ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
รวม 10 รุ่นของ BMW ที่ดีที่สุดตลอดกาล
ประสบการณ์ใช้รถ | 18 ก.ย 2561
แชร์ 5
BMW ถือว่าเป็นรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากและเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่ประสบความสำเร็จที่สุด เวลาเปลี่ยนรสนิยมของคนเราก็เปลี่ยนเช่นกันเพราะฉะนั้นทางค่ายจึงพยายามสร้างทางเลือกใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องขึ้นมา แต่วันนี้เราจะมาดูกันว่ารถยนต์รุ่นไหนของ BMW ที่ได้ถูกยกย่องว่าเป็นรุ่นที่ดีที่สุดกันบ้าง ไปชมค่ะ

รวม 10 รุ่นของ BMW ที่ดีที่สุดตลอดกาล
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาว Chobrod วันนี้เดี๊ยนก็นำรถยนต์ 10 อันดับที่ดีที่สุดของค่ายรถยนต์แบรนด์ดังอย่าง BMW มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน เพราะว่าปีหลังๆ เขาก็ได้มีการปรับและพัฒนารถยนต์ให้เข้ากับรสนิยมของคนในยุคสมัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านนวัตกรรมเอย เทคโนโลยีเอย แต่รุ่นที่เขาออกมาก็ปังทุกรุ่นจริงๆ เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ ว่ารุ่นไหนบ้างที่เป็นรุ่นที่ดีที่สุดของค่าย BMW ตั้งแต่ช่วงเวลาในปี 1916 หรือเมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา ไปดูกันซิว่ามีรุ่นไหนถูกใจเพื่อนๆ ชาว Chobrod กันบ้าง

BMW M1 (E26)
1. BMW M1 (E26)
รุนนี้เป็นรุ่นที่ BMW และ Lamborgini ได้ตกลงร่วมใจสร้างซุปเปอร์คาร์ออกสู่ตลาดเพื่อให้สอดคล้องกับกฎของ Homologationในมอเตอร์สปอร์ต แต่ฝ่าย Lamborghini ดันไม่ทิ้งกันกลางคันซะอย่างงั้นทำให้ BMW ต้องเดินหน้าต่ออยู่ฝ่ายเดียว และก็ได้สร้างรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางที่เป็นตำนานขึ้นมา ในระหว่างปี 1978 – 1981 นั้นมียอดขายจำนวน 453 คันด้วยกัน รถรุ่นนี้ถูกออกแบบโดย Giorgetto Giugiro และเป็นรถที่ถูกนำไปแข่งในรายการ M1 Procar Championship ส่วนเครื่องยนต์เป็นบล็อก 6 สูบเรียง 3,500 ซีซี
ดูเพิ่มเติม
รถ BMW ราคา
BMW เผย Feature ใหม่กับผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะในรถของคุณ

BMW 507
2. BMW 507
รถสปอร์ตเปิดประทุนในแบบ Roadster สุดคลาสสิคที่ผลิตขึ้นในระหว่างปี 1956 – 1959 และเป็นรุ่นที่ถูกใช้เปิดตลาดอเมริกันอีกด้วย โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบสปอร์ตไสตล์นี้ แต่ด้วยความที่ราคามันค่อนข้างสูงเกินไปจึงทำให้รุ่นนี้มียอดจำหน่ายเพียง 252 คันเท่านั้น หลังจากนั้นในเวลาต่อมารถยนต์รุ่นนี้คือรถยนต์สุดคลาสสิคที่เป็น Rare Item ของบุคคลที่ชอบรถอีกหนึ่งรุ่นเลยล่ะ

