ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
สุดยอดรถ 4×4 สมรรถนะสูงปี 2025 – ยกระดับการขับขี่ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์สมรรถนะสูงมากว่าทศวรรษ ผมกล้ากล่าวได้อย่างเต็มปากว่ายุคสมัยที่เรามองว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4×4 หรือ All-Wheel Drive – AWD) มีไว้เพื่อการตะลุยทางออฟโรดโดยเฉพาะนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วอย่างแท้จริง วันนี้ รถยนต์สมรรถนะสูงขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD Performance Cars) ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงขีดความสามารถอันมหาศาลบนพื้นผิวถนนเรียบ ไม่ว่าจะเป็นสนามแข่งหรือถนนสาธารณะทั่วไป ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2025 นี้ ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของวงการรถยนต์ไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ AWD กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของเครื่องจักรที่เปี่ยมด้วยพละกำลังเหล่านี้
นับตั้งแต่ Audi Quattro ได้ปฏิวัติวงการ World Rally Championship ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออันล้ำสมัยเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว ศักยภาพด้านสมรรถนะจากการส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน แบรนด์ระดับโลกมากมายต่างกระโดดเข้าร่วมกระแสนี้อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็น Porsche ที่นำระบบ AWD มาใช้กับรถสปอร์ตระดับตำนานอย่าง 911 และซูเปอร์คาร์ 959, Nissan ที่สร้างปรากฏการณ์ด้วย Skyline GT-R ผู้ทรงพลัง, หรือแม้แต่ Mitsubishi, Subaru, Lancia, Toyota และ Ford ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีการขับเคลื่อนสี่ล้อจากสนามแข่งแรลลี่สู่รถยนต์สมรรถนะสูงสำหรับท้องถนน ความเป็นมาอันยาวนานนี้ได้หลอมรวมเข้ากับนวัตกรรมยุคใหม่ ก่อให้เกิดรถยนต์ 4×4 สมรรถนะสูงที่หลากหลายและเหนือชั้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในปี 2025
บทบาทของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในฐานะตัวช่วยในการยึดเกาะถนนนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในหลักการ แต่สิ่งที่เคยเป็นเพียงวิธีทำให้รถสมรรถนะสูงใช้งานได้หลากหลายขึ้นในสภาพถนนที่แตกต่างกัน กลับกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการควบคุมพละกำลังมหาศาล (และรับมือกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น) ของรถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นล่าสุด ลองนึกภาพรถฮอตแฮทช์แบ็กรุ่นใหม่ๆ อย่าง Audi RS3 ที่มีกำลังเกือบ 400 แรงม้า หรือ Super SUV อย่าง Range Rover Sport SV ที่มีกำลังทะลุ 600 แรงม้า ไปจนถึงสุดยอดซูเปอร์คาร์ในระดับบนสุดอย่าง Lamborghini Revuelto ที่ให้พละกำลังเกิน 1,000 แรงม้า จะเห็นได้ว่า ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากรูปแบบการนำเสนอที่หลากหลายในปัจจุบัน
ระบบไฮบริดบางรุ่นไม่แม้แต่จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับล้อหน้า แต่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้าโดยตรง ขณะที่ระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะและฮาร์ดแวร์เฟืองท้ายที่ซับซ้อนทำงานร่วมกัน เพื่อทำให้รถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นใหม่ล่าสุดมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นกว่าที่เคยเป็นมา จากการทดสอบอย่างครอบคลุมกับรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูงรุ่นใหม่ล่าสุดทั้งหมด ทั้งบนถนนและในสนามแข่ง ผมยืนยันได้ว่า 4×4 ไม่ได้มีไว้แค่ลุยโคลนหรือทำให้ Porsche 911 ขับง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นหนทางในการเพิ่มขีดความสามารถอันน่าทึ่งของรถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น และนี่คือรถยนต์ 4×4 สมรรถนะสูงที่ผมชื่นชอบที่สุดในปี 2025 โดยไม่มีลำดับก่อนหลังเป็นพิเศษ
Ferrari Purosangue (เฟอร์รารี่ ปูโรซังกูเอ)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 13 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Ferrari Purosangue ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงว่านี่คือ SUV คันแรกของ Ferrari หรือเป็นรถสปอร์ตสี่ประตูสี่ที่นั่งแบบ Ferrari แท้ๆ คันแรกกันแน่ แต่จากประสบการณ์การขับขี่ของผม Purosangue เป็นรถที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ด้วยขุมพลังที่เหนือชั้นและสมรรถนะการขับขี่ที่น่าประทับใจ
ขุมพลังและสมรรถนะ: หัวใจสำคัญคือเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร พัฒนาพลัง 715 แรงม้า และแรงบิด 528 ปอนด์-ฟุต รอบเครื่องยนต์สูงสุด 8250 รอบต่อนาที แม้จะมีน้ำหนักตัวเกินสองตัน แต่กลับเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.3 วินาที เสียงเครื่องยนต์ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เงียบสงบเมื่อขับทางไกล แต่เร้าใจสุดขีดเมื่อปลดปล่อยพลัง V12 เต็มพิกัด
แชสซีและไดนามิก: Purosangue แสดงให้เห็นถึงสองบุคลิกที่แตกต่างกัน มันสามารถเป็นรถ GT ที่นุ่มนวลและหรูหราสำหรับการเดินทางไกลในนาทีหนึ่ง และกลายเป็นรถสปอร์ตที่ปราดเปรียวเร้าใจบนถนนคดเคี้ยวในนาทีถัดไป ระบบกันสะเทือน Multimatic ที่ซับซ้อนจนต้องมีระบบระบายความร้อนแยกต่างหาก ช่วยให้การควบคุมมวลของตัวรถ การส่งผ่านสมรรถนะ และการตะลุยถนนที่ท้าทายทำได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยพวงมาลัยที่คมกริบ การเข้าโค้งที่รวดเร็ว และความยืดหยุ่นที่เหนือระดับ
ข้อดี: ขุมพลัง V12 อันยอดเยี่ยม, สมรรถนะการขับขี่ที่น่าประทับใจ, เสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์
ข้อเสีย: อินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่ซับซ้อน, น้ำหนักค่อนข้างมาก
ทางเลือก: คู่แข่งที่แท้จริงของ Ferrari Purosangue ในแง่ของการเป็น SUV เครื่องยนต์ V12 นั้นไม่มี แต่ Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE นำเสนอภาพลักษณ์ที่เทียบเคียงได้ ด้วยการผสมผสานสมรรถนะและความใช้งานได้จริงที่ใกล้เคียงกัน
BMW M4 CS (บีเอ็มดับเบิลยู M4 CS)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 5.5 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
M4 CS เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของ M4 Competition และ M4 CSL ซึ่งทำให้มันเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น
ขุมพลังและสมรรถนะ: มาพร้อมเครื่องยนต์ Twin-turbocharged straight-six ที่ให้กำลัง 542 แรงม้า และแรงบิด 479 ปอนด์-ฟุต จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่เปลี่ยนได้รวดเร็ว
แชสซีและไดนามิก: จุดเด่นของ M4 CS คือแชสซีขับเคลื่อนสี่ล้อแบบเน้นท้ายที่ให้การยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยมและมีความเป็นกลาง ระบบ M-tuned xDrive ช่วยให้สามารถดึงสมรรถนะสูงสุดของรถออกมาได้ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ แม้ว่ายาง Cup 2 R จะต้องทำอุณหภูมิถึงระดับที่เหมาะสมก่อน แต่เมื่อมันพร้อม M4 CS จะมอบการยึดเกาะด้านหน้าอันยอดเยี่ยมที่ต้านทานอาการอันเดอร์สเตียร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การขับขี่รู้สึกแม่นยำและมั่นใจ
ข้อดี: เร็วอย่างเหลือเชื่อ, แชสซีที่ปรับจูนมาอย่างลงตัว, การควบคุมที่แม่นยำ
ข้อเสีย: ต้องมีออปชั่นราคาแพงเพื่อดึงสมรรถนะที่ดีที่สุดออกมา, ต้องการสภาพถนนและอุณหภูมิยางที่เหมาะสม
ทางเลือก: คู่แข่งของ BMW M4 CS มีไม่มากนัก แต่ถ้าคุณไม่ได้ต้องการความอเนกประสงค์แบบ BMW, Porsche 911 GTS รุ่นใหม่คือตัวเลือกที่เน้นการขับขี่มากกว่าแต่ไม่ถึงกับเป็นรถแข่งเต็มตัว
Land Rover Defender Octa (แลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ ออคต้า)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 6.5 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Land Rover Defender Octa ยกระดับความสามารถทั้งบนทางเรียบและทางลุยขึ้นไปอีกขั้น พิสูจน์ให้เห็นว่ารถออฟโรดก็สามารถมีสมรรถนะเทียบเท่ารถสปอร์ตได้
ขุมพลังและสมรรถนะ: ภายใต้ฝากระโปรงคือเครื่องยนต์ V8 ขนาด 626 แรงม้าจาก BMW M ที่ทำให้ Octa เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที (ในโหมด Launch)
แชสซีและไดนามิก: Octa มีช่วงล่างที่กว้างขึ้นเพื่อรองรับปีกนกที่ยาวขึ้น และสูงขึ้นเพื่อเพิ่มระยะห่างจากพื้น ระบบกันสะเทือน 6D เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่สุด โดยมีแดมเปอร์กึ่งแอคทีฟที่เชื่อมต่อด้วยระบบไฮดรอลิก แม้จะไม่ใช่การตั้งค่าที่ให้การสื่อสารแบบรถสปอร์ตทั่วไป แต่ Octa ให้ความรู้สึกกระชับ ตอบสนองดี และอยากจะร่วมสนุกบนถนนมากกว่า SUV สมรรถนะสูงส่วนใหญ่ สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือ ความสามารถบนถนนที่ดีขึ้นนี้ยังคงมีอยู่เมื่อออกนอกเส้นทาง ไม่ว่าพื้นผิวจะเป็นอย่างไร Octa ก็พร้อมลุยทุกอุปสรรคราวกับอยู่ในสนามแข่ง Dakar ในขณะที่ผู้โดยสารยังคงได้รับการขับขี่ที่นุ่มนวลและมั่นคงอย่างที่ไม่สามารถทำได้ใน Defender รุ่นมาตรฐาน
