ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
รถ 10 รุ่นที่ขายดีสุดทั่วโลกแห่งปี 2021 ไม่น่าเชื่อว่า หลายรุ่นที่ขายดีในไทย แทบไม่ติดอันดับ

Mr.Argus·2022-06-30 20:26:05

รถยนต์ 10 รุ่นที่ขายดีที่สุดในปี 2021 รวมยอดทั้งโลกเข้าไว้ด้วยกัน พบว่ารถหลายรุ่นที่ขายดีอยู่ในไทย กลับไม่ติดอันดับในสากล เพราะรสนิยมบ้านเราไม่เหมือนใคร ซึ่งเรารวบรวมแบบไม่แยกประเภทเอาไว้ 10 รุ่น และแยกอันดับ 1 ของแต่ละประเภท ให้เห็นกันชัด ๆ ว่าต่างชาติกำลังนิยมรุ่นไหนที่สุด
ซื้อรถมือสองกับ CARSOME การันตีคุณภาพรถยนต์ ผ่านการตรวจสภาพ 175 จุด พร้อมรับประกันสูงสุด 2 ปีเต็ม ราคาคงที่ ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง ซื้อไปแล้วไม่พอใจ การันตีคืนเงินเต็มจำนวนภายใน 30 วัน

ยอดขาย 106 ประเทศทั่วโลก
ข้อมูลจากเว็บไซต์กลุ่มเฟียต ที่รวมยอดขายรถจาก 106 ประเทศใหญ่ รวมถึงประเทศไทยด้วย ทำให้รถยนต์รุ่นที่มีขายในหลากหลายประเทศ มีโอกาสติดอันดับสูงกว่ารถยนต์ที่ขายเฉพาะภูมิภาค ดังนั้นรถยนต์ที่ขายดีในเมืองไทยหลายรุ่นอย่างเช่น Toyota Fortuner (2023 โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์) หรือ Honda City (ฮอนด้า ซิตี้) ก็จะไม่ติดในอันดับนี้ อันที่จริงมันไม่ติด 100 อันดับรถขายดีทั่วโลกรวมกันด้วยซ้ำไป

ยอดขาย C-SUV
รถที่มียอดขายสูงสุดในโลกคือ Toyota RAV4 ซึ่งเป็นเอสยูวีขนาดกลาง (C-SUV) ซึ่งทำยอดขายรวมทั่วโลกสูงถึง 1,132,000 คัน เพิ่มขึ้น 6% จากปี 2020 รถรุ่นนี้จัดอยู่ในระดับเดียวกับ Honda CR-V (ฮอนด้า ซีอาร์วี) ซึ่งทำยอดไปได้เพียง 903,000 คัน อยู่อันดับ 3 ของตารางยอดขายรวมทั่วโลก

Altis ครองที่ 2
ตำแหน่งรถขายดีอันดับ 2 ของทุกประเภทรวมกัน คือ Toyota Corolla Altis (โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส) มียอดขาย 1,104,000 คัน และนับเป็นรถเก๋งที่ขายดีสุดในโลก ตามมาห่าง ๆ ด้วยรถ Nissan Sylphy ทำยอดขายได้ 693,000 คัน จัดอยู่ในอันดับ 4 ของทุกประเภททั่วโลก และจัดอยู่ในอันดับ 2 ของประเภทรถเก๋ง
น่าเสียดายที่ Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) คู่แข่งนั้นตกไปอยู่อันดับ 11 ของโลก ด้วยยอดขาย 467,000 คัน เป็นเพราะในปี 2021 ยังเป็นรุ่นเก่าเจเนเรชั่นที่ 10 ซึ่งกำลังจะตกรุ่น คนจึงซื้อน้อยลงตามกระแส

ยอดขาย D-segment ยังทรงตัว
ยอดขายรวมทุกประเภททั่วโลกอันดับ 5 ได้แก่ Toyota Camry (โตโยต้า แคมรี่) ด้วยยอด 681,000 คัน นับว่าเป็นซีดานขนาดกลาง D-segment ที่ขายดีที่สุดในกลุ่มรถประเภทเดียวกัน ส่วนคู่แข่งอย่าง Honda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด) ทำยอดขายได้ 481,000 คัน อยู่อันดับ 2 ของรถประเภทเดียวกัน และจัดอยู่ในอันดับ 10 ของรถทุกประเภททั่วโลก

