ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
10 อันดับยี่ห้อรถยนต์ยอดขายสูงสุดในไทย
.webp)
Dec 20, 2023
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2566 โดยตลาดรวมมีการขายทั้งสิ้น 645,833 คัน ลดลง 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดขายเฉพาะเดือนตุลาคม 2566 มียอดขาย 58,963 คัน ลดลง 8.8% ASN Broker สรุป 10 อันดับยี่ห้อรถยนต์ที่ขายดีที่สุด มาให้ท่าน จะมียี่ห้อไหนเป็นขวัญใจชาวไทยบ้าง ไปเช็กกันเลย!
10 อันดับยี่ห้อรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในไทย
1.โตโยต้า 220,144 คัน
2.อีซูซุ 131,256 คัน
3.ฮอนด้า 77,188 คัน
4.ฟอร์ด 31,329 คัน
5.มิตซูบิชิ 28,280 คัน
6.เอ็มจี 22,293 คัน
7.บีวายดี 21,865 คัน
8.มาสด้า 14,709 คัน
9.นิสสัน 13,886 คัน
10.เนต้า 10,565 คัน
(ตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2566)

จากยอดขายรถยนต์ที่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย ผู้บริโภคมีอุปสรรคสำคัญอย่างความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากมีความกังวลต่อความสามารถในการผ่อนชำระของผู้รับสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยกระแสการหมุนเวียนของสินเชื่อเป็นหลัก
ASN Broker เชื่อว่าในปี 2567 ที่กำลังใกล้เข้ามา เศรษฐกิจและความลื่นไหลทางการเงินจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น เพราะการตัดสินใจซื้อรถยนต์หนึ่งคัน พ่วงมาด้วยภาระมากมาย หากมีรถยนต์ขับแล้ว ต้องมีประกันรถยนต์ติดรถไปด้วย คุ้มครองทั้งรถยนต์และคนขับ ต้องการประหยัดค่าเบี้ย แต่อยากได้ความคุ้มครองเทียบเท่าประกันรถยนต์ชั้น 1 แนะนำให้ลองเช็กราคาประกันรถยนต์ชั้น 2+ กับ ASN Broker เราสามารถคัดสรรราคาที่ถูกใจให้กับท่านได้ แพ็กเกจประกันรถยนต์รองรับรถยนต์ทุกประเภท ให้ความคุ้มครองเสริม ผ่อนจ่ายรายเดือน ด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิต ผ่อนได้ 0%
BYD และ Geely ผงาดทำกำไรพุ่งครึ่งปีแรก ต่างจากค่ายรถรัฐที่ร่อแร่ ท่ามกลางวิกฤตตลาดรถยนต์จีน
09.09.2024

- LOADING…

ตลาดรถยนต์จีนในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างค่ายรถยนต์เอกชนและรัฐวิสาหกิจ โดย BYD และ Geely Automobile Holdings โดดเด่นด้วยการเติบโตของกำไรอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ SAIC Motor และค่ายรถอื่นๆ ของรัฐ ต้องดิ้นรนในตลาดที่การแข่งขันสูงขึ้น
BYD ทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 24% เป็น 13,600 ล้านหยวน (1,900 ล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบครึ่งแรกของปี และสูงที่สุดในบรรดาผู้ผลิตรถยนต์จีน 10 อันดับแรกที่รายงานผลประกอบการ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม ยอดขายรถยนต์ของ BYD เพิ่มขึ้น 28% เป็น 1,610,000 คัน โดยส่วนใหญ่มาจากยอดขายในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น 3 เท่าเป็น 105,000 คัน
BYDประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่มีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงที่ดีขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังลดราคาขายรถยนต์มากกว่า 10 รุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้อย่างมาก
แม้ว่าการลดราคาจะทำให้รายได้ต่อคันของ BYDลดลง 15% เหลือ 156,000 หยวน แต่กำไรสุทธิต่อคันก็ยังสูงถึง 7,800 หยวน ตามข้อมูลจาก Soochow Securities ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ BYDผลิตแบตเตอรี่และชิ้นส่วนสำคัญเอง ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี
ในขณะเดียวกัน Geely ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Zhejiang Geely Holding Group ที่จดทะเบียนในฮ่องกง รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 7 เท่า เป็น 10,5000 ล้านหยวน ยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น 41% เป็น 950,000 คัน โดยได้รับแรงหนุนจากแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าหรู ZEEKR รายได้ต่อคันของ ZEEKR และ Geely รวมกันเพิ่มขึ้น 5% เป็น 129,000 หยวน ซึ่งช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท
Great Wall Motor ก็มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5 เท่า เป็น 7,000 ล้านหยวน โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่ดีของแบรนด์รถยนต์ออฟโรดระดับไฮเอนด์ TANK ซึ่งมีรายได้ต่อคันเพิ่มขึ้น 21%
ในทางตรงกันข้าม กำไรของผู้ผลิตรถยนต์รัฐวิสาหกิจกลับซบเซา เนื่องจากยอดขายของบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติลดลง SAIC Motor รายงานกำไรสุทธิลดลง 6% เป็น 6,600 ล้านหยวน ยอดขายรถยนต์ลดลง 12% เป็น 1,820,000 คัน และรายได้ต่อคันลดลง 1%
Guangzhou Automobile Group มีกำไรสุทธิลดลง 49% เป็น 1,500 ล้านหยวน ยอดขายรถยนต์ลดลง 26% เป็น 860,000 คัน และ Dongfeng Motor มีกำไรจากบริษัทร่วมทุนลดลง 46% ทำให้กำไรสุทธิลดลง 48% เป็น 684 ล้านหยวน
แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความแตกต่างระหว่างผู้ชนะและผู้แพ้ในตลาดรถยนต์จีน โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 รถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด คิดเป็น 35% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในจีน
BYDซึ่งหยุดขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปี 2022 และมุ่งเน้นไปที่รถยนต์พลังงานใหม่ ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มนี้และมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รถยนต์พลังงานใหม่คิดเป็นเพียง 25% ของยอดขายของ SAIC Motor และผู้ผลิตรถยนต์รัฐวิสาหกิจรายใหญ่อื่นๆ ก็ยังตามหลังอยู่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยังคาดว่าตลาดรถยนต์จีนจะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในด้านคุณสมบัติต่างๆ เช่น การขับขี่อัตโนมัติ และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล ผู้ผลิตรถยนต์ที่แพ้สงครามราคาก็จะยิ่งขาดเงินทุนในการลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้