ข้อดี: คุณภาพการขับขี่ที่เทียบเท่ารถสปอร์ต, ความสามารถทั้งบนทางเรียบและออฟโรดที่เหนือชั้น
ข้อเสีย: มีข้อจำกัดในการใช้สมรรถนะสูงสุดได้อย่างเต็มที่บนถนนสาธารณะ
ทางเลือก: ไม่มี SUV ใดที่สามารถเทียบเคียง Defender Octa ได้โดยตรงในฐานะรถ Trophy Truck สำหรับท้องถนน หากต้องการความสามารถออฟโรดที่ใกล้เคียง อาจต้องมองไปที่ Ford Ranger (หรือ F150) Raptor แม้จะขาดความสามารถบนถนนที่โดดเด่นของ Defender ส่วนในฐานะรถบรรทุกขนาดใหญ่สุดหรูบนท้องถนน Mercedes-AMG G63 คือเป้าหมายที่ชัดเจน
Toyota GR Yaris (โตโยต้า GR ยาริส)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 2 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
GR Yaris คือการกลับมาของรถยนต์ Homologation Special ที่ออกแบบมาเพื่อการแข่งขันแรลลี่โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้มันเป็นหนึ่งในฮอตแฮทช์ที่ขับสนุกที่สุดในตลาด
ขุมพลังและสมรรถนะ: GR Yaris (Gen 2) ในปัจจุบันมาพร้อมเครื่องยนต์สามสูบ 1.6 ลิตร ที่ให้กำลัง 276 แรงม้า และแรงบิด 265 ปอนด์-ฟุต เพียงพอที่จะขับเคลื่อนรถหนัก 1280 กก. ให้เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 5.2 วินาที
แชสซีและไดนามิก: ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ GR-Four อันชาญฉลาดมีสามการตั้งค่าสำหรับการแบ่งแรงบิดระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างเหลือเชื่อ และโดดเด่นอย่างยิ่งในสภาพถนนเปียก ทำให้ GR Yaris เป็นรถที่คุณจะพยายามขับให้เต็มที่ตลอดเวลา พร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า มันยังเป็นรถที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน และเท่สุดๆ หากคุณเข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน
ข้อดี: สมรรถนะข้ามประเทศที่น่าทึ่ง, จุดประสงค์ที่ชัดเจน, เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง
ข้อเสีย: ราคาค่อนข้างสูง, หายาก, ไม่ได้ให้ความรู้สึกสนุกสนานแบบรถขับหลังจัดจ้าน
ทางเลือก: ด้วยลักษณะเฉพาะตัวของ GR Yaris ที่ถอดแบบมาจากรถแรลลี่ ทำให้ไม่มีคู่แข่งโดยตรงในตลาด รถซูเปอร์แฮทช์ขับเคลื่อนสี่ล้อในปัจจุบันมักมาจากเยอรมนีในรูปแบบของ Audi RS3 และ Mercedes-AMG A45 S
Bentley Continental GT Speed (เบนท์ลีย์ คอนติเนนทัล GT สปีด)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 10.5 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Bentley Continental GT Speed ในปี 2025 ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคูเป้หรือ GTC แบบเปิดประทุน คือบทพิสูจน์แห่งการท้าทายกฎฟิสิกส์ ด้วยการนำเสนอขุมพลังไฮบริดที่ลงตัวกับบุคลิกของ GT อย่างน่าประทับใจ
ขุมพลังและสมรรถนะ: Continental GT Speed เป็น Bentley ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยกำลัง 771 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบชาร์จ และมอเตอร์ไฟฟ้า 140kW พร้อมแรงบิดมหาศาล 738 ปอนด์-ฟุต แม้จะมีน้ำหนักถึง 2459 กก. ในรุ่นคูเป้ และ 2636 กก. ในรุ่น GTC แต่ก็ให้ความรู้สึกว่องไวทุกครั้งที่กดคันเร่งเต็มที่ การเปลี่ยนผ่านระหว่างการลอยตัวด้วยพลังงานแบตเตอรี่ไปสู่การทำงานของ V8 ทำได้อย่างราบรื่นและละเอียดอ่อน
แชสซีและไดนามิก: มาพร้อมระบบ Bentley Dynamic Ride พร้อมเหล็กกันโคลงแอคทีฟ 48V และซอฟต์แวร์สำหรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแอคทีฟและ e-diff ด้านหลังได้รับการปรับเทียบใหม่สำหรับ Continental รุ่นล่าสุดนี้ คุณสามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้อย่างเงียบเชียบ แต่เมื่อเพิ่ม V8 เข้าไป รถคันนี้ก็จะแสดงความสามารถเทียบเท่ารถสปอร์ตได้อย่างยอดเยี่ยม แม้บนทางคดเคี้ยว พวงมาลัยค่อนข้างเบาแต่ตอบสนองได้ตรงไปตรงมา และแม้ว่าจะไม่ใช่การตั้งค่าที่ให้ความรู้สึกมากที่สุด คุณยังคงรับรู้ได้ถึงการทำงานของยางหน้า การยึดเกาะ และการตอบสนองจากแชสซีที่ช่วยให้คุณทราบขีดจำกัดของรถ
ข้อดี: ขุมพลังไฮบริดใหม่เข้ากับบุคลิกของ GT ได้อย่างลงตัว, ผสมผสานความหรูหราและสมรรถนะได้อย่างไร้ที่ติ
ข้อเสีย: ขุมพลังไฮบริดทำให้น้ำหนักของรถที่หนักอยู่แล้วเพิ่มขึ้นไปอีก
ทางเลือก: Bentley Continental GT Speed ผสมผสานความหรูหราที่ไม่เป็นสองรองใครเข้ากับสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม คู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Aston Martin DB12 และ Maserati GranTurismo ซึ่งให้ความรู้สึกสปอร์ตมากกว่า แต่ Bentley คือรถที่สมบูรณ์แบบกว่าสำหรับการเดินทางไกล
Mercedes-AMG GT 63 (เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี GT 63)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 7.5 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Mercedes-AMG GT 63 รุ่นใหม่ในปี 2025 เป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของ AMG ด้วยการเป็น GT ที่ใช้งานได้จริงและน่าขับขี่มากขึ้น
ขุมพลังและสมรรถนะ: มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 M177 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้กำลัง 577 แรงม้า และแรงบิด 590 ปอนด์-ฟุต ทำให้ GT 63 เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม.
แชสซีและไดนามิก: สิ่งที่น่าประหลาดใจและสร้างความประทับใจคือแชสซีของ GT ที่สร้างขึ้นบนโครงสร้างอลูมิเนียมสเปซเฟรมใหม่ทั้งหมด ซึ่งมีความแข็งแกร่งในการบิดตัว แนวขวาง และแนวยาวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบมัลติลิงก์อลูมิเนียมฟอร์จประกอบด้วยแดมเปอร์แอคทีฟที่เชื่อมต่อด้วยระบบไฮดรอลิกทั่วทั้งแชสซี ระบบเหล็กกันโคลงแอคทีฟ ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง เฟืองท้ายแบบจำกัดการลื่นไถลควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic+ ที่สามารถส่งแรงบิดได้สูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์ไปยังเพลาหน้า ในโหมด Comfort และ Sport มันคือ GT แต่เมื่อปรับเป็น Sport+ หรือ Race บุคลิกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจะปรากฏขึ้น – รถสปอร์ตที่น่าดึงดูด เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ และแม่นยำ
ข้อดี: การขับขี่ที่คมชัด, GT ที่ใช้งานได้จริงและเร้าใจมากขึ้น
ข้อเสีย: เสียงเครื่องยนต์ V8 ถูกลดทอนลงไปบ้าง, การทำงานของระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังและ eLSD ต้องใช้ความคุ้นเคย
ทางเลือก: Mercedes-AMG GT 63 เป็นรถที่ทำได้หลายอย่าง มันสามารถเป็นรถสปอร์ตได้เกือบเทียบเท่า Porsche 911 GTS หรือ Aston Martin Vantage แต่มีคุณสมบัติ Grand Touring เพิ่มเติม
BMW M5 (บีเอ็มดับเบิลยู M5)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 5 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
BMW M5 ในปี 2025 ได้เข้าสู่ยุคไฮบริด ทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่จากการขับขี่ของผม มันพิสูจน์ให้เห็นว่าการเพิ่มระบบไฟฟ้าไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดีเสมอไป
ขุมพลังและสมรรถนะ: แม้จะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเกือบ 500 กก. จากรุ่นก่อน แต่ M5 ใหม่ก็ยังคงทรงพลัง ด้วยกำลัง 717 แรงม้า เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 305 กม./ชม. หากติดตั้งชุด M Driver’s Pack
แชสซีและไดนามิก: สิ่งที่น่าประทับใจไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่เป็นการที่ M5 รู้สึกเล็กลงเมื่อคุณคุ้นเคยกับมัน ทำให้รู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าที่ตัวเลขระบุไว้อย่างมาก มีโหมดการขับขี่ที่หลากหลายสำหรับพวงมาลัย, การหน่วง, แผนที่เกียร์, การฟื้นฟูพลังงาน, แผนที่ระบบส่งกำลัง และแม้แต่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M5 ยังสามารถสลับระหว่าง 4WD, โหมด 4WD Sport ที่เน้นท้ายรถ และโหมดขับเคลื่อนล้อหลังล้วนๆ ได้ ในโหมด 4WD Sport มันจะให้ความรู้สึกสนุกสนานเป็นพิเศษ ซ่อนมวลของมันด้วยความคล่องตัวที่ไม่คาดคิด
ข้อดี: รวดเร็วอย่างมหาศาล, มีความสามารถที่ยอดเยี่ยม
ข้อเสีย: มีขนาดใหญ่, น้ำหนักค่อนข้างมาก
ทางเลือก: BMW M5 มีคู่แข่งอย่าง Panamera Turbo E-Hybrid แต่ถ้าต้องการเครื่องยนต์ที่ไม่ใช่ไฮบริด Audi RS7 คือตัวเลือกเดียวในปัจจุบัน สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าล้วน Porsche Taycan Turbo และ Audi RS E-Tron GT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
Range Rover Sport SV (เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต SV)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 7.9 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Range Rover Sport SV ในปี 2025 เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดี ด้วยรูปลักษณ์ที่ละเอียดอ่อนขึ้น แต่ซ่อนขุมพลังที่ทรงประสิทธิภาพไว้ภายใน พร้อมคุณภาพการขับขี่ที่ละเอียดอ่อนในระดับรถสปอร์ต
