ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
10 อันดับแบรนด์รถยนต์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในไทย มีแบรนด์อะไรบ้าง ?
แชร์บทความนี้

หัวข้อที่น่าสนใจ
- “ความน่าเชื่อถือ” ของ แบรนด์รถยนต์ วัดจากอะไร ?
- คำจำกัดความ “ความน่าเชื่อถือ” ของรถยนต์
- เช็กลิสต์ 10 อันดับยี่ห้อรถยนต์ ที่น่าเชื่อถือ
- 1. Toyota
- 2. Isuzu
- 3. Honda
- 4. Mitsubishi
- 5. MG
- 6. Ford
- 7. Mazda
- 8. Nissan
- 10. Hino
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันมี แบรนด์รถยนต์ ให้เลือกซื้อและจับจองเป็นเจ้าของมากมาย อาจทำให้หลายคนสับสน และไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกซื้อแบรนด์ไหนดี ที่น่าเชื่อถือ แล้วแบบไหนคือ “เชื่อถือได้” ต้องดูจากตรงไหน มิสเตอร์ คุ้มค่า รวมคำตอบประเด็นต่าง ๆ มาให้แล้ว พร้อมกับลิสต์ 10 อันดับแบรนด์รถที่ไว้ใจ/เชื่อถือได้ มาให้คุณได้ทำความรู้จักคร่าว ๆ ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันเลย !
“ความน่าเชื่อถือ” ของ แบรนด์รถยนต์ วัดจากอะไร ?
ถ้าหากพูดถึง “ความน่าเชื่อถือ” หลายคนอาจมองว่าแบรนด์นั้น หรือแบรนด์นี้ มีความน่าเชื่อถือแตกต่างกันออกไป บางแบรนด์ที่ผู้เชี่ยวชาญลิสต์ออกมาอาจไม่ตรงตามความคิดหรือความรู้สึกของคุณ แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันล่ะ แล้วจริง ๆ สามารถเชื่อถือได้จริงไหม ?
คำตอบคือ “ชื่อถือได้แน่นอน” เพราะผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น ได้ทำการ “สำรวจประชากร” ด้วยการทำการทดสอบและใช้ข้อมูลอื่น ๆ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา ว่ารถแบรนด์ไหนน่าเชื่อถือที่สุด
ซึ่งเกณฑ์การให้คะแนนจะรวบรวมส่วนต่าง ๆ เช่น งบประมาณของประเภทรถยนต์ ความสามารถในการข้ามประเทศ มาทำการประเมินความน่าเชื่อถือ ถ้ายังมองภาพไม่ออกเรามาดู “คำจำกัดความ” ของความน่าเชื่อถือของรถยนต์กันเลยดีกว่า
คำจำกัดความ “ความน่าเชื่อถือ” ของรถยนต์
ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย มีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้น และรสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค ที่ทำให้รถยนต์นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อความรู้สึก และความน่าเชื่อถือของผู้ใช้ (ลูกค้า) ที่ใช้การประเมินคุณภาพรถยนต์แต่ละแบรนด์ แต่ละรุ่น ซึ่งปัจจัยที่ว่า บางส่วน คือ “ประสิทธิภาพและความสะดวกสบายของตัวรถ รวมถึงราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย สวยงาม และสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัย”
พร้อมที่จะเปรียบเทียบประกันรถยนต์หรือยัง?
หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ
เช็กลิสต์ 10 อันดับยี่ห้อรถยนต์ ที่น่าเชื่อถือ
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังมองหารถยนต์สักคัน ที่พร้อมจะร่วมทางกับคุณไปอีกนานแสนนาน มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้ลิสต์ 10 อันดับยี่ห้อรถยนต์ที่น่าเชื่อถือ มาให้คุณนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจ ดังนี้

- 1. Toyotaแบรนด์รถยนต์แนะนำที่แสนโด่งดัง ที่ไม่ใช่แค่ได้รับความนิยมในไทยเท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากอุตสาหกรรมทอผ้า และได้มีการถูกถ่ายโอนและขายสิทธิบัตรให้กับบริษัทในประเทศอังกฤษ จวบจนปี ค.ศ.1933-1935 ก็ถือเป็นช่วงที่แบรนด์ Toyoda ถือกำเนิดขึ้น และรถยนต์รุ่นแรกคือ A1 รถยนต์ขนาดเล็ก และ G1 รถบรรทุกแม้ว่าทั้ง 2 รุ่น จะจัดจำหน่ายในช่วงที่สภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างแปรปรวน แต่ยอดขายกลับสวนทางแบบสุดโต่ง สร้างกำไรให้กับบริษัทเป็นจำนวนมาก จนสามารถนำเม็ดเงินเหล่านั้นไปต่อยอดสู่รถยนต์รุ่นอื่น ๆ เป็นลำดับต่อไปจะเห็นได้ว่าก่อนที่ Toyata จะได้รับความนิยมในปัจจุบัน แบรนด์นี้ได้รับความนิยมตั้งแต่ตอนที่ใช้ชื่อแบรนด์ว่า Toyada แต่ในท้าทายที่สุดได้เปลี่ยนมาเป็น Toyota แบรนด์รถยอดนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการสื่อถึง Infinity พร้อมเปิดตัวโลโก้ 3 ห่วง โดยวงรีทั้ง 2 วงที่ซ้อนกัน หมายถึงการผลึกร่วมหัวใจ 2 ดวง ได้แก่ หัวใจของผู้ใช้รถและหัวใจของรถโตโยต้า และวงรีใหญ่ที่สื่อถึงการขยายตัว หมายถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของรถยนต์ยุคใหม่ ที่จะก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
- 2. Isuzuเริ่มแรกถูกก่อตั้งในชื่อ Tokyo Ishikawajima Shipbuilding & Engineering Company ต่อมาได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรบริษัทยานยนต์สัญชาติอังกฤษ Wolseley Motors Limited และผลิตรถยนต์โดยสารคันแรกสำเร็จ ในปี ค.ศ.1922 ใช้ชื่อว่า Wolseley A9 จากความสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้บริษัทผลิตรถบรรทุกรุ่นต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
- 3. Hondaแบรนด์รถยนต์ที่เริ่มต้นจากการพัฒนาจักรยานยนต์แบบติดเครื่องยนต์ และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ถูกนำไปลงสนามประลอง F1 ณ ประเทศฝรั่งเศส หลังจากกวาดรางวัลชนะเลิศกลับมาทำให้แบรนด์ตลาดโด่งดัง และกลับมาพร้อมกับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ อย่าง Handa Civic ในตำนาน มีความโดดเด่นในเรื่องการใช้เทคโนโลยี CVCC ซึ่งช่วยลดมลพิษทางอากาศ และ 4 ปีให้หลังก็ได้เปิดตัวรถยนต์อีกรุ่นในตำนานอย่าง Honda Accord
- 4. Mitsubishiอีกหนึ่งแบรนด์รถยนต์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ในไทย โดยเริ่มต้นจากธุรกิจอื่น อย่าง “บริษัทขนส่งสินค้า” จากนั้นได้ผันตัวมาสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ผลิตรถโดยสารครั้งแรก ในปี ค.ศ.1917 ต่อมาในปี ค.ศ.1970 แผนกยานยนต์ได้แยกตัวจากบริษัทแม่ มาโฟกัสที่รถยนต์อย่างเต็มตัว ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ Mitsubishi ในปัจจุบัน
