ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
10 รถยนต์ที่แพงที่สุดในโลก ปี 2023
A Abhishek Katariya ต.ค. 18, 2023

Contents
- Rolls-Royce Boat Tail
- Bugatti La Voiture Noire
- Bugatti Centodieci
- Mercedes Maybach Exelero
- Bugatti Divo
- Koenigsegg CCXR Trevita
- Lamborghini Veneno
- Bugatti Chiron Super Sport 300+
- Lamborghini Sian
- Pagani Huayra Roadster BC
ตั้งแต่ลัมโบร์กีนีไปจนถึงโรลส์รอยด์ มันน่าสนุกมากเมื่อต้องนำเสนอรถยนต์ที่หรูหราและสวยงามที่สุดในโลก การออกแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เครื่องยนต์ทรงพลัง และความสะดวกสบาย รถยนต์เหล่านี้นำเสนอสิ่งเหล่านี้และอีกมากมาย รถยนต์ที่หรูหราที่สุดจะมีรุ่นจำกัด และทุกๆ สองสามเดือน จะมีซุปเปอร์คาร์รุ่นลิมิเต็ดออกมา มักจะมาพร้อมกับราคาที่สูงกว่ารุ่นก่อนๆ รถยนต์รุ่นลิมิเต็ดเหล่านี้จะถูกซื้อทันทีที่เปิดตัว นี่คือ 10 รถยนต์ที่แพงที่สุดในโลกในปี 2023 และคุณคงไม่อยากพลาดบทความนี้
Rolls-Royce Boat Tail
Rolls Royce มีชื่อเสียงในด้านรถยนต์หรูหรา รถยนต์ Boat Tail ใหม่ดูสวยงาม โดยเป็นรุ่นต่อจาก Sweptail ที่สวยงามที่ผลิตในปี 2017 Sweptail มีราคา 12.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (460 ล้านบาท) บริษัทยังไม่ได้ประกาศราคา แต่มีข่าวลือว่า Boat Tail ควรจะมีมูลค่าสูงถึง 28 ล้านเหรียญสหรัฐ (1000 ล้านบาท) ภายนอกของ Boat Tail เป็นแบบทูโทน ซึ่งไม่ค่อยเห็นในรถหลายคัน การตกแต่งเป็นแบบไฮเอนด์ และภายในมาพร้อมกับ “ชุดโฮสติ้ง” พร้อมร่มกันแดดในตัวและตู้เย็นแช่แชมเปญ ไม่มีใครไม่ชอบแชมเปญใช่ไหม? โรลส์รอยซ์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง

Bugatti La Voiture Noire
Bugatti La Voiture Noire มาพร้อมเครื่องยนต์ Quad-turbo 8 ลิตร W16 ให้กำลัง 1,479 แรงม้า และแรงบิด 1,600 นิวตัน-เมตร มันยากที่จะเชื่อ แต่รถคันนี้มาพร้อมกับปลายท่อไอเสียหกเส้น Bugatti La Voiture Noire ใหม่ที่หรูหรามาพร้อมกับล้อที่สวยงาม แผงด้านหน้าออกแบบเป็นพิเศษ และตราแบรนด์ทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็น Buggati La Voiture Noire มันเป็นสัญลักษณ์ให้กับประวัติศาสตร์ของ Bugatti ทั้งซับซ้อนและสง่างาม มันนำมาซึ่งความเร็ว สุนทรียภาพ ความหรูหรา และเทคโนโลยี รถคันนี้มีราคา 18.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (673 ล้านบาท)

Bugatti Centodieci
Centodieci เป็นรถที่หายากมาก โดย Buggati เปิดตัวในงาน Pebble Beach car week Centodieci ที่สร้างขึ้นครบรอบ 110 ปี มันมีการออกแบบและประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม Bugatti ออกแบบรถจำลองแห่งยุค EB110 ด้วย Centodieci เป็นภาษาอิตาลีแปลว่า 110 ด้วยสมรรถนะอันน่าทึ่งและการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร Centodieci ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ มีรูปทรงคลาสสิกเวอร์ชันทันสมัยและเครื่องยนต์ W16 ซึ่งผลิตเพียง 10 คันเท่านั้น และรถยนต์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น 10 คันโดดเด่นด้วยความสง่างามไร้ที่ติและความงามของประติมากรรม ทำให้ Centodieci กลายเป็นงานศิลปะอย่างแท้จริง รถคันนี้เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่พิเศษที่สุดเท่าที่เคยมีมา และมีราคาอยู่ที่ 9 ล้านเหรียญสหรัฐ (324 ล้านบาท)

