ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
สุดยอดรถสปอร์ตไฟฟ้าปี 2025: ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ 10 ปี ที่จะเปลี่ยนมุมมองของคุณ
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตและสัมผัสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ นั่นคือการที่พลังงานไฟฟ้าได้เข้ามาพลิกโฉมโลกของรถสปอร์ต ในปี 2025 นี้ รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดแห่งอนาคตอีกต่อไป แต่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านประสิทธิภาพและความตื่นเต้นอย่างแท้จริง และนี่คือการจัดอันดับที่เกิดจากประสบการณ์ตรงและการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งถึง “สุดยอดรถสปอร์ตไฟฟ้า” ที่ไม่ใช่แค่เร็วที่สุด แต่ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าและกำหนดนิยามใหม่ของคำว่า “รถยนต์สมรรถนะสูง”
ในอดีต ภาพของรถสปอร์ตถูกผูกติดอยู่กับเสียงคำรามของเครื่องยนต์สันดาปภายใน กลิ่นน้ำมันเบนซิน และอะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่าน แต่ในวันนี้ แหล่งพลังงานใหม่ได้ปลดล็อกศักยภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน มอบพละกำลังและอัตราเร่งที่รถน้ำมันในฝันก็ยังต้องอิจฉา นอกจากนี้ยังขยายนิยามของ “รถยนต์สมรรถนะสูง” ให้ครอบคลุมมากขึ้น ตั้งแต่รถสปอร์ตแบบ Low-slung คลาสสิก ไปจนถึงคูเป้ที่สง่างาม และ GT ที่พร้อมตะลุยข้ามทวีป
ตลาดรถสปอร์ตไฟฟ้าในปี 2025 มีความคึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้ผลิตรถยนต์จากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่เชี่ยวชาญด้านรถสมรรถนะสูง หรือผู้เล่นใหม่ที่มุ่งมั่นในเทคโนโลยี EV ต่างก็กระโดดเข้าสู่สังเวียนนี้ ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่หลากหลายและน่าตื่นเต้น บางรุ่นคุณสามารถขับออกจากโชว์รูมได้ทันที ขณะที่บางรุ่นอาจเป็นเพียง “เส้นสายในสมุดสั่งจอง” แต่ทุกรุ่นล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น
การคัดเลือกรถสปอร์ตไฟฟ้าที่ดีที่สุดในปี 2025 ต้องพิจารณาจากหลายมิติ ทั้งพละกำลัง เทคโนโลยีแบตเตอรี่ ระยะทางขับขี่ ความสามารถในการชาร์จเร็ว การควบคุมและไดนามิกส์การขับขี่ ไปจนถึงการออกแบบภายในและภายนอก รวมถึงความคุ้มค่าและตำแหน่งทางการตลาด นี่คือ 10 อันดับที่ผมได้คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน พร้อมเจาะลึกทุกรายละเอียดที่สำคัญ
Alpine A290: ความสนุกไฟฟ้าที่จับต้องได้
Alpine A290 ไม่ได้เป็นเพียงรถสปอร์ตไฟฟ้าที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังเป็นผู้ชนะรางวัล “Best Fun EV” ในงาน Autocar Awards ปี 2025 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความโดดเด่นของมันในด้านความสนุกสนานในการขับขี่ ด้วยประสบการณ์กว่าสิบปีในการทดลองขับรถสมรรถนะสูง ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า A290 คือคำตอบสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถสปอร์ตไฟฟ้าที่ให้ความรู้สึกดิบ แท้จริง และเข้าถึงได้
จากภายนอก A290 อาจดูคล้ายกับ Renault 5 แต่ภายใต้รูปลักษณ์นั้นคือวิศวกรรมเฉพาะของ Alpine ที่ได้รับการปรับแต่งมาอย่างประณีต ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสีภายนอก แต่เป็นการยกระดับประสบการณ์การขับขี่อย่างแท้จริง ระบบกันสะเทือนได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยสปริง แดมเปอร์ และเหล็กกันโคลงเฉพาะของ Alpine รวมถึง Hydraulic Bump Stops ที่ช่วยให้การขับขี่บนท้องถนนทั่วไปมีความนุ่มนวลและสบายอย่างน่าประหลาดใจสำหรับรถสปอร์ตขนาดเล็ก ในขณะเดียวกันก็ยังคงประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมบนสนามแข่ง อลูมิเนียมซับเฟรมด้านหน้าที่เบากว่ายังช่วยเพิ่มความคล่องตัวและลดน้ำหนักรวมของรถ ทำให้ A290 มีความคล่องแคล่วและแม่นยำอย่างที่รถสปอร์ตควรจะเป็น
A290 มีให้เลือกสองรุ่นย่อยตามพละกำลัง คือ 178 แรงม้า และ 217 แรงม้า สำหรับรุ่นที่เร็วที่สุดที่เราได้ใช้เวลาทดสอบมากที่สุดนั้น สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. (0-62 ไมล์/ชม.) ได้ในเวลาเพียง 6.4 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับรถในกลุ่มนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ A290 แตกต่างอย่างแท้จริงคือความรู้สึกหลังพวงมาลัย พวงมาลัยที่แม่นยำ การตอบสนองของคันเร่งที่ดึงดูดใจ และห้องโดยสารที่ให้ความรู้สึกหรูหราเกินราคา ทั้งหมดนี้ผสมผสานกันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ไม่เพียงแต่เป็นผู้ชนะรางวัล “Best Fun EV” ที่คู่ควร แต่ยังมอบความหวังว่ายุคของ Hot Hatch ที่แท้จริงได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบของพลังงานไฟฟ้า
สิ่งที่โดดเด่น: ประสิทธิภาพบนสนามแข่งและการปรับแต่งที่ยอดเยี่ยม, การขับขี่บนถนนที่สะดวกสบายในชีวิตประจำวัน, ระบบมัลติมีเดียที่ทันสมัย
สิ่งที่ควรพิจารณา: ระยะทางขับขี่ลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อสนุกกับการขับขี่มากเกินไป, พื้นที่เก็บของภายในน้อย, ไม่มีที่วางแก้ว
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการความสนุกไฟฟ้าในราคาที่จับต้องได้
Hyundai Ioniq 5 N: นิยามใหม่ของ Hot Hatch ไฟฟ้า
หากคุณมองหา “รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง” ที่ให้ทั้งความเร้าใจบนสนามแข่งและความสะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวัน Hyundai Ioniq 5 N คือคำตอบที่ไม่อาจมองข้ามได้ แม้รูปลักษณ์ภายนอกอาจไม่ได้กรีดกรายเหมือนรถสปอร์ตทั่วไป แต่สมรรถนะและไดนามิกส์การขับขี่ที่เหนือชั้นทำให้มันสมควรถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่รถสปอร์ตไฟฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย จากประสบการณ์ของผม Ioniq 5 N ไม่ใช่แค่ “รถ Hatchback แรงๆ” แต่เป็นรถที่วิศวกรได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อผู้ขับขขี่โดยเฉพาะ
ตั้งแต่เริ่มต้น การพัฒนา Ioniq 5 N โดยแผนก N Performance ของ Hyundai ได้มุ่งเน้นที่การสร้างรถยนต์สำหรับผู้ขับขี่อย่างแท้จริง และผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก ไม่เพียงแต่เราจะยกให้เป็น “Best Performance Car of 2024” แต่ยังกล้ากล่าวได้ว่านี่คือ “รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้ขับขี่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ระบบขับเคลื่อนมอเตอร์คู่ให้พละกำลังมหาศาล โดยมี 223 แรงม้าส่งไปยังล้อหน้า และ 378 แรงม้าส่งไปยังล้อหลัง ทำให้กำลังสูงสุดรวมอยู่ที่ 641 แรงม้า ช่วยให้ Ioniq 5 N สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.4 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่สามารถท้าชนรถซูเปอร์คาร์หลายคันได้สบายๆ
สิ่งที่ทำให้ Ioniq 5 N โดดเด่นคือความสามารถในการปรับแต่งอย่างละเอียด ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ถึงหกโหมด และปรับการตอบสนองของมอเตอร์ ความแข็งของแดมเปอร์ น้ำหนักพวงมาลัย และความไวของระบบควบคุมเสถียรภาพได้อย่างอิสระ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์ gimmick แต่เป็นการปรับแต่งที่ส่งผลต่อประสบการณ์การขับขี่อย่างแท้จริง แม้กระทั่งฟีเจอร์ “เสียงเครื่องยนต์สังเคราะห์” ที่มีให้เลือกถึงสามแบบ ก็ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นและเชื่อมโยงกับความรู้สึกของการขับขี่รถสมรรถนะสูงแบบเดิม
