใหม่มาพร้อมโครงสร้างอะลูมิเนียมสเปซเฟรมที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ผสานกับเครื่องยนต์ V8 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้กำลัง 577 แรงม้า และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic+ ที่สามารถส่งแรงบิดไปยังเพลาหน้าได้ถึง 50% ทำให้มันเป็นรถ GT ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกับรถสปอร์ตเต็มตัว ระบบช่วงล่างแบบมัลติลิงก์พร้อมแดมเปอร์แอคทีฟที่เชื่อมโยงกันแบบไฮดรอลิก, ระบบเลี้ยวสี่ล้อ, และเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปอิเล็กทรอนิกส์ ล้วนทำงานร่วมกันเพื่อมอบการควบคุมที่คมชัดและแม่นยำ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสนุกกับการขับขี่ได้อย่างเต็มที่ในทุกโหมด
BMW M5 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 111,515 ปอนด์)
BMW M5 โฉมล่าสุดเข้าสู่ยุคไฮบริด ซึ่งทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยกำลังรวม 717 แรงม้า M5 ยังคงเป็น Super Saloon ที่เร็วและเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive สามารถปรับเปลี่ยนได้ระหว่าง 4WD, 4WD Sport (เน้นล้อหลัง) และโหมดขับเคลื่อนล้อหลังแท้ๆ ทำให้ M5 มีความยืดหยุ่นและสนุกสนานในการขับขี่ที่เหนือความคาดหมาย แม้จะมีน้ำหนักตัวมาก แต่ระบบ AWD อันชาญฉลาดนี้ก็ช่วยให้ M5 รู้สึกคล่องตัวและเล็กลงในขณะเข้าโค้งได้อย่างน่าทึ่ง เป็นการแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีไฮบริดและ AWD สามารถผสานกันได้อย่างลงตัวเพื่อรักษาตำนานของ M5 ไว้
Range Rover Sport SV (ราคาเริ่มต้นประมาณ 177,000 ปอนด์)
Range Rover Sport SV คือการยกระดับสมรรถนะของ SUV ไปอีกขั้น ด้วยเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ 626 แรงม้าจาก BMW M และระบบช่วงล่าง 6D แบบไฮดรอลิกครอสลิงก์ (คล้ายกับที่พบใน McLaren 750S) ทำให้มันสามารถจัดการกับน้ำหนักตัว 2.5 ตันได้อย่างน่าทึ่ง ระบบ AWD พร้อมการเลี้ยวสี่ล้อช่วยให้ SV มีความแม่นยำและคล่องตัวในการเข้าโค้งที่ไม่น่าเชื่อสำหรับรถ SUV ขนาดใหญ่ มันมอบการผสมผสานระหว่างความสบายและการควบคุมที่เหนือชั้น เป็นคำตอบของคำถามที่ไม่มีใครเคยถาม แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการสัมผัส
Audi RS3 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 60,135 ปอนด์)
RS3 ยังคงเป็น Hyperhatch ที่น่าตื่นเต้นและเป็น All-rounder ที่ยอดเยี่ยม ด้วยเครื่องยนต์ 5 สูบเทอร์โบอันเป็นเอกลักษณ์ ให้กำลัง 394 แรงม้า และระบบขับเคลื่อน quattro ที่มาพร้อม “Torque Splitter” ด้านหลัง ซึ่งสามารถกระจายแรงบิดไปยังล้อหลังแต่ละข้างได้อย่างอิสระ ทำให้ RS3 มีความสามารถในการควบคุมอาการอันเดอร์สเตียร์และยังสามารถ “ดริฟท์” ได้อย่างง่ายดายในโหมด Torque Rear มันมอบการขับขี่ที่ดุดันและสนุกสนาน ด้วยเสียงเครื่องยนต์ 5 สูบที่น่าหลงใหล ทำให้ RS3 เป็นหนึ่งใน Hot Hatch ที่ดีที่สุดในตลาด
Porsche 911 Carrera 4 GTS (ราคาเริ่มต้นประมาณ 144,000 ปอนด์)
911 Carrera 4 GTS โฉมใหม่คือการบุกเบิกครั้งสำคัญของ Porsche ด้วยการนำเทคโนโลยีไฮบริด (T-Hybrid) เข้ามาใช้ใน 911 เป็นครั้งแรก ด้วยเครื่องยนต์ 3.6 ลิตรใหม่ ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 534 แรงม้า ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Carrera 4 GTS ได้รับการพัฒนามาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุค 964 ทำให้มันสามารถถ่ายทอดกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยยังคงรักษาบุคลิกการขับขี่ที่เน้นล้อหลังของ 911 ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ระบบ AWD ช่วยเพิ่มการยึดเกาะในขณะเร่งออกจากโค้ง ทำให้ GTS พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง มอบประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่าง GT3 และ 911 Turbo ได้อย่างลงตัว
Aston Martin DBX707 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 205,000 ปอนด์)
DBX707 คือ SUV คันแรกของ Aston Martin ที่ได้รับการสร้างสรรค์บนแพลตฟอร์มอลูมิเนียมของตัวเอง ไม่ได้หยิบยืมจากใคร ด้วยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตรที่พัฒนาโดย AMG แต่ Aston ปรับแต่งเทอร์โบชาร์จเจอร์ใหม่ ให้กำลัง 697 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ปรับแต่งมาอย่างดีเยี่ยม ทำให้ DBX707 มีการตอบสนองที่แม่นยำและการควบคุมที่น่าเชื่อถืออย่างไม่น่าเชื่อสำหรับรถขนาดใหญ่มหึมาคันนี้ ระบบแดมเปอร์ Bilstein DTX ล่าสุดยังช่วยให้มันเกาะถนนและมั่นคงในทุกโค้ง ด้วยการตกแต่งภายในที่หรูหราและคุณภาพที่เหนือกว่า ทำให้ DBX707 เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในกลุ่ม Super SUV
Lamborghini Revuelto (ราคาเริ่มต้นประมาณ 454,830 ปอนด์)
Revuelto คือเรือธง V12 ไฮบริดเจนเนอเรชั่นใหม่ของ Lamborghini ที่มาพร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อที่ซับซ้อนที่สุดในตลาด โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวขับเคลื่อนล้อหน้า และเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ทั้งหมดถูกเชื่อมโยงด้วยสมองกลอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ให้กำลังรวม 1,001 แรงม้า พุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ใน 2.5 วินาที ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 1,772 กก. (แบบแห้ง) ระบบ AWD อันล้ำสมัยนี้ผสานกับระบบเลี้ยวล้อหลังและ Torque Vectoring ทำให้ Revuelto มีความคล่องตัวและการควบคุมที่เหนือชั้นกว่า Aventador รุ่นก่อนอย่างสิ้นเชิง มันคือ Supercar ยุคใหม่ที่งดงาม ทรงพลัง และขับง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
Mercedes-AMG A45 S (ราคาเริ่มต้นประมาณ 65,045 ปอนด์)
A45 S คือ Hot Hatchback ที่พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในรถที่มีสมรรถนะสูงสุดในตลาด ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ที่สามารถสร้างกำลังได้ถึง 415 แรงม้า ระบบขับเคลื่อน 4Matic+ อันชาญฉลาดผสานกับระบบกันสะเทือนปรับได้ AMG Ride Control และโหมดการขับขี่ Dynamic Select ทำให้ A45 S สามารถเปลี่ยนจากรถที่ “พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว” ให้กลายเป็นรถที่ “สนุกสนานและตอบสนอง” ได้อย่างน่าทึ่ง ระบบ AWD ไม่เพียงแต่ช่วยให้รถสามารถถ่ายทอดกำลังมหาศาลลงพื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมอบความคล่องตัวและบุคลิกการขับขี่ที่น่าตื่นเต้นในทุกสถานการณ์
สรุป: อนาคตของสมรรถนะขับเคลื่อนสี่ล้อ
ในปี 2025 นี้ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อได้กลายเป็นมากกว่าเพียงแค่คุณสมบัติหนึ่ง แต่เป็นหัวใจหลักที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมและขีดจำกัดของรถยนต์สมรรถนะสูง มันช่วยให้รถยนต์เหล่านี้สามารถจัดการกับพละกำลังที่เพิ่มขึ้น น้ำหนักที่มากขึ้นจากระบบไฮบริด และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทั้งรวดเร็ว ปลอดภัย และสนุกสนานยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
จาก Hot Hatchback คันเล็กไปจนถึง Super SUV สุดหรู และ Supercar พลังงานไฮบริด ระบบ AWD คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถยนต์เหล่านี้โดดเด่นและเป็นที่ต้องการในตลาด สิ่งที่น่าสนใจคือความหลากหลายในการนำเสนอเทคโนโลยีนี้ ซึ่งปรับให้เข้ากับบุคลิกและวัตถุประสงค์ของรถแต่ละคันได้อย่างลงตัว
หากคุณคือผู้ที่หลงใหลในความเร็ว ความแม่นยำ และต้องการสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่ธรรมดา รถยนต์ 4×4 สมรรถนะสูงเหล่านี้คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ ขอเชิญคุณมาสัมผัสพละกำลังและเทคโนโลยีอันน่าทึ่งด้วยตัวคุณเองที่โชว์รูมใกล้บ้าน หรือแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับรถ 4×4 ในฝันของคุณกับเราได้เลย!