ขุมพลังและสมรรถนะ: มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบชาร์จ 626 แรงม้าจาก BMW M สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที และสามารถทำได้เร็วกว่านั้น 0.2 วินาที หากเลือกแพ็คเกจคาร์บอนพร้อมล้อคาร์บอนและยางที่ยึดเกาะถนนดีกว่า
แชสซีและไดนามิก: SUV ที่สูง 2.5 ตันคันนี้ยังคงสามารถให้ความบันเทิงได้บนทางโค้ง ด้วยแชสซีที่แข็งแกร่งและระบบกันสะเทือนไฮดรอลิก 6D แบบไขว้ที่ชาญฉลาด (คล้ายกับที่พบใน McLaren 750S) เพื่อมอบการผสมผสานระหว่างความสะดวกสบายและการควบคุมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตลาด SUV แม้จะยังมีการเอนตัวของรถบ้าง ระบบ 6D ช่วยป้องกันการโยนตัวที่มากเกินไปซึ่งรถยนต์ประเภทนี้มักมีปัญหาภายใต้การเข้าโค้งและการเบรกอย่างหนัก ด้วยการเพิ่มระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง SV จึงให้ความรู้สึกมั่นคงอย่างสมบูรณ์แบบบนสนามแข่ง การไหลเวียนจากการเข้าโค้งสู่จุดยอดและการออกจากโค้งทำได้อย่างมั่นใจ ทำให้คุณรู้สึกประทับใจในขีดความสามารถของรถคันนี้
ข้อดี: คุณภาพไดนามิกในระดับรถสปอร์ต, สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม
ข้อเสีย: ราคาแพง, เป็นรถที่อาจไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของทุกคน
ทางเลือก: Range Rover Sport SV เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Porsche Cayenne Turbo ซึ่งปัจจุบันมีเฉพาะรุ่น e-Hybrid เท่านั้น ซึ่งแปลกที่ Range Rover เครื่องยนต์สันดาปกลับเบากว่า Cayenne ขณะที่ยังคงรักษาความรู้สึกหรูหราแบบ ‘Range Rover’ ไว้เหนือกว่าคู่แข่งอย่าง BMW X5M และ Audi RSQ8 รวมถึง Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE ที่มีราคาสูงกว่า
Audi RS3 (ออดี้ RS3)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 2.7 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
ก่อนการมาถึงของ Mercedes-AMG A45 S, RS3 เคยเป็นรถฮอตแฮทช์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก และแม้ว่าจะถูกแซงหน้าไปแล้ว RS3 ก็ยังคงเป็นไฮเปอร์แฮทช์ที่ให้ความบันเทิงอย่างมหาศาลและเป็นรถที่อเนกประสงค์
ขุมพลังและสมรรถนะ: ด้วยกำลัง 394 แรงม้า ทำให้ RS3 สามารถทำเวลา 0-100 กม./ชม. ได้ต่ำกว่า 4 วินาที และด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ทำให้มันสามารถทำความเร็วได้ดีไม่ว่าสภาพถนนจะเป็นอย่างไร
แชสซีและไดนามิก: กุญแจสำคัญในการก้าวกระโดดด้านไดนามิกของ RS3 เจเนอเรชันนี้คือ ‘torque splitter’ rear diff ของ Audi ซึ่งสามารถจัดสรรแรงบิดทั่วทั้งเพลาหลังได้ ขึ้นอยู่กับว่าล้อใดต้องการและสามารถรับมือได้ แรงบิดของเครื่องยนต์สูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์สามารถส่งไปที่ด้านหลังได้ และทั้งหมดนั้นสามารถส่งไปยังล้อหลังเพียงล้อเดียวได้ – ล้อด้านนอกเพื่อลดอาการอันเดอร์สเตียร์ (หรือทำให้รถสไลด์) หรือล้อด้านในเพื่อเพิ่มความเสถียรเมื่อจำเป็น หัวใจของ RS3 คือเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จห้าสูบที่ยอดเยี่ยม ซึ่งน่าประทับใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยเสียงห้าสูบที่ทำได้ดีราวกับ V8 ของ R8 ในบางสถานการณ์
ข้อดี: เครื่องยนต์อันน่าทึ่ง, แชสซีที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวา
ข้อเสีย: ขาดการตอบสนองและความแม่นยำเท่ารถที่ดีที่สุด
ทางเลือก: คู่แข่งหลักของ Audi RS3 ในแง่ของราคา สมรรถนะ และตำแหน่งทางการตลาดคือ Mercedes-AMG A45 S ทั้งสองเป็นรถแฮทช์แบ็กพรีเมียมขับเคลื่อนสี่ล้อจากเยอรมนีที่มีกำลังประมาณ 400 แรงม้า หากต้องการความสนุกสนานและมีส่วนร่วมกับการขับขี่ที่มากขึ้น โดยปราศจากความมั่นคงของ AWD Honda Civic Type R คือตัวเลือกที่ไม่มีใครเทียบได้
Porsche 911 Carrera 4 GTS (ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 GTS)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 6.4 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Porsche 911 Carrera 4 GTS รุ่นล่าสุดปี 2025 เป็นแนวคิดใหม่สำหรับ Porsche ในฐานะ 911 ไฮบริดรุ่นแรก (แม้เพียงเล็กน้อย) ในอีกทางหนึ่ง มันคือรุ่นล่าสุดในสายเลือดของรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่เริ่มต้นด้วย Carrera 4s ของ 911 เจเนอเรชัน 964 ในทศวรรษ 1980
ขุมพลังและสมรรถนะ: GTS ล่าสุดมีเครื่องยนต์ 3.6 ลิตรใหม่ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์ และในเทอร์โบชาร์จเจอร์เดี่ยวใหม่ ผลลัพธ์คือสามารถส่งกำลังอันมหาศาล – 534 แรงม้า และ 450 ปอนด์-ฟุต – ไปยังยางด้วยการตอบสนองที่รวดเร็วราวกับระบบประสาท การตอบสนองที่รวดเร็วและพละกำลังที่มาอย่างกระตือรือร้น ทำให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมีความสำคัญอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนใน Carrera ให้การยึดเกาะที่มีค่าเมื่อต้องการแรงยึดเกาะสูงสุด แต่ยังคงรักษาบุคลิกการขับขี่แบบ 911 ที่เน้นล้อหลัง
แชสซีและไดนามิก: GTS T-Hybrid แสดงให้เห็นถึงการหลอมรวมของ GT3 และ 911 Turbo ได้อย่างลงตัว ด้วยความสามารถในการยึดเกาะถนนที่เหนือกว่า แม้ว่า 911 จะมีแรงยึดเกาะมหาศาลอยู่แล้วเนื่องจากการกระจายน้ำหนักไปที่ด้านหลัง การที่ล้อหลังสามารถย่อตัวลงเมื่อออกจากโค้งความเร็วต่ำและปานกลาง ขณะที่เพลาหน้าก็สามารถยึดเกาะได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ทำให้ GTS พุ่งทะยานไปตามเส้นทางได้อย่างรวดเร็ว โดยมีเทอร์โบไฟฟ้าพร้อมบูสต์อยู่แล้ว
ข้อดี: 992 Carrera ที่สมบูรณ์แบบและมีเสน่ห์ที่สุด, เทคโนโลยีไฮบริดที่ลงตัว
ข้อเสีย: เทคโนโลยีไฮบริดหมายถึงไม่มีตัวเลือกเกียร์ธรรมดา
ทางเลือก: ไม่มีใครสามารถเทียบความหลากหลายของ 911 ได้ ดังนั้นจึงมีคู่แข่งโดยตรงน้อยมากที่จะเทียบความสามารถของ Carrera 4 GTS ยกเว้น Mercedes-AMG GT63 ซึ่งจับคู่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อกับเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จที่ทรงพลังและมีกำลังเพิ่มขึ้น 50 แรงม้า หากไม่ต้องการ AWD ลองดู Carrera GTS มาตรฐาน หรือ Aston Martin Vantage
Aston Martin DBX707 (แอสตัน มาร์ติน DBX707)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 9.2 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
การสร้างแพลตฟอร์มอลูมิเนียมเฉพาะสำหรับ DBX707 แทนที่จะใช้โครงสร้างจาก Mercedes-Benz เป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ตั้งคำถามถึงความแท้จริงของ SUV คันแรกจาก Aston Martin
ขุมพลังและสมรรถนะ: เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตรที่พัฒนามาจาก AMG ได้รับการปรับแต่งเทอร์โบชาร์จจาก Aston ให้กำลัง 697 แรงม้า และแรงบิด 663 ปอนด์-ฟุต เพื่อขับเคลื่อนมวล 2.2 ตันไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
แชสซีและไดนามิก: แดมเปอร์ Bilstein DTX รุ่นล่าสุดช่วยให้รถเกาะถนนในทางโค้ง การตอบสนองของพวงมาลัย การหน่วง และเฟืองท้ายแบบจำกัดการลื่นไถลมีความเป็นเส้นตรงเหมือน Lotus ซึ่งทำให้ DBX707 มีความน่าเชื่อถืออย่างไม่น่าเชื่อสำหรับรถที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้ คุณสามารถวางรถบนถนนและสำรวจขีดความสามารถสูงสุดของมันได้อย่างมั่นใจ ซึ่งสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติหลังพวงมาลัย และเมื่อถึงเวลาที่ต้องผ่อนคลาย มันก็เป็นรถที่นุ่มนวลอย่างแท้จริง DBX707 ให้ความรู้สึกที่แท้จริง ไม่เหมือนคู่แข่งหลายรายที่ให้ความรู้สึกเหมือนรถบรรทุกที่ติดตั้งอุปกรณ์สมรรถนะสูงอย่างไม่ลงตัว เพราะมันคือผลิตภัณฑ์เฉพาะที่สร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ
ข้อดี: สมรรถนะที่แท้จริงพร้อมความไดนามิกที่ลงตัว, ภายในที่หรูหราและได้รับการอัปเดต
ข้อเสีย: หน้าจอสัมผัสยังคงต้องมีการปรับแต่งเพิ่มเติม
ทางเลือก: คู่แข่งที่แท้จริงของ Aston Martin DBX707 มีไม่มากนัก แม้ว่าตลาด Super SUV จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม มีเพียง Ferrari Purosangue ซึ่งเป็นรถเพียงคันเดียวในประเภทนี้ที่เป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะที่แท้จริงเท่านั้น ที่ให้ความรู้สึกสมบูรณ์แบบและการควบคุมในระดับเดียวกัน Porsche Cayenne Turbo e-Hybrid ก็ทำได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาพร้อมกับแพ็คเกจ GT ที่เน้นสมรรถนะ
Lamborghini Revuelto (ลัมโบร์กินี เรเวลโต)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 20 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Lamborghini Revuelto คือหนึ่งในรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ซับซ้อนที่สุดในตลาดปัจจุบัน ด้วยการผสมผสานพลังงานไฟฟ้าที่ล้อหน้าและพลังงานจากเครื่องยนต์สันดาปที่ล้อหลัง โดยทั้งสองระบบเชื่อมต่อกันด้วยสมองอิเล็กทรอนิกส์ที่ชาญฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ
ขุมพลังและสมรรถนะ: Revuelto คือเรือธงรุ่นล่าสุดในสายเลือดเครื่องยนต์ V12 อันยิ่งใหญ่ของ Lamborghini ที่สืบทอดมาจาก Miura ด้วยพลัง 1001 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่ทำรอบได้สูงสุด 9500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ทำให้สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.