นอกจากความสามารถด้านกีฬาแล้ว Ioniq 5 N ยังยอดเยี่ยมสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันอีกด้วย แบตเตอรี่ขนาด 84kWh ให้ระยะทางขับขี่ประมาณ 450 กิโลเมตร (280 ไมล์) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรองรับความเร็วการชาร์จสูงสุด 340kW ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็ว Ioniq 5 N ยังให้ความเงียบสงบ การเก็บเสียง และความสะดวกสบายที่น่าประทับใจ ทำให้มันเป็นได้ทั้งรถสำหรับเดินทางในเมืองและสัตว์ร้ายบนสนามแข่ง
สิ่งที่โดดเด่น: การควบคุมที่ปรับแต่งได้ยอดเยี่ยม, สมรรถนะการเร่งตรงที่แข็งแกร่ง, การอัปเกรดที่สำคัญจาก Ioniq 5 รุ่นมาตรฐาน
สิ่งที่ควรพิจารณา: พละกำลังที่เพิ่มขึ้นหมายถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ลดลง, ตัวรถค่อนข้างใหญ่บนถนนแคบ
เหมาะสำหรับ: ผู้ขับขี่ EV ที่จริงจังและต้องการสมรรถนะสูงสุด
Porsche Taycan: นิยามใหม่ของความหรูหราและประสิทธิภาพ
Porsche ได้บุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยอิทธิพลที่สมศักดิ์ศรีของแบรนด์รถยนต์สมรรถนะสูงระดับโลก แม้ว่า Taycan จะไม่ใช่รถสปอร์ตในความหมายดั้งเดิม แต่เป็น Grand Tourer สี่ประตูที่รวดเร็ว ขนาดเล็กกว่า Panamera เล็กน้อย แต่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงที่ทำให้มันเหนือกว่าคู่แข่งหลายราย จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ Taycan ไม่ได้เป็นแค่รถไฟฟ้า แต่เป็น Porsche ที่แท้จริงในทุกมิติ
Taycan โดดเด่นด้วยการควบคุมตัวถังที่ยอดเยี่ยม ความสมดุลที่หาได้ยาก ระบบควบคุมการทำงานที่ได้รับการปรับแต่งมาอย่างเหนือชั้น และความแม่นยำของพวงมาลัยที่สัมผัสได้จริง สิ่งที่เพิ่มความน่าสนใจคือระบบกันสะเทือนแบบถุงลมที่มอบการขับขี่ที่นุ่มนวลอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เราให้คะแนน Taycan เต็มห้าดาวหลังจากการทดสอบอย่างละเอียด การขับขี่ Taycan คุณจะสัมผัสได้ทันทีว่านี่คือ Porsche ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักและความรู้สึกของพวงมาลัย ความคล่องตัวที่ไม่มีที่ติ และการปรับแต่งแดมเปอร์ที่ให้ความรู้สึกแพง ทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของ Zuffenhausen ได้อย่างชัดเจน
สำหรับรุ่นเรือธงอย่าง Taycan Turbo S ให้พละกำลังสูงถึง 751 แรงม้า และสามารถเร่งความเร็วจาก 0-96 กม./ชม. (0-60 ไมล์/ชม.) ได้ในเวลาเพียง 2.6 วินาที ทำให้เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกแห่งความเป็นจริง นอกจากนี้ยังมีรุ่น Sport Turismo และ Cross Turismo ที่เพิ่มความอเนกประสงค์ในสไตล์ Wagon และ Off-road เข้ามาในสูตรสำเร็จของ Taycan
แต่ถ้ายังไม่พอใจ รุ่น Taycan Turbo GT ที่ฮาร์ดคอร์กว่านั้นได้ยกระดับไปอีกขั้น ด้วยพละกำลังที่ไม่ธรรมดาถึง 1,094 แรงม้า มอบอัตราเร่งระดับ Hypercar ที่สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 2.2 วินาทีเท่านั้น Porsche Taycan ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า รถยนต์ไฟฟ้าก็สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ หรูหรา และเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างไร้ที่ติ
สิ่งที่โดดเด่น: การควบคุมที่โดดเด่น, การขับขี่ที่ซับซ้อนและนุ่มนวล, ระยะทางขับขี่ไฟฟ้าและความเร็วในการชาร์จที่ดีขึ้น
สิ่งที่ควรพิจารณา: ความเป็นจริงของรถสี่ที่นั่งไม่กว้างขวางเท่ารถซีดานขนาดใหญ่, มูลค่าขายต่ออาจไม่คงที่เท่าในอดีต
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการความหรูหราและสมรรถนะระดับสูงจากรถสปอร์ตไฟฟ้า
Rimac Nevera: มิติใหม่ของ Hypercar ไฟฟ้า
ภายในระยะเวลาเพียงกว่าทศวรรษ Rimac ได้สร้างปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ในวงการยานยนต์ จากจุดเริ่มต้นในโรงรถของ Mate Rimac สู่บริษัทที่ Porsche เข้าถือหุ้นบางส่วนและวางแผนอนาคตของ Bugatti นี่คือการก้าวกระโดดที่น่าทึ่งในโลกยานยนต์ ผมได้เห็นการถือกำเนิดของ Hypercar ไฟฟ้ามามากมาย แต่ Rimac Nevera คือจุดสูงสุดของนวัตกรรมที่แท้จริง
ความสำเร็จสูงสุดของอาณาจักร Rimac คือ Nevera ซึ่งเป็นรุ่นต่อยอดจาก Concept One และ CTwo โดย Concept One ได้ริเริ่มกระแส Hypercar ไฟฟ้าด้วยกำลัง 1,073 แรงม้า และราคา 670,000 ปอนด์เมื่อเปิดตัวในปี 2017
Nevera จะผลิตจำกัดเพียง 150 คัน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกจองไปแล้ว ความน่าสนใจของมันเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเร็วๆ นี้ จากการทำลายสถิติความเร็วสูงสุดของ EV โดยทำความเร็วได้ถึง 412 กม./ชม. (256 ไมล์/ชม.) ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัด
ฮาร์ดแวร์ของ Nevera นั้นน่าทึ่งและชวนให้ทึ่ง ตัวรถสร้างขึ้นบนโครงสร้าง Monocoque แบบคอมโพสิต และมีมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับแต่ละล้อ พร้อมเกียร์เดี่ยวอิสระที่ล้อหน้า และเกียร์ดูอัลคลัตช์สองความเร็วสำหรับเพลาหลัง
ทั้งหมดนี้ทำให้ Nevera มีพละกำลังมหาศาลถึง 1,888 แรงม้า และแรงบิด 1,696 ปอนด์ฟุต ทำให้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 1.95 วินาที แบตเตอรี่ขนาด 120kWh ยังให้ระยะทางขับขี่สูงสุด 547 กิโลเมตร (340 ไมล์) นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบกันสะเทือนแบบ Double-wishbone, Torque Vectoring และศักยภาพในการขับขี่อัตโนมัติระดับ 4 ทุกอย่างที่กล่าวมามาพร้อมกับราคาที่สูงถึง 2.4 ล้านปอนด์ ซึ่งสะท้อนถึงวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกยานยนต์
สิ่งที่โดดเด่น: หนึ่งในรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก, สมรรถนะที่น่าตกใจ
สิ่งที่ควรพิจารณา: ราคา 2.4 ล้านปอนด์
เหมาะสำหรับ: มหาเศรษฐีผู้แสวงหาสุดยอดสมรรถนะและเทคโนโลยี
Audi RS E-tron GT: ความงามอันสง่างามและพละกำลังที่คุ้นเคย
Audi RS E-tron GT ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ประดับตรา RS ของ Audi นั้น โดยพื้นฐานแล้วคือ Porsche Taycan ในชุดที่แตกต่างกันออกไป ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่านี่คือการนำเทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วมาสร้างสรรค์ในสไตล์ของ Audi อย่างลงตัว ทำให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสถึงพละกำลังที่คุ้นเคยในแพ็คเกจที่สง่างาม
RS E-tron GT ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าอันทรงพลังแบบเดียวกัน (มอเตอร์ละเพลา) และระบบกันสะเทือนแบบถุงลมสามห้องแบบเดียวกัน รวมถึงสถาปัตยกรรมพื้นฐานที่ใช้ร่วมกัน แบตเตอรี่แพ็คจึงได้รับการถ่ายทอดมาด้วย ส่งผลให้มีระยะทางขับขี่ตามมาตรฐาน WLTP สูงสุดถึง 460 กิโลเมตร (285 ไมล์) และรองรับการชาร์จแบบ Ultra-rapid 350kW ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการชาร์จที่รวดเร็วที่สุดในตลาดปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้หมายความว่า RS E-tron GT นั้นเร็วอย่างมหาศาล รุ่นเรือธงสามารถสร้างแรงบิด 612 ปอนด์ฟุต และกำลัง 637 แรงม้า และสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 3.5 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับรถ GT ขนาดใหญ่