Mercedes Maybach Exelero
Mercedes-Benz Exelero เป็นรถยนต์ที่ไม่ซ้ำใคร Exlero ถูกสร้างขึ้นในปี 2004 โดย Fulda ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของ Goodyear ในเยอรมนี เพื่อทดสอบยางใหม่ Mercedes ผลิต Exelero บนเฟรมของ Maybach และติดตั้งเครื่องยนต์ V12 เทอร์โบคู่แบบเดียวกับที่ให้กำลัง 690 แรงม้า (510 กิโลวัตต์) และแรงบิด 1,020 นิวตันเมตร (752 ปอนด์ฟุต) รถซุปเปอร์คาร์คันนี้ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมอย่างพิถีพิถันและไม่มีที่ติตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้รถมีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ Mercedes-Benz Maybach Exelero เป็นรถยนต์ที่ทรงพลังและมีขนาดใหญ่ โดยมีน้ำหนัก 2,660 กิโลกรัม (5,864 ปอนด์) Exelero มีความเร็วสูงสุด 351 กม./ชม. (218 ไมล์ต่อชั่วโมง) ซึ่งเร็วมากเมื่อเปรียบเทียบกับรถคันอื่นๆ สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (0 ถึง 62 ไมล์ต่อชั่วโมง) ในเวลาเพียง 4.4 วินาที ซุปเปอร์คาร์คันนี้มีราคาอยู่ที่ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ (288 ล้านบาท) แต่ปัจจุบันราคาจะสูงกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ (360 ล้านบาท)

Bugatti Divo
Divo เป็นรถที่ได้รับความชื่นชมจากพนักงานของ Bugatti เครื่องยนต์ที่ดีมาก Bugatti Divo มีน้ำหนักเบากว่า Chiron 77 ปอนด์ โดยการเพิ่มล้อที่เบากว่าเดิม หนังคาร์บอนไฟเบอร์ และลบฉนวนเสียงบางส่วน แม้ว่าจะมีกำลัง 1,500 แรงม้า (1,119 กิโลวัตต์) เช่นเดียวกับ Chiron แต่ Divo ก็มีการจัดวางตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้วิ่งเร็วขึ้น 8 วินาทีในสนามทดสอบ Nardo รถยนต์คันนี้จะถูกผลิตจำนวน 40 คัน โดยแต่ละคันมีราคา 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (209 ล้านบาท)

Koenigsegg CCXR Trevita
“Trevita” เป็นตัวย่อภาษาสวีเดนที่แปลว่า “คนผิวขาวสามคน” ในภาษาอังกฤษ ตัวถังลายคาร์บอนที่มองเห็นได้ของ Koenigsegg มีชื่อเสียงในด้านความโดดเด่นและความสมบูรณ์แบบไปทั่วโลก ก่อนที่ Trevita จะมีแต่สีคาร์บอนไฟเบอร์สีดำมาตรฐานเท่านั้น Trevita นั้นมีโซลูชันไฟเบอร์แบบเคลือบที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเปลี่ยนไฟเบอร์จากสีดำเป็นสีขาวเงินที่แวววาว เมื่อดวงอาทิตย์ส่องลงบนผิว Trevita มันจะเปล่งประกายราวกับเพชรสีขาวเม็ดเล็กๆ หลายล้านเม็ดฝังอยู่ในตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ที่มองเห็นได้ Trevita ติดตั้งปีกหลังคาร์บอนคู่ ท่อไอเสียอินโคเนล เบรกคาร์บอนเซรามิกพร้อม ABS ถุงลมนิรภัย แป้นเปลี่ยนเกียร์ แผงหน้าปัดโครโน ระบบมัลติมีเดีย ระบบตรวจสอบยาง และระบบยกไฮดรอลิก เดิมที Trevita มีแผนจะเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นสามคัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคาร์บอนไฟเบอร์สีขาวของ Trevita ผลิตยากและใช้เวลานาน จึงมีการตัดสินใจทำให้รถยนต์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากยิ่งขึ้นโดยการจำกัดจำนวน Trevita ที่ผลิตได้เพียงสองคัน รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นนี้มีราคาอยู่ที่ 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (173 ล้านบาท)

Lamborghini Veneno
Lamborghini ไม่เพียงแต่เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้ง (ปีค.ศ. 1963) ด้วย Veneno และ Veneno Roadster เท่านั้น แต่ยังให้กำเนิดรถที่มีความพิเศษเพียงไม่กี่คันที่นำแนวคิดของซุปเปอร์สปอร์ตโรดสเตอร์ไปสู่อีกระดับหนึ่ง ทลายทุกขีดจำกัดกับโลกแห่งการแข่งรถ ระหว่างปี 2014 ถึง 2015 Lamborghini ผลิต Venenos โดยใช้ Aventador เพียง 14 คันเท่านั้น แต่ละคันมีราคาประมาณ 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (162 ล้านบาท) ขึ้นอยู่กับฟีเจอร์ที่เลือก และมีทั้งรุ่นเปิดประทุนและรถคูเป้ ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตรที่ทรงพลังยิ่งขึ้นของ Aventador ซึ่งขณะนี้ผลิตกำลังได้ 740 แรงม้า (552 กิโลวัตต์) และแรงบิด 509 ปอนด์ฟุต (609 นิวตัน-เมตร) ทำให้สามารถวิ่งได้ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมง (96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ใน 2.9 วินาที เป็น Lamborghini ที่มีราคาแพงที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา

Bugatti Chiron Super Sport 300+
Bugatti ดึงดูดความสนใจของโลกยานยนต์เมื่อมีการประกาศว่า Chiron ได้ทำลายกำแพงความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง Super Sport 300 + เป็นรุ่นที่ถูกต้องตามกฎหมายของรถคันนั้นที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ Super Sport 300+ ซึ่งมีจำนวนจำกัดเพียง 30 คัน Chiron มีตัวถังที่พริ้วไหว และธีมลายทางที่สวยงาม แม้ Bugatti จำกัดความเร็วสูงสุดของรถแต่ละคันไว้ที่ “เพียง” 277 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่ตัวถังของ Chiron Super Sport 300+ ได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อความเร็วสูง เพื่อประสิทธิภาพและความเสถียร ซุปเปอร์คาร์คันนี้มีราคาอยู่ที่ 3.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (141 ล้านบาท)