รถ 4×4 ที่ดีที่สุด 2025 – ดาวเด่นแห่งสมรรถนะการขับเคลื่อนสี่ล้อบนท้องถนน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการรถยนต์สมรรถนะสูงมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของเทคโนโลยีการขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD หรือ 4×4) จากเดิมที่มักจำกัดอยู่เพียงรถออฟโรดที่ตะลุยทางวิบากอย่างเดียว ปัจจุบันระบบ AWD ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดไปสู่โลกของรถยนต์สมรรถนะสูงบนท้องถนนอย่างเต็มตัว กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพอันมหาศาล มอบการยึดเกาะที่เหลือเชื่อ และสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นกว่าที่เคยมีมา
ย้อนกลับไปเมื่อ Audi เขย่าวงการ World Rally Championship ด้วยระบบ Quattro ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ ภาพลักษณ์ของรถยนต์สมรรถนะสูงก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความสามารถในการถ่ายทอดกำลังไปยังล้อทั้งสี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะบนทางฝุ่น ทางเปียก หรือบนพื้นผิวที่ท้าทาย ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความได้เปรียบที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แบรนด์ยักษ์ใหญ่มากมายก็กระโดดเข้าสู่สมรภูมิ 4×4 อย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็น Porsche กับ 911 และ 959 ในตำนาน, Nissan กับ Skyline GT-R สุดโหด, ไปจนถึง Mitsubishi, Subaru, Lancia, Toyota และ Ford ที่ต่างนำเอาเทคโนโลยีสนามแข่งมาสู่รถยนต์ถนนสมรรถนะสูงของตนเอง
สี่ทศวรรษผ่านไปนับตั้งแต่การเปิดตัวของ Quattro ตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงในปี 2025 เต็มไปด้วยยานยนต์ที่ส่งกำลังไปยังทุกมุมล้อด้วยวิธีที่หลากหลายและซับซ้อนยิ่งขึ้น รถ 4×4 เหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นแค่ “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่กลายเป็น “มาตรฐาน” ที่จำเป็น เพื่อควบคุมพละกำลังระดับมหาศาลและรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ยุคใหม่ หลายรุ่นมีกำลังใกล้เคียงซูเปอร์คาร์ในอดีต เช่น Hot Hatch อย่าง Audi RS3 ที่เฉียด 400 แรงม้า หรือ Super SUV อย่าง Range Rover Sport SV ที่ทะลุ 600 แรงม้า ไปจนถึงซูเปอร์คาร์ระดับท็อปอย่าง Lamborghini Revuelto ที่มีกำลังเกิน 1000 แรงม้า การมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
สิ่งที่น่าทึ่งคือความหลากหลายของวิธีการที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อถูกนำมาใช้ในปัจจุบัน รถยนต์ไฮบริดบางรุ่นถึงกับไม่ต้องเชื่อมต่อเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับล้อหน้าเลยด้วยซ้ำ แต่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทน ขณะที่ระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะและชุดเฟืองท้ายที่ซับซ้อนทำงานร่วมกัน เพื่อให้รถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นใหม่ล่าสุดมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นกว่าที่เคยเป็นมา จากการทดสอบอย่างเข้มข้นในทุกรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูงล่าสุด ทั้งบนถนนและในสนามแข่ง ผมขอยืนยันว่า 4×4 ไม่ใช่แค่สำหรับการลุยโคลน หรือทำให้ Porsche 911 ขับง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มความสามารถอันน่าทึ่งของรถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่ให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ในบทความนี้ ผมจะพาทุกท่านไปสำรวจสุดยอดรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูงประจำปี 2025 ที่โดดเด่นและน่าประทับใจที่สุดในสายตาของผู้เชี่ยวชาญอย่างผม โดยไม่มีลำดับความสำคัญเป็นพิเศษ แต่ล้วนเป็นดาวเด่นที่คู่ควรกับการกล่าวขานถึง
Ferrari Purosangue
ราคาเริ่มต้นประมาณ 313,000 ปอนด์ (ราว 14.5 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: ขุมพลัง V12 อันยิ่งใหญ่, สมรรถนะการขับขี่ที่น่าทึ่ง, เสียงเครื่องยนต์สุดเร้าใจ
ข้อควรพิจารณา: อินเทอร์เฟซผู้ใช้ซับซ้อน, น้ำหนักมาก
เมื่อ Ferrari ประกาศเปิดตัว Purosangue คำถามที่ตามมาคือ นี่คือ SUV คันแรกของ Ferrari จริงหรือ? หรืออย่างที่ Ferrari ยืนยันว่ามันคือรถสปอร์ตสี่ประตู สี่ที่นั่งของ Ferrari อย่างแท้จริงครั้งแรกในประวัติศาสตร์? หลังจากได้สัมผัสและขับขี่ด้วยตัวเอง ผมกล้าพูดได้เลยว่ามันคือรถที่ยอดเยี่ยม ด้วยขุมพลังอันทรงเกียรติและระดับความสามารถด้านไดนามิกที่น่าประทับใจอย่างแท้จริง
หัวใจของ Purosangue คือเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 715 แรงม้า และแรงบิด 528 ปอนด์-ฟุต รอบเครื่องยนต์สูงสุดถึง 8250 รอบต่อนาที แม้จะมีน้ำหนักเกินสองตัน แต่ก็สามารถพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.3 วินาทีเท่านั้น เสียงเครื่องยนต์นั้นน่าทึ่งอย่างยิ่ง เงียบสงบเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง แต่จะแผดก้องสร้างแรงบันดาลใจเมื่อคุณปลดปล่อยพลัง V12 อย่างเต็มที่ ความทวิลักษณ์นี้เองที่นิยาม Purosangue ได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันสามารถเป็น Grand Tourer ที่นุ่มนวลและหรูหราในเวลาหนึ่ง และเป็นนักล่าบนถนนคดเคี้ยวที่คล่องแคล่วและน่าหลงใหลในอีกเวลาหนึ่ง
Purosangue เป็นเครื่องจักรที่มีความซับซ้อนสูงมาก โช้คอัพ Multimatic อันล้ำสมัยของมันต้องมีระบบระบายความร้อนแยกต่างหาก แต่กลับให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่งเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ 100% ด้วย Haptic UI ที่อาจจะยังไม่ราบรื่นนัก และพื้นที่เก็บสัมภาระที่อาจไม่มากเท่าที่คาดหวังจากรถประเภทนี้ แต่เมื่อคุณปลดปล่อยขุมพลัง V12 แบบ Naturally Aspirated และดื่มด่ำกับการควบคุมที่แม่นยำ คุณจะให้อภัยทุกสิ่ง
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “วิธีที่มันควบคุมมวลสาร ถ่ายทอดสมรรถนะ และตะลุยถนนที่ท้าทายนั้นน่าสับสนอย่างแท้จริง ด้วยพวงมาลัยที่คมกริบ การเปลี่ยนทิศทางที่น่าตื่นตาตื่นใจ และความยืดหยุ่นที่เหนือระดับ ทั้งหมดนี้ผนวกกับขุมพลัง V12 อันทรงพลังดุจเทพเจ้า มันจะเป็นรถอื่นใดไปไม่ได้นอกจาก Ferrari แต่กลับให้ความรู้สึกไม่เหมือน Ferrari คันไหนที่ผมเคยขับมาเลย”