- 5. MGแบรนด์รถยนต์จากประเทศอังกฤษสายเลือดจีนที่ค่อนข้างใหม่ในตลาดบ้านเรา แต่สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และความน่าสนใจให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์รถยนต์ในเมืองไทยเป็นอย่างมากในช่วง 10 ปีรุ่นสร้างชื่อคือ EX120 ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลงประลองในสนามแข่งโดยเฉพาะ ต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการผลิตรุ่น K3 Magnette รุ่นที่สร้างชื่อให้กับ MG อย่างท่วมท้น เพราะสามารถเอาชนะ Ferrari ได้ที่ความเร็ว 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้นได้มีการผลิตรถยนต์รุ่นต่าง ๆ สู่ตลาด ด้วยรูปลักษณ์ที่ทันสมัย และโครงสร้างเหล็กที่แข็งแรง ทำยอดขายได้มากถึง 1 แสนคัน แม้ตอนนี้หลายคนจะมีภาพจำกับแบรนด์นี้ว่าเป็นรถจีนซะมากกว่า แต่ MG ยังคงสร้างชื่อในเมืองไทยด้วยการเป็นหนึ่งในแบรนด์จากจีนชั้นนำเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า กับตัวเลือกหลาย ๆ รุ่นที่เป็นรถ EV
- 6. Fordเปิดตัวรถยนต์คันแรกชื่อว่า Ford Quadricycle ต่อมาได้ผลิตรถยนต์ Ford Model T หรือรถยนต์รุ่นบุกเบิก ออกวางจำหน่ายในราคาเพียง 360 ดอลลาร์ ที่ได้รับการตอบรับดีเกินคาด เนื่องจากเป็นรถยนต์ที่มีรูปลักษณ์สวยงาม แข็งแรง ราคาจับต้องได้ โดยสามารถทำยอดขายได้ถึง 15 ล้านคัน
- 7. Mazdaเปิดตำนานด้วยรถคันแรกอย่างรถสามล้อ ชื่อว่า Green Panel จนได้รับความนิยม ต่อมาได้มีการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมด้วยเครื่องยนต์โรตารี่ นับเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายเดียวของโลก ที่ใช้เครื่องยนต์ประเภทนี้เสริมจากเครื่องยนต์ที่มีอยู่ในตลาดจวบจนปัจจุบัน เริ่มจากรถสปอร์ตรุ่น Cosmo 110S ส่งต่อตำนานสู่ RX-7 และ RX-8ต่อมาในปี ค.ศ.1989 ก็ได้ถือกำเนิดการกลับมาของตำนานรถสปอร์ตโรดสเตอร์ หลังจากที่ไม่มีผู้ผลิตรายใดผลิตรถสปอร์ตโรดสเตอร์ออกมาเลย ทาง Mazda จึงได้ทำการคิดค้นและพัฒนารถสปอร์ตโรดสเตอร์อีกครั้ง จนได้มาเป็น MX-5 ซึ่งนับเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์ที่ขายดีที่สุดในโลก
- 8. Nissanเริ่มแรกเดิมทีก่อตั้งขึ้นในนามบริษัท Dat Jidosha Seizo และเปลี่ยนชื่อมาเป็น Nissan Motor Co. ในปี ค.ศ.1934 รวมถึงเปิดตัวรถยนต์ครั้งแรกอย่าง Datsun 14 และมีการผลิตรถยนต์ส่วนบุคคล รถบรรทุก หน่วยกำลังสำหรับกองทัพ เช่น เครื่องบิน เครื่องยนต์ให้แก่กองกำลังทหารญี่ปุ่น และกลับมาแข็งแรงอีกครั้งในปี ค.ศ.1947 พร้อมกับมุ่งผลิตรถรุ่น Datsun คิดค้นเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน จนได้มาเป็น Nissan Datsun 240 Z รถสปอร์ตคันแรก ที่สร้างปรากฏการณ์ในด้านยอดขายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
- 9. Suzukiเริ่มต้นจากบริษัททอผ้า และได้ขยายขอบเขตการผลิต แตกผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ออกมา จนก่อให้เกิดการผลิตต้นแบบยานยนต์ในปี ค.ศ.1939 แต่ต้องชะงักลง เมื่อเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วหันกลับมาเข้าสู่อุตสาหกรรมเครื่องทอผ้าอย่างเดิม หลังจากสิ้นสุดยุคอุตสาหกรรมฝ่ายในญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1951 ทางแบรนด์ได้หันมาผลิตรถจักรยานยนต์และรถยนต์ และได้ถือกำเนิด Suzuki Motor Co., Ltd รวมถึงเปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกอย่าง Suzuki Suzulight
- 10. Hinoแม้จะไม่มีรุ่นรถที่เป็นเก๋งส่วนบุคคล แต่คุ้นชื่อกันดีเรื่องรถบรรทุก Hino เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1910 โดยมีรากฐานมาจากอุตสาหกรรมก๊าซ ในนามของ Tokyo Gas and Electric Industry และได้มีการขยายการผลิตมายังชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงมีการผลิตยานยนต์คันแรกในปี ค.ศ.1917 คือรถบรรทุกรุ่น TGE “A-Type จากนั้นได้มีการร่วมมือพับพันธมิตรในปี ค.ศ.1937 เพื่อจัดตั้ง Tokyo Automobile Industry จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น Diesel Motor Industry และถือเนิดบริษัทใหม่ในนาม Hino ในปี ค.ศ.1942