Lamborghini Sian
Sian เป็นสะพานเชื่อมสู่อนาคตของ Lamborghini Lambo คันนี้คือตัวเลือกการผลิตด้วยไฟฟ้าคันแรก Sian มีระบบมายด์ไฮบริดขนาด 48 โวลต์ นอกเหนือจากเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตรจาก SVJ กำลังรวมของระบบอยู่ที่ 819 แรงม้า (611 กิโลวัตต์) ทำให้เป็นรถยนต์ที่ทรงพลังที่สุดของ Lamborghini Lamborghini จะสร้างโมเดลเพียง 63 คันเท่านั้น ดังที่แสดงไว้ในสติ๊กเกอร์ 63 ชิ้นที่ด้านข้างทั้งสองข้างของปีก Sian แต่ละคันจะมีราคาแพงกว่า Aventador SVJ อย่างมาก ซึ่งมีราคา 3.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (130 ล้านบาท)

Pagani Huayra Roadster BC
ตามการเป็นผู้นำของ Pagani Huayra BC เวอร์ชันโรดสเตอร์ที่น่าเกรงขาม รถคันนี้ที่มีกำลัง 800 แรงม้า (597 กิโลวัตต์) และแรงบิด 774 ปอนด์-ฟุต น่าประหลาดใจที่ Pagani เพิ่มแรงม้าของรถเปิดประทุนขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์เหนือรุ่นรถคูเป้ ต้องขอบคุณเครื่องยนต์ V12 เทอร์โบคู่ขนาด 6.0 ลิตรที่มาจาก AMG เจ้าของรถควรรู้สึกสบายใจเมื่อรู้ว่ารถของตนเป็นของหายาก นอกเหนือจากความพึงพอใจในการได้ยินเสียงเครื่องยนต์อันงดงามโดยไม่มีหลังคากีดขวาง Pagani ผลิตรถยนต์เหล่านี้เพียง 40 คัน โดยแต่ละคันมีราคาอยู่ที่ 3.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (126 ล้านบาท)

รถยนต์ที่มีเอกลักษณ์และงดงามจากแบรนด์ยานยนต์ต่างๆ อาจพบเห็นได้ทั่วโลก ในทางกลับกัน รถยนต์เหล่านี้ได้รับการออกแบบอย่างประณีต โดยเป็นตัวแทนของแบรนด์เหล่านั้น เครื่องยนต์บางรุ่นมีคุณภาพสูงกว่าเครื่องยนต์อื่นๆ ส่งผลให้บางรุ่นมีแรงม้ามากกว่าและบางรุ่นมีแรงบิดมากกว่า การเร่งความเร็วของรถยนต์เหล่านี้มาจากปริมาณแรงม้าที่ผลิตได้ รถยนต์เหล่านี้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ที่มั่งคั่ง บุคคลที่มีระดับย่อมปรารถนายานพาหนะดังกล่าวเพื่อเสริมความมั่งคั่งเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดียิ่งขึ้น
10 รถออฟโรดที่เหมาะกับสายลุยผู้ชื่นชอบลุยป่าไปกับยาง BFGoodrich
หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการแคมป์ปิ้งตามป่า ภูเขาสูง แลชายทะเล หรือหลงใหลในรูปลักษณ์สุดแกร่งของรถกระบะและเอสยูวีออฟโรดสายลุยป่า วันนี้เรามีรถ off-road จำนวน 10 คันที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งแต่ละคันมีคุณสมบัติใดบ้างที่น่าสนใจ รวมถึงยาง BFGoodrich รุ่นใดบ้างที่เหมาะสำหรับรถเหล่านี้ วันนี้เราจะพาคุณที่อาจเป็นวัยรุ่นเที่ยวป่าหรือสายออฟโรดมือเก๋าไปทำความเข้าใจทั้งหมดเอง

