• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N0410280 คนบ านผ EP2 part 2

admin79 by admin79
October 6, 2025
in Uncategorized
0
N0410280 คนบ านผ EP2 part 2

ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇

สปอร์ตเปิดประทุนตัวแรง ขุมพลังเครื่องยนต์รอบจัดสมรรถนะสูง

พฤษภาคม 15, 2023Nuch

ปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส ขีดสุดแห่งยนตรกรรมสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลาง

ระยะเวลากว่า 30 ปีหลังการนำเสนอรถยนต์ต้นแบบ Boxster ปอร์เช่ได้เปิดตัวรถสปอร์ตโรดสเตอร์เครื่องยนต์วางกลางรุ่นยอดนิยม กับปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส ใหม่ เวอร์ชั่นทรงพลังที่สุด ครั้งแรกกับขุมพลังเครื่องยนต์รอบสูงที่ไร้ระบบอัดอากาศ ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากปอร์เช่ 911 GT3 สู่ยนตรกรรมสปอร์ตเครื่องวางกลางเปิดประทุน

ปอร์เช่ ยกระดับสมรรถนะให้รถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางสายพันธ์ 718 โดยมุ่งเน้นการออกแบบเพื่อประสิทธิภาพการขับขี่สูงสุด  ปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส ใหม่ คือคู่แฝดของ ปอร์เช่ 718 เคย์แมน จีทีโฟร์ อาร์เอส ในเวอร์ชั่นเปิดประทุน นับเป็นครั้งแรกที่นำเครื่องยนต์บ๊อกเซอร์ 6 สูบ แบบไร้ระบบอัดอากาศจาก ปอร์เช่ 911 GT3 ที่ให้พละกำลังสูงสุดกว่า 500 แรงม้า มาใช้กับรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางเปิดประทุน ซึ่งเป็นเครื่องยนต์รอบสูงและมีน้ำหนักเบา บล็อกเดียวกับรถแข่งตัวแรงอย่างปอร์เช่ 911 GT3 Cup  โดยน้ำหนักส่วนเกินได้ถูกรีดออกจนเบาเป็นพิเศษ และหลังคาประทุนแบบ soft-top ทำงานด้วยระบบกลไกของ ปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส พร้อมเสียงเครื่องยนต์อันดุดันที่มอบประสบการณ์สุดเร้าใจ  คุณสมบัติเหล่านี้ล้วนมาจากท่อไอเสียแบบสปอร์ตสเตนเลสสตีล ที่มีน้ำหนักเบาจากปอร์เช่ และการออกแบบจัดวางตำแหน่งช่องรับอากาศด้านข้าง บริเวณหลังพนักพิงศีรษะ

ขุมพลังเครื่องยนต์รอบสูงแบบไร้ระบบอัดอากาศ โดดเด่นด้วยโครงสร้างน้ำหนักเบาพิเศษ

ระบบขับเคลื่อนของ ปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส ใหม่ มาในแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์เช่นเดียวกับสปอร์ตคูเป้ ปอร์เช่ 718 เคย์แมน จีทีโฟร์ อาร์เอส ใช้เครื่องยนต์บ๊อกเซอร์ 6 สูบ ที่มาพร้อมความจุกระบอกสูบ 4.0 ลิตร รอบเครื่องยนต์สูงสุดกว่า 9,000 รอบต่อนาที ให้พละกำลังสูงสุด 500 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ผสานการทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ (PDK) 7 สปีด ที่มีอัตราทดสั้น ส่งผลให้สปอร์ตโรดสเตอร์ 2 ที่นั่ง สามารถรีดสมรรถนะออกมาได้อย่างเต็มพิกัด ด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียง 3.4 วินาทีเท่านั้น และสามารถทำความเร็ว 200-กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยเวลาเพียง 10.9 วินาที เมื่อเปรียบเทียบกับ 718 สไปเดอร์ ที่ไม่ใช่รุ่น อาร์เอส รถรุ่นเรือธงลำใหม่ล่าสุดนี้ นอกจากจะมีพละกำลังที่เพิ่มขึ้นถึง 80 แรงม้าแล้ว ยังให้อัตราเร่งออกตัวจนถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร็วกว่าถึง ครึ่งวินาที ความเร็วสูงสุดเพิ่มแตะระดับ 308 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่รุ่นเดิมทำได้ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  ปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส ใหม่ ได้รับการติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่อัจฉริยะ (PDK) เช่นเดียวกับรถสปอร์ต อาร์เอส รุ่นใหม่ ระบบส่งกำลังชุดนี้ทำงานด้วยการเปลี่ยนอัตราทดทั้ง 7 สปีดด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ และให้ความมั่นใจในสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ระบบเกียร์ Paddle Shift ช่วยให้ทั้งสองมือของผู้ขับขี่สัมผัสกับพวงมาลัยอยู่ตลอดแม้ขณะเปลี่ยนเกียร์แบบ manual ก็ตาม นอกจากนี้ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้จากคันเกียร์บริเวณคอนโซลกลาง ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ นอกจากเครื่องยนต์อันทรงพลังแล้ว รถสปอร์ตรุ่นใหม่ยังมีน้ำหนักตัวที่เบาจนสัมผัสได้ถึงสมรรถนะที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน น้ำหนักโดยรวมของ สไปเดอร์ อาร์เอส อยู่ที่ 1,410 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่า 718 สไปเดอร์ รุ่นธรรมดาที่ติดตั้งระบบเกียร์ PDK ถึง 40 กิโลกรัม และยังเบากว่า 718 เคย์แมน จีทีโฟร์ อาร์เอส ถึง 5กิโลกรัม  สไปเดอร์ อาร์เอส คือตัวแทนของความเหนือระดับรุ่นล่าสุดจากสายพันธ์สปอร์ตเครื่องวางกลางที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2559

ดุลยภาพแห่งอากาศพลศาสตร์ชั้นยอด

ตัวถังด้านหน้าของ ปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส ใหม่ มีเอกลักษณ์ที่แทบจะไม่แตกต่างจาก 718 เคย์แมน จีทีโฟร์ อาร์เอส ฝากระโปรงหน้ามาตรฐานผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP)  เพิ่มขนาดของช่องอากาศบนกันชนหน้าให้ใหญ่ขึ้น ครีบดักอากาศ NACA ทั้งสองฝั่ง ทำหน้าที่ระบายความร้อนให้แก่ระบบเบรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อค่าสัมประสิทธ์แรงเสียดทาน (Coefficient of Drag) อุปกรณ์ Sideblades บริเวณมุมกันชนมีส่วนช่วยในการสร้างแรงกด ลิ้นสปอยเลอร์หน้ามีขนาดสั้นกว่าของ 718 เคย์แมน จีทีโฟร์ อาร์เอส เล็กน้อย ประสานการทำงานกับปีกหลังขนาดใหญ่ สามารถสร้างแรงกดโดยรวมสูงกว่ารุ่น เคย์แมน และเนื่องจากการตัดสินใจเลือกเพิ่มขนาดของลิ้นสปอยเลอร์เพื่อเสริมความสมดุลย์ให้ระบบอากาศพลศาสตร์แทนการใช้ปีก ส่งผลให้รูปทรงของ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส มีเหลี่ยมมุมที่เฉียบคมในสไตล์ ducktail อุปกรณ์ด้านอากาศพลศาสตร์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกดีไซน์ให้ทำงานร่วมกัน เพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างสมดุลย์ รวมทั้งให้เสถียรภาพสูงสุดขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง

หลังคาประทุนดีไซน์เฉียบ

ปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส ใหม่ ติดตั้งหลังคาประทุน single-layer lightweight soft-top น้ำหนักเบาพิเศษ ควบคุมการทำงานด้วยระบบกลไก แฝงด้วยงานดีไซน์ที่น่าอัศจรรย์ ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนหลัก 2 ชิ้น ได้แก่ แผงบังแดด sun shield และแผ่นกันลม weather deflector อุปกรณ์ทั้งคู่สามารถถอดประกอบได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังสามารถจัดเก็บรวม หรือแยกจากกันเอาไว้ในรถได้อย่างกลมกลืน และยังสามารถเลือกใช้เพียงแค่แผงบังแดด sun shield เพื่อเป็นหลังคาแบบ ‘Bimini top’ สำหรับป้องกันแสงแดดให้แก่ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารได้อีกด้วย โดยในกรณีนี้พื้นที่ฝั่งผู้โดยสารจะเปิดโล่งไปจนถึงด้านข้างและด้านหลัง  และเมื่อใช้งานร่วมกับแผ่นกันลม weather deflector และปิดกระจกประตูจนสนิท จะทำหน้าที่เป็นหลังคาป้องกันน้ำฝนได้อย่างสมบูรณ์แบบ  โครงสร้างหลังคา รวมทั้งชิ้นส่วนกลไกมีน้ำหนักเพียง 18.3 กิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักที่เบากว่า 718 สไปเดอร์ ถึง 7.6 กิโลกรัม และเบากว่า 718 บ๊อกสเตอร์ ถึง 16.5 กิโลกรัม ผู้ขับขี่สามารถลดน้ำหนักตัวรถลงได้ถึง 8 กิโลกรัมด้วยการถอดหลังคาเก็บไว้ที่บ้าน และขับรถออกไปสัมผัสกับความสดชื่นในวันที่สภาพอากาศเอื้ออำนวย

ช่วงล่างสปอร์ต ให้การบังคับควบคุมที่แม่นยำ และปราดเปรียว

ระบบช่วงล่างของปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส ใช้ชิ้นส่วนร่วมกับ 718 เคย์แมน จีทีโฟร์ อาร์เอส และ 718 สไปเดอร์ รวมทั้งแนวคิดในการดีไซน์เพื่อรองรับการขับขี่สไตล์สปอร์ตในทุกเส้นทาง มาพร้อมระบบควบคุมการทำงานของช่วงล่าง Porsche Active Suspension Management (PASM) ที่ติดตั้งเป็นมาตรฐานมากับตัวรถ ซึ่งได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษ โดยลดระดับความสูงลง 30 มิลลิเมตร เสริมด้วยระบบ Porsche Torque Vectoring (PTV) และเฟืองท้าย limited-slip differential รวมทั้ง ball-jointed suspension bearings ดุดันด้วยล้อ forged aluminium ขนาด 20 นิ้ว คุณลักษณะของระบบช่วงล่าง เน้นไปที่ความเฉียบคมแม่นยำของพวงมาลัย โดยยังคงไว้ซึ่งความปราดเปรียวคล่องตัว และการบังคับควบคุมที่เป็นธรรมชาติที่สุด ความสูงใต้ท้องรถ มุม camber ความกว้างฐานล้อ และเหล็กกันโคลง anti-roll bar สามารถปรับตั้งได้อย่างอิสระ เมื่อเปรียบเทียบกับปอร์เช่ 718 เคย์แมน จีทีโฟร์ อาร์เอส  ค่าความแข็งของสปริง และโช้คอัพ ได้รับการปรับแต่งให้ลดลงเพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวลผ่อนคลายยิ่งขึ้น โดยการ set-up ตัวรถจะเป็นไปตามบุคลิกเฉพาะตัวของรถเปิดประทุน

ห้องโดยสารเน้นประสิทธิภาพในการขับขี่

อารมณ์สปอร์ตคือสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดไปสู่บรรยากาศภายในห้องโดยสาร โดยมุ่งเน้นการลดฟังก์ชั่นที่ไม่จำเป็น และเพิ่มการใช้งานที่ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ พวงมาลัย RS sports หุ้มด้วยวัสดุ Race-Tex พร้อมมาร์คแถบสีเหลืองที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา เบาะนั่ง full bucket seats น้ำหนักเบาจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) ในลวดลาย carbon- weave รองรับสรีระของผู้ขับขี่ได้อย่างลงตัว ตัวเบาะหุ้มด้วยหนังแท้สีดำ ขณะที่ช่วงกลางของเบาะหุ้มด้วยวัสดุ Race-Tex ที่ให้ความแตกต่างของเฉดสีพื้นหลัง ซึ่งเลือกได้ทั้งสีเทา Arctic Grey หรือสีแดง Carmine Red ตราสัญลักษณ์ ‘Spyder RS’ ประทับบนหมอนรองศีรษะด้วยสีเดียวกับตัวเบาะ แผงคอนโซล และชิ้นงานตกแต่งภายในหุ้มด้วยหนังแท้ ทั้งนี้สามารถเลือกสีตัวถังภายนอกได้หลากหลาย ตั้งแต่สีปกติ 4 สี, สีเมทาลิก 3 สี รวมทั้งสีใหม่ล่าสุด Vanadium Grey Metallic และสีพิเศษ Arctic Grey, Shark Blue และ Ruby Star Neo อีกด้วย