ทั้งหมดนี้คือ 10 ยี่ห้อรถที่น่าเชื่อถือ ที่เรานำมาบอกต่อเมื่อข้างต้น มีประวัติและจุดเริ่มต้นมาอย่างยาวนานมากเลยใช่ไหมล่ะ ? แถมในปัจจุบันยังมีศูนย์บริการรถยนต์เยอะที่สุดอีกด้วย หมดห่วงเรื่องการเข้าใช้บริการตรวจเช็ค นำรถจัดซ่อมได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ นอกจากการเลือกแบรนด์รถยนต์ที่น่าเชื่อถือแล้ว การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองอย่างครอบคลุม ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันอีกด้วย ถ้าไม่รู้ว่ารถของคุณเหมาะกับประกันภัยแบบไหน ปรึกษาหรือเปรียบเทียบประกันรถยนต์ออนไลน์กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้ตลอดเวลา
ส่องยอดขายรถ 10 อันดับแรก ม.ค.-ต.ค.67 เช็คเลยยี่ห้อไหนแบรนด์ใดครองอันดับ 1
ฐานเศรษฐกิจ
02 ธ.ค. 2567 | 16:15 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ธ.ค. 2567 | 17:18 น.
เจาะยอดขายรถใหม่ 10 เดือนแรกมกราคม -ตุลาคม 2567 เช็คเลยแบรนด์ใด ยี่ห้อไหนขายดีสุด พร้อมสำรวจอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 67 จะถึงเป้าหรือไม่
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย รายงานตัวเลขยอดขายรถยนต์ตั้งแต่เดือนมกราคม -ตุลาคม 2567 พบว่ามีปริมาณ 476,350 คัน ลดลง 26.2% เฉพาะเดือนตุลาคม 2567 ตลาดรวมทำยอดขายได้ 37,691 คัน ลดลง 36.1% โดยเซกเมนต์รถยนต์นั่ง มียอดขาย 15,559 คัน ลดลง 29.7% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ยอดขาย 22,132 คัน ลดลง 39.9% และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย 13,347 คัน ลดลง 42%
แบรนด์รถยนต์ขายดี 10 อันดับแรกในไทย มกราคม -ตุลาคม 2567
ในส่วนของตลาด xEV หรือ กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า มียอดขายทั้งหมด 12,243 คัน ลดลง 32% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วน 32% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด โดยรถยนต์ HEV ทำยอดขายได้ 7,300 คัน ลดลง 21% ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ BEV อยู่ที่ 4,130 คัน ลดลง 47%
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ยอดขายรถยนต์หดตัวเป็นผลมาจาก สภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตามคาดว่าในเดือนพฤศจิกายน แนวโน้มยอดขายจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม เนื่องจากการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง รวมถึงการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ และโปรโมชันในงาน Motor Expo 2024 ที่จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในช่วงปลายปี
โตโยต้า เสนอ 3 ข้อวอนรัฐช่วยเหลืออุตฯยานยนต์ไทย
นาย โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ประเมินว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 67 จะอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 600,000 คัน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าต่ำมากเพราะต้องย้อนไปถึงปี 2552 หรือ14-15 ปีก่อนที่ไทยเคยขายได้เพียงเท่านี้
อย่างไรก็ตามด้วยเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น GDP ในไตรมาสที่ 3 มีการขยายตัว 3% และการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 % ของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ทำให้คาดว่าสถานการณ์จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น