ทางเลือกอื่น: คู่แข่งโดยตรงของ Ferrari Purosangue แทบจะไม่มีเลย เนื่องจากการเป็น SUV เครื่องยนต์ V12 แต่ Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE ก็เป็นแบรนด์ที่มีสถานะใกล้เคียงกัน ให้การผสมผสานระหว่างสมรรถนะและการใช้งานจริงที่น่าสนใจ
BMW M4 CS
ราคาเริ่มต้นประมาณ 122,685 ปอนด์ (ราว 5.7 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: รวดเร็วเหนือคาดพร้อมแชสซีส์ที่ลงตัว
ข้อควรพิจารณา: ต้องการออปชั่นราคาแพงเพื่อดึงศักยภาพสูงสุด
M4 CS มีส่วนผสมที่ลงตัวทุกประการที่จะถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในตำนานตลอดกาล ด้วยเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ Straight-six ที่ให้กำลัง 542 แรงม้า และแรงบิด 479 ปอนด์-ฟุต เกียร์ 8 สปีดที่เปลี่ยนได้นุ่มนวล และแชสซีส์ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Rear-biased ที่เป็นกลางและยึดเกาะถนนเป็นเยี่ยม บนถนนที่เหมาะสมและในสภาพอากาศที่ลงตัว มันคือรถที่ระเบิดความเร้าใจออกมาได้อย่างเต็มที่
M4 CS เป็นการผสมผสานส่วนที่ดีที่สุดของ M4 Competition และ M4 CSL โดยใช้เครื่องยนต์ Straight-six ที่อัปเกรดจาก CSL และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจาก Competition ซึ่งการมีสี่ล้อขับเคลื่อนนั้นทำให้มันดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด CSL ที่เป็นขับเคลื่อนล้อหลังอาจจะ “สปอร์ตจัด” เกินไปในสภาพถนนที่ไม่สมบูรณ์แบบนัก แม้ M4 CS เองก็ยังต้องการสภาพถนนที่เหมาะสม ยาง Cup 2 R ของมันจำเป็นต้องทำอุณหภูมิให้ถึงจุดที่เหมาะสมก่อนที่จะให้สมรรถนะที่ดีที่สุด
แต่เมื่อเข้าสู่สภาวะที่เหมาะสม มันก็แสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ ด้วยส่วนหน้าของรถที่ต้านอาการอันเดอร์สเตียร์ได้ดีและให้ความรู้สึกยึดเกาะอย่างมั่นคง ระบบ xDrive ที่ปรับแต่งโดย M ช่วยให้คุณสามารถดึงประสิทธิภาพสูงสุดของรถออกมาได้ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ แม้จะเป็นรถที่ใช้งานได้หลากหลาย แต่ก็ยังต้องการถนนและสภาพอากาศที่เหมาะสมเพื่อแสดงศักยภาพสูงสุด
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “มันเป็นรถที่มีลักษณะ Rear-biased อย่างชัดเจน แต่ถ้าคุณเริ่มเข้าใกล้จุดที่เกินควบคุม ล้อหน้าจะเข้ามาช่วยฉุดดึงคุณออกมาได้อย่างมั่นคง M3 และ M4 รุ่นปัจจุบันในทุกรูปแบบ (รวมถึง M5 ด้วย) เป็นตัวอย่างแรกๆ ที่แสดงให้เห็นว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในยุคสมัยใหม่มีความหลากหลายเพียงใด และมันไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยการลดทอนความสนุกในการขับขี่เลย”
ทางเลือกอื่น: คู่แข่งโดยตรงของ BMW M4 CS นั้นมีไม่มากนัก แต่ถ้าคุณไม่ได้ต้องการความอเนกประสงค์ของ BMW มากนัก Porsche 911 GTS รุ่นใหม่ก็เป็นทางเลือกที่เน้นการขับขี่ที่มากกว่า แต่ไม่ถึงกับฮาร์ดคอร์เท่า
Land Rover Defender Octa
ราคาเริ่มต้นประมาณ 145,300 ปอนด์ (ราว 6.7 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: คุณสมบัติไดนามิกที่เทียบเคียงรถสปอร์ต
ข้อควรพิจารณา: คุณจะหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อสำรวจศักยภาพทั้งหมดของมันได้ที่ไหน?
Land Rover เป็นแบรนด์ที่ synonymous กับตลาดขับเคลื่อนสี่ล้อที่เน้นการลุยมาโดยตลอด แม้ว่าผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันจะขยับสู่ตลาดพรีเมียมมากขึ้น แต่พวกเขาก็ยังคงความสามารถอันยอดเยี่ยมในการบุกตะลุยเส้นทางที่ท้าทาย และนั่นเป็นจริงสองเท่าสำหรับ Defender Octa ซึ่งเป็น Land Rover ที่ถูกยกระดับไปอีกขั้น ทั้งบนถนนและนอกถนน
ภายใต้ฝากระโปรงคือเครื่องยนต์ V8 ขนาด 626 แรงม้า ที่ได้มาจาก BMW M ซึ่งทำให้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาทีเมื่อใช้ Launch Mode ตัวรถมีความกว้างขึ้นเพื่อรองรับปีกนกที่ยาวขึ้น และสูงขึ้นเพื่อเพิ่ม Ground Clearance สำหรับการขับขี่ออฟโรด สิ่งที่น่าสนใจที่สุดอาจจะเป็นระบบกันสะเทือน 6D ที่มาพร้อมโช้คอัพแบบกึ่งแอคทีฟที่เชื่อมต่อกันด้วยระบบไฮดรอลิก ซึ่งแม้จะไม่ใช่การเซ็ตอัพที่ “สื่อสาร” กับคนขับในแบบรถสปอร์ตดั้งเดิม แต่ Octa กลับให้ความรู้สึกกระชับ ตอบสนองดี และอยากจะร่วมสนุกบนท้องถนนมากกว่า SUV สมรรถนะสูงชั้นนำบางรุ่นเสียอีก
สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือความสามารถบนท้องถนนที่ค้นพบใหม่นี้ยังคงมีประสิทธิภาพเมื่อคุณเลี้ยวออกจากทางลาดยาง ไม่ว่าพื้นผิวจะเป็นแบบใด Octa ก็สามารถจัดการได้ราวกับอยู่ในสนาม Dakar Special Stage แต่ในขณะเดียวกัน ผู้โดยสารก็ยังได้รับการดูแลด้วยคุณภาพการขับขี่และความสงบเงียบที่ไม่สามารถทำได้ใน Defender ทั่วไป นี่อาจจะเป็นรถ “ไปได้ทุกที่” ที่สมบูรณ์แบบที่สุด
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “Defender Octa เป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง มันเป็นมากกว่า ‘Defender SVR’ ที่เราเคยจินตนาการไว้มากนัก เมื่อไอคอนของ Land Rover ถือกำเนิดขึ้นใหม่ในปี 2019”
ทางเลือกอื่น: ตลาด Super SUV นั้นกว้างขวาง แต่ไม่มีรุ่นใดที่เทียบเคียง Defender Octa ได้โดยตรงในฐานะ Trophy Truck ที่ใช้งานบนถนนได้จริง หากต้องการความสามารถออฟโรดที่ใกล้เคียง มีเพียง Ford Ranger (หรือ F150) Raptor ที่พอจะเทียบได้ แม้จะขาดความสามารถบนท้องถนนที่น่าทึ่งของ Defender แต่ในฐานะ Super Truck ที่น่าเกรงขามสำหรับท้องถนน Mercedes-AMG G63 คือเป้าหมายที่ชัดเจน
Toyota GR Yaris
ราคาเริ่มต้นประมาณ 46,045 ปอนด์ (ราว 2.1 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: ความเร็วข้ามประเทศมหาศาล, มีจุดประสงค์ชัดเจน, เครื่องยนต์ทรงพลัง
ข้อควรพิจารณา: ราคาสูง, หายาก, ไม่ได้ขี้เล่นเป็นพิเศษ