BMW X5 (E53)
3. BMW X5 (E53)
ปี 1999 – 2006 เป็นช่วงที่ตลาด SUV กำลังเบ่งบานในตลาดสหรัฐอเมริกา ทางค่าย BMW ก็ต้องปรับเปลี่ยนรถยนต์ให้เข้ากับความต้องการของตลาดมากขึ้น และนี่ก็เป็นที่มาของ X5 ซึ่งเป็นรุ่น SUV รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของ BMW เลยก็ว่าได้ค่ะ ทั้งนี้ยังพัฒนาให้ตอบโจทย์กับความต้องการของคนในสหรัฐอเมริกามากขึ้นอีกด้วย

BMW i8
4. BMW i8
ทางค่าย BMW เริ่มที่จะเจาะตลาดสู่รถยนต์พลังงานทางเลือกด้วยการเปิดตัวซับแบรนด์ขึ้นมาได้แก่ I และ I8 ถือว่าเป็น 1 ใน 2 รถยนต์ที่เปิดตัวภายในแบรนด์ BMW คันต้นแบบก็เผยโฉมเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา ซึ่งรุ่นนี้ออกแบบโดย Richard Kim ส่วนคันจริงที่ออกขายนั้นเปิดตัวในปี 2014 และออกแบบโดย Benoit Jacob ทั้งนี้ยังใช้ขุมพลังไฮบริดในการขับเคลื่อนอีกด้วย

BMW Isetta
5. BMW Isetta
เป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ถูกผลิตขายและออกจำหน่ายทั่วโลกภายใต้แบรนด์ของ BMW ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับตลาดที่รับไปทำอีกด้วย แต่ในประเทศเยอรมนีและอังกฤษนั้น จะเป็นชื่อที่คนทั่วโลกคุ้นเคยที่สุด โดย BMW Isetta นั้นวางเครื่องยนต์แบบสูบเดียวถูกขายขึ้นในระหว่างปี 1955-1962 และมียอดขายสูงสุดถึง161,728 คันเลยทีเดียว

BMW Z8 Roadster
6. BMW Z8 Roadster
ยุคทศวรรษที่ 1990 เป็นยุคที่ตลาดรถสปอร์ตเปิดประทุนนั้นเบ่งบานสุดๆ นอกจาก Z3 แล้วยังมี Z8 ที่สำหรับทำตลาดรุ่นใหญ่อีกด้วย โดยสปอร์ตรุ่นนี้ออกแบบโดย Henrik Fisker นักออกแบบฝีมือดีที่สุด ในปัจจุบันเขาก็ได้สร้างแบรนด์เป็นของตัวเองเรียบร้อยและเป็นการสานต่อตำนานของ 507 Roadster ไว้อีกด้วย โดยมีผลผลิตรวมทั้งสิ้น 5,703 คันในช่วงระหว่างปี 1999-2003 อีกด้วย

BMW M3 (E30)
7. BMW M3 (E30)
M Power กับรถยนต์ในซีรียส์หลักของ BMW นั้นมาจากการพัฒนาต่อยอดเป็นตัวแข่งรายการทัวริงคาร์ทั่วโลกโดยเฉพาะใน DTM ซึ่งในปัจจุบันนี้ M3 ก็ยังเป็นที่อ้างอิงพื้นฐานของตัวถังคูเป้ของ Series 3 รุ่นที่ 2 ในรหัส E30 และยังเป็นที่นิยมของนักสะสมอีกด้วย โดยช่วงที่ผลิตออกมานั้นจะมีเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,30 ซีซ๊ เป็นอย่างแรกก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น 2,500 ซีซี นอกจากนี้ยังมีรุ่นเปิดประทุนตามออกมาอีกด้วย

BMW 2002 Turbo
8. BMW 2002 Turbo
รุ่นนี้เป็นรถยนต์คลาสสิคอีกรุ่นสำหรับ 2002 เลยก็ว่าได้ เพราว่าเด็ดสุดในรุ่น!! สำหรับสปอร์ตคูเป้ไซต์เล็กรุ่นนี้คือ 2002 Turbo ที่มีความเร้าใจและความสวยสปอร์ตเพิ่มขึ้นมาจากรุ่นธรรมดา พร้อมกับเครื่องยนต์ที่สามารถรีดกำลังออกมาได้ถึง 170 แรงม้าเลยทีเดียว