แชสซีและไดนามิก: แม้จะมีน้ำหนัก (แห้ง) 1772 กก. แต่ก็มีความไดนามิกราวกับบัลเลต์ ระบบไฟฟ้าและกลไกทำงานประสานกันอย่างลงตัว ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังเพิ่มความคล่องตัว ระบบกระจายแรงบิดแบบ In-axle ได้รับการปรับเทียบมาอย่างดี และอินเทอร์เฟซผู้ขับขี่ได้รับการออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม นี่คือรถที่มีกำลังและการปรากฏตัวบนถนนที่เหนือกว่า Bugatti Veyron แต่เต้นรำได้เหมือน Audi R8 รุ่นดั้งเดิม
ข้อดี: ในที่สุดก็ได้ V12 Lambo ที่ขับขี่ได้เหลือเชื่อเหมือนรูปลักษณ์, เทคโนโลยีไฮบริด AWD ที่ปฏิวัติวงการ
ข้อเสีย: ราคาแพงและขายหมดแล้ว (ในตอนนี้)
ทางเลือก: Lamborghini Revuelto ครองตำแหน่งสูงสุดในขณะนี้ เหนือกว่า Ferrari SF90 (และไฮเปอร์คาร์ Holy Trinity รุ่นก่อนหน้า) แม้ว่า Aston Martin Valhalla รุ่นใหม่กำลังพยายามแย่งชิงตำแหน่งอยู่ สำหรับซูเปอร์คาร์ที่เน้นความเร็ว McLaren 750S ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แม้จะขาดความเร้าใจของ V12
Mercedes-AMG A45 S (เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี A45 S)
ราคาเริ่มต้นประมาณ 2.9 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Mercedes-AMG A45 S ในปี 2025 คือรถที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากรุ่นแรก ที่เคยถูกวิจารณ์ว่าขาดความเร้าใจ
ขุมพลังและสมรรถนะ: เครื่องยนต์สี่สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จที่สามารถสร้างกำลังได้ถึง 415 แรงม้า อย่างน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สันดาปขนาด 2.0 ลิตรที่ทรงพลังที่สุดในโลก
แชสซีและไดนามิก: A45 S ผสมผสานความรู้สึกที่พัฒนามาอย่างดีในการควบคุม สมรรถนะที่มหาศาล และความสามารถในการปรับแต่งแชสซีอย่างแท้จริง ความสนุกสนานและความเต็มใจในการตอบสนอง รถคันนี้ดูเหมือนจะสนุกกับการถูกขับขี่ด้วยความเร็ว ไม่ใช่แค่ความเร็วสูงสุด ระบบกันสะเทือนปรับได้ AMG Ride Control, การกำหนดค่าผู้ขับขี่ Dynamic Select, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic+ และเกียร์ Speedshift 8 สปีด ทั้งหมดนี้อาจทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าการมีส่วนร่วม แต่การปรับเทียบและปรับจูนที่ยอดเยี่ยมได้สร้างความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและเป็นหนึ่งเดียวกัน
ข้อดี: ความเร็วแบบ point-to-point, แชสซีที่สนุกสนาน, เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง
ข้อเสีย: ไม่ได้แปลกใหม่หรือดึงดูดใจเท่า RS3
ทางเลือก: A45 S เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Audi RS3 ทั้งสองเป็นรถแฮทช์แบ็กพรีเมียมขับเคลื่อนสี่ล้อจากเยอรมนีที่มีกำลังประมาณ 400 แรงม้า ซึ่งต่อสู้กันอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างสมดุลที่น่าพึงพอใจระหว่างความเร็วและความสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมี Honda Civic Type R ซึ่งเป็นฮอตแฮทช์ที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุด และ Toyota GR Yaris ซึ่งเป็นซูเปอร์แฮทช์ขับเคลื่อนสี่ล้อในอีกรูปแบบหนึ่ง
อนาคตของรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อในปี 2025 และหลังจากนี้
จากการวิเคราะห์รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูงที่โดดเด่นที่สุดในปี 2025 นี้ ผมหวังว่าคุณจะเห็นภาพที่ชัดเจนว่าเทคโนโลยี AWD ได้เดินทางมาไกลแค่ไหน จากการเป็นเพียงระบบช่วยเหลือในการขับขี่สู่การเป็นส่วนประกอบสำคัญที่กำหนดนิยามของรถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของการยึดเกาะถนนอีกต่อไป แต่เป็นการเพิ่มความคล่องตัว การควบคุม และประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นในทุกมิติ
ในยุคที่กำลังของเครื่องยนต์ทะยานไปสู่ตัวเลขที่ไม่เคยมีมาก่อน และการผสานรวมเทคโนโลยีไฮบริดและระบบไฟฟ้าเข้ามาอย่างลงตัว ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมพละกำลังเหล่านั้นให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย พร้อมทั้งมอบความสนุกสนานในการขับขี่ที่เหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นบนสนามแข่งหรือบนท้องถนนในชีวิตประจำวัน
รถยนต์เหล่านี้เป็นมากกว่าเครื่องจักร พวกมันคือผลงานทางวิศวกรรมที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมนุษย์ในการผลักดันขีดจำกัดด้านสมรรถนะและนวัตกรรม และผมเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะได้เห็นความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีกในด้านเทคโนโลยี AWD โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการมาของรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High-Performance EV) ที่จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแต่ละล้อในการควบคุมแรงบิดอย่างแม่นยำยิ่งกว่าเดิม
ร่วมสำรวจโลกแห่งสมรรถนะขับเคลื่อนสี่ล้อกับเรา!
คุณพร้อมหรือยังที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นกับรถยนต์ 4×4 สมรรถนะสูงเหล่านี้? ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหารถซูเปอร์คาร์สุดหรู, SUV พรีเมียม, หรือฮอตแฮทช์พลังแรง รถยนต์เหล่านี้พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของคุณทุกประการ หากคุณมีคำถาม หรือต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับรถในฝันของคุณ หรือเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อที่น่าสนใจ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเรา หรือแบ่งปันประสบการณ์ของคุณในช่องแสดงความคิดเห็น เรายินดีเสมอที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางในโลกยานยนต์สมรรถนะสูงของคุณ.
