ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
เปิด 10 อันดับยี่ห้อรถที่ขายดีสุดในครึ่งปีแรก เช็คเลยมีแบรนด์ไหนบ้าง
ฐานเศรษฐกิจ
05 ส.ค. 2567 | 20:07 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ส.ค. 2567 | 20:08 น.
เจาะยอดขายรถยนต์ครึ่งปี แบรนด์ใดยี่ห้อไหนขายดีสุด 10 อันดับแรกพร้อมส่องภาพรวมตลาดหลังปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ค่ายรถ-ส.อ.ท.ปรับเป้ายอดขาย-ยอดผลิต
ภาพรวมตลาดรถยนต์ในไทยครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน 2567) ยังคงซบเซา โดยยอดขายรถรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 308,027 คัน ลดลง 24.2% ในส่วนของเซกเมนต์รถยนต์นั่ง มียอดขาย 119,326 คัน ลดลง 19.4% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ มียอดขาย188,701 คัน ลดลง 26.9% และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย 108,437 คัน ลดลงกว่า 40.7%
อย่างไรก็ตามในกลุ่มตลาด xEV มียอดขายทั้งหมด 108,720 คัน คิดเป็นสัดส่วน 35.3% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตขึ้น 35.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ HEV เติบโตขึ้น 68.7% ด้วยยอดขาย 67,346 คัน ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ BEV อยู่ที่ 36,593 คัน เติบโตขึ้น 9.4 %
เมื่อมาดูยอดขายของแต่ละแบรนด์แต่ละยี่ห้อในช่วงครึ่งปีแรก พบว่า 10 อันดับแรกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยโตโยต้า อีซูซุ ฮอนด้า ยังคงรั้ง 3 อันดับแรกไว้อย่างเหนียวแน่น ส่วนอันดับ 4 ตกเป็นของบีวายดี แบรนด์จากจีนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV เป็นตัวขับเคลื่อนยอดขาย ด้านอันดับ 5 เป็นของมิตซูบิชิ
ยี่ห้อรถยนต์ที่ขายดี 10 อันดับแรกในไทย มกราคม -มิถุนายน 2567
- โตโยต้า 116,278 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 37.7 %
- อีซูซุ 46,260 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 15.0 %
- ฮอนด้า 43,499 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 14.1 %
- บีวายดี 14,735 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 4.8 %
- มิตซูบิชิ 14,498 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 4.7 %
- ฟอร์ด 11,307 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 3.7 %
- เอ็มจี 8,896 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 2.9 %
- นิสสัน 5,487 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 1.8 %
- มาสด้า 5,123 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 1.7 %
- เกรท วอลล์ มอเตอร์ 4,058 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 1.3 %
เปิด 10 อันดับยี่ห้อรถที่ขายดีสุดในครึ่งปีแรก
ยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลง เป็นผลมาจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว หนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และรายได้ครัวเรือนต่ำเพราะเศรษฐกิจโตช้า ขณะเดียวกันสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ด้วยปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายรวมไปถึงกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์มีการปรับเป้าหมายการขาย เป้าหมายการผลิตรถยนต์ในประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ส.อ.ท.หั่นเป้ายอดผลิตรถปี 67 จาก 1.9 ล้านคัน เป็น 1.7 ล้านคัน
เจาะลึกตลาดสองล้อครึ่งปีหลัง คาดยอดผลิตยังเข้าเป้า 2,120,000 คัน
JAECOO 6 EV จีน สลัดกลิ่นแลนด์โรเวอร์ รอลุ้นราคา เปิดตัว 6 ส.ค.2024
โบรกมองยอดผลิต-ยอดขายรถ ในไทยหด กำลังซื้ออ่อนแอ ชูค่ายรถ EV จีนหนุนตลาด
นิสสัน-ฮอนด้า ร่วมมือพัฒนาแบตเตอรี่ EV ซอฟต์แวร์ หวังบริหารต้นทุนสู้รถจีน
ส.อ.ท.หั่นเป้ายอดผลิตรถปี 67 เหลือ 1.7 ล้านคัน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ได้ทำการปรับเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 จาก 1,900,000 คันเป็น 1,700,000 คัน ลดลง 200,000 คัน โดยปรับเป้าเฉพาะผลิตขายในประเทศลดลงจาก 750,000 คันเป็น 550,000 คัน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
โตโยต้า คาดภาพรวมเศรษฐกิจ-ดัชนีความเชื่อมั่นยังฟื้นตัวช้า
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ในเดือนกรกฎาคม มีแนวโน้มจะทรงตัว หรือลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงฟื้นตัวช้า
สำหรับโตโยต้าในครึ่งปีแรก มียอดขายรถยนต์รวมที่ 116,278 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 37.7% ในส่วนของตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up + รถกระบะดัดแปลง PPV) มียอดขายรวมอยู่ที่ 49,689 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์เซกเมนต์นี้ 45.8% ขณะที่ยอดขายรถยนต์นั่งอยู่ที่ 33,264 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 27.9%
โตโยต้า คาดภาพรวมเศรษฐกิจ-ดัชนีความเชื่อมั่นยังฟื้นตัวช้า
เมื่อมาดูยอดขายในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า โตโยต้ามียอดขายรถยนต์ไฮบริด 30,714 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 28.3% ของยอดจำหน่ายรถยนต์ในกลุ่มตลาด xEV ทั้งหมด
8 แบรนด์รถจีนในไทยที่น่าสนใจ พร้อมรุ่นย่อย