ครั้งหนึ่งเคยเป็นยุคทองของ Homologation Special แต่ปัจจุบันรถประเภทนี้หาได้ยากยิ่ง ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่การเปิดตัวของ GR Yaris น่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง ใช่แล้ว นี่คือรถที่ถือกำเนิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะลงแข่งแรลลี่ และมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งในเจนเนอเรชั่น 1 และ 2 มันคือความสนุกที่แท้จริงในการขับขี่
GR Yaris (Gen 2) ในปัจจุบันได้เพิ่มฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมมากมาย และได้พิสูจน์ตัวเองอย่างน่าชื่นชมในการทดสอบรถยนต์ปี 2024 โดย Stuart Gallagher บรรณาธิการ แสดงความคิดเห็นว่า “ผมชอบคุณภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมของ Yaris ซึ่งเมื่อรวมกับขนาดที่กะทัดรัด ความคล่องตัวที่น่าทึ่ง และพละกำลังที่ระเบิดจากเครื่องยนต์สามสูบ ทำให้มันสนุกสุดเหวี่ยง มันยังโดดเด่นในสภาพถนนเปียกอีกด้วย” ความสามารถในสภาพอากาศเปียกส่วนหนึ่งมาจากระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ GR-Four ที่ชาญฉลาด ซึ่งมีสามการตั้งค่าสำหรับการแบ่งแรงบิดระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง และมันมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร สามสูบอาจจะฟังดูไม่น่าตื่นเต้นที่สุด แต่ด้วยกำลัง 276 แรงม้า และแรงบิด 265 ปอนด์-ฟุต ก็มีพละกำลังมากพอที่จะขับเคลื่อน GR Yaris ที่มีน้ำหนัก 1280 กก. ให้พุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 5.2 วินาที GR Yaris เป็น Hot Hatch ชนิดที่คุณจะอดไม่ได้ที่จะขับเต็มที่ไปทุกที่ มักจะมาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า มันยังเป็นรถที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย และเท่สุดๆ หากคุณเข้าใจในสิ่งที่กำลังมองหา
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “Yaris มีพฤติกรรมในแบบที่ธรรมดาที่สุด แต่สามารถทำสิ่งที่ไม่ธรรมดาได้อย่างน่าประหลาดใจ มีรถน้อยคันนักในทุกระดับราคาที่จะเข้าถึงง่ายและใช้ประโยชน์ได้ทันทีขนาดนี้ ไม่มี Hot Hatch คันไหนที่ให้ความรู้สึกเหมาะสมกับถนนที่ขรุขระของเวลส์ได้เท่านี้อีกแล้ว”
ทางเลือกอื่น: ด้วยลักษณะเฉพาะของรถที่ถอดแบบมาจากสนามแรลลี่ Toyota GR Yaris จึงไม่มีคู่แข่งโดยตรง การมาถึงของมันไม่ได้กระตุ้นให้ Ford ตอบสนองด้วย Fiesta RS อย่างที่หลายคนคาดหวัง ในปัจจุบัน Hot Hatch ขับเคลื่อนสี่ล้อขั้นสุดส่วนใหญ่มาจากเยอรมนี ในรูปแบบของ Audi RS3 และ Mercedes-AMG A45 S
Bentley Continental GT Speed
ราคาเริ่มต้นประมาณ 236,600 ปอนด์ (ราว 11 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: ขุมพลังไฮบริดใหม่เหมาะกับบุคลิกของ GT ได้อย่างลงตัว
ข้อควรพิจารณา: ทำให้รถที่หนักอยู่แล้วยิ่งหนักขึ้นไปอีก
Bentley Continental GT Speed ที่มีให้เลือกทั้งแบบคูเป้และเปิดประทุน GTC คือบทพิสูจน์ของการท้าทายกฎฟิสิกส์ Bentley ไม่เคยขึ้นชื่อเรื่องน้ำหนักเบา และด้วยขุมพลังไฮบริด รุ่น GT Speed มีน้ำหนักมากถึง 2459 กก. สำหรับรุ่นคูเป้ และ 2636 กก. สำหรับรุ่น GTC แต่ทั้งคู่กลับน่าหลงใหลอย่างที่สุด
Bentley ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา GT Speed ให้กำลัง 771 แรงม้า ด้วยเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบชาร์จและมอเตอร์ไฟฟ้า 140kW พร้อมแรงบิดที่สูงถึง 738 ปอนด์-ฟุต แม้จะมีน้ำหนักมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกรวดเร็วทุกครั้งที่คุณเหยียบคันเร่งเต็มที่ การเปลี่ยนผ่านระหว่างการล่องลอยด้วยพลังงานแบตเตอรี่ไปสู่การปลุกเครื่องยนต์ V8 นั้นราบรื่นและละเอียดอ่อน มันมาพร้อม Bentley Dynamic Ride พร้อมเหล็กกันโคลงแอคทีฟ 48V และซอฟต์แวร์สำหรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบแอคทีฟและ e-diff ด้านหลังได้รับการปรับเทียบใหม่สำหรับ Continental รุ่นล่าสุดนี้
มันสามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้อย่างเงียบเชียบ แต่เมื่อเพิ่ม V8 เข้าไป มันก็สามารถสร้างความประทับใจในฐานะรถสปอร์ตได้อย่างดีเยี่ยม แม้กระทั่งบนทางโค้ง พวงมาลัยค่อนข้างเบาแต่ตอบสนองได้ตรงไปตรงมา และแม้ว่าจะไม่ใช่การเซ็ตอัพที่ให้ความรู้สึกมากที่สุด แต่คุณก็ยังรับรู้ได้ว่ายางหน้ากำลังทำอะไรอยู่ พร้อมการยึดเกาะและการตอบสนองจากแชสซีส์ที่ทำให้คุณสัมผัสถึงขีดจำกัดของมัน ในฐานะ GT ที่สมบูรณ์แบบพร้อมคุณสมบัติความเป็นรถสปอร์ต มันมีคู่แข่งน้อยมาก หรืออาจจะไม่มีเลย
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “คุณอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยความชื่นชมในความคล่องตัวที่วิศวกรของ Bentley มอบให้มัน มันเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Variable-torque-split สามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือแชสซีส์และระบบขับเคลื่อนอื่นๆ ที่วิศวกรมี เพื่อทำให้รถ Luxury Cruiser ที่มีน้ำหนัก 2.4 ตัน คล่องตัวและหลอกลวงได้มากกว่าที่เคยเป็นมา”
ทางเลือกอื่น: Bentley Continental GT Speed ผสมผสานความหรูหราที่ไม่มีใครเทียบได้เข้ากับสมรรถนะอันน่าทึ่ง คู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Aston Martin DB12 และ Maserati GranTurismo ซึ่งให้ความรู้สึกสปอร์ตมากกว่า แต่ Bentley คือรถที่สมบูรณ์แบบกว่าสำหรับการเดินทางไกล
Mercedes-AMG GT 63
ราคาเริ่มต้นประมาณ 170,000 ปอนด์ (ราว 7.9 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: ขับขี่ได้คมชัด, GT ที่ใช้งานได้จริงและน่าดึงดูดใจยิ่งขึ้น
ข้อควรพิจารณา: เสียง V8 ถูกลดทอนลง, ระบบเลี้ยวล้อหลังและ eLSD ต้องการการปรับแต่งร่วมกัน
ต้องยอมรับว่า Mercedes-AMG ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดกับรถยนต์บางรุ่นที่ผ่านมา แต่พวกเขากลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้งกับ GT 63 รุ่นใหม่ ด้วยที่นั่งด้านหลังแบบ +2 และพื้นที่เก็บสัมภาระที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มันใช้งานได้จริงมากขึ้น เช่นเดียวกับสมรรถนะที่ทรงพลังและน่าเพลิดเพลินยิ่งขึ้น แม้จะมีชื่อ GT แต่ AMG ก็เชื่อว่ามันเป็นรถสปอร์ตมากกว่า