BMW M5 (E39)
9. BMW M5 (E39)
รุ่นเจเนอเรชั่นที่ 4 อย่าง E39 ก็ว่าโหดแล้ว แต่มันจะเมพขิงขนาดไหนเมื่อได้รับการโมดิฟายให้เป็นตัว M5 รุ่นนี้ ซึ่งรุ่นนี้ถือว่าเป็น M5 รุ่นแรกที่เปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์ 6 สูบมาเป็น วี8 4,900 ซีซี ที่มีกำลังถึง 400 แรงม้า แน่นอนว่าในปัจจุบันรุ่นนี้อาจจะดูเบๆ ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก แต่ลองย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้วดูสิหืมม…. มันจะเร้าใจขนาดไหนกันเชียว!

BMW 8 Series (E31)
10. BMW 8 Series (E31)
เป็นซีรีย์ที่แฟนๆ นั้นร่ำร้องถามหากันมากที่สุด โดย BMW ได้เปิดตัวเป็นรถสปอร์ตขนาดใหญ่เมื่อปี 1989 และทำตลาดร่วม 10 ปี กับความเร้าใจของเครื่องยนต์ในแบบ วี8 และวี 12 นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องยนต์สุดไฮเทคกับการใช้ระบบ Can Bus เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อข้อมูลต่างๆ ภายในตัวรถและระบบลิ้นปีกผีเสื้อกแบบ Drive-by-Wire อีกด้วย อีกทั้งระบบนี้ก็เพิ่งจะเป็นมาตรฐานในรถยนต์ทั่วไปอีกด้วยจ้า
เป็นอย่างไรกันบ้างกับรถยนต์แต่ละรุ่นที่ดีที่สุดของ BMW และเป็นตำนานที่ใครหลายๆ คนนั้นติดตราตรึงใจ จารึกไว้จนถึงปัจจุบันนี้ กว่าจะมาเป็นแบรนด์นั้นมันก็ไม่ง่ายแต่ที่อยากกว่าคือทำอย่างไรให้ติดตลาด เพราะฉะนั้นใครที่ชื่นชอบรถยนต์ BMW ก็ลองมาอ่านบทความนี้กันดูนะจ๊ะ เผื่อว่าอยากจะได้รถยนต์ไปสะสมเล่นไว้สักคันสองคัน อิอิ สำหรับวันนี้เดี๊ยนขอลาไปก่อนพบเจอกันใหม่คอนเทนต์หน้านะจ๊ะ สวัสดีจ้า
รวม 10 รถไฟฟ้าราคาถูกสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทในไทย มีรุ่นไหนบ้าง?
14 ธ.ค. 66 (11:14 น.) พิมพ์