สิ่งที่ดียิ่งกว่าคือการควบคุมที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าจะไม่ได้มีความละเอียดอ่อนและดึงดูดใจเท่า Taycan โดยเฉพาะในเรื่องของพวงมาลัย แต่ก็ใกล้เคียงกันมาก และสิ่งที่ได้มาคือการขับขี่ที่ผ่อนคลายกว่า Taycan เมื่อขับขี่ปกติ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ด้านความประณีตของรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ทำให้ Audi เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจไม่แพ้กัน RS E-tron GT ไม่ได้เป็นแค่รถไฟฟ้าที่เร็ว แต่ยังเป็น Audi RS ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้อย่างครบถ้วน ทั้งในด้านสมรรถนะ ความประณีต และสไตล์
สิ่งที่โดดเด่น: พละกำลังที่ส่งออกได้อย่างราบรื่นและเงียบสงบ, ให้ความรู้สึกเหมือนรถ Audi RS อย่างแท้จริง, การออกแบบที่สวยงามโดดเด่น
สิ่งที่ควรพิจารณา: มีราคาแพงเมื่อรวมออปชั่นที่จำเป็น, ยังไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างได้เหมือน Audi R8 ที่จากไป
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบและต้องการรถสปอร์ตไฟฟ้าที่สวยงาม
Lotus Evija: Hypercar ไฟฟ้าสายพันธุ์แท้จาก Hethel
Lotus Evija เป็นบทสรุปของปรัชญา “Simplify, then add lightness” ของ Lotus ในยุคไฟฟ้า ท่ามกลางข่าวใหญ่ของ Emira ซึ่งเป็นรถสปอร์ตที่มุ่งท้าชน Porsche 718 Cayman Evija กลับเป็นตัวแทนของอนาคต ที่ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในอีกต่อไป นี่คือ Hypercar ไฟฟ้าที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 130 คัน และเป็นสัญญาณแรกว่า Lotus กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
ตัวเลขสถิติของ Evija นั้นน่าทึ่งมาก Lotus เองก็เพิ่งประหลาดใจเมื่อพบว่ามอเตอร์ทั้งสี่ของรถรวมกันให้กำลังถึง 2,011 แรงม้า แทนที่จะเป็น 1,973 แรงม้าตามที่เคยระบุไว้ พละกำลังมหาศาลนี้ขับเคลื่อนน้ำหนัก 1,680 กก. ซึ่งถือว่าเบามากเมื่อเทียบกับ EV อื่นๆ ทำให้สมรรถนะของมันน่าจะให้ความรู้สึกเหมือนการดิ่งพสุธา
แม้ตัวเลขสมรรถนะอย่างเป็นทางการจะยังไม่มากนัก แต่ Lotus คาดการณ์ว่าอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. จะทำได้ในเวลาต่ำกว่า 2.0 วินาที และความเร็วสูงสุดจะเกิน 320 กม./ชม. (200 ไมล์/ชม.) สิ่งที่สำคัญกว่าคือ Lotus กำลังปรับแต่งรถคันนี้ให้เน้นไปที่การควบคุมและไดนามิกส์การขับขี่มากกว่าตัวเลขดิบๆ การส่งกำลังจึงถูกปรับให้มีการไต่ระดับอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับเครื่องยนต์ที่ไม่มีระบบอัดอากาศ ซึ่งเป็นปรัชญาที่สอดคล้องกับ DNA ของ Lotus
คำถามคือ Evija จะสามารถรักษาคุณสมบัติแบบ Lotus ดั้งเดิมไว้ได้มากน้อยแค่ไหน? หากมี Hypercar ไฟฟ้ารุ่นใดที่สามารถดึงดูดใจในฐานะรถยนต์สำหรับผู้ขับขี่อย่างแท้จริง ความพยายามของ Lotus จาก Hethel น่าจะเป็นเดิมพันที่ดีที่สุด ด้วยวิศวกรรมที่มุ่งเน้นความเบาและการควบคุม Evija มีศักยภาพที่จะเป็น Hypercar ไฟฟ้าที่ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร
สิ่งที่โดดเด่น: มีน้ำหนักเบามากเมื่อเทียบกับ EV อื่นๆ, ความเร็วที่น่าทึ่ง
สิ่งที่ควรพิจารณา: ระยะทางขับขี่ที่จำกัด, ยังไม่ได้มีการทดลองขับบนถนนจริง
เหมาะสำหรับ: นักลงทุนผู้มีวิสัยทัศน์ที่ต้องการครอบครองประวัติศาสตร์แห่งอนาคต
Pininfarina Battista: ความหรูหราที่มาพร้อมกับพละกำลังมหาศาล
เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่าง Porsche Taycan และ Audi RS E-tron GT, Pininfarina Battista ใช้ฮาร์ดแวร์ (และซอฟต์แวร์) ส่วนใหญ่ร่วมกับ Rimac Nevera แต่สำหรับจุดประสงค์ในการสร้างความแตกต่าง Battista ถูกนำเสนอในฐานะรถที่มีความหรูหราภายนอกมากกว่า และเป็นรถ GT ที่เน้นความสะดวกสบายมากกว่าในบรรดารถทั้งสองคัน จากประสบการณ์ของผม Battista คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างศิลปะอิตาลีและวิศวกรรมสมัยใหม่
แม้จะเน้นความหรูหรา แต่ Battista ก็ไม่ใช่รถยนต์ที่อ่อนโยน ตัวเลขสถิติยืนยันได้ชัดเจน ด้วยพละกำลัง 1,900 แรงม้า และแรงบิด 1,696 ปอนด์ฟุต จากมอเตอร์ทั้งสี่ มันสามารถเร่งความเร็วจาก 0-300 กม./ชม. (0-186 ไมล์/ชม.) ได้ในเวลาไม่ถึง 12 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 350 กม./ชม. (217 ไมล์/ชม.) ตัวเลขเหล่านี้ดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับราคา 2 ล้านปอนด์ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในคือประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าตัวเลข
Battista สามารถควบคุมได้อย่างละเอียดอ่อนและสมดุลอย่างน่าประหลาดใจ ให้ความรู้สึกเร้าใจในการเข้าโค้งไม่แพ้การเร่งความเร็วทางตรง โหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันจะเพิ่มน้ำหนักพวงมาลัยและทำให้แดมเปอร์แข็งขึ้น รวมถึงเพิ่มพละกำลัง แต่การขับขี่ยังคงควบคุมได้อย่างสงบตลอดเวลา
ในเชิงกายภาพ Battista สร้างสรรค์ขึ้นอย่างสวยงามทั้งภายในและภายนอก ด้วยเส้นสายสไตล์อิตาลีที่โดดเด่น แม้บริษัทจะตั้งอยู่ในมิวนิกและบริษัทแม่ Mahindra จะเป็นของอินเดียก็ตาม ทีมวิศวกรและนักออกแบบเองก็มีบุคลากรจาก Pagani และ Mercedes-AMG Project One Hypercar ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถอันไร้ที่ติที่อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์รถคันนี้ Battista ไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่เป็นงานศิลปะที่มีชีวิตชีวาและมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าจดจำ
สิ่งที่โดดเด่น: พวงมาลัยที่ยอดเยี่ยม, พละกำลังมหาศาลอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่ควรพิจารณา: ราคา 2 ล้านปอนด์, อาจไม่สนุกเท่ารถสำหรับ Track Day ราคา 100,000 ปอนด์
เหมาะสำหรับ: มหาเศรษฐีผู้ต้องการความหรูหราขั้นสุดยอดพร้อมพละกำลังระดับ Hypercar
Maserati Granturismo Folgore: การกลับมาของสัญลักษณ์อิตาลีด้วยพลังไฟฟ้า
Maserati Granturismo Folgore คือบทพิสูจน์ว่าแบรนด์อิตาลีอันเป็นเอกลักษณ์นี้กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งพลังงานไฟฟ้าอย่างจริงจัง ผมได้เฝ้าดู Maserati มานานหลายทศวรรษ และการมาถึงของ Folgore ในปี 2025 เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าพวกเขาพร้อมที่จะกลับมาทวงคืนความรุ่งโรจน์อีกครั้ง
หลังจากเปิดตัว MC20 supercar อันน่าตื่นเต้นในปี 2020 และ SUV ขนาดกลางรุ่นใหม่ (ซึ่งมีความสำคัญต่อยอดขายอย่างมาก) ตอนนี้ถึงเวลาของ Granturismo โฉมใหม่ ซึ่งเป็นคูเป้ที่ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ตามชื่อของมัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ Maserati คันแรกที่ได้รับการบำบัดด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
Folgore (หมายถึง “ฟ้าผ่า” ในภาษาอังกฤษ) สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มอะลูมิเนียมใหม่ทั้งหมดที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งระบบส่งกำลัง ICE และ BEV มีตัวเลขสถิติที่น่าประทับใจ ด้วยระบบมอเตอร์สามตัว (สองตัวที่ด้านหลังสำหรับ Torque Vectoring และหนึ่งตัวที่ด้านหน้า) ให้กำลัง 751 แรงม้า สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 2.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 320 กม./ชม. (199 ไมล์/ชม.)