ชุดแต่ง Weissach Package และนาฬิกา chronograph รุ่นพิเศษเข้าคู่กับตัวรถ

สามารถเลือกติดตั้งอุปกรณ์ชุดแต่งพิเศษ Weissach Package ให้กับ ปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส เพื่อลดน้ำหนักรวมของตัวรถให้เบาลงได้อีก ทั้งชุดแต่งจากล้อ forged magnesium ซึ่งสามารถสั่งเพิ่มเติมในกรณีที่ต้องการสมรรถนะสูงสุด ปลายท่อไอเสียสปอร์ตผลิตจากวัสดุ titanium  ได้ภาพลักษณ์ที่มาจากรับแรงบันดาลใจของปอร์เช่ 935 limited-edition  ในปี 2561 เสริมความโดดเด่นภายในห้องโดยสารที่สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนจาก anti-glare Race-Tex วัสดุหุ้มแผงคอนโซลหน้า ที่มีคุณสมบัติลดแสงสะท้อน พิเศษสุดเฉพาะผู้ที่ตัดสินใจเป็นเจ้าของปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส สามารถสั่งซื้อนาฬิกา chronograph จาก Porsche Design ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือคุณภาพสูงผลิตภายใต้การดูแลของปอร์เช่ จากโรงงาน Solothurn ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ออกแบบดีไซน์ให้เข้าคู่กับรูปแบบการตกแต่งตัวรถ ตัวเรือนนาฬิกาน้ำหนักเบาผลิตจากวัสดุ titanium แผงหน้าปัทม์ผลิตจากวัสดุ carbon และสายรัดข้อมือตัดเย็บจากหนังแท้แบบที่ใช้ในห้องโดยสาร  ชุด rotor บนฝาหลังสะท้อนภาพของลวดลายอันโดดเด่นที่ปรากฎบนล้ออัลลอยด์ของปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส

Andreas Preuninger หัวหน้าแผนก GT Cars กล่าวว่า “ปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส ยกระดับสุนทรียภาพแห่งการขับขี่รถสปอร์ตเปิดประทุนให้เหนือชั้นยิ่งขึ้น การผสมผสานอันเยี่ยมยอดระหว่างขุมพลังเครื่องยนต์จากรุ่น GT3, เกียร์อัตราทดที่สั้น, มิติตัวรถกะทัดรัด, น้ำหนักที่เบาเป็นพิเศษ, ระบบช่วงล่างที่รองรับการขับขี่สไตล์สปอร์ต รวมทั้งหลังคาที่เปิดรับบรรยากาศภายนอกได้อย่างเต็มที่ ส่งมอบความเร้าใจ และประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใครได้อย่างไร้ขีดจำกัด”

ปอร์เช่ 718 สไปเดอร์ อาร์เอส ใหม่ มีราคาจำหน่าย เริ่มต้นที่ 16,500,000 บาท มีกำหนดเปิดตัวครั้งแรกของโลกในเดือน มิถุนายน พร้อมวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี ยนตรกรรมสปอร์ตปอร์เช่ ณ โรงงาน Stuttgart-Zuffenhausen และหลังจากนั้นจะถูกนำไปเผยโฉมที่งาน Goodwood Festival of Speed ประเทศอังกฤษ

รายชื่อรถ รุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาลของแต่ละค่าย จากผู้ผลิต 62 แบรนด์ทั่วโลก

26 พฤษภาคม 2018 เวลา 14:41 น. | หมวดหมู่ NEWS, World’s News | โดย AE110 | อ่านไปแล้ว: 33646 ครั้งhttps://platform.twitter.com/widgets/tweet_button.2f70fb173b9000da126c79afe2098f02.th.html#dnt=false&id=twitter-widget-0&lang=th&original_referer=https%3A%2F%2Fwww.headlightmag.com%2Fnews-best-seller-from-each-of-62-global-car-makers%2F&size=m&text=%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%96%20%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%20%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%2062%20%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%20-%20HeadLight%20Magazine&time=1759728915363&type=share&url=https%3A%2F%2Fwww.headlightmag.com%2Fnews-best-seller-from-each-of-62-global-car-makers%2F&via=Headlightmag 

https://www.facebook.com/v2.0/plugins/share_button.php?app_id=634489746585708&channel=https%3A%2F%2Fstaticxx.facebook.com%2Fx%2Fconnect%2Fxd_arbiter%2F%3Fversion%3D46%23cb%3Dfa0682ccc545bdd52%26domain%3Dwww.headlightmag.com%26is_canvas%3Dfalse%26origin%3Dhttps%253A%252F%252Fwww.headlightmag.com%252Ff7a87794ed52aa80b%26relation%3Dparent.parent&container_width=35&href=https%3A%2F%2Fwww.headlightmag.com%2Fnews-best-seller-from-each-of-62-global-car-makers%2F&layout=button_count&locale=en_US&sdk=joey

เราได้รายงานยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ และหลายประเทศมาหลายคราแล้ว คราวนี้เราจะพาไปชม รายชื่อรถยนต์ รุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ของแต่ละบริษัท จากผู้ผลิตทั่วโลก 62 แบรนด์ ซึ่งทาง Autocar ได้รวมรวมเอาไว้ และจะมีรถยนต์รุ่นที่คุณคิดเอาไว้ อยู่ในโผนี้ด้วยหรือไม่นั้น ไปรับชมกันได้เลย

Autocar ระบุว่า การรวบรวมตัวเลขในรายงานชิ้นนี้ ได้รวบรวมยอดขายของรถยนต์รุ่นนั้นทุกเจเนเรชั่น ที่ออกขายทั่วโลก และยังรวมรวมยอดขายรถยนต์รุ่นเดียวกัน แต่ออกจำหน่ายในชื่ออื่น เข้าไว้ในกลุ่มเดียวกันด้วย ส่วนลำดับการนำเสนอนั้น จะเริ่มต้นจากรถยนต์รุ่นที่มียอดขายน้อยที่สุด ไปจนถึงรุ่นที่มีตัวเลขสูงที่สุด


Bugatti

Type 57 ปี 1934 – 1939 ยอดขายสะสม 685 คัน

ถึงยอดขายสะสมทั่วโลกของบรรพบุรุษ Bugatti Veyron และ Chiron อย่าง Bugatti Type 57 จะอยู่ที่หลักร้อย แต่นั่นถือว่าสูงกว่าตัวเลขที่หลานๆ ทำไว้ซะอีก เพราะยอดขายสะสมของ Bugatti Chiron ปี 2005 – 2015 อยู่ที่ 450 คัน เท่านั้น


TVR

Chimaera ปี 1993 – 2003 ยอดขายสะสม 6,500 คัน

รถสปอร์ตสัญชาติอังกฤษ ขุมพลัง V8 คันนี้เป็นใบเบิกทางความสำเร็จ ให้กับทายาทอย่าง Cerbera และ Tuscan เพราะได้ช่วยตุนทุนพัฒนาเอาไว้ให้นั่นเอง นอกจากนั้น รถสปอร์ตคันนี้ยังมียอดขายสะสมสูงกว่า ยอดขายสะสมรถยนต์รุ่นอื่นทุกรุ่นที่ TVR ทำขายมานานถึง 25 ปี เสียอีก