แชร์เรื่องนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังมาแรงเหลือเกิน จะเห็นได้จากยอดจองในงาน Thailand International Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา พบว่าค่ายรถยนต์ที่มียอดจองสูงสุด 10 อันดับแรก เป็นแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนที่มี EV วางจำหน่ายติดเข้ามาถึง 5 อันดับ และเชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าดีหรือไม่
Sanook Auto จึงได้รวบรวม 10 รถยนต์ไฟฟ้า ไม่ถึงล้านบาททุกรุ่นที่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีรุ่นไหนบ้างไปดูกัน
VOLT CITY EV
ราคาจำหน่าย:
- รุ่น FOR-TWO ราคา 365,000 บาท
- รุ่น FOR-FOUR ราคา 425,000 บาท
VOLT FOR-TWO ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 40 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 90 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนฟอสเฟต ความจุ 11.8 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางราว 165 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง (หรือ 115 กิโลเมตรเมื่อใช้โหมด Sport)
VOLT FOR-FOUR เพิ่มพละกำลังสูงสุดขึ้นเป็น 46 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 102 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนฟอสเฟตเช่นเดียวกัน แต่เพิ่มขนาดความจุขึ้นเป็น 16.5 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางราว 200 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง (หรือ 135 กิโลเมตรเมื่อใช้โหมด Sport)
>> VOLT City EV FOR-TWO และ FOR-FOUR ประกาศปรับราคาขึ้นรุ่นละ 10,000 บาท
WULING AIR EV
ราคาจำหน่าย:
- รุ่น Standard Range ราคา 405,000 บาท
- รุ่น Long Range ราคา 475,000 บาท
Wuling Air EV ทั้ง 2 รุ่น ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 30 kW (40 PS) ขับเคลื่อนล้อหลัง รุ่น Standard Range ติดตั้งแบตเตอรี่แบบ Lithium Ferro-Phosphate ความจุ 17.3 kWh ให้ระยะทางขับขี่ 200 กม. ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง ใช้เวลาชาร์จ 8.5 ชั่วโมง ด้วยกำลังไฟ AC 2.0 kW และรุ่น Long Range เพิ่มขนาดแบตเตอรี่เป็น 26.7 kWh ขับขี่ได้เป็นระยะทาง 300 กม. ใช้เวลาชาร์จ 4 ชั่วโมง ด้วยกำลังไฟ AC 6.6 kW
>> ราคาทางการ Wuling Air EV เปิดรับจองแล้วในไทย มี 2 รุ่นย่อย
FOMM ONE
ราคาจำหน่าย:
- รุ่น 2 ที่นั่ง ราคา 481,500 บาท
- รุ่น 4 ที่นั่ง ราคา 499,900 บาท
FOMM ONE ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า In-wheel ติดตั้งที่ล้อคู่หน้า ให้กำลังสูงสุดอยู่ที่ 5 กิโลวัตต์ (ต่อข้าง) แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางขับขี่ประมาณ 160 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง สามารถชาร์จไฟจาก 0-100% ได้ในเวลาราว 6 ชั่วโมง
NETA V
ราคาจำหน่าย:
- รุ่น V ราคา 549,000 บาท
NETA V ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 70 กิโลวัตต์ (95 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-50 กม./ชม. ในเวลาต่ำกว่า 3.9 วินาที พร้อมแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ความจุ 38.5 kWh ให้ระยะทางขับขี่ราว 384 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง (มาตรฐานการทดสอบ NEDC)
NETA V รองรับการชาร์จไฟ AC แบบ Type 2 และ DC (ชาร์จด่วน) แบบ CCS สามารถชาร์จผ่าน NETA Wall Box จาก 0-100% ได้ในเวลาราว 8 ชั่วโมง และชาร์จด่วนผ่านตู้ชาร์จสาธารณะจาก 30-80% ในเวลาราว 30 นาที
>> เจาะสเปก NETA V รถไฟฟ้า 100% ราคาเพียง 549,000 บาท
BYD Dolphin
ราคาจำหน่าย:
- รุ่น Standard Range ราคา 699,999 บาท
- รุ่น Extended Range ราคา 859,999 บาท
รุ่น Standard Range ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 70 kW (95 PS) แรงบิดสูงสุด 180 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 44.9 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางสูงสุด 410 กม. (ตามมาตรฐาน NEDC) รองรับการชาร์จด่วนแบบ DC ด้วยกำลังไฟสูงสุด 60 kW ทำความเร็วสูงสุดได้ 150 กม./ชม.
รุ่น Extended Range ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 150 kW (204 PS) แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 60.148 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางสูงสุด 490 กม. (ตามมาตรฐาน NEDC) รองรับการชาร์จด่วนแบบ DC ด้วยกำลังไฟสูงสุด 80 kW ทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กม./ชม.