สุดยอดรถขับเคลื่อน 4 ล้อสมรรถนะสูงแห่งปี 2025: พลังที่เหนือกว่าแค่ทางฝุ่น
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์สมรรถนะสูงมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือ 4×4 ที่พลิกโฉมหน้าของอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ย้อนกลับไปเมื่อ Audi Quattro เขย่าวงการ World Rally Championship ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออันลือลั่น ศักยภาพมหาศาลของการส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ก็ได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนอย่างไม่มีข้อกังขา ไม่ใช่แค่ Audi เท่านั้น แต่ Porsche ก็ได้นำระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมาใช้กับรถสปอร์ต 911 และซูเปอร์คาร์ 959 ในตำนาน ขณะที่ Nissan ก็สร้างปรากฏการณ์ด้วย Skyline GT-R ผู้ทำลายทุกสถิติ ไม่นับรวมค่ายยักษ์ใหญ่เช่น Mitsubishi, Subaru, Lancia, Toyota และ Ford ที่ต่างนำเอาเทคโนโลยีการขับเคลื่อนสี่ล้อจากสนามแข่งแรลลี่มาสู่รถยนต์สมรรถนะสูงบนท้องถนนของตนเอง
กว่าสี่ทศวรรษนับตั้งแต่การเปิดตัวของ Quattro ตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงได้ถูกเติมเต็มด้วยนวัตกรรมที่ส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ในรูปแบบที่หลากหลายและซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี 2025 นี้ รถขับเคลื่อน 4 ล้อสมรรถนะสูงได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ไปอย่างสิ้นเชิง พวกมันไม่ใช่แค่เครื่องจักรที่ไว้ลุยโคลนหรือปีนป่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นดาวเด่นที่มอบสมรรถนะอันเหลือล้นบนพื้นผิวลาดยางได้อย่างน่าทึ่ง
การปฏิวัติระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในยุคปัจจุบัน
บทบาทของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในฐานะตัวช่วยในการยึดเกาะถนนยังคงเป็นหัวใจสำคัญ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมหาศาลคือ “ความจำเป็น” ในอดีต ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่จะทำให้รถยนต์สมรรถนะสูงสามารถใช้งานได้ดีขึ้นในสภาพถนนที่หลากหลาย แต่ในปัจจุบัน มันได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการควบคุมพละกำลังมหาศาล และจัดการกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นล่าสุด
ลองนึกภาพรถยนต์แฮทช์แบ็กแรงๆ อย่าง Audi RS3 ที่มีพละกำลังเกือบ 400 แรงม้า หรือ Super SUV อย่าง Range Rover Sport SV ที่ให้กำลังกว่า 600 แรงม้า ไม่ต้องพูดถึงซูเปอร์คาร์ระดับบนสุดอย่าง Lamborghini Revuelto ที่ทะยานด้วยพลังกว่า 1000 แรงม้า พละกำลังเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการถ่ายทอดลงสู่พื้นผิวถนนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะคือคำตอบเดียว
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือความหลากหลายและซับซ้อนของเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อในปัจจุบัน รถยนต์ไฮบริดบางรุ่นถึงขั้นไม่เชื่อมต่อเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับล้อหน้าโดยตรงเลยทีเดียว แต่กลับใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนล้อหน้าแยกต่างหาก ขณะที่ระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะและฮาร์ดแวร์เฟืองท้ายอันล้ำสมัยทำงานร่วมกัน เพื่อทำให้รถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นใหม่มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นกว่าที่เคยเป็นมา จากประสบการณ์การทดสอบอย่างเข้มข้นของเรา ทั้งบนถนนจริงและในสนามแข่ง รถขับเคลื่อน 4 ล้อปี 2025 ไม่ใช่แค่ไว้ลุยโคลนอีกต่อไป แต่คือหนทางในการยกระดับขีดความสามารถอันน่าทึ่งของรถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น นี่คือบรรดาสุดยอดรถที่เราชื่นชอบ ซึ่งรวบรวมไว้โดยไม่เรียงลำดับความสำคัญ
Ferrari Purosangue
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 12 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Ferrari Purosangue คือนิยามใหม่ของคำว่า “เฟอร์รารี” ที่หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่านี่คือ SUV คันแรกของค่ายม้าลำพองหรือไม่ แต่ Ferrari ยืนยันว่านี่คือรถสปอร์ต 4 ประตู 4 ที่นั่งของแท้คันแรก และเมื่อคุณได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ มันก็ชัดเจนในทันทีว่านี่คือรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมาย ด้วยระบบขับเคลื่อนอันทรงพลังและพลวัตการขับขี่ที่น่าประทับใจ
หัวใจสำคัญของ Purosangue คือเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 715 แรงม้า และแรงบิด 716 นิวตันเมตร มันสามารถเร่งรอบได้สูงถึง 8,250 รอบต่อนาที แม้จะมีน้ำหนักตัวกว่า 2 ตัน แต่ก็สามารถทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.3 วินาทีเท่านั้น เสียงคำรามของ V12 นั้นไพเราะราวกับบทเพลง ซ่อนความดุดันเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง และเปล่งประกายเมื่อคุณปลดปล่อยพละกำลังทั้งหมด และความสามารถสองขั้วนี้เองที่สรุปตัวตนของ Purosangue ได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันสามารถเป็นรถ GT ที่นุ่มนวลและสง่างามสำหรับการเดินทางไกลในขณะหนึ่ง และกลายเป็นเครื่องจักรที่คล่องตัวและเร้าใจสำหรับการซิ่งบนถนนคดเคี้ยวในอีกขณะหนึ่ง
นี่คือเครื่องจักรที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง ระบบกันสะเทือน Multimatic ที่ล้ำสมัยถึงขั้นต้องมีระบบระบายความร้อนแยกต่างหาก แต่กลับให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติอย่างเหลือเชื่อเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง แม้จะมีข้อเสียเล็กน้อยในส่วนของอินเทอร์เฟซผู้ใช้แบบสัมผัสที่อาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบนัก และพื้นที่เก็บสัมภาระที่ไม่มากเท่าที่คาดหวังจากรถประเภทนี้ แต่เมื่อคุณได้สัมผัสกับเครื่องยนต์ V12 หายใจธรรมชาติ และการควบคุมที่แม่นยำ คุณจะให้อภัยทุกสิ่ง
ทางเลือกอื่น: ปัจจุบันยังไม่มีคู่แข่งโดยตรงสำหรับ SUV เครื่องยนต์ V12 ที่แท้จริง แต่ Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE นำเสนอความยิ่งใหญ่ใกล้เคียงกัน ด้วยสมรรถนะและประโยชน์ใช้สอยที่ทัดเทียม
BMW M4 CS
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 5 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
BMW M4 CS คือส่วนผสมที่ลงตัวของความเป็นเลิศ มันคือการนำเอาสิ่งที่ดีที่สุดของ M4 Competition และ M4 CSL มารวมกัน ด้วยเครื่องยนต์ Twin-turbocharged straight-six ที่ได้รับการอัปเกรดจาก CSL ให้กำลัง 542 แรงม้า และแรงบิด 650 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่เปลี่ยนได้ราบรื่น และแชสซีส์ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบเน้นกำลังล้อหลังที่ให้การยึดเกาะอันน่าทึ่ง และบนเส้นทางที่เหมาะสมในสภาพที่เอื้ออำนวย มันคือรถที่รวดเร็วและแม่นยำอย่างเหลือเชื่อ
M4 CS ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจากการมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ซึ่งแตกต่างจาก CSL ที่เป็นขับเคลื่อนล้อหลังเพียงอย่างเดียว ทำให้ CSL มีความท้าทายในการควบคุมในสภาพที่ไม่สมบูรณ์แบบนัก ในขณะที่ M4 CS มอบความมั่นใจที่มากกว่า แม้ว่ายาง Cup 2 R ของมันจะต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อแสดงศักยภาพสูงสุด แต่เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว มันก็มอบการยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมและแรงต้านการอันเดอร์สเตียร์ที่ต่ำ ระบบ xDrive ที่ปรับแต่งโดย M ช่วยให้คุณดึงสมรรถนะที่ดีที่สุดของรถออกมาได้ในเกือบทุกสถานการณ์
ทางเลือกอื่น: คู่แข่งของ BMW M4 CS มีไม่มากนัก แต่หากคุณไม่ต้องการประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลายเท่าของ BMW แล้ว Porsche 911 GTS รุ่นใหม่คือทางเลือกที่เน้นการขับขี่ที่เฉียบคมกว่า แต่ไม่สุดโต่งเท่า
Land Rover Defender Octa
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 6 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Land Rover คือชื่อที่ผูกพันกับการลุยโคลนในตลาดรถขับเคลื่อนสี่ล้อมาโดยตลอด และแม้ว่าผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันจะยกระดับสู่ความหรูหรามากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่พวกมันก็ยังคงเปี่ยมด้วยขีดความสามารถที่น่าทึ่งในทางสมบุกสมบัน และนั่นเป็นจริงอย่างยิ่งสำหรับ Defender Octa ซึ่งเป็น Land Rover ที่ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ทั้งบนถนนและนอกเส้นทาง
ภายใต้ฝากระโปรงคือเครื่องยนต์ V8 ขนาด 626 แรงม้า ที่ได้รับจาก BMW M สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาทีเมื่อใช้ Launch Mode ตัวรถมีความกว้างขึ้นเพื่อรองรับปีกนกที่ยาวขึ้น และมีความสูงมากขึ้นเพื่อระยะห่างจากพื้นดินที่ดีกว่าเมื่อลุยออฟโรด เทคโนโลยีที่น่าสนใจที่สุดของมันคือระบบกันสะเทือน 6D ที่มาพร้อมแดมเปอร์แบบกึ่งแอ็คทีฟที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบไฮดรอลิก แม้ว่าจะไม่ได้ให้การสื่อสารแบบรถสปอร์ตดั้งเดิม แต่ Octa ให้ความรู้สึกแน่นหนา ตอบสนองฉับไว และกระตือรือร้นบนท้องถนนมากกว่ารถ Performance SUV ชั้นนำส่วนใหญ่
สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือความสามารถบนท้องถนนใหม่นี้ยังคงรักษาไว้ได้เมื่อคุณลงจากถนนดำ ไม่ว่าพื้นผิวจะเป็นอย่างไร Octa ก็สามารถฝ่าฟันทุกอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย ราวกับกำลังวิ่งอยู่ในสเตจพิเศษของ Dakar Rally แต่ในขณะเดียวกัน ผู้โดยสารก็ยังคงได้รับการปรนนิบัติด้วยคุณภาพการขับขี่และความสงบเงียบที่ Defender มาตรฐานไม่สามารถทำได้ นี่คือรถที่สมบูรณ์แบบสำหรับการไปได้ทุกที่หรือไม่? อาจจะใช่!