4 ยางออฟโรดและยางสุดเท่ที่เหมาะสำหรับรถกระบะและเอสยูวี 4×4
ก่อนที่คุณจะไปดูว่ารถกระบะและเอสยูวีออฟโรดสำหรับสายลุยป่ามีคันไหนบ้างที่น่าสนใจ เราอยากให้คุณหรือบรรดาวัยรุ่นเที่ยวป่าที่รักในการขับขี่รถ 4WD ได้รู้จักกับยาง BFGoodrich ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์การขับรถเข้าป่า ไปแคมป์ปิ้ง หรือแม้แต่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพก่อน จะมียางรุ่นไหนบ้างนั้นเรามาดูไปพร้อมๆ กัน
BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ยาง A/T สำหรับรถกระบะและเอสยูวีออฟโรดที่พร้อมพาคุณเที่ยวป่าตะลุยไปทุกที่
คุณสามารถเลือกใช้ยาง A/T อย่าง BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ที่พัฒนามาจากสุดยอดยาง A/T อย่าง KO2 เพื่อมอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีที่สุดทั้งบนถนนปกติและทางออฟโรดที่เต็มไปด้วยอุปสรรค กับรถ off-road สายลุยป่า เหมาะกับรถกระบะและเอสยูวี 4WD เพราะจะช่วยให้คุณขับปีนก้อนหิน วิ่งผ่านทราย ตะกุยดินโคลน และสภาพทางต่างๆ ที่รอคุณให้พิชิตฝ่าไปได้ง่ายขึ้นด้วยจุดเด่นดังนี้
- ใช้งานได้นานกว่าถึง 15%
- ทนทานต่อการบาดหรือถูกตำมากขึ้น 20%
- ขับได้ดีขึ้นทั้งบนทางปกติที่ลื่นหรือเปียก
- มีระยะเบรกบนทางเปียกสั้นลง 4.2 เมตร
BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2 ยาง A/T รุ่นตำนานที่ช่วยให้การขับขี่ในชีวิตประจำวันและเวลาเข้าป่าทำได้มั่นใจทุกทริป
ในใจของบรรดาวัยรุ่นเที่ยวป่าหรือแม้แต่นักขับรถออฟโรดผู้มากประสบการณ์ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ขับรถกระบะและเอสยูวี 4×4 คันเก่งคู่ใจไปใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มสมรรถนะ โดยไม่ได้ลดทอนความสามารถในการยึดเกาะถนนหรือมีเสียงยางดังมากเกินไป รวมถึงในวันหยุดยังสามารถขับรถเข้าไปลุยตามเส้นทางธรรมชาติได้ทันที ซึ่งสิ่งที่ว่ามาเหล่านี้ทั้งหมดคุณจะได้รับจากการใช้งานยาง A/T รุ่นตำนานอย่าง BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2 พร้อมด้วยคุณสมบัติดีๆ ดังนี้
- KO2 เป็นยาง A/T ที่ใช้งานได้ดีทั้งบนถนนลาดยางและทางออฟโรด
- ดอกยาง A/T แบบพิเศษของ KO2 ช่วยให้การตะกุยและสลัดโคลนทำได้ดีขึ้น
- ความแข็งแกร่งของแก้มยาง KO2 ช่วยลดความเสี่ยงยางแตกหรือรั่วเมื่อลุยออฟโรดได้
- มีความทนทานและใช้งานได้ยาวนานกว่ายาง A/T ทั่วไปในตลาด
BFGOODRICH TRAIL-TERRAIN T/A ยางที่ขับขี่ได้ดีทั้งบนถนนปกติและทางออฟโรดระดับเริ่มต้น
ถ้าคุณใช้รถกระบะยกสูง, กระบะ 4×4, เอสยูวี หรือ PPV ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แล้วรู้สึกว่าอยากได้ยางที่ดูเท่และแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้อยากจะข้ามไปใช้ยาง A/T หรือ M/T ยาง BFGOODRICH TRAIL-TERRAIN T/A คือคำตอบที่เหมาะสำหรับวัยรุ่นเที่ยวป่าเช่นคุณ เนื่องจากเป็นยางที่ได้รูปลักษณ์ดูบึกบึนไม่ต่างกับยางอย่าง KO3 หรือ KM3 แต่เหมาะกับการขับบนถนนปกติและลุยทาง off-road ที่ไม่หนักมากได้ดี โดยมีคุณสมบัติต่างๆ ดังนี้
- ใช้งานได้ทุกฤดูกาลอย่างไร้ปัญหา เหมาะสำหรับการลุยทางออฟโรดระดับเริ่มต้น
- ยึดเกาะถนนพร้อมมีระยะเบรกที่ดีทั้งในทางเปียกและทางแห้ง ควบคุมรถได้ดั่งใจ
- ดอกยางมีความทนทานต่อการสึกหรอ สามารถใช้งานได้ยาวนาน
BFGOODRICH MUD-TERRAIN T/A KM3 ยาง M/T สำหรับรถกระบะและเอสยูวีออฟโรดที่ให้คุณลุยทางหฤโหดได้เต็มสมรรถนะ
หากใครรู้ตัวว่าเป็นสายลุยป่าลึกที่ชอบปีนป่ายก้อนหิน ขับผ่านลำธาร หรือตะกุยเนินดินเพื่อไปถึงยังจุดหมาย ยาง M/T อย่าง BFGOODRICH MUD-TERRAIN T/A KM3 คือหนึ่งในตัวเลือกยางออฟโรดสำหรับสายฮาร์ดคอร์ตัวจริง เพราะยาง M/T ลุยป่ารุ่นนี้ มาพร้อมคุณสมบัติที่ออกแบบมาเพื่อการบุกตะลุยทางโหด ตั้งแต่ ดินโคลน ก้อนหินใหญ่ ไปจนถึงเนินทรายที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่
- ฝ่าโคลนได้ผ่านฉลุยทุกครั้ง ด้วยการเกาะตะกุยบนทางดินและโคลนดีขึ้น 5%
- ไต่ก้อนหินได้ดีเยี่ยม ช่วยให้ปีนป่ายก้อนหินบนภูเขาหรือลานหินได้ดีขึ้น 8%
- พิชิตทุกเส้นทางออฟโรดได้ดั่งใจ ด้วยแก้มยางที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมถึง 27%
- KM3 เป็นยางออฟโรดที่ดีที่สุดที่ออกแบบมาสำหรับการแข่งขัน Baja