แน่นอนว่ามันมีพละกำลังที่จำเป็น ด้วยเครื่องยนต์ V8 M177 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้กำลัง 577 แรงม้า และแรงบิด 590 ปอนด์-ฟุต ซึ่งทำให้ GT 63 สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม. แต่แชสซีส์ของ GT คือสิ่งที่นำมาซึ่งความประหลาดใจและความสุข สร้างขึ้นบนโครงอะลูมิเนียม Space Frame ใหม่ทั้งหมด โดยมีเหล็ก แมกนีเซียม และวัสดุคอมโพสิตรวมอยู่ในการก่อสร้าง ทำให้มีความแข็งแกร่งด้านแรงบิด แรงเฉือน และแรงตามยาวเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบมัลติลิงก์อะลูมิเนียมฟอร์จประกอบด้วยโช้คอัพแอคทีฟที่เชื่อมต่อกันด้วยระบบไฮดรอลิกทั่วทั้งแชสซีส์, ระบบกันโคลงแอคทีฟ, ระบบเลี้ยวล้อหลัง, เฟืองท้ายแบบจำกัดการลื่นไถลควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic+ ที่สามารถส่งแรงบิดไปยังเพลาหน้าได้สูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์ ในโหมด Comfort และ Sport มันคือ GT มากกว่า แต่เมื่อเปลี่ยนเป็น Sport+ หรือ Race บุคลิกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงก็ปรากฏขึ้น – รถสปอร์ตที่น่าดึงดูดใจ มีเอกลักษณ์ และแม่นยำ
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “มันยึดเกาะและพุ่งทะยาน เมื่อคุณเล่นกับสไตล์การเข้าโค้งเล็กน้อย – การยกคันเร่งขณะเลี้ยวเข้า หรือการเบรกชะลออย่างระมัดระวัง – ท้ายรถจะรู้สึกเหมือนลอยตัวเข้าสู่การสไลด์ที่ควบคุมได้ ซึ่งสามารถรักษาและขยายได้ด้วยการเหยียบคันเร่งอย่างมั่นใจ ลองนึกถึงความรู้สึกที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง R35 GT-R ที่มีระดับและไม่แปลกประหลาดนัก กับ 911 Turbo ที่ดุดันกว่า มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก และส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก 4Matic+”
ทางเลือกอื่น: Mercedes-AMG GT 63 เป็นรถที่ทำได้หลายอย่าง มันสามารถเป็นรถสปอร์ตได้เกือบเทียบเท่ากับ Porsche 911 GTS หรือ Aston Martin Vantage แต่มาพร้อมคุณสมบัติ Grand Touring ที่เพิ่มเข้ามา
BMW M5
ราคาเริ่มต้นประมาณ 111,515 ปอนด์ (ราว 5.2 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: รวดเร็วอย่างมหาศาล, มีความสามารถอย่างมหาศาล
ข้อควรพิจารณา: ขนาดใหญ่มาก, ค่อนข้างหนัก
น้ำหนักที่ไม่น้อยของ M5 ถูกพูดถึงอย่างมากก่อนการเปิดตัว มันได้เปลี่ยนเป็นระบบไฮบริด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 500 กก. เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ สิ่งนี้สร้างความตื่นตระหนกในหมู่แฟนๆ BMW M พอๆ กับการตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในรุ่นก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม หากเราต้องการรักษารถซูเปอร์ซาลูนไว้ เราจะต้องคุ้นเคยกับไฮบริดที่หนักกว่านี้
และเมื่อคุณได้อยู่หลังพวงมาลัยและคุ้นเคยกับ M5 อย่างถ่องแท้ ดูเหมือนว่าการเพิ่มพลังงานไฟฟ้าเข้าไปไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเลวร้าย แม้จะมีกำลัง 717 แรงม้าให้เล่น แต่ M5 ก็มีอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักที่ด้อยกว่า V8 ที่ไม่ใช่ไฮบริดรุ่นก่อนเล็กน้อย แต่มันก็ยังคงสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 305 กม./ชม. หากเลือกแพ็คเกจ M Driver’s
แต่ไม่ใช่ความเร็วสูงสุดที่น่าประทับใจนัก สิ่งที่น่าประทับใจคือ M5 (ขอย้ำว่าเป็นคำพูดที่ใช้บ่อย) รู้สึกเล็กลงเมื่อคุณขับขี่ มันให้ความรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักน้อยกว่าที่ตัวเลขระบุไว้อย่างมาก มีโหมดการขับขี่ให้เลือกมากมายสำหรับไดนามิก – พวงมาลัย, แดมปิ้ง, แผนที่เกียร์, การฟื้นฟูพลังงาน, แผนที่ระบบส่งกำลัง และแม้กระทั่งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M5 ยังสามารถสลับระหว่าง 4WD, โหมด 4WD Sport ที่เน้นล้อหลังมากขึ้น และโหมดขับเคลื่อนล้อหลังล้วนๆ ได้ และในโหมด 4WD Sport มันขี้เล่นอย่างไม่น่าเชื่อ ปกปิดมวลสารด้วยความคล่องตัวที่ไม่คาดคิด
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “วิธีที่ M5 เข้าและผ่านโค้ง ทำให้มันรู้สึกเหมือนรถที่เล็กกว่ามาก คุณจะสาบานได้เลยว่ามันมีน้ำหนักน้อยกว่าที่เป็นอยู่ประมาณ 800 กก. การเป็นไฮบริดทำให้มันมีความสามารถที่หลากหลายขึ้น และถ้ามันหมายความว่า M5 จะยังคงอยู่กับเราไปอีกนานในแบบที่เราคุ้นเคย มันก็เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่อง”
ทางเลือกอื่น: BMW M5 มีคู่แข่งอย่าง Panamera Turbo E-Hybrid แต่ถ้าคุณต้องการกำลังที่ไม่ใช่ไฮบริด Audi RS7 คือทางเลือกเดียวที่มีในปัจจุบัน หากพร้อมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ Porsche Taycan Turbo และ Audi RS E-Tron GT ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในแบบของตัวเอง
Range Rover Sport SV
ราคาเริ่มต้นประมาณ 177,000 ปอนด์ (ราว 8.2 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: คุณภาพไดนามิกในระดับรถสปอร์ต
ข้อควรพิจารณา: ราคาสูง, เป็นคำตอบสำหรับคำถามที่ไม่มีใครเคยถาม
Range Rover Sport เจเนอเรชั่นก่อนหน้านี้บางคนมองว่าดูหรูหราเกินไป รุ่นล่าสุดนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดี ห่อหุ้มด้วยรูปลักษณ์ที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น แต่ยังคงซ่อนขุมพลังที่ทรงพลังไม่แพ้กัน ด้วยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบขนาด 626 แรงม้า ที่ได้มาจาก BMW M สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที และจะลดลงอีก 0.2 วินาที หากคุณเลือกแพ็คเกจคาร์บอนพร้อมล้อคาร์บอนและยางที่ยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น
มันเร็วใช่ไหม? แต่ SUV ขนาด 2.5 ตัน คันนี้จะสามารถสร้างความบันเทิงได้หรือไม่เมื่อมีโค้งเข้ามาเกี่ยวข้อง? พูดสั้นๆ คือ “ใช่” มันทำได้ มันมีแชสซีส์ที่รองรับพละกำลัง ด้วยระบบกันสะเทือนไฮดรอลิก 6D Cross-linked ที่ชาญฉลาด – คล้ายกับที่คุณจะพบใน McLaren 750S – เพื่อมอบการผสมผสานระหว่างความสบายและการควบคุมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตลาด SUV