ยิ่งไปกว่านั้น แบตเตอรี่ขนาด 83kWh (ให้ระยะทางขับขี่ตามที่เคลมไว้ 450 กม. หรือ 280 ไมล์) ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงตัว H ที่ยาว โดยส่วนตรงกลางจะวางตามแนวแกนกลางของรถ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ให้ตำแหน่งการนั่งที่ต่ำลงเท่านั้น แต่ยังช่วยจัดศูนย์ถ่วงของรถให้สมดุลและเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่อีกด้วย Granturismo Folgore ไม่ใช่แค่รถไฟฟ้า แต่เป็นการแสดงออกถึงนวัตกรรมและจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันของ Maserati ในยุคใหม่
สิ่งที่โดดเด่น: ใช้ระบบมอเตอร์สามตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ, นำเสนอสิ่งใหม่ที่แท้จริงสู่ตลาด
สิ่งที่ควรพิจารณา: แบตเตอรี่ค่อนข้างเล็กสำหรับรถ Grand Tourer, มีราคาแพงกว่ารุ่นน้ำมัน 15,000 ปอนด์
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่รักรถ Convertible และต้องการรถสปอร์ตไฟฟ้าจากแบรนด์อิตาลีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
MG Cyberster: การกลับมาของ Roadster ไฟฟ้าที่เข้าถึงได้
MG Cyberster เป็นรถยนต์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์อังกฤษ-จีนคันนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการฉลองครบรอบ 100 ปีของแบรนด์นับตั้งแต่ก่อตั้ง แต่ยังเป็นรถ Convertible ไฟฟ้าคันแรกที่วางจำหน่ายในสหราชอาณาจักร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่า Cyberster เป็นความพยายามที่กล้าหาญและประสบความสำเร็จในการนำความสนุกของรถสปอร์ตเปิดประทุนกลับมาสู่ยุคไฟฟ้าในราคาที่เข้าถึงได้
ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ขนาด 77kWh ให้ระยะทางขับขี่ประมาณ 444 กิโลเมตร (276 ไมล์) ส่งพลังงานไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวที่รวมกันให้กำลัง 503 แรงม้า และแรงบิด 535 ปอนด์ฟุต สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.2 วินาที นอกจากนี้ยังมีรุ่นมอเตอร์เดี่ยวที่ส่งกำลังไปยังล้อหลังเท่านั้น
แม้จะมีน้ำหนักที่ทำให้มันไม่ได้บริสุทธิ์และคล่องแคล่วเหมือน Mazda MX-5 แต่ MG ก็ทุ่มเทอย่างมากเพื่อให้ Cyberster มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวาเหมือนรถสปอร์ตแบบดั้งเดิม การควบคุมที่ดึงดูดใจ ผสมผสานกับการขับขี่ที่นุ่มนวลและควบคุมได้ดีของ Cyberster หากคุณไม่ได้ต้องการขับขี่แบบเร่งรีบ นี่คือรถที่สมบูรณ์แบบ
Cyberster เป็นการกลับมาที่ยอดเยี่ยมของ MG ในตลาดรถสปอร์ต แต่ไพ่ตายที่แท้จริงคือราคา รุ่นมอเตอร์เดี่ยวเริ่มต้นที่ 54,995 ปอนด์ และเพิ่มขึ้นเป็น 59,995 ปอนด์สำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งถือเป็นราคาที่แข่งขันได้มากสำหรับรถสปอร์ตไฟฟ้าเปิดประทุน และเป็นก้าวสำคัญในการทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงเป็นที่เข้าถึงได้สำหรับคนจำนวนมากขึ้น
สิ่งที่โดดเด่น: การควบคุมที่แม่นยำและมั่นใจ, การขับขี่ที่นุ่มนวลเหมือนรถ GT
สิ่งที่ควรพิจารณา: ไม่ได้รู้สึกเบา คล่องตัว หรือว่องไวเหมือน Roadster คลาสสิก, ระบบ Infotainment และ ADAS อาจทำให้เสียสมาธิและหงุดหงิด
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มองหารถสปอร์ตไฟฟ้าเปิดประทุนในราคาที่เข้าถึงได้
BMW i4 M50: สมรรถนะ M ที่ผสานกับพลังงานไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน
BMW ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับรถสปอร์ตไฟฟ้า ด้วย i8 ที่ล้มเหลวในการผสานรูปลักษณ์ซูเปอร์คาร์ที่กล้าหาญเข้ากับระบบขับเคลื่อน Plug-in Hybrid ที่ล้ำสมัย อย่างไรก็ตาม i4 ถือเป็นความพยายามครั้งแรกของ BMW ในการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงอย่างแท้จริง และเป็นความพยายามที่ไม่เลวเลยทีเดียว ในฐานะผู้ที่ติดตาม BMW มานาน ผมเห็นว่า i4 M50 เป็นการนำเอกลักษณ์ของ M มาสู่ยุคไฟฟ้าได้อย่างชาญฉลาด
แตกต่างจาก i3 และ iX, i4 ไม่ได้สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม EV โดยเฉพาะ แต่ใช้สถาปัตยกรรม CLAR ของ BMW ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคือ 4 Series Gran Coupé ที่ใช้ระบบไฟฟ้า มีรุ่นเริ่มต้น eDrive40 ขับเคลื่อนล้อหลังที่เร็วพอสมควร แต่สำหรับผู้ที่ต้องการอวดสมรรถนะอย่างแท้จริง คุณต้องเลือกรุ่น M50
M50 มาพร้อมระบบมอเตอร์คู่ที่ให้พละกำลัง 536 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.9 วินาที ซึ่งท้าชน M4 ได้สบายๆ แม้จะมีน้ำหนักตัวถังที่เกิน 2 ตันไป 300 กก. แต่ BMW ก็สามารถควบคุมได้อย่างคล่องตัวและแม่นยำอย่างน่าประหลาดใจ มอเตอร์ที่ทรงพลังและซอฟต์แวร์ที่ชาญฉลาดช่วยให้คุณสามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แบบ Oversteer ได้หากอยู่ในอารมณ์ แม้ว่าจะไม่สนุกเท่า M4 Competition แต่ก็ให้ความรู้สึกที่เร็วพอๆ กัน และสิ่งที่ขาดไปในเรื่องความละเอียดอ่อนและแม่นยำ ก็ถูกเติมเต็มด้วยความสะดวกสบายและความประณีต
ในฐานะความพยายามครั้งแรกในการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้ขับขี่อย่างเต็มตัว M50 ถือว่าทำได้ตามเป้าหมาย แต่ควรจำไว้ว่ารุ่น eDrive40 ที่ถูกกว่าและช้ากว่า (แต่เบากว่าและใช้ยางที่มีแรงยึดเกาะน้อยกว่า) กลับมีสมดุลการควบคุมที่นุ่มนวลและเข้าถึงได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ยังสามารถวิ่งได้ไกลกว่าต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (สูงสุด 590 กม. หรือ 367 ไมล์) ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับระยะทางและความสบายในการขับขี่ในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่โดดเด่น: เป็น BMW ที่รับรู้ได้ถึงการควบคุมและหลักการยศาสตร์, การขับขี่ที่นุ่มนวลและความรู้สึกคุณภาพภายในห้องโดยสารที่ดี, ไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อเลือกรุ่นที่ดีที่สุด
สิ่งที่ควรพิจารณา: ระยะทางขับขี่ในโลกจริงยังไม่โดดเด่นนัก, M50 อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เป็นธรรมชาติสำหรับผู้ขับขี่ที่กระตือรือร้น
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงสำหรับขับขี่ในชีวิตประจำวันพร้อม DNA ของ BMW M
อนาคตของรถสปอร์ตไฟฟ้า: ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้
จากการได้คลุกคลีกับรถยนต์เหล่านี้มาเป็นเวลา 10 ปี ผมสามารถยืนยันได้ว่าตลาดรถสปอร์ตไฟฟ้าในปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสชั่วคราว แต่เป็นการปฏิวัติที่แท้จริง เราได้เห็นนวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง ตั้งแต่เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ให้พลังงานหนาแน่นขึ้น การชาร์จที่เร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดด ไปจนถึงระบบจัดการพลังงานที่ซับซ้อนที่มอบประสิทธิภาพสูงสุดและระยะทางขับขี่ที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
รถยนต์ไฟฟ้าได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงแต่จะ “เร็วพอ” แต่ยังสามารถ “เร็วเหนือกว่า” และ “ขับสนุกไม่แพ้” รถยนต์สันดาปภายในในหลายๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งที่รวดเร็วทันใจ แรงบิดที่มาถึงทันที หรือการควบคุมที่แม่นยำด้วยการจัดวางน้ำหนักที่เหมาะสมและระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ปรับแต่งได้อย่างละเอียด
อนาคตของการขับขี่กำลังมาถึงแล้ว และมันน่าตื่นเต้นกว่าที่เคย จินตนาการถึงรถสปอร์ตที่ไม่สร้างมลพิษ แต่ยังคงมอบความเร้าใจในทุกการเหยียบคันเร่ง การได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
หากคุณพร้อมที่จะสัมผัสอนาคตของการขับขี่ หรือต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของรถสปอร์ตไฟฟ้า อย่ารอช้าที่จะเข้าร่วมการสนทนาของเรา หรือเยี่ยมชมโชว์รูมเพื่อสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวคุณเอง อนาคตของการขับขี่ที่น่าตื่นเต้นกำลังรอคุณอยู่!