10 รถกระบะ 4×4 รถเอสยูวี 4WD และรถออฟโรดลุยป่าที่น่าใช้งานในปี 2025
ในที่สุดก็มาถึงเวลาที่บรรดานักขับออฟโรดมากประสบการณ์ไปจนถึงกลุ่มวัยรุ่นเที่ยวป่าจะได้รู้จักกับ 10 อันดับของรถกระบะ 4×4 หรือรถเอสยูวี 4WD ที่เหมาะกับการลุยทาง off-road และติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมาให้เพื่อการบุกตะลุยทางป่า เนินทราย หรือปีนป่ายก้อนหินได้อย่างเต็มที่ โดยจะมีรถคันไหนบ้างที่น่าสนใจ เราจะมาดูไปพร้อมๆ กัน

1. Toyota Hilux Revo GR Sport 4×4
เริ่มกันด้วยหนึ่งในสุดยอดรถกระบะรุ่นตำนานที่ขึ้นชื่อเรื่องอึดถึกทนจากรุ่นสู่รุ่น อย่าง Toyota Hilux Revo 4×4 GR Sport ที่ถูกพัฒนาเป็นพิเศษเพื่อมาต่อกรกับคู่แข่งสัญชาติอเมริกัน โดยกระบะ GR Sport 4WD คันนี้มาพร้อมรูปลักษณ์บึกบึน มีการยกสูงมากกว่ารุ่นปกติ พร้อมทั้งใส่ยาง A/T อย่าง BFGoodrich KO2 มาให้เพื่อการลุยทาง off-road ลุยป่าได้ตั้งแต่วันแรก เราจึงมักพบเห็นเหล่าวัยรุ่นเที่ยวป่าพารถรุ่นนี้ไปลุยได้บ่อยครั้ง
เสริมด้วยเครื่องดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ 2.8 ลิตร 223 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time 4WD ช่วงล่างอัปเกรดมาใช้โช้คอัพแบบ Monotube ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทั้งหมดนี้ทำให้ Revo GR Sport 4×4 ลุยป่า ปีนหิน หรือขับในเส้นทางปกติได้อย่างมั่นใจไปพร้อมกับความสบายที่กำลังพอดี
รุ่นและขนาดยาง BFGoodrich ที่ใส่กับรถรุ่นนี้ได้
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ขนาด 265/65R17
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2 ขนาด 265/65R17
- ยาง M/T – BFGOODRICH MUD-TERRAIN T/A KM3 ขนาด 265/65R17
- ยาง H/T – BFGOODRICH TRAIL-TERRAIN T/A ขนาด 265/65R17

2. Ford Ranger Raptor 4×4
กระบะออฟโรดสายลุยป่าที่ได้ชื่อเรื่องความแกร่งและความแรงที่สุดในตลาดเมืองไทยอย่าง Ford Ranger Raptor ที่มีมาดเข้มพร้อมลุยไปในทุกเส้นทาง ด้วยตัวถัง wide body มีซุ้มล้อขนาดใหญ่ ได้ฟีเจอร์การขับขี่และระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมากมาย ตั้งแต่ระบบ adaptive cruise control, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ และข้าวของอำนวยความสะดวกอีกมากมาย
ทางด้านขุมพลังมีให้เลือกสองแบบ ได้แก่บล็อกแรงสุดอย่างเครื่องเบนซินเทอร์โบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร มอบกำลังสูงสุด 397 แรงม้า แรงบิด 583 นิวตันเมตร กับเครื่องดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ 2.0 ลิตร กำลัง 210 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร ทั้งสองรุ่นจับคู่เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด และติดตั้งโช้คอัพของ FOX ขนาด 2.5 นิ้ว ที่ด้านหน้าและหลัง ไม่เพียงเท่านี้ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อยังเป็นแบบ Full-time 4WD อีกด้วย เรียกว่าเกิดมาพร้อมลุยในทุกสภาพเส้นทาง จะโหดแค่ไหนกระบะ 4×4 คันนี้ก็เอาอยู่
รุ่นและขนาดยาง BFGoodrich ที่ใส่กับรถรุ่นนี้ได้
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ขนาด 285/70R17
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2 ขนาด 285/70R17
- ยาง M/T – BFGOODRICH MUD-TERRAIN T/A KM3 ขนาด 285/70R17