ทางเลือกอื่น: ตลาด Super SUV นั้นกว้างขวาง แต่ไม่มีใครเทียบ Defender Octa ได้โดยตรงในฐานะรถ Trophy Truck สำหรับท้องถนนที่แท้จริง หากต้องการความสามารถออฟโรดที่ใกล้เคียง มีเพียง Ford Ranger (หรือ F150) Raptor เท่านั้นที่ใกล้เคียง แม้ว่าจะไม่มีความสามารถบนท้องถนนอันน่าทึ่งของ Defender สำหรับรถบรรทุกสุดหรูบนท้องถนน Mercedes-AMG G63 คือเป้าหมายที่ชัดเจน
Toyota GR Yaris
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 2.2 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
ครั้งหนึ่ง Homologation Special เคยเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ปัจจุบันวันเวลาเหล่านั้นหาได้ยากยิ่งนัก นั่นคือสิ่งที่ทำให้การเปิดตัวของ GR Yaris เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง นี่คือรถยนต์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะลงสนามแข่ง และมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในทั้ง Gen 1 และ Gen 2 ว่ามันคือรถที่ขับสนุกอย่างเหลือเชื่อ
GR Yaris รุ่นปัจจุบัน (Gen 2) ได้เพิ่มฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมมากมาย และแสดงผลงานได้อย่างน่าชื่นชมในการทดสอบ eCoty 2024 โดย Stuart Gallagher บรรณาธิการของเรา ได้ให้ความเห็นว่า “ผมสนุกกับคุณภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมของ Yaris ซึ่งผสานกับมิติที่กะทัดรัด ความคล่องตัวที่น่าทึ่ง และพละกำลังอันจัดจ้านจากเครื่องยนต์สามสูบ ทำให้มันกลายเป็นรถที่เร้าใจอย่างยิ่ง มันยังโดดเด่นในสภาพถนนเปียกอีกด้วย” ความสามารถในสภาพอากาศเปียกส่วนหนึ่งมาจากระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ GR-Four อันชาญฉลาด ที่มีสามโหมดสำหรับการกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและหลัง ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างร้ายกาจ
เครื่องยนต์สามสูบ 1.6 ลิตร อาจจะฟังดูไม่น่าตื่นเต้นที่สุด แต่ด้วยกำลัง 276 แรงม้า และแรงบิด 360 นิวตันเมตร มันมีพละกำลังมากพอที่จะขับเคลื่อน GR Yaris ที่มีน้ำหนัก 1280 กก. ให้พุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.2 วินาที GR Yaris คือรถ Hot Hatch ที่คุณจะอดไม่ได้ที่จะขับขี่อย่างเต็มที่อยู่เสมอ มักจะมาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า นอกจากนี้ยังเป็นรถที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย และดูเท่สุดๆ หากคุณเข้าใจในสิ่งที่กำลังมองอยู่
ทางเลือกอื่น: ด้วยธรรมชาติของรถแรลลี่ที่ถือกำเนิดขึ้นจากสนามแข่ง ทำให้ Toyota GR Yaris ไม่มีคู่แข่งโดยตรงอย่างแท้จริง ปัจจุบันรถ Super Hatch ขับเคลื่อนสี่ล้อส่วนใหญ่มาจากเยอรมนี ในรูปแบบของ Audi RS3 และ Mercedes-AMG A45 S
Bentley Continental GT Speed
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 9.8 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Bentley Continental GT Speed ไม่ว่าจะมาในรูปแบบคูเป้หรือ GTC แบบเปิดประทุน ล้วนแล้วแต่เป็นบททดสอบในการท้าทายฟิสิกส์ Bentley ไม่เคยขึ้นชื่อเรื่องน้ำหนักเบา และด้วยระบบส่งกำลังแบบไฮบริด ทำให้รุ่น GT Speed มีน้ำหนักมากถึง 2,459 กก. ในรุ่นคูเป้ และ 2,636 กก. ในรุ่น GTC แต่ทั้งคู่ก็สะกดทุกสายตาได้อย่างน่าทึ่ง
ในฐานะ Bentley ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา GT Speed ให้กำลัง 771 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบชาร์จและมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 140kW พร้อมแรงบิดมหาศาล 1,000 นิวตันเมตร แม้จะมีน้ำหนักตัวมาก แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเร็วทุกครั้งที่คุณกดคันเร่งเต็มที่ และการเปลี่ยนผ่านระหว่างการลอยตัวด้วยพลังงานแบตเตอรี่ไปสู่การปลุก V8 ให้ตื่นขึ้นนั้นราบรื่นและละเอียดอ่อน มันมาพร้อม Bentley Dynamic Ride ที่มีเหล็กกันโคลงแอ็คทีฟ 48V และซอฟต์แวร์สำหรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแอ็คทีฟและเฟืองท้าย e-diff หลัง ได้รับการปรับแต่งใหม่สำหรับ Continental รุ่นล่าสุดนี้
มันจะล่องลอยไปอย่างเงียบสงบด้วยพลังงานไฟฟ้า แต่เมื่อ V8 ทำงาน มันก็สามารถจำลองความเป็นรถสปอร์ตได้อย่างดีเยี่ยม แม้กระทั่งในส่วนที่คดเคี้ยว การบังคับเลี้ยวค่อนข้างเบาแต่แม่นยำมาก และแม้ว่าจะไม่ใช่ระบบที่ให้ความรู้สึกมากที่สุด แต่คุณก็ยังคงรับรู้ถึงสิ่งที่ยางหน้ากำลังทำอยู่ ด้วยการยึดเกาะและการตอบสนองจากแชสซีส์ที่ช่วยให้คุณสัมผัสได้ถึงขีดจำกัดของมัน ในฐานะรถ GT ที่สมบูรณ์แบบพร้อมคุณสมบัติความเป็นสปอร์ต มันมีคู่แข่งน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย
ทางเลือกอื่น: Bentley Continental GT Speed ผสมผสานความหรูหราที่ไม่มีใครเทียบได้เข้ากับสมรรถนะอันดุดัน คู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Aston Martin DB12 และ Maserati GranTurismo ซึ่งให้ความรู้สึกแบบรถสปอร์ตมากกว่า แต่ Bentley คือรถที่สมบูรณ์แบบกว่าสำหรับการเดินทางไกล
Mercedes-AMG GT 63
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 7 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
ต้องยอมรับว่า Mercedes-AMG อาจจะไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดกับรถยนต์สองสามรุ่นล่าสุด แต่พวกเขากลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้งกับ GT 63 รุ่นใหม่ ด้วยเบาะหลังแบบ +2 และพื้นที่เก็บสัมภาระที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มันใช้งานได้จริงมากขึ้น เช่นเดียวกับความแรงและความบันเทิงที่เพิ่มขึ้น แม้จะมีชื่อ GT แต่ AMG เชื่อว่ามันเป็นรถสปอร์ตมากกว่า
แน่นอนว่ามันมีพละกำลังที่จำเป็น ด้วยเครื่องยนต์ M177 V8 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้กำลัง 577 แรงม้า และแรงบิด 800 นิวตันเมตร ซึ่งทำให้ GT 63 สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม. แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจและน่าประทับใจคือแชสซีส์ของ GT ที่สร้างขึ้นบนโครงสร้างอะลูมิเนียมสเปซเฟรมใหม่ทั้งหมด โดยมีเหล็ก แมกนีเซียม และวัสดุคอมโพสิตรวมอยู่ในการก่อสร้าง ทำให้มีความแข็งแกร่งในด้านแรงบิด ด้านข้าง และด้านยาวอย่างมีนัยสำคัญ
ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบมัลติลิงค์อะลูมิเนียมฟอร์จ ประกอบด้วยแดมเปอร์แอ็คทีฟที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบไฮดรอลิกทั่วทั้งแชสซีส์, ระบบกันโคลงแอ็คทีฟ, ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง, เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปหลังที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic+ ที่สามารถส่งแรงบิดได้สูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์ไปยังเพลาหน้า ในโหมด Comfort และ Sport มันคือรถ GT ที่แท้จริง แต่เมื่อเพิ่มระดับไปที่ Sport+ หรือ Race ตัวตนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงก็จะปรากฏขึ้น – รถสปอร์ตที่เร้าใจ มีเอกลักษณ์ และแม่นยำ
ทางเลือกอื่น: Mercedes-AMG GT 63 คือรถที่ทำได้หลายอย่าง มันสามารถเป็นรถสปอร์ตได้เกือบเท่ามาตรฐานของ Porsche 911 GTS หรือ Aston Martin Vantage แต่มาพร้อมคุณสมบัติ Grand Touring ที่เพิ่มเข้ามา
BMW M5
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 4.5 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของ M5 ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางก่อนการเปิดตัว ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่หลายคนกล่าวถึงเกี่ยวกับรถคันนี้ แน่นอนว่ามันได้กลายเป็นรถไฮบริด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 500 กก. จากรุ่นก่อนหน้า สิ่งนี้สร้างความตกใจให้กับวงการ BMW M มากพอๆ กับการตัดสินใจใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในรุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม หากเราต้องการรักษารถซูเปอร์ซีดานให้คงอยู่ต่อไป เราก็จะต้องคุ้นเคยกับรถไฮบริดที่มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
และเมื่อคุณได้อยู่หลังพวงมาลัยและคุ้นเคยกับ M5 อย่างถ่องแท้แล้ว การเพิ่มระบบไฟฟ้าดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลย แม้จะมีพละกำลัง 717 แรงม้า แต่ M5 มีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่แย่กว่ารุ่น V8 ที่ไม่ใช่ไฮบริดก่อนหน้าเล็กน้อย แต่มันก็ยังสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 305 กม./ชม. หากเลือกแพ็คเกจ M Driver’s