Aston Martin

DB7 ปี 1994 – 2004 ยอดขายสะสม 6,640 คัน

อีกหนึ่งสปอร์ตเมืองผู้ดีที่ผู้คนขนานนามว่า เป็นรถยนต์รุ่นที่ช่วยกู้วิกฤตบริษัทกับ Aston Martin DB7 ที่มาพร้อมกับขุมพลัง 6 สูบ 3.2 ลิตร Supercharger และตัวแรงในรหัส Vantage กับขุมพลัง V12 6.0 ลิตร จาก Ford


De Tomaso

Pantera ปี 1971 – 1991 ยอดขายสะสม 7,260 คัน

สปอร์ตชื่อแปลกกับ De Tomaso Pantera สร้างยอดขายหลายพันคัน ด้วยการลากขายนานถึง 2 ทศวรรษ ทั้งยังดูแปลก และแรงด้วยเครื่องยนต์ V8 จาก Ford ที่ผ่านการปรับจูนมา ส่งผลให้เป็นนิยมในสหรัฐฯ และคนดังที่มีกับเขาคันนึงก็คือ Elvis Presley


Morgan

4/4 ปี 1936 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 10,000 คัน

ถ้าคุณคิดว่า การที่ผู้ผลิตขายรถยนต์รุ่นเดิมนานเป็น 10 ปี โดยไม่ออกรุ่นใหม่ คือการลากขาย แสดงว่าคุณยังไม่รู้จัก Morgan 4/4 ที่ออกขายตั้งแต่ปี 1936 จนถึงปัจจุบัน !? ส่วนสาเหตุที่ขายดิบขายดี เพราะหน้าตา สมรรถนะการขับขี่ และประโยชน์ใช้สอย


Alpine

A310 ปี 1971 – 1984 ยอดขายสะสม 11,616 คัน

Alpine A310 รุ่นปีแรกๆ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ Douvrin V6 จากบริษัทแม่อย่าง Renault ส่งผลให้ยอดขายกระเตื้องขึ้น ทั้งยังคว้าชัยจากการแข่งขันทางฝุ่นด้วย


Lamborghini

Gallardo ปี 2004 – 2013 ยอดขายสะสม 14,022 คัน

Lamborghini Gallardo เป็นกระทิงดุที่มีราคาจับต้องได้ง่ายที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับสมาชิกร่วมตระกูล ทั้งยังมีให้เลือกทั้ง ตัวถังหลังคาแข็ง Coupe และ เปิดประทุน Spider รวมไปถึงรุ่นพิเศษอีกชุดใหญ่


Ferrari

F430 ปี 2004 – 2009 ยอดขายสะสม 17,499 คัน

ม้าลำพอง รถสปอร์ตสีแดงสดที่ไม่น่าหาง่าย มี Ferrari F430 เป็นรุ่นที่น่าจะหาเจอบนท้องถนนได้มากที่สุด มีให้เลือกทั้ง ตัวถังหลังคาแข็ง Coupe และ เปิดประทุน Spider เช่นกัน แต่อย่างหลังมีส่วนแบ่งทางการตลาด 1 ใน 3 จาก ยอดขายสะสมทั้งหมด


Lotus

Elise ปี 1996 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 20,000 คัน

เป็นรถยนต์อีกรุ่นหนึ่ง ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ฮีโร่มาช่วยกู้วิกฤตทางการเงินของบริษัท ทั้งยังสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค ในเรื่องของรถยนต์น้ำหนักเบา ที่ให้สมรรถนะดี และขับขี่แม่นยำ


Rolls-Royce

Silver Shadow ปี 1965 – 1980 ยอดขายสะสม 29,030 คัน

Rolls-Royce Silver Shadow เปิดตัวด้วยการปฏิวัติการออกแบบของค่าย และประสบความสำเร็จจนสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ ทั้งยังเป็นผู้นำในการออกแบบในยุคนั้น แม้ว่าตลอดช่วงเวลาที่อัครยานยนต์คันนี้จะออกจำหน่าย จะมีวิกฤตน้ำมันถึง 2 ครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รถยนต์รุ่นนี้ เสียตำแหน่ง Rolls-Royce รุ่นที่ขายดีที่สุดไป


Maserati

Biturbo ปี 1981 – 1994 ยอดขายสะสม 36,373 คัน

Maserati Biturbo ถือเป็นรุ่นเริ่มต้นของค่ายตรีศูล ทั้งยังช่วยขับเคลื่อนบริษัทให้อยู่รอดในยุค 1980 มีให้เลือกทั้งตัวถัง 4 ประตู ซึ่งเป็นรุ่นขายดี, 2 ประตู Coupe และ เปิดประทุน ที่ตอนนี้คนเริ่มตามหากันแล้ว


Bentley

Continental GT ปี 2003 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 63,209 คัน

ปีก่อนที่ Bentley Continental GT จะเปิดตัว บริษัทมียอดขายทั้งปีเพียง 800 คัน เท่านั้น และการเปิดตัวของรถยนต์คันนี้ ยังสร้าง segment ใหม่ในตลาดอีกด้วย ส่วนรุ่นเปิดประทุนนั้นตามมาในปี 2006 และตอนนี้ ก็ใกล้เวลาที่ทายาทรุ่นใหม่จะเปิดตัวแล้ว


Tesla

Model S ปี 2012 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 219,069 คัน

ถึงบริษัทจะมีปัญหาผลิตรถยนต์ไม่ทันบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคของการผลิต Tesla Model S ให้ทะลุตัวเลข 200,000 คัน ไปได้ โดยค่าเฉลี่ยการผลิตทั่วโลกต่อไตรมาส ทะลุหลัก 12,000 คัน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนช่วงเวลาที่ผลิตได้สูงสุดคือ ไตรมาสสุดท้ายของปี 2015 ที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ได้ 17,252 คัน


Rover

800 ปี 1986 – 1999 ยอดขายสะสม 317,126 คัน

Rover SD1 รุ่นก่อนหน้า ประสบปัญหาเรื่องคุณภาพ จนเป็นหนึ่งในสาเหตุให้ Rover 800 มีพื้นฐานมาจาก Honda Legend แทน ในเมื่อจุดอ่อนได้รับการปรับปรุง ยอดขายจึงทะลุหลัก 300,000 คัน ไปได้ ทั้งยังตัวถัง 2 ประตู Coupe ให้เลือก และหายากในทุกวันนี้ด้วย