3. Isuzu D-Max V-Cross 4×4
ไม่มีใครในสาย off-road ที่นิยมใช้รถกระบะ 4×4 ถึงขั้นลุยโหดในทุกที่ ที่จะไม่รู้จัก Isuzu D-Max V-Cross 4×4 ซึ่งมีให้เลือกทั้งตัวถัง 2 ประตูและรุ่น 4 ประตู ขึ้นแท่นอยู่ในกลุ่มผู้นำของรถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อของเมืองไทยมานาน โดยมีความแข็งแกร่งและโฉบเฉี่ยวทันสมัยตามสไตล์รถญี่ปุ่น และยังขึ้นชื่อเรื่องความทนทานรวมถึงคุณภาพบริการหลังการขายที่ดีจนมัดใจสาวกกระบะชาวไทยรวมถึงกลุ่มวัยรุ่นเที่ยวป่าได้อย่างอยู่หมัด
สำหรับหัวใจของ V-Cross เป็นเครื่องดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตรที่มาตั้งแต่รอบต่ำ จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ส่งกำลังไปยังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part-time 4WD พร้อมเสริมระบบความปลอดภัยทันสมัยหลายอย่าง เช่น ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบแจ้งเตือนออกนอกเลน, และอื่นๆ ทั้งหมดนี้เพียงพอสำหรับการลุยป่า ลุยโคลน หรือลุยไปทุกเส้นทางได้อย่างสนุกเต็มที่
รุ่นและขนาดยาง BFGoodrich ที่ใส่กับรถรุ่นนี้ได้
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ขนาด 265/60R18*
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2 ขนาด 265/60R18*
- ยาง M/T – BFGOODRICH MUD-TERRAIN T/A KM3 ขนาด 265/60R18*
- ยาง H/T – BFGOODRICH TRAIL-TERRAIN T/A ขนาด 265/60R18*
หมายเหตุ: ขนาดยางที่ระบุไม่ใช่ขนาดยางที่ติดมากับรถยนต์ แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนล้อและยางให้เป็นขนาดที่ระบุไว้ เพื่อให้มาตรวัดความเร็วและความสูงของตัวรถเท่าเดิมหรือใกล้เคียงกับยางที่ติดมากับรถมากที่สุด

4. Mitsubishi Triton Athlete 4×4
ค่ายรถญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องการแข่งขันในสนามแข่งออฟโรดชื่อดังไม่ว่าจะเป็น Dakar หรือ Baja ก็มีรถกระบะ 4WD ที่น่าสนใจ นั่นก็คือ Mitsubishi Triton Athlete 4×4 ได้เพิ่งปรับโฉมโมเดลเชนจ์มาไม่นานนัก จัดเต็มฟีเจอร์ความปลอดภัยมาเต็มคันไม่แพ้คู่แข่งคันอื่นในตลาด พร้อมกับปรับปรุงการขับขี่ให้สามารถใช้ได้ดีทั้งบนถนนปกติและเส้นทาง off-road มาใหม่อีกต่างหาก
ในส่วนของขุมพลังให้เครื่องดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ 2.4 ลิตร กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตันเมตรจับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ไปยังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Full-time 4WD อันเลื่องชื่ออย่างระบบ Super Select 4WD II ที่สามารถขับขี่บนถนนปกติด้วยความเร็วสูงในเกึยร์ 4H แบบไร้ปัญหา แถมยังลุยทางในป่าโหดๆ ที่เต็มไปด้วยดินโคลนหรือก้อนหินได้มั่นใจในโหมด 4LLc
รุ่นและขนาดยาง BFGoodrich ที่ใส่กับรถรุ่นนี้ได้
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ขนาด 265/60R18*
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2 ขนาด 265/60R18*
- ยาง M/T – BFGOODRICH MUD-TERRAIN T/A KM3 ขนาด 265/60R18*
- ยาง H/T – BFGOODRICH TRAIL-TERRAIN T/A ขนาด 265/60R18*
หมายเหตุ: ขนาดยางที่ระบุไม่ใช่ขนาดยางที่ติดมากับรถยนต์ แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนล้อและยางให้เป็นขนาดที่ระบุไว้ เพื่อให้มาตรวัดความเร็วและความสูงของตัวรถเท่าเดิมหรือใกล้เคียงกับยางที่ติดมากับรถมากที่สุด

5. Toyota Fortuner 4×4
อีกหนึ่งเอสยูวีหรือรถ PPV ออฟโรดลุยป่าที่ดุดันไม่แพ้ใครในตลาดอย่าง Toyota Fortuner ที่โดดเด่นด้วยรูปโฉมภายนอกและภายในที่เพิ่งปรับมาใหม่หมดให้ดูหรูหราและทันสมัยยิ่งขึ้น ทั้งยังได้กล้องมองภาพรอบทิศทาง แบบ 3D View ช่วยให้มองเห็นอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างชัดเจน แถมได้ระบบความปลอดภัยครบถ้วน พร้อมด้วยชื่อเสียงเรื่องความทนทานของตัวรถและเครื่องยนต์ที่เหนือกว่าใครในตลาด แถมยังมีให้เลือกระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตั้งแต่รุ่น Legends, Legender, และ GR Sport
หัวใจหลักมีให้เลือกตั้งแต่เครื่องดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ 2.4 ลิตร 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร กับเครื่องดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ 2.8 ลิตร กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ส่งพลังไปที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part-time 4WD ไม่เพียงเท่านี้ ระหว่างที่ใช้โหมด 4L ระบบจะเปิดกล้องมองภาพรอบคันเพื่อช่วยให้คุณมองเห็นสภาพแวดล้อมและเส้นทางได้ชัดเจนขึ้น เรียกว่าเหมาะกับการขับรถลุยป่า หรือปีนก้อนหินไม่แพ้คู่แข่งพีพีวี 4WD คันอื่นในตลาด
รุ่นและขนาดยาง BFGoodrich ที่ใส่กับรถรุ่นนี้ได้
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ขนาด 265/60R18
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2 ขนาด 265/60R18
- ยาง M/T – BFGOODRICH MUD-TERRAIN T/A KM3 ขนาด 265/60 R18
- ยาง H/T – BFGOODRICH TRAIL-TERRAIN T/A ขนาด 265/60 R18