แต่ไม่ใช่ความเร็วสูงสุดที่น่าประทับใจมากที่สุด แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า M5 “หดตัวลงรอบตัวคุณ” อย่างแท้จริง ทำให้รู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าที่ตัวเลขสถิติบอกไว้มาก มีโหมดไดนามิกให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบังคับเลี้ยว, การหน่วง, แผนที่เกียร์, การฟื้นฟูพลังงาน, แผนที่ระบบส่งกำลัง และแม้แต่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M5 ยังสามารถสลับระหว่าง 4WD, โหมด 4WD Sport ที่เน้นกำลังล้อหลังมากขึ้น และโหมดขับเคลื่อนล้อหลังล้วนๆ และในโหมด 4WD Sport มันจะสนุกสนานมาก พรางน้ำหนักตัวด้วยความคล่องตัวที่ไม่คาดคิด
ทางเลือกอื่น: BMW M5 มีคู่แข่งอย่าง Panamera Turbo E-Hybrid แต่ถ้าคุณต้องการพละกำลังที่ไม่ใช่ไฮบริด Audi RS7 คือทางเลือกเดียวที่มีอยู่ในปัจจุบัน สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าล้วน Porsche Taycan Turbo และ Audi RS E-Tron GT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในแบบของตนเอง
Range Rover Sport SV
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 7.2 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Range Rover Sport รุ่นก่อนหน้านี้อาจจะดูหรูหราเกินไปสำหรับบางรสนิยม ดังนั้นรุ่นล่าสุดนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดี ด้วยรูปลักษณ์ที่เรียบหรูและซับซ้อนกว่า แต่กลับซ่อนระบบส่งกำลังที่ทรงพลังไม่แพ้กัน ด้วยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบชาร์จ 626 แรงม้า ที่ได้รับจาก BMW M ทำให้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที และจะลดลงอีก 0.2 วินาที หากเลือกแพ็คเกจคาร์บอนพร้อมล้อคาร์บอนและยางที่ยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น
มันเร็วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ SUV สูง 2.5 ตันคันนี้จะสร้างความบันเทิงได้หรือไม่เมื่อต้องเข้าโค้ง? สั้นๆ เลยคือ “ใช่” มันสามารถทำได้ มันมีแชสซีส์ที่แข็งแกร่งพอที่จะรองรับพละกำลัง ด้วยระบบกันสะเทือนไฮดรอลิก 6D ที่เชื่อมโยงกันอย่างชาญฉลาด คล้ายกับที่คุณพบใน McLaren 750S เพื่อมอบการผสมผสานระหว่างความสบายและการควบคุมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดา SUV ในตลาด
แม้จะยังมีการโยกตัวเล็กน้อยที่ช่วยให้คุณ “พิง” ได้ แต่ระบบ 6D ป้องกันการโยนตัวที่มากเกินไป ซึ่งรถประเภทนี้มักจะประสบปัญหาภายใต้การเข้าโค้งและการเบรกอย่างหนัก ด้วยการเพิ่มระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง ทำให้ SV ให้ความรู้สึกมั่นคงอย่างสมบูรณ์แบบบนสนามแข่ง การไหลลื่นจากการเลี้ยวเข้าสู่ Apex ไปจนถึงการออกจากโค้งด้วยความมั่นใจเช่นนี้ ทำให้คุณแทบจะรู้สึกผิดที่ประทับใจในความสามารถของรถที่คุณคาดว่าจะจอดอยู่ในพิทมากกว่าที่จะเข้าโค้ง แน่นอนว่าเจ้าของส่วนใหญ่คงไม่กล้าลงสนาม แต่ก็ดีที่ได้รู้ว่า SV ยังคงมีความสามารถเมื่ออยู่นอกเขตความสบายของมัน
ทางเลือกอื่น: Range Rover Sport SV คือการตอบโต้โดยตรงต่อ Porsche Cayenne Turbo ซึ่งเป็นรถสปอร์ตบนโครงสูงที่ยืนยงมานานของ Porsche ซึ่งตอนนี้มีให้เลือกเฉพาะในรูปแบบ e-Hybrid อย่างน่าประหลาดใจ นั่นหมายความว่า Range Rover ที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปเพียงอย่างเดียวกลับมีน้ำหนักเบากว่า Cayenne ในขณะที่ยังคงใช้ความรู้สึก “Range Rover” อันเป็นเอกลักษณ์ของความหรูหราเหนือกว่า นอกจากนี้ยังเหนือกว่า BMW X5M และ Audi RSQ8 อีกด้วย หากไม่ใช่ Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE ที่มีราคาแพงกว่าที่คุณอาจเลือกได้แทน
Audi RS3
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 2.5 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
ก่อนการมาถึงของ Mercedes-AMG A45 S นั้น RS3 เคยเป็นรถแฮทช์แบ็กที่ทรงพลังที่สุดในโลกในช่วงเวลาสั้นๆ และแม้จะถูกคู่แข่งจากชตุทท์การ์ทแซงหน้าไป แต่ RS3 ก็ยังคงเป็น Hyperhatch ที่ให้ความบันเทิงอย่างมหาศาล และยังเป็นรถที่ใช้งานได้หลากหลายอีกด้วย มันเป็นข้อเสนอที่ละเอียดอ่อนกว่าพี่น้อง RS ขนาดใหญ่ และเมื่อติดตั้งออปชั่นที่เหมาะสม มันก็เกือบจะสามารถหลบสายตาได้อย่างแนบเนียน
ด้วยพละกำลัง 394 แรงม้า ทำให้มันเป็นรถที่เร็วเกินคาด โดยสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ต่ำกว่า 4 วินาที และด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ทำให้มันสามารถทำความเร็วได้ดีไม่ว่าสภาพถนนจะเป็นอย่างไร หัวใจสำคัญของการก้าวกระโดดด้านไดนามิกของ RS3 เจเนอเรชั่นนี้คือ ‘torque splitter’ เฟืองท้ายหลังของ Audi ซึ่งสามารถแบ่งแรงบิดไปตามเพลาหลังได้ขึ้นอยู่กับว่าล้อใดต้องการและสามารถรองรับได้ แรงบิดของเครื่องยนต์สูงสุดถึง 50 เปอร์เซ็นต์สามารถส่งไปยังด้านหลังได้ แต่ทั้งหมดนั้นสามารถส่งไปยังล้อหลังเพียงล้อเดียวได้ – ล้อด้านนอกเพื่อลดอาการอันเดอร์สเตียร์ (หรือทำให้รถสไลด์) หรือล้อด้านในเพื่อเพิ่มเสถียรภาพเมื่อจำเป็น
หัวใจของ RS3 คือเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จห้าสูบที่ยอดเยี่ยม ซึ่งน่าประทับใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยเสียงคำรามของห้าสูบที่จำลองเสียง V8 ของ R8 ได้อย่างน่าทึ่งในบางสถานการณ์ มันอาจจะไม่ได้ให้การมีส่วนร่วมในระดับเดียวกับ GR Yaris หรือ Civic Type R แต่ก็ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และเมื่อคุณไม่ได้เข้าโค้งและต้องการขับขี่แบบสบายๆ มันก็สะดวกสบายและนุ่มนวล
ทางเลือกอื่น: คู่แข่งหลักของ Audi RS3 ในแง่ของราคา สมรรถนะ และตำแหน่งทางการตลาดคือ Mercedes-AMG A45 S ทั้งคู่เป็นรถแฮทช์แบ็กพรีเมียมสี่ล้อขับเคลื่อนสี่ล้อจากเยอรมนีที่มีกำลังประมาณ 400 แรงม้า ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ต่อสู้กันอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสมดุลที่น่าพึงพอใจระหว่างความเร็วและความสนุกสนาน อย่างไรก็ตาม ยังมีทางเลือกอื่นๆ อีก – Honda Civic Type R คือสุดยอด Hot Hatch ที่สุดขีด ในขณะที่ Toyota GR Yaris ก็เป็น Super Hatch ขับเคลื่อนสี่ล้ออีกรสชาติหนึ่ง
Porsche 911 Carrera 4 GTS
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 5.9 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Porsche 911 Carrera 4 GTS รุ่นล่าสุดเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่สำหรับ Porsche ในแง่หนึ่ง เพราะเป็น 911 (แบบเบาๆ) ไฮบริดคันแรก ในอีกแง่หนึ่ง มันคือรุ่นล่าสุดในสายเลือดของรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ยาวนาน ซึ่งเริ่มต้นด้วย Carrera 4s รุ่น 964 ในยุค 1980s Porsche เป็นผู้บุกเบิกรถสปอร์ตขับเคลื่อนสี่ล้อ จึงไม่น่าแปลกใจที่รุ่นล่าสุดนี้เป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสร้างขึ้นจากประสบการณ์และการทำซ้ำมาหลายปี
GTS รุ่นล่าสุดแน่นอนว่ามาพร้อมเครื่องยนต์ 3.6 ลิตรใหม่ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กระหว่างเครื่องยนต์และเกียร์ และในเทอร์โบชาร์จเจอร์เดี่ยวใหม่ ผลลัพธ์คือสามารถส่งพละกำลังอันมหาศาล – 534 แรงม้า และแรงบิด 610 นิวตันเมตร – ไปยังยางด้วยการตอบสนองที่รวดเร็วเกือบจะในทันทีที่คุณสั่งการ
เมื่อคุณเรียกใช้มันเป็นครั้งแรก คุณจะได้รับความรู้สึกว่ามอเตอร์นี้เหมือนเครื่องยนต์หายใจธรรมชาติขนาดเล็กและน้ำหนักเบาในคราวเดียว และเครื่องยนต์หลายสูบขนาดใหญ่ที่ทรงพลังในอีกคราวหนึ่ง มันมีความหลากหลายอย่างน่าเหลือเชื่อ ปริมาณของแรงกระแทกและความกระตือรือร้นที่มันมาถึง หมายความว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับ Carrera มากเท่านี้มาก่อน มอบการยึดเกาะที่มีค่าเมื่อต้องการการยึดเกาะสูงสุด แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์การขับเคลื่อนล้อหลังของ 911 ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แสงเงาของ GT3 และ 911 Turbo หลอมรวมกันใน Carrera 4 GTS T-Hybrid ได้อย่างยอดเยี่ยม
ทางเลือกอื่น: ไม่มีใครเทียบความหลากหลายของรถยนต์ 911 ได้ ดังนั้นจึงมีคู่แข่งโดยตรงเพียงไม่กี่รายที่สามารถตอบสนองความสามารถของ Carrera 4 GTS ได้ ยกเว้น Mercedes-AMG GT63 ซึ่งจับคู่การขับเคลื่อนสี่ล้อเข้ากับพละกำลังเทอร์โบชาร์จอันทรงพลังและกำลังเพิ่มอีก 50 แรงม้า GT55 มีราคาใกล้เคียงกับ 911 มากกว่า แม้จะมีกำลังน้อยกว่า 60 แรงม้า หากไม่จำเป็นต้องมี AWD? ลอง Carrera GTS มาตรฐาน… หรือ Aston Martin Vantage
Aston Martin DBX707
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 8.4 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
การออกแบบแพลตฟอร์มอะลูมิเนียมเฉพาะตัว แทนที่จะซื้อโครงสร้างจาก Mercedes คือวิธีที่ดีในการทำให้ผู้ที่สงสัยในความแท้จริงของ SUV คันแรกของ Aston Martin ตั้งคำถามกับตัวเอง หรืออย่างน้อยก็ควรเป็นเช่นนั้น เมื่อคุณได้อยู่หลังพวงมาลัยของ DBX707 รุ่นล่าสุด เราพนันได้เลยว่าแม้แต่พวกอนุรักษ์นิยมที่ดื้อรั้นที่สุดก็จะถูกขายขาดไปอย่างสมบูรณ์