Triumph

Herald ปี 1959 – 1970 ยอดขายสะสม 464,238 คัน

เปิดตัวในปีเดียวกับ MINI เจาะตลาดด้วยเรื่องของ ประโยชน์ใช้สอยที่มากกว่า และมีตัวถังให้เลือกหลายรูปแบบทั้ง 4 ประตู Saloon, 2 ประตู Coupe, 5 ประตู Estate และ เปิดประทุน Convertible ส่วนรุ่นที่ขายดีที่สุดคือ 1200 Saloon กวาดยอดขายไปทั้งหมด 201,142 คัน


MG

MGB ปี 1962 – 1980 ยอดขายสะสม 513,272 คัน

ด้วยยอดขายสะสม ทะลุครึ่งล้านคัน MG MGB จึงครองตำแหน่งรถสปอร์ตที่ขายดีที่สุด นานหลายปี ทั้งยังมี MGB เป็นจำนวนมากที่ยังเหลือรอดจนถึงปัจจุบัน แม้ตำนานของมันจะปิดฉากลงไป พร้อมกับการปิดตัวของโรงงานในปี 1980


Lancia

Ypsilon ปี 1996 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 900,000 คัน

แบรนด์รถยนต์ที่ล้มหายตายจากไปในหลายตลาด และหลายคนเริ่มลืมเลือนไปแล้วกับ Lancia และแม้รถยนต์คันน้อยคันนี้ จะมียอดขายสะสมเฉียดล้านคัน แต่นั่นไม่ได้การันตีว่า แบรนด์นี้จะอยู่รอดปลอดภัย เพราะ Lancia Ypsilon นั้นออกจำหน่ายในชื่อ Chrysler ด้วย จึงเป็นไปได้ว่าซักวัน Lancia อาจหายไปตลอดกาล


Porsche

911 ปี 1963 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 1,000,000 คัน

Porsche 911 ผลิตครบ 1,000,000 คัน ตั้งแต่ต้นปี 2017 ซึ่งคันดังกล่าวเป็นตัวถัง 991 สีเขียว Irish Green ส่วนสาเหตุที่เจ้าชายกบ มียอดขายสะสมทะลุล้านคัน เพราะมีทายาทมาสานต่อตำนานอย่างต่อเนื่อง และขึ้นชื่อเป็นรถสปอร์ต ที่ใช้งานจริงได้ทุกวัน


Jaguar

XJ ปี 1968 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 1,000,000 คัน

Jaguar XJ รุ่นแรกได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก และมีรุ่นที่ใช้ขุมพลัง V12 5.3 ลิตร ให้เลือกด้วย ส่วนรุ่นที่ออกจำหน่ายเป็นเวลาสั้นๆ แค่ 3 ปี อย่าง X300 สามารถกวาดยอดขายไปได้ 86,909 คัน


Alfa Romeo

Alfasud ปี 1972 – 1989 ยอดขายสะสม 1,002,000 คัน

Alfa Romeo Alfasud คู่แข่งรถยนต์ Hatchback ขับเคลื่อนล้อหน้าของ VW Golf มาพร้อมกับขุมพลัง 95 แรงม้า ในรุ่น Veloce และ 117 แรงม้า จากเครื่องยนต์ 4 สูบนอนยัน 1.7 ลิตร ในรุ่น Sprint Coupe ทำให้เป็นที่นิยม แม้จะมีชื่อเสียในเรื่องงานประกอบ และกันสนิมคุณภาพต่ำ


Saab

900 ปี 1978 – 1998 ยอดขายสะสม 1,200,000 คัน

ด้วยความที่ Saab สร้างรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์ทั้งในเรื่องของการออกแบบ สมรรถนะ และความปลอดภัย ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ภักดีต่อแบรนด์ จนถึงจุดจบ โดย Saab 900 รุ่นแรก กวาดยอดขายไปราว 90,000 คัน ส่วนรุ่นถัดมา สร้างยอดขายไว้ 273,568 คัน และมีตัวเลขที่น่าสนใจว่า เกือบ 25% ของ Saab 900 ที่ออกจำหน่ายไปคือรุ่น Turbo


Chrysler

Newport ปี 1961 – 1991 ยอดขายสะสม 1,900,000 คัน

Chrysler Newport เป็นรถยนต์ที่หลายคนนึกถึงเป็นรุ่นแรก เมื่อนึกถึงยี่ห้อนี้ เนื่องจากวางตำแหน่งไว้ให้เป็น Saloon และ Estate ในราคาจับต้องได้ ทั้งยังออกแบบมาอย่างสวยงาม โดยเฉพาะรุ่นที่ผลิตขึ้นในช่วงกลางยุค 1950 แต่ทายาทในช่วงปลายปี 1970 กลับทำผลงานได้ไม่ดีเท่าใดนัก


Land Rover

Defender ปี 1948 – 2015 ยอดขายสะสม 2,000,000 คัน

ตลอดเวลาที่ Land Rover Defender หรือ Series ออกจำหน่ายเป็นเวลา 67 ปี รถยนต์รุ่นนี้มีเครื่องยนต์ และรุ่นย่อยมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคันมีเหมือนกันคือ การเป็นรถยนต์ที่ไปได้ทุกที่ ในรูปแบบที่รถยนต์คันอื่นทำไม่ได้


Smart

Fortwo ปี 1998 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 2,000,000 คัน

หนึ่งในรถยนต์ไม่กี่รุ่นที่กล้าปฏิวัติตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก กับความยาวเพียง 2,500 มิลลิเมตร (2.5 เมตร) ให้ผู้ใช้งานนำ Smart Fortwo ไปจอดตรงไหนก็ได้ ส่วนขุมพลังเป็น เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 599 ซีซี และมีรายงานด้วยว่าแรกเริ่ม ผู้บริหารคิดจะให้รถยนต์จิ๋วคันนี้ ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าหรือ Hybrid


Saturn

S-Series ปี 1991 – 2002 ยอดขายสะสม 2,210,000 คัน

รถยนต์จากบริษัทในเครือของ General Motors ที่สร้างจุดเด่นด้วยการใช้ชิ้นส่วนตัวถังพลาสติก มาครอบบน platform แบบ space-frame ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง 1.9 ลิตร และในปี 1999 มีการผลิต Saturn S-Series พวงมาลัยขวา จำนวน 450 คัน ให้บุรุษไปรษณีย์ชาวสหรัฐฯ ไว้ใช้ขับส่งของ โดยลงรถฝั่งเดียวกับทางเดินอย่างง่ายดาย


Lincoln

Town Car ปี 1981 – 2011 ยอดขายสะสม 2,450,000 คัน

Lincoln Town Car มีสัดส่วนใหญ่ยาว และตกแต่งภายในอย่างเต็มรูปแบบ ในรุ่นแรกๆ ยังมีของเล่นล้ำสมัยในยุคนั้นทั้งหน้าปัดดิจิตอล และระบบ keypad entry system แต่ในรุ่นหลังกลับออกแบบให้ดูย้อนยุค นอกจากนั้น รถยนต์รุ่นนี้ยังถูกนำไปดัดแปลงเป็น Limousine อย่างแพร่หลายด้วย