>> รีวิว BYD Dolphin อีวีราคาสบายกระเป๋า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง
ORA Good Cat
ราคาจำหน่าย:
- รุ่น 400 PRO ราคา 828,500 บาท
- รุ่น 500 ULTRA ราคา 959,000 บาท
- รุ่น GT ราคา 1,286,000 บาท
ORA Good Cat รุ่น 400 PRO และ 500 ULTRA ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 143 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-50 กม./ชม. ได้ในเวลา 3.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 152 กม./ชม.
รุ่น 400 PRO ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 47.788 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 400 กม. รองรับการชาร์จด่วนแบบ DC จาก 0-80% ในเวลา 45 นาที หรือ 30-80% ในเวลา 32 นาที และสามารถชาร์จด้วยไฟบ้านแบบ AC จาก 0-100% ในเวลา 8 ชั่วโมง
รุ่น 500 ULTRA ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียม Ternary (NMC) ความจุ 63.139 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 500 กม. รองรับการชาร์จด่วนแบบ DC จาก 0-80% ในเวลา 60 นาที หรือ 30-80% ในเวลา 40 นาที และสามารถชาร์จด้วยไฟบ้านแบบ AC จาก 0-100% ในเวลา 10 ชั่วโมง
รุ่น GT ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 171 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร (รุ่น 500 ULTRA มีกำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร) สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 8.5 วินาที (รุ่น 500 ULTRA ใช้เวลา 9.2 วินาที) พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 63.319 kW สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางราว 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง
>> ORA Good Cat เปิดรับจองรอบใหม่ มี 2 รุ่นย่อย ราคา 828,500 – 959,000 บาท
AION ES
ราคาจำหน่าย:
- รุ่น Private ราคา 850,000 บาท
- รุ่น Taxi ราคา 929,900 บาท
AION ES ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 225 นิวตัน-เมตร สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 130 กม./ชม. แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางสูงสุด 442 กิโลเมตร รองรับการชาร์จกระแสสลับ (AC) กำลังสูงสุด 6.6 kW ใช้ระยะเวลาชาร์จจาก 0-100% ราว 6 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จกระแสตรง (DC) กำลังสูงสุด 75 kW ใช้ระยะเวลาชาร์จจาก 0-80% ในเวลา 40 นาที
>> ราคาทางการ AION ES ใหม่ เน้นเจาะกลุ่มแท็กซี่ไฟฟ้า 100% เริ่มต้น 850,000 บาท
MG4 Electric
ราคาจำหน่าย:
- รุ่น D ราคา 869,000 บาท
- รุ่น X ราคา 969,000 บาท
MG4 Electric ทั้ง 2 รุ่นย่อยถูกติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่แบบ Lithium Iron Phosphate ความจุ 51 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางราว 425 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง (ตามมาตรฐานการทดสอบ NEDC) รองรับการชาร์จด่วนจาก 10 – 80% ในเวลาราว 35 นาที
>> รีวิว “MG4 Electric” รถแฮทช์แบ็กไฟฟ้าสีสันสดใสต้อนรับวาเลนไทน์
MG ZS EV
ราคาจำหน่าย:
- รุ่น D ราคา 949,000 บาท
- รุ่น X ราคา 1,023,000 บาท
MG ZS EV ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 8.6 วินาที แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 50.3 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 403 กิโลเมตร (ตามมาตรฐานการทดสอบ NEDC) รองรับการชาร์จด่วนจาก 30-80% ในเวลาประมาณ 30 นาที และชาร์จแบบปกติผ่าน MG Home Charger จาก 0-100% ในเวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที
>> เปิดสเปก MG ZS EV รถไฟฟ้า 100% มีเงินไม่ถึงล้านก็ซื้อได้
MG ES
ราคาจำหน่าย
- รุ่น ES ราคา 959,000 บาท
MG ES ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร และแบตเตอรี่ลิเธียมไอรอนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 51 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 412 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มแต่ละครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC)