6. GWM Tank 300 4×4
ถึงเวลาของเอสยูวีสาย off-raod ลุยป่าสัญชาติจีนอย่าง GWM Tank 300 4WD กันบ้าง ที่โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์รถตรวจการณ์สุดคลาสสิก แต่อัดแน่นเทคโนโลยีต่างๆ มาเต็มคัน ตั้งแต่ไฟหน้าไฟท้าย LED ภายในหรูหราตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียมผสมโลหะ, โครเมียม, และหนังแท้ Nappa แถมให้หน้าจอขนาด 24.6 นิ้ว ตั้งแต่ด้านหน้าผู้ขับขี่จนถึงจอกลางเชื่อมเป็นเดียวกัน ดูความเร็ว, สถานะของรถ, และระบบความบันเทิงได้เต็มตา
เริ่มต้นด้วย GWM Tank 300 เครื่องดีเซล หัวใจหลักคือขุมพลังที่พร้อมพิชิตทุกเส้นทาง ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร มอบพละกำลังสูงสุดประมาณ 184 แรงม้า พร้อมแรงบิดจัดจ้านสูงสุดประมาณ 380 นิวตันเมตร ส่งกำลังอันทรงพลังสู่ล้อผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ที่ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full-time 4WD อันชาญฉลาด
นอกจากนี้ ยังมีรุ่นขุมพลังไฮบริดที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ 2.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 244 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร เสริมพลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 106 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 268 นิวตันเมตร ส่งกำลังสู่ล้อผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ไปยังระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full-time 4WD พร้อมโหมดการขับขี่ All-Terrain Control System และ Diff-Lock รัดด้วยยาง A/T ที่พร้อมสำหรับการลุยป่า โคลน ทราย และปีนหินได้ทุกเส้นทาง
รุ่นและขนาดยาง BFGoodrich ที่ใส่กับรถรุ่นนี้ได้
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ขนาด 265/65R17
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2 ขนาด 265/65R17
- ยาง M/T – BFGOODRICH MUD-TERRAIN T/A KM3 ขนาด 265/65R17
- ยาง H/T – BFGOODRICH TRAIL-TERRAIN T/A ขนาด 265/65R17

7. Suzuki Jimny 4×4
สายรถน่ารักสัญชาติญี่ปุ่นแต่ลุยได้โหดอย่าง Suzuki Jimny เอสยูวีออฟโรดลุยป่า 4WD สำหรับคนตัวจริง หรือวัยรุ่นเที่ยวป่าที่มองหาความน่ารักแต่ลุยได้ดุดันไม่แพ้รถคันใหญ่กว่า โดยมาพร้อมจุดเด่นในเรื่องขนาดที่กะทัดรัด แต่จัดเต็มสมรรถนะการลุยไม่ด้อยไปกว่ารถกระบะ 4×4 คันใหญ่ แถมภายในห้องโดยสารก็ยังมาในสไตล์เรียบง่าย ถูกใจสายลุยแต่หลงใหลในความมินิมอล และที่สำคัญคือแค่จับเปลี่ยนเป็นยาง A/T ก็สามารถลุยทางดินโคลน ปีนหิน หรือเนินทรายได้ดีขึ้นอีกต่างหาก
แม้ว่าหัวใจของ Jimny จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศ มีพละกำลังสูงสุด 102 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ไปยังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part-time 4WD และด้วยตัวรถที่ใช้ช่วงล่างแบบคานแข็ง ทำให้เวลาปีนป่ายจะช่วยให้ระยะจากพื้นถึงใต้ท้องรถมีมากขึ้น และถ่ายเทน้ำหนักไปที่ล้อด้านใดด้านหนึ่งได้ดี เรียกว่าลุยได้สนุกไม่แพ้รถคันใหญ่เลย
รุ่นและขนาดยาง BFGoodrich ที่ใส่กับรถรุ่นนี้ได้
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2 ขนาด 215/65R16*
- ยาง H/T – BFGOODRICH TRAIL-TERRAIN T/A ขนาด 215/60R16
หมายเหตุ: ขนาดยางที่ระบุไม่ใช่ขนาดยางที่ติดมากับรถยนต์ แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนล้อและยางให้เป็นขนาดที่ระบุไว้ เพื่อให้มาตรวัดความเร็วและความสูงของตัวรถเท่าเดิมหรือใกล้เคียงกับยางที่ติดมากับรถมากที่สุด