แม้จะยังคงมีการโคลงตัวเล็กน้อยที่ช่วยให้คุณพยุงตัวได้ แต่ระบบ 6D ป้องกันการโยกตัวมากเกินไปที่รถยนต์ประเภทนี้มักจะประสบปัญหาภายใต้การเข้าโค้งและการเบรกอย่างรุนแรง ด้วยการเพิ่มระบบเลี้ยวล้อหลัง ทำให้ SV ให้ความรู้สึกมั่นคงอย่างสมบูรณ์แบบบนสนามแข่ง การไหลลื่นจากการเลี้ยวเข้าสู่ Apex ไปจนถึงการออกจากโค้งด้วยความมั่นใจจนคุณแทบจะรู้สึกผิดที่ประทับใจกับความสามารถของรถที่คุณคาดว่าจะเห็นจอดอยู่ในโรงจอดรถมากกว่าที่จะเห็นมัน “clip apex” บนสนามแข่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าของส่วนใหญ่จะไม่ลงสนามแข่ง แต่เป็นเรื่องดีที่รู้ว่า SV ยังคงมีความสามารถเมื่ออยู่นอกเขตความสบายของมัน
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “พุ่งเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง Range Rover Sport SV ให้ความรู้สึกที่มั่นคง ไม่มีการสะทกสะท้าน เปลี่ยนทิศทางได้อย่างคมชัดอย่างไม่คาดคิดจากรถขนาดมหึมาเช่นนี้ ไม่ว่าคุณจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ SUV แต่ Range Rover Sport SV เป็นเครื่องจักรที่ไม่ธรรมดา”
ทางเลือกอื่น: Range Rover Sport SV คือคู่แข่งโดยตรงของ Porsche Cayenne Turbo ซึ่งเป็นรถสปอร์ตบนส้นสูงที่มีมานาน ปัจจุบันมีให้เลือกเฉพาะในรูปแบบ e-Hybrid เท่านั้น นั่นหมายความว่า Range Rover ที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปล้วนกลับเบากว่า Cayenne ขณะที่ยังคงรักษาความรู้สึกหรูหราแบบ ‘Range Rover’ ได้เหนือกว่า และยังเหนือกว่า BMW X5M และ Audi RSQ8 ด้วยเช่นกัน หากไม่นับ Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE ที่มีราคาสูงกว่าที่คุณอาจเลือกได้แทน
Audi RS3
ราคาเริ่มต้นประมาณ 60,135 ปอนด์ (ราว 2.8 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: เครื่องยนต์ยอดเยี่ยม, แชสซีส์ขี้เล่นที่น่าตื่นเต้น
ข้อควรพิจารณา: ขาดการตอบสนองและความแม่นยำของรถที่ดีที่สุด
ก่อนการมาถึงของ Mercedes-AMG A45 S, RS3 เคยเป็น Hot Hatch ที่ทรงพลังที่สุดในโลกชั่วขณะหนึ่ง แม้จะถูกคู่แข่งจากสตุทการ์ทแซงหน้าไปได้ แต่ RS3 ก็ยังคงเป็น Hyperhatch ที่น่าเพลิดเพลินอย่างยิ่ง และเป็น All-rounder ที่ยอดเยี่ยม มันเป็นข้อเสนอที่ละเอียดอ่อนกว่าพี่น้อง RS ขนาดใหญ่ของมันเล็กน้อย และเมื่อติดตั้งออปชั่นที่เหมาะสม มันก็เกือบจะสามารถหลบสายตาได้อย่างแนบเนียน
ด้วยกำลัง 394 แรงม้า มันจึงเร่งความเร็วได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ทำเวลา 0-100 กม./ชม. ได้ต่ำกว่า 4 วินาที และด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ทำให้มันสามารถทำความเร็วได้อย่างมั่นใจไม่ว่าจะในสภาพอากาศแบบใด หัวใจสำคัญของการก้าวกระโดดด้านไดนามิกของ RS3 เจเนอเรชั่นนี้คือ ‘Torque Splitter’ Differential ด้านหลังของ Audi ซึ่งสามารถแบ่งแรงบิดไปทั่วเพลาหลังได้ตามความต้องการของแต่ละล้อ แรงบิดของเครื่องยนต์สูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์สามารถส่งไปยังด้านหลังได้ แต่แรงบิดทั้งหมดนั้นยังสามารถส่งไปยังล้อหลังเพียงล้อเดียวได้ – ล้อด้านนอกเพื่อลดอาการอันเดอร์สเตียร์ (หรือทำให้รถสไลด์) หรือล้อด้านในเพื่อเพิ่มความเสถียรเมื่อจำเป็น
หัวใจของ RS3 คือเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จห้าสูบที่ยอดเยี่ยม ซึ่งน่าประทับใจและมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง ด้วยเสียงคำรามของเครื่องยนต์ห้าสูบที่เลียนแบบเสียง V8 ของ R8 ได้อย่างน่าทึ่งในบางสถานการณ์ มันอาจจะไม่มีระดับการมีส่วนร่วมเท่ากับ GR Yaris หรือ Civic Type R แต่ก็ใกล้เคียงมาก และเมื่อคุณไม่ได้พุ่งเข้าโค้ง และเพียงแค่ต้องการขับขี่ชิลล์ๆ มันก็ให้ความรู้สึกสบายและหรูหรา
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “RS3 น่าตื่นเต้นอย่างมหาศาล – มันอาจจะไม่มีความสง่างามและการตอบสนองของ Civic Type R แต่ความรุนแรงและระดับการปรับแต่งที่หลากหลายทำให้มันมีเสน่ห์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เมื่อปิดระบบทั้งหมด Torque Splitter จะเริ่มให้ทางเลือกมากขึ้น และความสามารถในการควบคุมการสไลด์ที่ยาวนานในโหมด Torque Rear มันเป็นรถที่แสดงออกได้มากกว่าและใช้ประโยชน์ได้มากกว่าที่หลายคนคาดคิด”
ทางเลือกอื่น: คู่แข่งหลักของ Audi RS3 ในแง่ของราคา สมรรถนะ และตำแหน่งทางการตลาดคือ Mercedes-AMG A45 S หากมองลงมาเล็กน้อย คุณสามารถเลือก Volkswagen Golf R ได้ในราคาที่ถูกกว่า หากต้องการการโต้ตอบและการมีส่วนร่วมที่มากกว่า โดยปราศจากความปลอดภัยและความสามารถของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Honda Civic Type R คือตัวเลือกที่ไม่มีใครเทียบได้
Porsche 911 Carrera 4 GTS
ราคาเริ่มต้นประมาณ 144,000 ปอนด์ (ราว 6.7 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: 992 Carrera ที่สมบูรณ์แบบและมีเสน่ห์ที่สุด
ข้อควรพิจารณา: เทคโนโลยีไฮบริดหมายถึงไม่มีตัวเลือกเกียร์ธรรมดา
Porsche 911 Carrera 4 GTS รุ่นล่าสุดเป็นแนวคิดที่ใหม่มากสำหรับ Porsche ในแง่หนึ่งคือ 911 คันแรกที่เป็น (แม้เพียงเล็กน้อย) ไฮบริด แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันคือรุ่นล่าสุดในสายเลือดของรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ยาวนาน ซึ่งเริ่มต้นด้วย Carrera 4s รุ่น 964 ในยุค 1980s Porsche เป็นผู้บุกเบิกรถสปอร์ตขับเคลื่อนสี่ล้อ จึงไม่น่าแปลกใจที่รุ่นล่าสุดนี้เป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์และการพัฒนามาหลายปี
GTS รุ่นล่าสุดแน่นอนว่ามาพร้อมเครื่องยนต์ 3.6 ลิตรใหม่ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างเครื่องยนต์และเกียร์ และในเทอร์โบชาร์จเจอร์เดี่ยวใหม่ ผลลัพธ์คือมันสามารถส่งกำลังที่ค่อนข้างมาก – 534 แรงม้า และ 450 ปอนด์-ฟุต – ไปยังยางด้วยการตอบสนองที่รวดเร็วเกือบจะในทันทีที่คุณสั่งการ