Holden

Commodore ปี 1978 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 2,500,000 คัน

รถยนต์สัญชาติออสเตรเลีย ที่ใช้ platform ของรถยนต์ขนาดใหญ่จาก General Motors แต่นำมาออกแบบใหม่เอง พร้อมใช้เครื่องยนต์ตัวใหม่ด้วย ทำให้ขึ้นชื่อในเรื่องของขุมพลัง V8 ที่เป็นที่นิยมของรถแข่งเมืองจิงโจ้ และมีศัตรูตัวฉกาจเป็น Ford Falcon


Dodge

Coronet ปี 1949 – 1976 ยอดขายสะสม 2,500,000 คัน

Dodge Coronet เป็นรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์การออกแบบในทุกรุ่น โดยเฉพาะทายาทรุ่นที่ 4 ออกจำหน่ายในปี 1957 – 1959 ที่มีคิ้วโครเมี่ยมอยู่เหนือไฟหน้าทรงกลม ดูเหมือนคิ้วคนไม่น้อย นอกจากนั้น ยังมีตัวถังให้เลือกหลายแบบทั้ง Saloon, Coupe และ Convertible


Lexus

RX ปี 1998 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 2,750,000 คัน

Lexus RX เป็นหนึ่งในรถยนต์ SUV ไม่กี่รุ่น ที่ทำตลาดอย่างต่อเนื่องมายาวนานที่สุด มาพร้อมกับขุมพลังทางเลือกอย่าง Hybrid ที่กวาดยอดขาย 1 ใน 3 ของรถยนต์ Hybrid ทุกรุ่นที่ Lexus จำหน่ายในแต่ละปี ส่วนกลุ่มลูกค้าหลัก เห็นจะเป็นชาวสหรัฐฯ


Jeep

Wrangler ปี 1987 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 2,800,000 คัน

Jeep Wrangler มียอดขายสะสมสูสีกับ Cherokee และเริ่มออกจำหน่ายในปี 1987 เพื่อมาแทนที่ CJ ก่อนที่จะรับการตอบรับจากขาลุย ที่ชื่นชอบรถยนต์รุ่นนี้ ซึ่งมีเอกลักษณ์ในเรื่องของ หลังคาเปิดประทุน และพร้อมลุยไปทุกแห่งหน


Volvo

200 – Series ปี 1974 – 1993 ยอดขายสะสม 2,860,000 คัน

Volvo 200 – Series มีให้เลือกทั้งตัวถัง Saloon และ Estate จึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคตลอด 19 ปี ที่ออกจำหน่าย ส่วนรุ่นที่หายากที่สุดคือ ตัวถัง Coupe ในชื่อ 262C มาพร้อมกับขุมพลัง V6 สร้างยอดขายไป 5,622 คัน และส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ


Mercury

Grand Marquis ปี 1975 – 2011 ยอดขายสะสม 2,960,000 คัน

Mercury Grand Marquis คือความพยายามของ Ford ที่จะเจาะตลาดรถยนต์ Mid-Size ในสหรัฐฯ เพื่อต่อสู้กับ Buick Le Sabre โดยมีให้เลือกทั้งตัวถัง Saloon และ Coupe ส่วนขุมพลังยึดติดกับเครื่องยนต์ V8 ตลอดอายุการทำตลาด ก่อนที่จะถึงจุดจบไปพร้อมกับแบรนด์ในปี 2011


Plymouth

Fury ปี 1956 – 1978 ยอดขายสะสม 3,680,000 คัน

Plymouth Fury มีจุดกำเนิดจากการที่บริษัทนำ Belvedere มาตกแต่งใหม่ด้วยการเสริมครีบหางปลา และตกแต่งโครเมี่ยมรอบคัน ในช่วงปลายปี 1950 มีให้เลือกทั้งตัวถัง Saloon, Coupe, Wagon และ Convertible ก่อนที่จะถูกลดขนาดเป็นรถยนต์ Mid-Size ในทายาทรุ่นสุดท้าย อันเป็นโฉมที่ 7 ส่วนแบรนด์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Chrysler ได้ปิดฉากลงในปี 2001


Nissan

Qashqai ปี 2006 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 3,700,000 คัน

Nissan มีรถยนต์หลายรุ่นที่มียอดขายสะสม หลักหลายล้านคัน แต่ Nissan Qashqai คือรุ่นที่มียอดขายสะสมสูงที่สุด โดยมีการประเมินเอาไว้ว่า มีการผลิตรถยนต์รุ่นนี้ขึ้น 1 คัน ในทุก 62 วินาที


Citroen

2CV ปี 2006 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 3,700,000 คัน

Citroen 2CV เป็นรถยนต์ยอดนิยมตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลก และส่วนใหญ่ผลิตขึ้นที่โรงงานในฝรั่งเศส แต่มีอยู่ 672 คัน ที่ผลิตขึ้นที่อังกฤษ และในช่วงปีท้ายๆ นั้น จะผลิตขึ้นจากโรงงานในโปรตุเกส


Cadillac

de Ville ปี 1959 – 2005 ยอดขายสะสม 3,900,000 คัน

Cadillac de Ville เป็นที่นิยมมากในบ้านเกิดของตัวเอง และยอดขายสะสมส่วนใหญ่ ล้วนมาจากตลาดดังกล่าว โดยในรุ่นแรกได้เปิดตัวมากับความหรูหรา และครีบปลาด้านท้ายขนาดใหญ่


Hindustan

Ambassador ปี 1958 – 2014 ยอดขายสะสม 4,000,000 คัน

Hindustan Ambassador มีพื้นฐานมาจากรถยนต์ สัญชาติอังกฤษอย่าง Morris Oxford Series 3 ทั้งยังมีงานวิศวกรรมที่เรียบง่าย ทำให้รถยนต์รุ่นนี้ถูกนำไปทำเป็นแท็กซี่ในประเทศอินเดีย และยังพบเห็นได้ทั่วไป จนถึงทุกวันนี้ ในช่วงยุค 1990 มีการส่งรถยนต์รุ่นนี้ออกไปยังประเทศอังกฤษด้วย และได้ยุติลงหลังมีกฎหมายควบคุมความปลอดภัย และมลพิษที่เข้มงวดขึ้น


Mazda

3 ปี 2003 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 4,000,000 คัน

แม้ Mazda MX-5 จะเป็นหนึ่งในรถสปอร์ตที่ขายดีที่สุดในโลก แต่ Mazda 3 กลับเป็นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดของค่าย ซึ่งมาแทนที่ 323 โดยมีจุดเด่นในเรื่องของการขับขี่ และการออกแบบ ที่เหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน


Pontiac

Grand Am ปี 1973 – 2006 ยอดขายสะสม 4,000,000 คัน

ถึงคนจะรู้จัก Pontiac Trans Am มากกว่า แต่ Pontiac Grand Am คือรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดของค่าย ในรุ่นแรกมีเครื่องยนต์ V8 5.7 ลิตร ให้เลือกด้วย แต่รุ่นสุดท้ายกลับมาพร้อมกับ เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.2 ลิตร ส่วนแบรนด์ Pontiac ได้ถึงกาลอวสานไปในปี 2010


Subaru

Legacy ปี 1988 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 4,500,000 คัน

Subaru Legacy มีให้เลือกทั้งตัวถัง Saloon และ Estate โดยอย่างหลังเป็นรุ่นที่ขายดีกว่า ทั้งยังเป็นที่นิยมในสหรัฐฯ และมียอดขายทั่วโลก โดยเฉลี่ยปีละ 300,000 คัน


Suzuki

Wagon R ปี 1993 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 5,000,000 คัน

Suzuki Wagon R เป็นหนึ่งในรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นขายดีที่สุด หลังมียอดขายแตะระดับ 3,000,000 คัน ในปี 2008 โดยวางตำแหน่งให้เป็นรถยนต์ K-Car และในตอนหลัง มีขุมพลัง Hybrid ให้เลือกด้วย


Kia

Sportage ปี 1993 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 5,000,000 คัน

Kia Sportage รุ่นแรกไม่ประสบความสำเร็จ ตามที่หวังไว้ เนื่องจากขับขี่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ต่อมา Hyundai ได้เข้าซื้อบริษัท และนำชื่อ Kia Sportage มาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งในปี 2004 จนจุดกระแส SUV ติด ด้วยหน้าตาที่ดูดี นำไปสู่การเปิดตัวรุ่นปี 2010 ที่สานต่อความสำเร็จได้อย่างลื่นไหล


Buick

La Sabre ปี 1959 – 2005 ยอดขายสะสม 6,000,000 คัน

ในตอนที่ Buick Le Sabre เปิดตัวใหม่ๆ นั้น รถยนต์รุ่นนี้ถูกจับตามองว่า เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ Cadillac เลยทีเดียว และยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในยุค 1960 ก่อนที่จะลดความนิยมลง ตั้งแต่หลังยุค 1970 เป็นต้นมา


Skoda

Octavia ปี 1998 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 6,000,000 คัน

Skoda Octavia เป็นรถยนต์ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ในหลายประเทศทางยุโรป และยังติดอันดับรถยนต์ขายดี 10 อันดับแรก ในหลายตลาดด้วย ในปี 2017 Skoda Octavia มียอดขาย 1 ใน 3 ของยอดขายทั้งบริษัท ด้วยตัวเลข 418,800 คัน จากรถยนต์ Skoda ทุกรุ่นที่ออกขายเป็นจำนวน 1,200,000 คัน


Seat

Ibiza ปี 1984 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 6,000,000 คัน

Seat Ibiza เปิดตัวเป็นครั้งแรกด้วยการชูจุดเด่นเรื่องดีไซน์ ที่มี Porsche, Karmann และ ItalDesign มาช่วยกันออกแบบ และกวาดยอดขายไปสูงถึง 1,300,000 คัน ก่อนที่ VW จะเข้าครอบครองกิจการ และส่ง Seat Ibiza รุ่นต่อมาที่มีพื้นฐานจาก Polo ซึ่งประสบความสำเร็จเช่นเคย สำหรับยอดขายในปี 2017 อยู่ที่ 152,300 คัน


MINI

Hatch ปี 1959 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 6,100,000 คัน

ต้นตำรับรถยนต์ขนาดเล็ก ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในตัวถัง 3 ประตู พร้อมกวาดยอดขายไป 3,750,000 คัน ก่อนที่ BMW จะนำแบรนด์นี้มาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งในปี 2001 และประสบความสำเร็จด้วยจุดเด่น ในเรื่องของการขับขี่ ทั้งยังมีตัวแรงในรหัส Cooper ให้เลือกเหมือน MINI ต้นตำรับ


Fiat

Uno ปี 1983 – 1994 ยอดขายสะสม 6,200,000 คัน

Fiat Uno มีชื่อรุ่นมาจากที่ปัดน้ำฝนกระจกหน้า ที่มีเพียงอันเดียว ทั้งยังมีรุ่น Turbo ให้เลือก ซึ่งถือเป็นรถเล็กที่มีสมรรถนะ ไม่น้อยหน้าใครในยุคนั้น


Audi

A4 ปี 1998 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 6,600,000 คัน

Audi A4 ถูกวางตำแหน่งไว้ให้เป็นคู่แข่งของ BMW 3-Series ซึ่งถือว่าน่ากลัวไม่น้อยเลย แต่กระนั้นเจ้า 4 ห่วงคันนี้ กลับสร้างยอดขายได้สูงขึ้นทุกปี และยังขึ้นชื่อในเรื่องของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro ด้วย


Mitsubishi

Lancer ปี 1973 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 7,300,000 คัน

Mitsubishi Lancer มีให้เลือกทั้งตัวถัง Sedan, Hatchback และ Estate แต่แบบแรกคือรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทั้งยังมีตัวแรงในรหัส Evolution ที่สร้างตำนานไว้บนการแข่งขันทางฝุ่นด้วย ในปัจจุบัน รถยนต์รุ่นนี้ยังทำตลาดอยู่ในจีน แม้ว่าจะห่างหายไปจากหลายตลาดแล้ว


Peugeot

206 ปี 1998 – 2013 ยอดขายสะสม 8,400,000 คัน

Peugeot 206 ได้นำชื่อเสียงของ 205 มาสร้างตำนานบทใหม่ ด้วยตัวถังที่มีให้เลือกทั้งแบบ 3 และ 5 ประตู รวมไปถึง Estate และเปิดประทุนในชื่อ CC พร้อมทางเลือกเครื่องยนต์หลายขนาด แม้ 207 จะมาแทนที่ในตลาดยุโรปในปี 2006 แต่ 206 ยังออกจำหน่ายต่อไปอีก 7 ปี ในจีนและอเมริกาใต้ ทั้งยังเป็นที่นิยมเสียด้วย


Chevrolet

Malibu ปี 1964 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 10,000,000 คัน