สุดยอดรถสปอร์ตไฟฟ้าแห่งปี 2025: ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ 10 ปี ที่จะเปลี่ยนมุมมองคุณ
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการยานยนต์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนจะน่าตื่นเต้นและรวดเร็วเท่ากับการมาถึงของยุคยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม “รถสปอร์ต” ที่เคยถูกผูกขาดโดยเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ส่งเสียงคำรามและปล่อยกลิ่นน้ำมันอันเป็นเอกลักษณ์
แต่ในปี 2025 นี้ ภาพนั้นได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง รถสปอร์ตไฟฟ้า หรือ รถสปอร์ต EV ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดอีกต่อไป แต่มันคือความเป็นจริงที่ขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนน ซึ่งหลายคันในปัจจุบันสามารถมอบสมรรถนะที่รถยนต์สันดาปภายในเคยทำได้เพียงแค่ฝันถึง ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีนี้ยังได้ขยายคำจำกัดความของ รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ให้กว้างขวางออกไป ครอบคลุมตั้งแต่รถสปอร์ตคันเล็กปราดเปรียว ไปจนถึงคูเป้ที่สง่างามและรถ GT ที่พร้อมพาคุณพิชิตเส้นทางข้ามทวีป
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก จนบางครั้งรู้สึกเหมือนเป็นการปฏิวัติ ผมได้เห็นทั้งผู้เล่นหน้าเก่าในอุตสาหกรรมที่ปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง และผู้ผลิตหน้าใหม่ที่ก้าวขึ้นมาสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ทำให้ตลาด ยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะในกลุ่มสมรรถนะสูงนี้คึกคักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รถยนต์ที่เราจะพูดถึงในวันนี้ บางคันคุณสามารถเป็นเจ้าของได้ทันทีจากโชว์รูม แต่บางคันก็อาจต้องรอคิวจองที่ยาวนาน นี่คือสุดยอด รถยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต ที่จะกำหนดทิศทางของวงการรถสปอร์ต
จากประสบการณ์และจากการขับขี่ทดสอบจริงในปี 2025 นี้ ผมขอยกให้ Alpine A290 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าประทับใจที่สุดคันหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการคว้ารางวัล “Best Fun EV” ในงาน Autocar Awards 2025 ซึ่งสะท้อนถึงการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างไดนามิกการขับขี่ที่เร้าใจ สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และความสะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างน่าทึ่ง มันคือการกลับมาของ “Hot Hatch” ในยุคไฟฟ้าอย่างแท้จริง
แต่แน่นอนว่า Alpine A290 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีรถสปอร์ตไฟฟ้าอีกหลายรุ่นที่น่าสนใจและสมควรได้รับการยกย่อง นี่คือ 10 อันดับ รถสปอร์ตไฟฟ้าที่ดีที่สุด ที่คุณสามารถหาซื้อได้ในปี 2025 พร้อมกับบทวิเคราะห์จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
Alpine A290: ความสนุกที่จับต้องได้ในยุคไฟฟ้า
คะแนนโดยรวม: 10/10
ดีไซน์: 9
ภายใน: 9
สมรรถนะ: 10
การขับขี่และการควบคุม: 10
ค่าใช้จ่าย: 7
จุดเด่น:
สมรรถนะในสนามแข่งที่ยอดเยี่ยมและการปรับแต่งที่หลากหลาย
ไดนามิกการขับขี่ที่นุ่มนวลสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ระบบมัลติมีเดียที่ล้ำสมัยและใช้งานง่าย
ข้อควรพิจารณา:
ระยะทางวิ่งลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อขับขี่ด้วยความสนุกสนาน
พื้นที่เก็บของภายในน้อย ไม่มีที่วางแก้ว
อาจไม่เน้นการใช้งานบนถนนมากนักสำหรับบางคน
Alpine A290 ไม่ได้เป็นเพียงหนึ่งใน รถสปอร์ตไฟฟ้าที่ดีที่สุด ในตลาดปี 2025 เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ชนะเลิศในหมวดหมู่ “Best Fun EV” จาก Autocar Awards 2025 ด้วย จากประสบการณ์ตรง ผมสามารถยืนยันได้ว่ามันไม่ใช่แค่ Renault 5 ที่ถูกจับมาแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ แต่มันคือการพัฒนาที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก
ช่วงล่างของ A290 นั้นน่าทึ่งสำหรับรถสปอร์ตขนาดเล็กที่ใช้ระบบกันสะเทือนแบบ Passive โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเคยสัมผัส Mini Cooper SE มาก่อน Alpine ได้นำการตั้งค่าช่วงล่างที่คล้ายกันมาปรับปรุงด้วยการอัปเดตกลไกเฉพาะของ Alpine ไม่ว่าจะเป็นสปริงและโช้คอัพใหม่ เหล็กกันโคลง ตัวหยุดแรงกระแทกแบบไฮดรอลิก และซับเฟรมหน้าอะลูมิเนียมที่เบาลง นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ A290 มี ไดนามิกการขับขี่เหนือระดับ และให้ความรู้สึกเชื่อมโยงกับถนนอย่างแท้จริง
มีสองตัวเลือกกำลังให้เลือก คือ 178 แรงม้า หรือ 217 แรงม้า สำหรับรุ่นที่เร็วที่สุดซึ่งผมได้ใช้เวลาทดสอบมากที่สุด มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.4 วินาที ซึ่งถือว่ารวดเร็วและเร้าใจเพียงพอสำหรับ รถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด นอกจากภายในที่ให้ความรู้สึกหรูหราเกินราคาแล้ว A290 ยังโดดเด่นด้วยการขับขี่ที่น่าทึ่ง พวงมาลัยที่แม่นยำ และการตอบสนองของคันเร่งที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้ขับขี่อย่างแท้จริง มันคือผู้ชนะที่คู่ควรและทำให้เรามีความหวังว่า Hot Hatch กำลังจะกลับมาอย่างเต็มตัวในโลกของ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า
Hyundai Ioniq 5 N: เมื่อรถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นเครื่องจักรแห่งการขับขี่ขั้นสูงสุด
คะแนนโดยรวม: 10/10
ดีไซน์: 8
ภายใน: 8
สมรรถนะ: 10
การขับขี่และการควบคุม: 9
ค่าใช้จ่าย: 9
จุดเด่น:
การควบคุมที่ปรับแต่งได้อย่างน่าทึ่ง
สมรรถนะการออกตัวที่แข็งแกร่ง
การอัปเกรดที่สำคัญจาก Ioniq 5 รุ่นมาตรฐาน
ข้อควรพิจารณา:
กำลังที่เพิ่มขึ้นทำให้ไม่ได้เป็น รถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานสูงสุด
ขนาดค่อนข้างใหญ่สำหรับถนนแคบ