เมื่อคุณสัมผัสพละกำลังเป็นครั้งแรก คุณจะรู้สึกว่ามอเตอร์เป็นทั้งเครื่องยนต์ที่เบา ขนาดเล็ก แบบ Naturally Aspirated และเป็นเครื่องยนต์ Multicylinder ที่ทรงพลัง มันมีความหลากหลายมาก พละกำลังที่มหาศาลและการมาถึงของกำลังอย่างกระตือรือร้น ทำให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมีความเกี่ยวข้องกับ Carrera มากกว่าที่เคย มอบการยึดเกาะที่มีค่าเมื่อต้องการแรงยึดเกาะสูงสุด แต่ยังคงรักษาบุคลิกของ 911 ที่ขับเคลื่อนล้อหลังไว้ได้ มันเป็นการผสมผสานระหว่าง GT3 และ 911 Turbo ใน Carrera 4 GTS T-Hybrid ได้อย่างยอดเยี่ยม
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “แม้ว่า 911 จะมีแรงยึดเกาะมากมายอยู่แล้ว เนื่องจากมีการกระจายน้ำหนักไปทางด้านหลังอย่างมีชื่อเสียง แต่ C4 ก็มีแรงยึดเกาะที่เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย มันเป็นความรู้สึกที่น่าติดตามที่จะสัมผัสได้ถึงท้ายรถที่ทรุดลงเมื่อออกจากโค้งความเร็วต่ำและปานกลาง ขณะที่เพลาหน้าก็ยึดเกาะได้พร้อมกัน และ GTS ก็พุ่งทะยานไปข้างหน้า โดยที่เทอร์โบไฟฟ้าก็กำลังบูสต์เต็มที่”
ทางเลือกอื่น: ไม่มีรถคันใดที่เทียบเคียงความหลากหลายของตระกูล 911 ได้ ดังนั้นจึงมีคู่แข่งโดยตรงน้อยมากที่จะเทียบเท่าความสามารถของ Carrera 4 GTS ยกเว้น Mercedes-AMG GT63 ซึ่งมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและขุมพลังเทอร์โบชาร์จที่ทรงพลัง พร้อมกำลังที่เพิ่มขึ้นอีก 50 แรงม้า GT55 อาจจะใกล้เคียงกับ 911 ในด้านราคามากกว่า แม้ว่าจะมีกำลังน้อยกว่า 60 แรงม้า หากไม่จำเป็นต้องมี AWD ลองพิจารณา Carrera GTS มาตรฐาน… หรือ Aston Martin Vantage
Aston Martin DBX707
ราคาเริ่มต้นประมาณ 205,000 ปอนด์ (ราว 9.5 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: สมรรถนะที่ยอดเยี่ยมพร้อมไดนามิกที่ลงตัว
ข้อควรพิจารณา: หน้าจอสัมผัสยังคงต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติม
การสร้างแพลตฟอร์มออะลูมิเนียมเฉพาะสำหรับ DBX แทนที่จะซื้อโครงสร้างจาก Mercedes เป็นวิธีที่ดีในการทำให้ผู้ที่คลางแคลงใจในความเป็น Aston Martin ของ SUV คันแรกนี้ต้องตั้งคำถามกับตัวเอง และมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เมื่อได้อยู่หลังพวงมาลัยของ DBX707 รุ่นล่าสุด ผมกล้าพนันว่าผู้ยึดติดกับประเพณีดั้งเดิมส่วนใหญ่จะต้องยอมรับอย่างเต็มที่
นี่คือรถครอบครัวที่สูงตระหง่านพร้อมเส้นสายตัวถัง แผงตัวถัง และความหรูหราภายใน (หากไม่ใช่รายละเอียดที่ซับซ้อน) ที่คุณคาดหวังจาก Aston Martin รวมถึงความประณีต สมรรถนะ และไดนามิกที่ยอดเยี่ยม ตอนนี้ด้วยการตกแต่งภายในที่ได้รับการอัปเดต ทำให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นและใช้งานง่ายขึ้นด้วย
เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร ที่พัฒนาโดย AMG มาพร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์เฉพาะของ Aston Martin เพื่อให้กำลัง 697 แรงม้า และแรงบิด 663 ปอนด์-ฟุต เพื่อขับเคลื่อนมวล 2.2 ตันนี้ไปข้างหน้า ขณะที่โช้คอัพ Bilstein DTX ล่าสุดช่วยให้มันมั่นคงในโค้ง พวงมาลัย แดมปิ้ง และ Limited-slip Differential ล้วนให้ความรู้สึกเป็นเส้นตรงแบบ Lotus ซึ่งทำให้ 707 มีความน่าเชื่อถืออย่างไม่น่าเชื่อสำหรับรถที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้
คุณสามารถวางรถบนถนนและสำรวจขีดจำกัดสูงสุดของมันได้อย่างมั่นใจ ซึ่งความมั่นใจนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติเมื่ออยู่หลังพวงมาลัย จากนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องผ่อนคลาย มันก็ให้ความรู้สึกนุ่มนวลอย่างแท้จริง DBX707 ให้ความรู้สึกที่แท้จริง ไม่เหมือนคู่แข่งหลายๆ คันที่ให้ความรู้สึกเหมือนรถบรรทุกที่ติดตั้งฮาร์ดแวร์สมรรถนะสูงที่รวมเข้าด้วยกันอย่างไม่ลงตัวและดูแปลกๆ เพราะ DBX ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ แต่คู่แข่งเหล่านั้นไม่ใช่
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “บนถนนที่ evo มักจะใช้ในการทดสอบ eCoty และ Group Test มันสามารถจัดการกับสภาพภูมิประเทศที่ขรุขระและท้าทายได้อย่างสมดุล การสื่อสาร และความมั่นคงตามแบบฉบับของ DBX มันยังคงเป็นรถที่ดีที่สุดในประเภทนี้สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ และตอนนี้ก็มีภายในที่สวยงามยิ่งขึ้นให้เพลิดเพลินกับประสบการณ์นั้น”
ทางเลือกอื่น: คู่แข่งที่แท้จริงของ Aston Martin DBX707 นั้นมีน้อยมาก แม้ว่าตลาด Super SUV จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม มีเพียง Ferrari Purosangue ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะในประเภทนี้เช่นกัน ที่ให้ความรู้สึกสมบูรณ์แบบและการควบคุมที่ใกล้เคียงกัน Porsche Cayenne Turbo e-Hybrid ก็ทำผลงานได้ดีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเน้นไปที่แพ็คเกจ GT
Lamborghini Revuelto
ราคาเริ่มต้นประมาณ 454,830 ปอนด์ (ราว 21 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: ในที่สุดก็ได้ V12 Lambo ที่ขับขี่ได้อย่างเหลือเชื่อเหมือนรูปลักษณ์ของมัน
ข้อควรพิจารณา: ราคาสูงและขายหมดแล้ว (ในตอนนี้)
หนึ่งในรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ซับซ้อนที่สุดในตลาดปัจจุบันคือ Lamborghini Revuelto ซึ่งโดดเด่นในการผสมผสานพลังงานไฟฟ้าไปยังล้อหน้าและพลังงานจากเครื่องยนต์สันดาปไปยังล้อหลัง โดยทั้งสองส่วนเชื่อมต่อกันด้วยสมองอิเล็กทรอนิกส์อันชาญฉลาดที่ควบคุมทุกสิ่ง Revuelto เป็นรุ่นล่าสุดในสายเลือดของ Lamborghini ที่มีเครื่องยนต์ V12 เป็นเรือธง ซึ่งย้อนกลับไปถึง Miura Revuelto จึงแหกธรรมเนียมด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมาก และอย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วว่ามันถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีต เมื่อเทียบกับบรรพบุรุษที่อาจจะดูดิบๆ ไปบ้าง
รูปลักษณ์ของมันก็สำคัญพอๆ กับการขับขี่ ซึ่งมันดูน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง แต่การออกแบบที่สะกดทุกสายตาก็ไม่ได้เกินกว่าตัวเลขสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่ ด้วยกำลัง 1001 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่สามารถเร่งรอบได้ถึง 9500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ทำให้มันสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.