ยอดขายประเภท B-SUV
Honda HR-V (ฮอนด้า เอชอาร์-วี) จัดอยู่ในอันดับ 6 ของรถขายดีรวมกันทุกประเภท ด้วยยอดขาย 670,000 คันเพิ่มขึ้นถึง 20% จากปี 2020 เนื่องจากมีการเปลี่ยนโฉมใหม่ที่ดีกว่าเดิมทุกด้าน พร้อมทั้งให้ขุมพลังไฮบริดเป็นครั้งแรกของตระกูลนี้ และนับเป็นรถขายดีที่สุดในกลุ่ม B-SUV ซึ่งมีคู่แข่งตามมาห่าง ๆ คือ Nissan Qashqai ด้วยยอดรวม 401,000 คัน และจัดอยู่ในอันดับ 18 ของรถทุกประเภทรวมกัน

อันดับ 7-8 เป็นรถกระบะ
รถที่ขายดีสุดในโลกอันดับ 7 คือกระบะ Ford F-150 และเป็นรถกระบะขายดีอันดับ 1 ในกลุ่ม โดยทำยอดขาย 562,000 คัน ตามมาติด ๆ ในอันดับ 8 ด้วยรถกระบะ Toyota Hilux Revo (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่) ทำยอดขาย 549,000 คัน นับเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มรถกระบะด้วย
ส่วนรถกระบะที่ขายดีในไทยอย่าง Isuzu D-max (อีซูซุ ดีแม็กซ์) ก็ทำยอดขายอยู่อันดับ 39 ของโลก ด้วยยอดขาย 288,000 คันเท่านั้น

EV ขายดีอันดับ 9
รถขายดีสุดอันดับ 9 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน คือ Tesla Model 3 (เทสล่า โมเดล 3) รถรุ่นถูกสุดของเทสล่า ทำยอดขายทั่วโลกไปได้ 508,000 คัน นับว่าสูงสุดในบรรดา EV ทั้งหมด โดยรถประเภทเดียวกันที่ขายได้เป็นอันดับ 2 คือ Tesla Model Y ทำยอดขาย 392,000 คัน นับเป็นอันดับ 19 ของทุกประเภทรวมกัน

สรุป 10 รถขายดีสุดรวมทุกประเภททั่วโลก
| อันดับ | ชื่อยี่ห้อ-รุ่น | จำนวนรถ (คัน) |
| 1 | Toyota RAV4 | 1,132,000 |
| 2 | Toyota Corolla Altis | 1,104,000 |
| 3 | Honda CR-V | 903,000 |
| 4 | Nissan Sylphy | 693,000 |
| 5 | Toyota Camry | 681,000 |
| 6 | Honda HR-V | 670,000 |
| 7 | Ford F-150 | 562,000 |
| 8 | Toyota Hilux Revo | 549,000 |
| 9 | Tesla Model 3 | 508,000 |
| 10 | Honda Accord | 481,000 |
ซื้อรถมือสอง มั่นใจ ได้มาตรฐาน ต้อง CARSOME
ตลาด “รถยนต์ไทย” ใครครอง? เปิด TOP 10 แบรนด์รถยอดนิยม ปี 2567
Date Time: 5 ก.ย. 2567 13:24 น.
Video

ทำไม สิงคโปร์ ไม่กลัว AI แถมคนในชาติยังรวยขึ้น ? | Digital Frontiers EP.46
“Summary“
เปิด TOP 10 แบรนด์รถยนต์ ยอดนิยม ปี 2567 หลัง ปัจจัยหนี้ครัวเรือน ฉุด ยอด ซื้อ-ขาย ภายในประเทศ 7 เดือนแรก หดตัวแรงกว่า 23% พบ Toyota และ Honda ยังครองส่วนแบ่งได้เพิ่มขึ้น ตลาดเปิดช่อง แบรนด์รถEV ใหม่ๆ เข้ามาเติม- กก+ กLightฟังข่าว
Latest