8. Jeeb Wrangler Rubicon 4×4
มาดูฝั่งเอสยูวีสายลุยทาง off-road สุดเท่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง Jeeb Wrangler Rubicon หนึ่งใน Iconic ที่สร้างประสบการณ์ลุยทางโหดมาตลอดหลายสิบปี และเป็นต้นแบบความแกร่งให้รถยี่ห้ออื่นๆ ที่พัฒนารถทรงลุยไปหลายคัน สำหรับ Wrangler Rubicon จะมีตัวถังให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ รุ่น 2 ประตูกับ 4 ประตู ที่มาพร้อมจุดเด่นที่สามารถถอดหลังคาออกแล้วขับเพื่อรับลมจากธรรมชาติได้ เรียกว่าทั้งบึกบึนและทั้งผ่อนคลายไปพร้อมกัน
แหล่งกำลังหลักของ Wrangler Rubicon โฉมไทยใส่เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 270 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ส่งพลังทั้งหมดสู่ล้อผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Full-time 4WD อันเลื่องชื่อ พร้อมเสริมฟีเจอร์เพื่อการลุยแบบจัดเต็ม อาทิ เฟืองล็อกไฟฟ้าที่ล้อหน้าและหลัง, เพลาหน้าหลัง Dyna 44 Heavy Duty, และยาง Mud Terrain เป็นมาตรฐาน
รุ่นและขนาดยาง BFGoodrich ที่ใส่กับรถรุ่นนี้ได้
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ขนาด 285/70R17
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2 ขนาด 285/70R17
- ยาง M/T – BFGOODRICH MUD-TERRAIN T/A KM3 ขนาด 285/70R17

9. Toyota Land Cruiser 300 GR Sport 4×4
Toyota Land Cruiser คือสุดยอดรถตรวจการณ์ระดับตำนานที่ลุยไปได้ทุกเส้นทางสุดโหดในสไตล์ off-road รูปลักษณ์ภายนอกดุดันและแข็งแกร่งตามสไตล์รถเอสยูวี 4×4 ขนาดใหญ่ ภายในจัดเต็มด้านความหรูหราไม่แพ้รถเก๋งในระดับราคาใกล้เคียงกัน ได้ทั้งความสบายและการลุยที่ทำได้แบบไม่ต้องกังวล โดยเฉพาะรุ่น GR Sport ที่มาพร้อมชุดแต่ง ช่วงล่างแบบ E-KDSS ที่ช่วยให้การลุยและเกาะถนนได้ดีขึ้นในทุกสภาพถนน
เครื่องยนต์ของ Land Cruiser 300 GR Sport มาเป็นขุมพลังดีเซลเทอร์โบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 304 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ส่งกำลังสู่ล้อทั้ง 4 ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Full-time 4WD ที่มีโหมดการขับขี่มากมาย พร้อมสำหรับการลุยในทุกเส้นทางที่ใจคุณอยากจะไป
รุ่นและขนาดยาง BFGoodrich ที่ใส่กับรถรุ่นนี้ได้
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ขนาด 265/65R18

10. Mercedes-Benz G-Class 4×4
ปิดท้ายกันด้วยรถเอสยูวีสายลุยป่าจากแบรนด์เยอรมันอย่าง Mercedes-Benz G-Class หนึ่งในตำนานรถ off-road ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี โดยมีรูปลักษณ์ภายนอกทรงกล่อง ดูแข็งแกร่งบึกบึนตามสไตล์รถตรวจการณ์ในอดีต แต่ภายในก็ถูกพัฒนาให้มีความหรูหราและนั่งได้สบายไม่แพ้รถรุ่นอื่นๆ ในยี่ห้อเดียวกัน แถมยังมีตัวเลือกเครื่องยนต์ให้เลือกใช้มากมายตามความต้องการด้วย
ในส่วนของขุมพลังเราจะยกรุ่นยอดนิยมที่ขายดีในไทยอย่าง G400d หรือ G450d ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 6 สูบเรียง กำลังสูงสุด 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ส่งกำลังสู่ล้อทั้ง 4 ผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4Matic พร้อมโหมดการขับขี่ออฟโรดลุยป่ามากมาย แถมมีกล้องมองภาพรอบคันรวมถึงใต้ท้องรถ เพื่อช่วยให้การปีนป่ายก้อนหินหรือการผ่านอุปสรรคต่างๆ ทำได้อย่างปลอดภัยที่สุด
รุ่นและขนาดยาง BFGoodrich ที่ใส่กับรถรุ่นนี้ได้
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ขนาด 265/60R18
- ยาง A/T – BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2 ขนาด 265/60R18
- ยาง M/T – BFGOODRICH MUD-TERRAIN T/A KM3 ขนาด 265/60R18
- ยาง H/T – BFGOODRICH TRAIL-TERRAIN T/A ขนาด 265/60R18
คุณคงได้รู้ใจตัวเองมากขึ้นแล้วว่าแท้ที่จริงแล้วคุณต้องการรถกระบะหรือเอสยูวี 4WD สายออฟโรดลุยป่าคันไหน จากทั้งหมด 10 คันที่เรานำมาให้คุณได้จดไว้ใน shortlist ด้วยรูปลักษณ์ สไตล์ของรถ สมรรถนะเครื่องยนต์ รวมถึงความสามารถในการเข้าป่า ลุยโคลน ตะกุยเนินทราย หรือปีนก้อนหินที่มีไม่แตกต่างกันไป และเพื่อให้การขับรถออฟโรดเป็นไปอย่างปลอดภัยและสนุกไปพร้อมๆ กัน คุณควรเลือกใช้ยาง H/T, A/T, และ M/T จาก BFGoodrich ที่มีให้เลือกหลากหลายรุ่น เหมาะกับความต้องการเฉพาะของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี โดยคุณสามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการขับขี่รถ 4×4 ได้ที่นี่