กระนั้นก็ตาม แม้จะมีน้ำหนัก 1772 กก. (น้ำหนักแห้ง) มันก็มีความไดนามิกที่พลิ้วไหวราวกับบัลเลต์ ระบบไฟฟ้าและกลไกของมันทำงานประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ ระบบเลี้ยวล้อหลังเพิ่มความคล่องตัว ระบบ Torque Vectoring ในเพลาล้อได้รับการปรับเทียบอย่างดีเยี่ยม และอินเทอร์เฟซผู้ขับขี่ก็ได้รับการออกแบบมาอย่างแม่นยำ นี่คือรถที่มีพละกำลังและภาพลักษณ์ที่โดดเด่นกว่า Bugatti Veyron แต่เต้นรำได้อย่างคล่องแคล่วเหมือน Audi R8 รุ่นแรก
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่สร้างขึ้นรอบๆ เทคโนโลยีไฮบริดได้เปลี่ยนแปลงเรือธงของ Lamborghini อย่างสิ้นเชิง ลักษณะที่ควบคุมยากและน่าเกรงขามของ Aventador ถูกแทนที่ด้วยความคล่องตัวและการใช้งานที่เหนือชั้น เมื่อรวมกับสมรรถนะที่ระเบิดออกมาและเสียงเครื่องยนต์ที่ลงตัว ทำให้ยากที่จะไม่ประกาศว่า Revuelto คือซูเปอร์คาร์ยุคใหม่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด”
ทางเลือกอื่น: Lamborghini Revuelto ครองตำแหน่งสูงสุดในสายซูเปอร์คาร์ที่ Ferrari SF90 (และ Hypercar ทั้งสามรุ่นก่อนหน้า) ได้ปูทางไว้ในตอนนี้ แม้ว่า Aston Martin Valhalla รุ่นใหม่จะพยายามแย่งชิงตำแหน่งก็ตาม สำหรับซูเปอร์คาร์ที่เน้นสมรรถนะและความเร็วดิบๆ McLaren 750S เป็นตัวเลือกที่ดี แม้จะขาดความเร้าใจของเครื่องยนต์ V12 ไปบ้าง
Mercedes-AMG A45 S
ราคาเริ่มต้นประมาณ 65,045 ปอนด์ (ราว 3 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าไทย)
ข้อดี: ความเร็วแบบ Point-to-point, แชสซีส์ขี้เล่น, เครื่องยนต์ทรงพลัง
ข้อควรพิจารณา: ไม่ได้แปลกใหม่หรือน่าดึงดูดใจเท่า RS3
Mercedes-AMG A45 เริ่มต้นชีวิตโดยไม่มีการกล่าวขวัญมากนัก ในฐานะอุปกรณ์ Point-to-point ที่ค่อนข้างเฉื่อยชาและไม่น่าดึงดูดใจ มากกว่าที่จะเป็น Hot Hatch ที่น่าตื่นเต้น Mercedes-AMG ได้นำข้อกล่าวอ้างเหล่านี้มาปรับปรุงอย่างจริงจัง โดยอัปเดตรุ่นแรกและปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมาก ก่อนที่จะแนะนำรุ่นที่สอง (และรุ่นปัจจุบัน) ที่ยอดเยี่ยม มันผสมผสานความรู้สึกที่แพงและได้รับการพัฒนาในการควบคุมและสมรรถนะอันมหาศาลเข้ากับการปรับแต่งแชสซีส์ที่แท้จริง ความขี้เล่น และความรู้สึกที่กระตือรือร้น นี่คือรถที่ดูเหมือนจะสนุกกับการถูกขับขี่ด้วยความเร็ว ไม่ใช่แค่ความเร็วสูงสุดเท่านั้น
สิ่งนี้น่าประทับใจเมื่อพิจารณาถึงคลังเทคโนโลยีที่กว้างขวางของ A45 ระบบกันสะเทือนแบบปรับได้ AMG Ride Control, การกำหนดค่าผู้ขับขี่ Dynamic Select, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic AWD และเกียร์ Speedshift 8 สปีด ล้วนสามารถแยกผู้ขับออกจากรถได้ง่ายๆ แต่การปรับเทียบและการปรับแต่งที่ยอดเยี่ยมได้สร้างความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและความกลมกลืน เครื่องยนต์ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมในความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์สันดาปของ AMG – เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จสี่สูบ 2 ลิตร ที่สามารถสร้างกำลัง 415 แรงม้า ได้อย่างน่าเชื่อถือ
มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: “A45 S นั่งอยู่ตรงข้ามกับ Audi RS3 โดยตรงในฐานะคู่แข่งหลัก ทั้งสองเป็น Hatchback พรีเมียมเยอรมันขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีกำลังประมาณ 400 แรงม้า ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงต่อสู้กับตัวเอง เพื่อสร้างการประนีประนอมที่น่าพึงพอใจระหว่างความเร็วและความสนุก”
ทางเลือกอื่น: Audi RS3 เป็นคู่แข่งหลักของ A45 S ในแง่ของราคา สมรรถนะ และตำแหน่งทางการตลาด นอกจากนี้ยังมีทางเลือกอื่นๆ – Honda Civic Type R เป็น Hot Hatch สุดฮาร์ดคอร์ขั้นสุด และ Toyota GR Yaris เป็น Hot Hatch ขับเคลื่อนสี่ล้ออีกรสชาติหนึ่ง
บทสรุปและคำเชิญ
จากรถยนต์สมรรถนะสูงที่เราได้สำรวจกันในวันนี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่าเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) ในปี 2025 ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดไปไกลกว่าที่เคยเป็นมา ไม่ว่าจะเป็นการมอบการยึดเกาะที่ไร้ที่ติสำหรับซูเปอร์คาร์พลังมหาศาล การเพิ่มความคล่องตัวให้กับ SUV ขนาดใหญ่ หรือการปลดปล่อยความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับ Hot Hatch ตัวแรง ระบบ AWD ไม่ได้เป็นเพียงแค่กลไกการส่งกำลังอีกต่อไป แต่คือส่วนหนึ่งที่หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของรถยนต์แต่ละคัน สร้างความสามารถที่เหนือกว่า ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น และประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับทุกคน
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีในวงการนี้มานาน ผมเชื่อมั่นว่ารถยนต์ 4×4 สมรรถนะสูงเหล่านี้ไม่ใช่แค่การแสดงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ขับขี่ที่ต้องการทั้งประสิทธิภาพ ความมั่นใจ และความอเนกประสงค์ในแพ็คเกจเดียว มันคืออนาคตที่ผสมผสานความเร้าใจของการแข่งรถเข้ากับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัวอย่างที่ไม่มีวันหวนกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีกแล้ว
หากคุณกำลังมองหาสุดยอดยานยนต์ที่สามารถพาคุณไปได้ทุกที่ด้วยความเร็วสูงสุด ควบคุมได้อย่างแม่นยำ และมอบความเร้าใจในทุกเส้นทาง รายชื่อรถยนต์ที่เราได้นำเสนอไปนี้คือจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม ผมขอเชิญชวนให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่อันน่าทึ่งเหล่านี้ด้วยตัวคุณเอง เพราะไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้กับการได้สัมผัสพลังงาน การยึดเกาะ และความรู้สึกเชื่อมโยงกับถนนที่รถยนต์ 4×4 สมรรถนะสูงเหล่านี้มอบให้
คุณพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการยานยนต์นี้แล้วหรือยัง? เยี่ยมชมผู้แทนจำหน่ายใกล้บ้านคุณวันนี้ หรือร่วมแบ่งปันความคิดเห็นของคุณว่ารถขับเคลื่อนสี่ล้อคันใดคือที่สุดในใจคุณในช่องคอมเมนต์ด้านล่าง เรายินดีรับฟังทุกมุมมองจากคนรักรถเช่นคุณ!