นาย ยามาชิตะ กล่าวเพิ่มเติมว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตฯที่มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีสัดส่วนต่อ GDP ถึง 10 % ในส่วนของโตโยต้าจึงหวังให้รัฐบาลมีมาตรการที่จะช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่กำลังตกอยู่ในความยากลำบากนี้ต่อไปด้วย โดยสิ่งที่โตโยต้าต้องการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลมี 3 เรื่องด้วยกันดังนี้
- ต้องการให้รัฐบาลมีแผนระยะกลางและระยะยาวที่ตอบรับความต้องการของผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในการสนับสนุนการผลิตรถยนต์กลุ่มที่มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างสูง นั่นคือ รถปิกอัพ รถ PPV และรถอีโคคาร์
- การออกมาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมในระยะสั้น ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังประสบความยากลำบาก
- การสนับสนุนให้มีตัวเลือกยานยนต์ขับขี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงแต่ BEV แต่ให้ครอบคลุมถึง FCEV, PHEV, HEV และรถยนต์ใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นาย โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ยอดขายรถในประเทศ-ส่งออกทรุด ส.อ.ท.หั่นเป้ายอดผลิตปี 67 เหลือ 1.5 ล้านคัน
EV-ปิกอัพรุ่นใหม่ ยกทัพลุย มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2024
สหการประมูล ชี้ EV ป่วนตลาด รถยึดเข้าลานพุ่ง 2.5 แสนคัน ปิกอัพหนักสุด
เปิดไฮไลต์รถจีน ยกทัพ EV ร่วมงาน Motor Expo 2024
เนต้า แก้ปัญหาสภาพคล่อง ย้ำรัฐบาลจีนหนุนหลัง โรงงานไทยประกอบ Neta X ปี 2025
ส.อ.ท.ปรับเป้ายอดผลิตรถยนต์ปี 67
ยอดขายรถใหม่ที่ร่วงลงต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ได้ประกาศปรับเป้าหมายใหม่ของปี 2567 ซึ่งมีการปรับทั้งยอดส่งออก และ ยอดขายในประเทศ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
เป้าหมายการผลิตรถยนต์ปี 2567 ล่าสุด 1,500,000 คัน เดิม 1,700,000 คัน
- ผลิตขายในประเทศ 450,000 คัน เป้าเดิม 550,000 คัน
- ผลิตเพื่อส่งออกลดลง 1,050,000 คัน เป้าเดิม 1,150,000 คัน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ป้ายแดงในเดือนตุลาคม 2567 ต่ำสุดในรอบ 54 เดือนนับตั้งแต่ยกเลิกล็อคดาวน์โควิด-19 เดือนพฤษภาคม 2563 ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อยอดขายรถในประเทศที่ลดลงเป็นผลมาจากการเข้มงวดในการให้กู้ซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงินเป็นหลัก
“ยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลงเป็นผลมาจากความเข้มงวดของสถาบันการเงิน และแม้ว่าในช่วงปลายเดือนพ.ย.-ธ.ค.67 จะมีงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้น แต่ก็มองว่าสถาบันการเงินจะยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออยู่ดี เนื่องจากอัตราส่วนของหนี้เสียยังสูงอยู่ ดังนั้นจึงประเมินว่าในปีนี้ เป้ายอดขายที่เคยประกาศไว้ว่าจะทำได้ 550,000 คัน ก็ลดลงเป็น 450,000 คัน”
ส.อ.ท.ปรับเป้ายอดผลิตรถยนต์ -ยอดขาย -ยอดส่งออกปี 67
ขณะที่ตลาดส่งออก ที่ต้องมีการปรับเป้าหมายใหม่นั้น เนื่องจากสงครามอิสราเอล ฮามาส ที่ต้องจับตาดูว่าจะขยายวงกว้างมากขึ้นหรือไม่ เพราะหากลุกลามก็จะกระทบกับตลาดในตะวันออกกลางและยุโรป นอกจากนั้นแล้วความขัดแย้งที่ต้องติดตามว่าจะกระทบเศรษฐกิจโลกคือสงครามยูเครนกับรัสเซียที่อาจขยายไปประเทศอื่นซึ่งกระทบการส่งออกรถยนต์และสินค้าอื่นๆดังนั้นจึงต้องปรับเป้าหมายใหม่ จากเดิมที่คาดว่าจะส่งออก 1,150,000 คัน ก็ปรับลดลงมาเหลือ 1,050,000 คัน