“ดีอี”สั่งคุมเข้มสแกนม่านตารับเงินดิจิทัล ให้ PDPC ตรวจสอบละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ตลาดรถยนต์ในประเทศของไทยได้ผ่านจุดสูงสุดและเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัวนับตั้งแต่ปี 2561 ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศอยู่ในทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางแรงต้านรถ EV แบรนด์จีนใหม่ ๆ ที่กำลังทะลักเข้ามาในตลาดและเตรียมปักหมุดตั้งโรงงานผลิตในไทย หากแต่ปัญหาอย่างแท้จริงยังมาจากความต้องการถดถอย คนรุ่นใหม่หันไปเช่ารถใช้งานแทน “ซื้อ”
รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้งานรถยนต์ของคนไทยที่ค่อนข้างนาน เฉลี่ยถึง 12 ปี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศหลัก ๆ ที่ใช้งานรถยนต์ประมาณ 6-8 ปี จึงทำให้โอกาสที่จะซื้อรถยนต์ใหม่เพื่อหมุนเวียนรถเก่าค่อนข้างต่ำ
อีกทั้งเศรษฐกิจไทยที่เติบโตช้าลง “หนี้ครัวเรือน” ทรงตัวระดับสูง ยิ่งทำให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อยากขึ้น เพิ่มความเป็นไปได้ของคาดการณ์ที่ว่ายอดขายรถยนต์ภายในประเทศของไทยทั้งปี 2567 จะหดตัวรุนแรงต่ำสุดในรอบ 15 ปี
เจาะข้อมูลความอ่อนแอของตลาดซื้อ-ขายรถยนต์ไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี (ม.ค.-ก.ค.) พบว่าทั้งยอดการผลิต ยอดขายในประเทศ และการส่งออกหดตัว ทำให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยต้องปรับเป้าการผลิตจาก 1.9 ล้านคัน เหลือ 1.7 ล้านคัน ตามแนวโน้มการขายในประเทศที่ลดลงอย่างมาก
ส่วนยอดขายรวม (ม.ค.-ก.ค.) อยู่ที่ 354,000 คัน ลดลงถึง 23.7% จาก 465,000 คัน ภายใต้ตลาดรถ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้าเร่งตัวขึ้น สะท้อนจากส่วนแบ่งทางการตลาดของ TOP 10 แบรนด์ยอดนิยม ที่พบว่าแม้ Toyota และ Honda ยังคงรักษายอดขายได้เพิ่มขึ้น แต่แบรนด์หลักต่าง ๆ สัดส่วนยอดขายลดลงทั้งหมดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยกเว้นหมวดอื่น ๆ ที่เติบโตจาก 12.8% เป็น 16.6% ส่งสัญญาณแบรนด์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะรถ EV ที่เข้ามาในตลาดได้รับความนิยมมากขึ้นจากคนไทย
เปิดTOP 10 แบรนด์รถยอดนิยม ปี 67 (% ส่วนแบ่งตลาด)
- Toyota 37.6% (เพิ่มขึ้นจาก 33.7%)
- Isuzu 15% (ลดลงจาก 21.1%)
- Honda 13.8% (เพิ่มขึ้นจาก 11.6%)
- Mitsubishi 4.6% (ลดลงจาก 4.8%)
- Ford 3.7% (ลดลงจาก 4.9%)
- MG 2.8% (ลดลงจาก 3.2%)
- Nissan 1.7% (ลดลงจาก 2.2%)
- Mazda 1.6% (ลดลงจาก 2.4%)
- GWM 1.3% (ลดลงจาก 1.5%)
- Suzuki 1.2% (ลดลงจาก 1.7%)
- อื่น ๆ 16.6% (เพิ่มขึ้นจาก 12.8%)

ทั้งนี้ วิจัยธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยว่า เศรษฐกิจไทยและโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน รวมไปถึงประเด็นความขัดแย้งและสงครามการค้า อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมไปถึงประเด็นหนี้ครัวเรือน ค่าครองชีพ และอัตราดอกเบี้ย ทำให้กำลังซื้อในตลาดรถยนต์ไม่ฟื้นตัว และหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ส่วนปัจจัยบวกอย่างการผลิตเพื่อขายภายในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าที่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ตามการเข้ามาตั้งฐานการผลิตของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ อาจช่วยพยุงภาพรวมได้.