Hyundai Ioniq 5 N อาจจะไม่ได้มีรูปลักษณ์เหมือนรถสปอร์ตแบบดั้งเดิม แต่ด้วยสมรรถนะและการควบคุมที่เปี่ยมล้น ผมยืนยันว่ามันสมควรถูกจัดอยู่ในกลุ่ม รถสปอร์ตไฟฟ้า อย่างแน่นอน ตั้งแต่เริ่มต้น แผนกสมรรถนะของแบรนด์เกาหลีได้พัฒนารถคันนี้ให้เป็น รถยนต์ไฟฟ้าที่มุ่งเน้นผู้ขับขี่ อย่างแท้จริง และมันก็ส่งมอบประสบการณ์นั้นได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เพียงแต่เราจะยกให้เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงสุดของปี 2024 เท่านั้น แต่ผมยังกล้ากล่าวว่านี่คือ รถยนต์ไฟฟ้าที่ให้ประสบการณ์การขับขี่เร้าใจ ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ชุดมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ให้กำลัง 223 แรงม้าไปยังล้อหน้า และ 378 แรงม้าไปยังล้อหลัง ให้กำลังสูงสุดรวม 641 แรงม้า ช่วยให้ Ioniq 5 N พุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ถึงหกโหมด และปรับการตอบสนองของมอเตอร์ ความแข็งของแดมเปอร์ น้ำหนักพวงมาลัย และความไวของระบบควบคุมเสถียรภาพ อีกหนึ่งคุณสมบัติที่น่าสนใจคือเสียงเครื่องยนต์สังเคราะห์ ซึ่งมีให้เลือกถึงสามแบบที่เพิ่มอรรถรสในการขับขี่
แต่ Ioniq 5 N ไม่ได้เป็นเพียงรถสปอร์ตที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น มันยังเหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันด้วยแบตเตอรี่ขนาด 84kWh ที่ให้ระยะทางวิ่งประมาณ 450 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และความเร็วในการชาร์จสูงสุด 340kW นี่คือ รถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงสำหรับชีวิตประจำวัน ที่เงียบสงบ มั่นคง และสะดวกสบาย ทำให้คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับการเดินทางในแต่ละวันได้เช่นเดียวกับการนำไปโลดแล่นในสนามแข่ง
Porsche Taycan: นิยามใหม่ของความหรูหราและสมรรถนะแห่งอนาคต
คะแนนโดยรวม: 9/10
ดีไซน์: 9
ภายใน: 7
สมรรถนะ: 10
การขับขี่และการควบคุม: 9
ค่าใช้จ่าย: 8
จุดเด่น:
การควบคุมที่โดดเด่น
การขับขี่ที่นุ่มนวลและซับซ้อน
ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าและความเร็วในการชาร์จที่ได้รับการปรับปรุง
ข้อควรพิจารณา:
การใช้งานสี่ที่นั่งไม่กว้างขวางเท่ารถซีดานขนาดเต็ม
มูลค่าการขายต่ออาจไม่คงที่เท่าที่เคยเป็นมา
Porsche เข้าสู่ตลาด ยานยนต์ไฟฟ้าหรู ด้วยผลกระทบที่สมกับเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอย่างที่คาดหวัง แม้ว่ามันจะไม่ได้มาในรูปแบบของรถสปอร์ตดั้งเดิมอย่างที่หลายคนคิด Taycan เป็นรถแกรนด์ทัวริ่งสี่ประตูที่เร็วกว่า มีขนาดเล็กกว่า Panamera เล็กน้อย แต่มันไม่ใช่รถที่ด้อยกว่าแต่อย่างใด จากประสบการณ์ ผมกล้าพูดว่ารุ่น Turbo S นั้นเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ และยังคงรักษาสมดุลความเร็วที่สามารถเข้าถึงได้ ควบคู่ไปกับพฤติกรรมบนถนนที่ขัดแย้งกับอัตราเร่งระดับไฮเปอร์คาร์
Taycan โดดเด่นด้วยการควบคุมตัวถังที่ยอดเยี่ยม ความสมดุลที่หาได้ยาก ระบบควบคุมที่ปรับเทียบมาอย่างเหนือชั้น และความแม่นยำของพวงมาลัยที่สัมผัสได้ การที่มันสามารถขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยระบบกันสะเทือนแบบถุงลม ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับมัน และเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจมอบคะแนนห้าดาวเต็มในการทดสอบที่ครอบคลุม
จริงอยู่ที่ หากคุณได้ขับขี่โดยปิดตาและสวมหูฟังตัดเสียงรบกวน คุณก็ยังคงรู้ได้ทันทีว่า Taycan คือ Porsche ตั้งแต่น้ำหนักและความรู้สึกของพวงมาลัยไปจนถึงความคล่องตัวที่ไม่ผิดเพี้ยน และการหน่วงที่ปรับเทียบมาอย่างดีเยี่ยม Taycan ได้ตอกย้ำความเป็นผลิตภัณฑ์ของ Zuffenhausen อย่างแท้จริง
รุ่น Turbo S ให้กำลัง 751 แรงม้า และมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.6 วินาที นอกจากนี้ยังมีรุ่น Sport Turismo และ Cross Turismo ที่เพิ่มสไตล์แบบ Estate และ Off-road เข้ามาเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์ Taycan และสำหรับผู้ที่ต้องการความสุดขีด Taycan Turbo GT ได้ผลักดันสมรรถนะไปอีกขั้น ด้วยกำลังถึง 1094 แรงม้า ทำให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เหลือเพียง 2.2 วินาที ซึ่งเป็นระดับของ ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า อย่างแท้จริง
Rimac Nevera: ขีดสุดแห่งวิศวกรรมไฟฟ้า
คะแนนโดยรวม: 9/10
ดีไซน์: 9
ภายใน: 8
สมรรถนะ: 10
การขับขี่และการควบคุม: 9
ค่าใช้จ่าย: 5
จุดเด่น:
หนึ่งในรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก
สมรรถนะที่น่าตกตะลึง
ข้อควรพิจารณา:
ราคา 2.4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 100 ล้านบาท)
น้อยนักที่ผู้ผลิตรถยนต์จะสร้างความประทับใจได้อย่างมหาศาลภายในระยะเวลาอันสั้นเท่า Rimac ในเวลาเพียงทศวรรษ บริษัทสัญชาติโครเอเชียแห่งนี้ได้เติบโตจากโรงรถของ Mate Rimac ไปสู่บริษัทที่ Porsche ถือหุ้นอยู่บางส่วน และกำลังวางแผนอนาคตของ Bugatti นี่คือการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็วดุจดาวตก
ความสำเร็จสูงสุดของอาณาจักร Rimac คือ Nevera ซึ่งเป็นภาคต่อของ Concept One และ CTwo โดย Concept One ได้ริเริ่มกระแส ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า ด้วยกำลัง 1073 แรงม้า และราคา 670,000 ปอนด์ เมื่อเปิดตัวครั้งแรกในปี 2017
Nevera จะผลิตเพียง 150 คัน ซึ่งเกือบทั้งหมดได้ถูกจับจองไปแล้ว เสน่ห์ของมันยิ่งเพิ่มขึ้นจากการทำลายสถิติความเร็วสูงสุดของ EV ด้วยความเร็ว 412 กม./ชม. (256 ไมล์ต่อชั่วโมง)
ฮาร์ดแวร์นั้นน่าทึ่งและชวนให้ตกตะลึง รถคันนี้สร้างขึ้นบนโครงสร้างโมโนค็อกคอมโพสิต และมีมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับแต่ละล้อ พร้อมเกียร์ความเร็วเดียวอิสระที่ด้านหน้า และเกียร์ดูอัลคลัตช์สองความเร็วสองชุดสำหรับเพลาหลัง
ทั้งหมดนี้ทำให้ Nevera มีกำลังถึง 1888 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล 1696 ปอนด์-ฟุต (2300 นิวตันเมตร) ซึ่งทำให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 1.95 วินาที แบตเตอรี่ขนาด 120kWh ยังช่วยให้มีระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 547 กม.