นี่คือรถครอบครัวทรงสูงที่มีรูปทรง ตัวถัง และความหรูหราภายใน (หากไม่ใช่รายละเอียดที่จุกจิก) ที่คุณคาดหวังจาก Aston Martin พร้อมด้วยความประณีต สมรรถนะ และพลวัตการขับขี่ที่เหนือชั้น ตอนนี้ด้วยการตกแต่งภายในที่อัปเดตใหม่ มันยังมีคุณภาพดีขึ้นและใช้งานง่ายขึ้นอีกด้วย
เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร ที่มาจาก AMG มาพร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่กำหนดโดย Aston ให้พละกำลัง 697 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร เพื่อขับเคลื่อนมวล 2.2 ตันไปข้างหน้า ขณะที่แดมเปอร์ Bilstein DTX รุ่นล่าสุดช่วยให้รถมั่นคงในโค้ง การบังคับเลี้ยว การหน่วง และเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป ล้วนมีความเป็น Lotus ในด้านความเป็นเส้นตรง ซึ่งทำให้ 707 มีความน่าเชื่อถืออย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเครื่องจักรขนาดมหึมาเช่นนี้
คุณวางมันบนถนนและสำรวจขีดจำกัดสูงสุดของพลวัตการขับขี่ด้วยความมั่นใจที่สร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติหลังพวงมาลัย จากนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องผ่อนคลาย มันก็เป็นรถที่นุ่มนวลอย่างแท้จริง DBX707 ให้ความรู้สึกที่แท้จริง ไม่เหมือนคู่แข่งหลายรายที่ให้ความรู้สึกเหมือนรถบรรทุกสัมภาระที่มีฮาร์ดแวร์สมรรถนะที่ติดตั้งมาอย่างไม่ลงตัวและน่าอึดอัด เพราะมันเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะตัวและคู่แข่งไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ทางเลือกอื่น: ทางเลือกที่แท้จริงสำหรับ Aston Martin DBX707 มีไม่มากนัก แม้ตลาด Super SUV จะใหญ่โตเพียงใด มีเพียง Ferrari Purosangue ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะตัวอีกคันหนึ่งในประเภทนี้เท่านั้นที่ให้ความรู้สึกสมบูรณ์และความควบคุมที่ใกล้เคียง Porsche Cayenne Turbo e-Hybrid ก็ทำผลงานได้ดีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแพ็คเกจ GT ที่เน้นการขับขี่ที่เฉียบคมยิ่งขึ้น
Lamborghini Revuelto
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 18.5 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
หนึ่งในรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ซับซ้อนที่สุดในตลาดปัจจุบันคือ Lamborghini Revuelto ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการผสมผสานพลังงานไฟฟ้าเข้ากับล้อหน้า และพลังงานสันดาปเข้ากับล้อหลัง โดยทั้งสองระบบเชื่อมต่อกันด้วยสมองอิเล็กทรอนิกส์อันชาญฉลาดอย่างเหลือเชื่อ รถคันนี้บังเอิญเป็นรุ่นล่าสุดในสายเลือดซูเปอร์คาร์ V12 ของ Lamborghini ที่สืบทอดมาตั้งแต่ Miura Revuelto จึงท้าทายประเพณีด้วยการเป็นรถที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมาก และจากที่เราได้กล่าวไป มันถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตและคล่องแคล่วอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับบรรพบุรุษที่มีความเฉียบคมน้อยกว่าเล็กน้อย
สิ่งที่สำคัญเกือบเท่ากับวิธีขับขี่คือรูปลักษณ์ ซึ่งโดดเด่นอย่างเหลือเชื่อ แต่การออกแบบที่สะกดสายตาไม่ได้โอ้อวดเกินสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่ ด้วยพละกำลัง 1,001 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่เร่งรอบได้ถึง 9,500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ทำให้มันสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 2.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 350 กม./ชม.
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีน้ำหนัก (แห้ง) 1,772 กก. แต่มันก็มีความคล่องตัวอย่างน่าทึ่ง ระบบไฟฟ้าและกลไกทำงานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังช่วยเพิ่มความคล่องตัว การกระจายแรงบิดในเพลาได้รับการปรับเทียบมาอย่างดีเยี่ยม และอินเทอร์เฟซผู้ขับขี่ได้รับการออกแบบมาอย่างแม่นยำ นี่คือรถที่มีพละกำลังและรูปลักษณ์ที่โดดเด่นกว่า Bugatti Veyron แต่เต้นรำได้เหมือน Audi R8 รุ่นดั้งเดิม
ทางเลือกอื่น: Lamborghini Revuelto ครองตำแหน่งสูงสุดในตระกูลที่ Ferrari SF90 (และไฮเปอร์คาร์ Holy Trinity รุ่นก่อนหน้านี้) ได้ปูทางไว้ในตอนนี้ แม้ว่า Aston Martin Valhalla รุ่นใหม่กำลังพยายามแย่งชิงตำแหน่งอยู่ก็ตาม สำหรับซูเปอร์คาร์ที่เน้นความเร็วดิบๆ McLaren 750S ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แม้จะขาดความเร้าใจของ V12 ไป
Mercedes-AMG A45 S
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 2.7 ล้านบาท (อ้างอิงราคาต่างประเทศ)
Mercedes-AMG A45 เริ่มต้นชีวิตโดยไม่มีการประกาศมากนัก ในฐานะอุปกรณ์ที่เน้นความเร็วจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยน่าตื่นเต้นหรือมีส่วนร่วมเท่าไหร่นัก Mercedes-AMG ได้นำข้อกล่าวหาเหล่านี้มาปรับปรุงอย่างจริงจัง โดยอัปเดตรถคันแรกและปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมหาศาล ก่อนที่จะเปิดตัวรถรุ่นที่สอง (และปัจจุบัน) ที่ยอดเยี่ยม มันจับคู่ความรู้สึกที่ได้รับการพัฒนาและมีราคาแพงในการควบคุม สมรรถนะอันมหาศาล เข้ากับความสามารถในการปรับแต่งแชสซีส์อย่างแท้จริง ความขี้เล่น และความรู้สึกที่พร้อมให้ร่วมสนุก นี่คือรถที่ดูเหมือนจะสนุกกับการขับขี่ด้วยความเร็ว ไม่ใช่แค่ความเร็วสูงสุดเท่านั้น
สิ่งนี้น่าประทับใจเมื่อพิจารณาถึงคลังเทคโนโลยีที่กว้างขวางของ A45 ระบบกันสะเทือนปรับได้ AMG Ride Control, การกำหนดค่าผู้ขับขี่ Dynamic Select, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic และเกียร์ Speedshift 8 สปีด ล้วนสามารถแยกผู้ขับขี่ออกจากประสบการณ์ได้ง่ายๆ แต่ด้วยการปรับเทียบและการจูนที่ยอดเยี่ยม ทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและความกลมกลืน เครื่องยนต์ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมในความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์สันดาปของ AMG – เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จสี่สูบ 2 ลิตร ที่สามารถสร้างกำลัง 415 แรงม้า ได้อย่างน่าเชื่อถือ
ทางเลือกอื่น: A45 S เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Audi RS3 ทั้งคู่เป็นรถแฮทช์แบ็กพรีเมียมสี่ล้อขับเคลื่อนสี่ล้อจากเยอรมนีที่มีกำลังประมาณ 400 แรงม้า ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ต่อสู้กันอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสมดุลที่น่าพึงพอใจระหว่างความเร็วและความสนุกสนาน อย่างไรก็ตาม ยังมีทางเลือกอื่นๆ อีก – Honda Civic Type R คือสุดยอด Hot Hatch ที่สุดขีด ในขณะที่ Toyota GR Yaris ก็เป็น Super Hatch ขับเคลื่อนสี่ล้ออีกรสชาติหนึ่ง
สรุป: อนาคตของสมรรถนะที่อยู่บนทุกเส้นทาง
ในโลกยานยนต์ปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเสริม แต่เป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนรถยนต์สมรรถนะสูงให้ก้าวข้ามขีดจำกัด ด้วยพละกำลังที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งจากเครื่องยนต์สันดาปล้วนและระบบไฮบริดอันซับซ้อน ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะเหล่านี้คือผู้พิทักษ์ที่ช่วยถ่ายทอดพลังงานมหาศาลลงสู่พื้นถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย พร้อมทั้งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจและเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคย
รถยนต์ที่เราได้นำเสนอในวันนี้ ตั้งแต่ซูเปอร์ SUV สุดหรูไปจนถึง Hot Hatch ตัวแรง และซูเปอร์คาร์ไฮบริดที่ล้ำสมัย ล้วนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความหลากหลายและความฉลาดที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อนำมาสู่โลกยานยนต์ มันทำให้รถยนต์เหล่านี้สามารถเป็นได้มากกว่าแค่เครื่องจักรความเร็วสูง แต่ยังคงความสามารถในการใช้งานที่เหนือกว่า มอบความมั่นใจและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าคุณจะต้องการความตื่นเต้นบนสนามแข่ง ความหรูหราบนท้องถนน หรือความอเนกประสงค์สำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน รถขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูงแห่งปี 2025 พร้อมแล้วที่จะตอบสนองทุกความต้องการของคุณ
ผมในฐานะผู้ที่คลุกคลีกับวงการนี้มานาน รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นนวัตกรรมเหล่านี้ปรากฏขึ้น มันคือการยืนยันว่าอนาคตของยานยนต์ยังคงเต็มไปด้วยความเร้าใจและความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด
คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคต? รถขับเคลื่อนสี่ล้อคันไหนที่จุดประกายความฝันของคุณมากที่สุด? ลองออกไปค้นหาด้วยตัวคุณเอง แล้วมาแบ่งปันประสบการณ์กับเรา เพราะโลกของยานยนต์สมรรถนะสูงยังคงรอให้คุณออกไปสำรวจและค้นพบสิ่งใหม่ๆ เสมอ!