Chevrolet Malibu ถูกวางตำแหน่งเอาไว้ให้เป็นรถยนต์ Mid-Size ตลอดมา ทั้งยังมีขุมพลังที่แรงเทียบเท่ากับ Muscle Car ให้เลือกในยุค 1960 ด้วย แต่ในปัจจุบัน ได้กลายร่างเป็นรถยนต์ Hybrid ไปแล้ว


Mercedes-Benz

C-Class ปี 1994 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 10,200,000 คัน

Mercedes-Benz C-Class ได้สานต่อความสำเร็จของ รถเล็กค่ายดาวสามแฉกอย่าง 190E พร้อมตั้งเป้าท้ารบกับ BMW 3-Series โดยมีจุดขายในเรื่องของความสะดวกสบาย และมียอดขายสะสมไม่ต่างจากคู่แข่งตัวฉกาจมากนัก แม้ว่าจะทำตลาดช้ากว่าเกือบ 20 ปี เลยทีเดียว


Oldsmobile

Cutlass ปี 1961 – 1999 ยอดขายสะสม 11,900,000 คัน

Oldsmobile Cutlass ยุคแรกขึ้นชื่อทั้งในเรื่องการออกแบบ และการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ V8 3.5 ลิตร น้ำหนักเบา ที่ Rover และ Land Rover ยังหยิบยืมไปใช้ ในรุ่นหลังยังคงให้ความสำคัญเรื่องการขับขี่ แต่หน้าตาดูจะไม่โดดเด่นเท่าเดิม ส่วนแบรนด์ Oldsmobile ได้ถึงจุดจบไปในเดือนเมษายน 2004


Hyundai

Elantra ปี 1990 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 12,800,000 คัน

Hyundai Elantra เป็นที่นิยมในหลายตลาด ด้วยจุดเด่นเรื่องคุณภาพเชื่อถือได้ ในราคาที่จับต้องได้ ทั้งยังออกจำหน่ายในบางตลาดด้วยชื่อ i40 ด้วย


BMW

3-Series ปี 1975 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 12,900,000 คัน

แม้จะโดนค่ายดาวสามแฉก และ 4 ห่วง จองกฐินรุมกินโต๊ะ แต่ BMW 3-Series ก็ไม่หวั่น สร้างยอดขายสะสมไว้มากกว่าคู่แข่งทั้งคู่ โดยมีตัวถังให้เลือกหลายรูปแบบทั้ง Saloon, Estate, Coupe และ Convertible แม้ว่าในตอนหลัง จะถูกซอยรุ่นย่อยออกไปเป็น 4-Series ก็ตามที


Renault

Clio ปี 1991 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 14,200,000 คัน

Renault Clio ออกจำหน่ายทั่วโลก พร้อมทางเลือกรุ่นย่อย ที่แตกต่างกันในแต่ละตลาด ส่วนทายาทรุ่นต่อไป จะมาสานต่อความสำเร็จในปี 2019


Honda

Civic ปี 1972 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 16,500,000 คัน

Honda Civic มีตัวถังให้เลือกหลายแบบเช่นกัน และขึ้นชื่อในเรื่องของความคุ้มค่า, มีรุ่นย่อยเยอะ และประหยัดน้ำมัน ทั้งยังมีตัวแรงในรหัส Type R ให้เลือก ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับรถยนต์รุ่นนี้ ได้ไม่น้อยเลย


Lada

Riva ปี 1980 – 2015 ยอดขายสะสม 18,000,000 คัน

Lada Riva ออกจำหน่ายในชื่ออื่นอย่าง VAZ 2105 และ Nova ด้วย โดยมีพื้นฐานมาจาก Fiat 124 ที่เปิดตัวในปี 1966 รถยนต์รุ่นนี้เป็นที่นิยม เพราะสามารถตอบโจทย์ในเรื่องของราคา ประหยัดน้ำมัน และทนมือทนเท้า เหมาะแก่การไปใช้งานบนหนทางที่ทุรกันดาร


Opel/ Vauxhall

Corsa ปี 1982 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 18,000,000 คัน

Opel Corsa เปิดตัวเป็นครั้งแรกในยุโรป ก่อนที่จะมาทำตลาดในอังกฤษ และประเทศอื่น ทั้งยังใช้ชื่อ Nova ในบางตลาดด้วย ปัจจุบัน รถยนต์รุ่นนี้ ครองตำแหน่งรถยนต์ขายดี 3 อันดับแรก ในหลายประเทศทางยุโรป


Volkswagen

Golf ปี 1974 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 34,000,000 คัน

หลายคนอาจจะนึกว่าต้องเป็นรถเต่าแน่ๆ ที่คว้าตำแหน่งนี้ไปครอง แต่ VW Beetle รุ่นแรก มียอดขายสะสม 21,500,000 คัน ซึ่ง VW Golf ได้ทำลายสถิติดังกล่าวไปตั้งแต่ปี 2013 แล้ว ด้วยการผลิตคันที่ 30,000,000 ขึ้นมา โดยคันดังกล่าวเป็นรุ่น 1.6 TDI สีน้ำเงิน และในตอนนี้ใกล้เวลาที่ โฉมที่ 8 จะมารับช่วงต่อแล้ว


Ford

F-Series ปี 1948 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 38,000,000 คัน

Ford F-Series มีส่วนช่วยขับเคลื่อนสหรัฐฯ ในยุคหลังสงครามโลก ในฐานะรถกระบะราคาถูก ที่มีรุ่นย่อยให้เลือกหลายรูปแบบ พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งาน จนมีฐานเสียงอุ่นหนาฝาคั่ง คอยอุดหนุนมาจนถึงทุกวันนี้


Toyota

Corolla ปี 1966 – ปัจจุบัน ยอดขายสะสม 44,300,000 คัน

Corolla ไม่ใช่รถที่ขายดีที่สุดของ Toyota อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังครองแชมป์ รถยนต์ขายดีที่สุดในโลกด้วย ทั้งยังเอาชนะ Volkswagen Beetle ได้ หลังเริ่มผลิตเพียง 8 ปี โดยมีการประเมินเอาไว้ว่า ทุก 15 วินาที จะมี Toyota Corolla เกิดใหม่ 1 คัน

Previous Post

N0410281 วาสนาผ วหมอ EP2 part 2

Next Post

N0410282 วาสนาผ วหมอ EP3 part 2

Next Post
N0410282 วาสนาผ วหมอ EP3 part 2

N0410282 วาสนาผ วหมอ EP3 part 2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N0411563 หลอยผ วมาต วอ าย EP1 part 2
  • N0411126 จะได ณค าและความลำบากในการใช เง part 2
  • N0411120 การด แลต วเองหล งคลอด part 2
  • N0411125 องการคนร กเม อตอนท กคนไม องการ part 2
  • N0411124 ความค ดครอบคร วผ วเต าล านป part 2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • July 2025
  • June 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.