ด้วยระบบกันสะเทือนแบบดับเบิลวิชโบน ระบบ Torque Vectoring และศักยภาพในการขับขี่อัตโนมัติระดับ 4 รถคันนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ และราคาที่สูงถึง 2.4 ล้านปอนด์ ที่สะท้อนถึงนวัตกรรมและ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ ขั้นสุดยอด
Audi RS E-tron GT: ความสง่างามที่เร้าใจในแบบ Audi Sport
คะแนนโดยรวม: 8/10
ดีไซน์: 9
ภายใน: 8
สมรรถนะ: 8
การขับขี่และการควบคุม: 8
ค่าใช้จ่าย: 6
จุดเด่น:
การส่งกำลังที่นุ่มนวลและเงียบสงบ
ขับขี่ได้เหมือนรถ Audi RS อย่างแท้จริง
ข้อควรพิจารณา:
ราคาสูงหากเพิ่มตัวเลือกที่จำเป็น
ไม่ได้มาแทนที่ Audi R8 ที่จากไปได้ทั้งหมด
Audi RS E-tron GT เป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกที่ประทับตรา RS ของ Audi ซึ่งในทางเทคนิคแล้ว มันคือ Taycan ในรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไป ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่ามันเป็นวิวัฒนาการที่ยอดเยี่ยมของการนำ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า มาผสานกับ DNA ของ Audi Sport
มันใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทรงพลังชุดเดียวกัน (หนึ่งตัวต่อเพลา) และระบบกันสะเทือนแบบถุงลมสามห้องชุดเดียวกัน และแน่นอนว่าสถาปัตยกรรมพื้นฐานก็ใช้ร่วมกัน ดังนั้นแบตเตอรี่จึงถูกยกมาจาก Taycan เช่นกัน ทำให้มีระยะทางวิ่ง WLTP สูงสุด 460 กม. และรองรับ การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แบบ Ultra-rapid ที่ 350kW
ทั้งหมดนี้หมายความว่า RS E-tron GT นั้นเร็วอย่างมหาศาล อันที่จริง รุ่นเรือธงให้แรงบิด 612 ปอนด์-ฟุต (830 นิวตันเมตร) และกำลัง 637 แรงม้า และสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้อย่างสบายๆ ภายในเวลาไม่ถึง 3.5 วินาที ที่ดียิ่งกว่านั้นคือมันมีการควบคุมที่ดีเยี่ยม แม้ว่าจะไม่เท่ากับความสง่างามและการเชื่อมโยงกับผู้ขับขี่เท่าญาติร่วมค่ายจาก Porsche โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของพวงมาลัย
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ห่างกันมากนัก และสิ่งที่แลกมาคือการขับขี่ที่ผ่อนคลายกว่า Taycan เมื่อขับขี่อย่างช้าๆ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ด้านความประณีตของ ยานยนต์ไฟฟ้า แล้ว Audi จึงเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นี่คือ รถยนต์ไฟฟ้าหรู ที่ผสมผสานความเร็วเข้ากับความสง่างามได้อย่างลงตัว
Lotus Evija: นิยามใหม่ของ “ความเบา” ในโลกของไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า
คะแนนโดยรวม: 8/10
ดีไซน์: 8
ภายใน: 7
สมรรถนะ: 10
การขับขี่และการควบคุม: 9
ค่าใช้จ่าย: 5
จุดเด่น:
น้ำหนักเบามากเมื่อเทียบกับ ยานยนต์ไฟฟ้า อื่นๆ
ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ข้อควรพิจารณา:
ระยะทางวิ่งจำกัด
ยังไม่ได้ขับขี่บนถนนจริง
ข่าวสารล่าสุดของ Lotus ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของ Emira ซึ่งเป็นรถสปอร์ตที่มุ่งท้าชน Porsche 718 Cayman อย่างไรก็ตาม รถคันนี้ยังถูกประกาศให้เป็นรถยนต์รุ่นสุดท้ายของบริษัทที่จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน โดยรุ่นในอนาคตจะเน้น การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แบบ Ultra-rapid แทน Evija ซึ่งเป็น ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า ที่ผลิตจำกัดเพียง 130 คัน คือคำใบ้แรกของสิ่งที่เราคาดหวังได้ในอนาคต
ข้อมูลทางเทคนิคที่แทบจะทำให้คุณชาด้านนั้นน่าตกตะลึง Lotus เองยังประหลาดใจที่พบว่ามอเตอร์สี่ตัวของรถรวมกันให้กำลังถึง 2011 แรงม้า แทนที่จะเป็น 1973 แรงม้าที่เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ กำลังมหาศาลนี้ขับเคลื่อนรถที่มีน้ำหนักเพียง 1680 กก. ซึ่งถือว่าเบามากในโลกของ EV ทำให้สมรรถนะน่าจะให้ความรู้สึกเหมือนการร่วงหล่นจากฟากฟ้า ตัวเลขสมรรถนะที่แท้จริงยังไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก แต่ Lotus คาดการณ์อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ต่ำกว่า 2.0 วินาที และความเร็วสูงสุดเกิน 320 กม./ชม.
อย่างไรก็ตาม Lotus ไม่ได้ปรับแต่งรถเพื่อตัวเลขที่ดิบๆ แต่เน้นไปที่การควบคุมและไดนามิกการขับขี่มากกว่า ดังนั้นการส่งกำลังจึงถูกปรับให้มีจังหวะการเร่งที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับเครื่องยนต์ Naturally Aspirated แบบดั้งเดิม
Lotus Evija ยังคงเป็นคำถามว่ามันจะยังคงรักษาเอกลักษณ์ของ Lotus ได้มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้ามี ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า รุ่นใดที่กำลังจะมาถึงที่สามารถดึงดูดใจนักขับได้จริง ความพยายามของ Hethel คันนี้น่าจะเป็นเดิมพันที่ดีที่สุด ด้วย เทคโนโลยีแบตเตอรี่ ที่ล้ำสมัยและการออกแบบที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุด
Pininfarina Battista: งานศิลปะอิตาลีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้ามหัศจรรย์
คะแนนโดยรวม: 8/10
ดีไซน์: 8
ภายใน: 8
สมรรถนะ: 10
การขับขี่และการควบคุม: 9
ค่าใช้จ่าย: 5
จุดเด่น:
พวงมาลัยที่ตอบสนองยอดเยี่ยม
กำลังที่มหาศาลอย่างเห็นได้ชัด
ข้อควรพิจารณา:
ต้องมีเงิน 2,000,000 ปอนด์ เพื่อซื้อ
อาจไม่สนุกเท่ารถสำหรับ Track Day ราคา 100,000 ปอนด์
เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่าง Porsche Taycan และ Audi RS E-tron GT, Pininfarina Battista แชร์ฮาร์ดแวร์ (และซอฟต์แวร์) ส่วนใหญ่กับ Rimac Nevera แต่เพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างความแตกต่าง Battista ถูกนำเสนอในฐานะ รถยนต์ไฟฟ้าหรู ที่เน้นความหรูหราภายนอกและมีลักษณะของ GT มากกว่า
แม้กระนั้น นี่ไม่ใช่รถที่นุ่มนวลและผ่อนคลายเลย ตัวเลขที่แท้จริงเผยให้เห็นกำลัง 1900 แรงม้า และแรงบิด 1696 ปอนด์-ฟุต (2300 นิวตันเมตร) จากมอเตอร์สี่ตัว ไม่น่าแปลกใจที่มันสามารถทำอัตราเร่ง 0-300 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 12 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. แม้ตัวเลขเหล่านี้จะดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับราคา 2 ล้านปอนด์
แต่ Battista มีอะไรมากกว่าแค่ตัวเลข เพราะมันมีการควบคุมที่ละเอียดอ่อนและสง่างามอย่างน่าประหลาดใจ ให้ความรู้สึกเร้าใจในการเข้าโค้งไม่แพ้การเร่งความเร็วบนทางตรง
เมื่อสัมผัสด้วยตา (และคาร์บอนไฟเบอร์) Battista ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างสวยงามทั้งภายนอกและภายใน และมีกลิ่นอายความเป็นอิตาลีอย่างมาก แม้ว่าบริษัทจะตั้งอยู่ในมิวนิก และบริษัทแม่คือ Mahindra จากอินเดีย วิศวกรและนักออกแบบของ Battista รวมถึงศิษย์เก่าจาก Pagani และ Mercedes-AMG Project One ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ไม่ขาดแคลน นี่คือ ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า ที่เป็นทั้งงานศิลปะและวิศวกรรมขั้นสุดยอด
Maserati Granturismo Folgore: จิตวิญญาณแห่งม้าสามง่ามในยุคไฟฟ้า
คะแนนโดยรวม: 7/10
ดีไซน์: 7
ภายใน: 8
สมรรถนะ: 9
การขับขี่และการควบคุม: 7
ค่าใช้จ่าย: 5
จุดเด่น:
ใช้ชุดมอเตอร์สามตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นำเสนอสิ่งใหม่ๆ อย่างแท้จริง
ข้อควรพิจารณา:
แบตเตอรี่ค่อนข้างเล็กสำหรับรถแกรนด์ทัวเรอร์
แพงกว่ารุ่นเบนซิน 15,000 ปอนด์
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่ Maserati ประสบความสำเร็จ แต่แบรนด์อิตาลีอันโด่งดังนี้กลับไม่สามารถก้าวข้ามเงาแห่งยุคทองช่วงต้นทศวรรษ 1950 ได้ เมื่อรถของพวกเขากวาดชัยชนะใน Formula 1 และครองใจผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์บนท้องถนน
แต่ในปัจจุบัน สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป เริ่มต้นด้วยการเปิดตัว MC20 ซูเปอร์คาร์ที่น่าตื่นเต้นในปี 2020 จากนั้นก็เปิดตัว SUV ขนาดกลางรุ่นใหม่ (ซึ่งสำคัญต่อความสำเร็จด้านยอดขาย) และตอนนี้ก็คือ Granturismo รุ่นใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นคูเป้ที่ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ตามชื่อของมัน
ที่สำคัญกว่านั้นคือ นี่คือ Maserati คันแรกที่ได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็น รถยนต์ไฟฟ้า อย่างเต็มรูปแบบ Folgore (ภาษาอังกฤษแปลว่าสายฟ้า) สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มอะลูมิเนียมใหม่ทั้งหมด ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งระบบส่งกำลังแบบ ICE และ BEV
มันมีสถิติที่ดิบๆ ด้วยชุดมอเตอร์สามตัว (สองตัวที่ด้านหลังสำหรับ Torque Vectoring และหนึ่งตัวที่ด้านหน้า) ให้กำลัง 751 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 320 กม./ชม.
ยิ่งไปกว่านั้น แบตเตอรี่ของมัน (83kWh สำหรับระยะทางวิ่ง 450 กม.) ได้รับการออกแบบในรูปแบบตัว H ที่ยาว โดยมีส่วนตรงกลางเลื่อนลงไปตามแกนกลางของรถ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ตำแหน่งการนั่งต่ำลงเท่านั้น แต่ยังช่วยรวมศูนย์มวลและเพิ่มความคล่องตัวให้กับรถอีกด้วย นี่คือ รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณของ Maserati ได้อย่างน่าประทับใจ
MG Cyberster: การกลับมาของ Roadster ไฟฟ้าที่น่าจับตา
คะแนนโดยรวม: 8/10
ดีไซน์: 8
ภายใน: 6
สมรรถนะ: 8
การขับขี่และการควบคุม: 6
ค่าใช้จ่าย: 7
จุดเด่น:
การควบคุมที่แม่นยำและมั่นคง
การขับขี่ที่นุ่มนวลเหมือนรถ GT
ข้อควรพิจารณา:
ไม่เบา กะทัดรัด หรือคล่องตัวเหมือนรถ Roadster คลาสสิก
คุณสมบัติ Infotainment และ ADAS อาจรบกวนและทำให้หงุดหงิด
MG Cyberster เป็นรถยนต์ที่สำคัญสำหรับแบรนด์อังกฤษภายใต้การเป็นเจ้าของของจีนคันนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการฉลองครบรอบ 100 ปีของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเปิดประทุนคันแรกที่วางจำหน่ายในสหราชอาณาจักรด้วย
ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ 77kWh ให้ระยะทางวิ่งประมาณ 444 กม. ส่งพลังงานไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ซึ่งรวมกันให้กำลัง 503 แรงม้า และแรงบิด 535 ปอนด์-ฟุต (725 นิวตันเมตร) ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที อีกทางเลือกหนึ่งคือคุณสามารถเลือกรุ่นมอเตอร์เดี่ยวที่ส่งกำลังไปยังล้อหลังเท่านั้น
แม้ว่าน้ำหนักของมันจะทำให้ Cyberster ไม่ได้บริสุทธิ์และคล่องตัวเท่า Mazda MX-5 แต่ MG ได้พยายามอย่างมากเพื่อให้ Cyberster ขับขี่ได้ด้วยความสนุกสนานและมีชีวิตชีวาเหมือน รถสปอร์ต แบบดั้งเดิม การควบคุมของมันน่าดึงดูดใจ และทำงานร่วมกับการขับขี่ที่นุ่มนวลและควบคุมได้ดีของ Cyberster หากคุณไม่ได้ต้องการขับขี่อย่างดุดัน
นี่คือการกลับมาสู่ตลาดรถสปอร์ตของ MG ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ไพ่เด็ดที่แท้จริงคือราคา รุ่นมอเตอร์เดี่ยวเริ่มต้นที่ 54,995 ปอนด์ เพิ่มเป็น 59,995 ปอนด์ สำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้มันเป็น รถสปอร์ตไฟฟ้าที่เข้าถึงได้ สำหรับหลายๆ คน
BMW i4 M50: สมรรถนะ M ที่ผสานกับความประณีตของ EV สำหรับทุกวัน
คะแนนโดยรวม: 8/10
ดีไซน์: 8
ภายใน: 8
สมรรถนะ: 9
การขับขี่และการควบคุม: 8
ค่าใช้จ่าย: 8
จุดเด่น:
เป็น BMW อย่างแท้จริงในการควบคุมและหลักสรีรศาสตร์
ความประณีตในการขับขี่และคุณภาพห้องโดยสารที่รับรู้ได้นั้นดี
ไม่จำเป็นต้องใช้เงินทั้งหมดเพื่อได้รุ่นที่ดีที่สุด
ข้อควรพิจารณา:
ระยะทางวิ่งในโลกจริงเป็นเพียงระดับปานกลาง
รุ่น M50 อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เป็นธรรมชาติสำหรับนักขับที่ต้องการความเร้าใจสูงสุด
BMW ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับ รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง i8 ที่เคยล้มเหลวในการตลาด ได้ผสมผสานรูปลักษณ์ซูเปอร์คาร์ที่กล้าหาญเข้ากับระบบส่งกำลัง Plug-in Hybrid ที่ทรงพลังและไฮเทค และประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม i4 คือความพยายามครั้งแรกของบริษัทในการสร้าง รถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง อย่างแท้จริง และมันก็ไม่ใช่ความพยายามที่ไม่ดี
แตกต่างจาก i3 และ iX, i4 ไม่ได้สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม EV โดยเฉพาะ แต่ใช้สถาปัตยกรรม CLAR ของ BMW ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคือ 4 Series Gran Coupé ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า
มีรุ่นเริ่มต้น eDrive40 ขับเคลื่อนล้อหลังที่เร็วพอสมควร แต่สำหรับ สมรรถนะ EV ที่แท้จริง คุณต้องเลือกรุ่น M50 ซึ่งมีชุดมอเตอร์คู่ที่ให้กำลัง 536 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.9 วินาที ซึ่งท้าชน M4 ได้อย่างสบายๆ
แม้จะมีน้ำหนักตัวที่มากกว่า 2 ตันไป 300 กก. แต่ BMW คันนี้ก็มีการควบคุมที่คล่องตัวและมั่นคงอย่างน่าประหลาดใจ มอเตอร์อันทรงพลังและซอฟต์แวร์อัจฉริยะช่วยให้เกิดการขับขี่แบบ Tail-happy ได้หากคุณอยู่ในอารมณ์ แม้ว่าจะไม่สนุกเท่า M4 Competition แต่มันก็ให้ความรู้สึกเร็วไม่แพ้กัน และสิ่งที่ขาดหายไปในเรื่องความสง่างามและความแม่นยำสูงสุด มันก็ชดเชยด้วยความสะดวกสบายและความประณีต นี่คือ รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับชีวิตประจำวัน ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุม
สรุปและคำเชิญ
ปี 2025 ได้พิสูจน์แล้วว่า รถสปอร์ตไฟฟ้า ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คืออนาคตที่กำลังขับเคลื่อนด้วยความเร็วแสง จากรถ Hot Hatch ที่สนุกสุดเหวี่ยงอย่าง Alpine A290 ไปจนถึง ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า ที่ท้าทายขีดจำกัดอย่าง Rimac Nevera และ Pininfarina Battista หรือ รถยนต์ไฟฟ้าหรู ที่ผสมผสานความสง่างามเข้ากับสมรรถนะอย่าง Porsche Taycan และ Audi RS E-tron GT ตลาดนี้ได้นำเสนอทางเลือกที่หลากหลายอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมได้เห็นการพัฒนาที่น่าทึ่ง ทั้งในด้าน เทคโนโลยีแบตเตอรี่ ที่ก้าวหน้า การชาร์จที่รวดเร็วขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจไม่แพ้รถยนต์สันดาปภายใน บางครั้งอาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงความฝัน ได้กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้บนท้องถนน
สำหรับผู้ที่กำลังมองหา รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง คันต่อไป ไม่ว่าคุณจะเป็นนักขับที่ชื่นชอบความเร็ว ผู้ที่มองหาความหรูหรา หรือต้องการ ยานยนต์ไฟฟ้า ที่ใช้งานได้จริงทุกวัน ตลาดในปี 2025 นี้มีตัวเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างแน่นอน
ถึงเวลาแล้วที่คุณจะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคตด้วยตัวคุณเอง อย่าพลาดที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือทดลองขับรถสปอร์ตไฟฟ้าที่คุณสนใจ แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมยุคใหม่ของการขับขี่จึงน่าตื่นเต้นเช่นนี้