แบรนด์รถจีน อุตสาหกรรมของยานยนตร์มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากหากพูดถึงเรื่องของเทคโนโลยียานยนตร์ หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงรถยนต์จากญี่ปุ่น เกาหลี หรือฝั่งยุโรป แต่ในปัจจุบันอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของจีนเริ่มมีการขยับขยาย รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ล้ำหน้าเทียบเท่ากับเทคโนโลยีชั้นนำที่เราคุ้ยเคย ซึ่งตลาดรถยนต์ในไทยก็เริ่มเปิดรับรถยนต์จากจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าอย่างนั้นเราไปทำความรู้จักกันว่าจะมีแบรนด์รถจากจีนในไทยค่ายไหนบ้างที่เป็นแบรนด์ยอดนิยมในบ้านเรา
ซื้อรถยนต์มือสองกับ Carsome.co.th การันตีคุณภาพรถยนต์ ผ่านการตรวจสภาพ 175 จุด พร้อมรับประกัน 1 ปีเต็ม ราคาคงที่ ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง ซื้อไปแล้วไม่พอใจ การันตีคืนเงินเต็มจำนวนภายใน 5 วัน
นึกถึงรถยนต์มือสองต้อง Carsome.co.th
8 แบรนด์รถจีน พร้อมรุ่นย่อย
BYD

credit : bydeurope.com
สำหรับ BYD หรือ Bulid Your Dream อุตสหากรรมยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีนได้ก่อตั้งปี 1995 โดย Wang Chuanfu ซึ่งเริ่มต้นมาจากบริษัทผลิตแบตเตอรี่โทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน เมื่อปี 2002 บริษัท BYD เข้าซื้อบริษัทรถยนต์ Tsinchuan Automobile เข้ามาเป็นบริษัทลูกแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “BYD Auto”
โดยในช่วงแรกยังคงผลิตรถยนต์น้ำมัน อิงตามรถยนต์ของญี่ปุ่นอยู่ จนกระทั่งในปี 2008 ทางค่ายได้มีการผลิตรถพลังไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) คันแรกของโลก ด้วยความชำนาญที่ทางบรษัทได้มีการผลิตด้านแบตเตอรี่มาก่อน ตั้งแต่นั้นมาจึงทำให้ทางค่ายเริ่มได้รับความสนใจในแวดวงรถยนต์โลก
ในปัจจุบันรถยนต์ของ BYD มีการวางจำหน่ายตั้งแต่รถขนาดเล็ก ขนาดคอมแพกต์ ไปจนถึงรถขนาดกลาง และยังมีทั้งรถแฮทช์แบ็ก ซีดาน เอ็มพีวี เอสยูวี รถไฟฟ้า ไฮบริด และรถที่ใช้เครื่องยนต์ปกติ ทำให้สามารถทำกำไรได้จากตลาดเกือบทุกทวีปทั่วโลก จึงทำให้บรษัทมีมูลค่าสูง 4.7 ล้านล้านบาท เป็นรองแค่ Tesla และ Toyota เท่านั้น
ถึงตอนนี้ BYD ได้มีการทำตลาดรถยนต์หลายสิบรุ่น ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าล้วน และรถยนต์เครื่องสันดาปภายใน โดยจุดเด่นก็คือ การตั้งชื่อรุ่นให้เหมือนกับราชวงศ์ของจีน เช่น ฮั่น, ชิง, ซ่ง, ถัง และหยวน เป็นต้น ส่วนในประเทศไทย BYD มีการทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 1 รุ่นคือ BYD e6 รถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบ Mini-Van นั่นเองค่ะ
SAIC

credit : www.saicmotor.com
มาต่อกันที่ SAIC หรือ Shanghai Automotive Industry Corporation ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์เก่าแก่ของจีน ที่มีการก่อตั้งเมื่อทศวรรษที่ 40 ก่อตั้งโดย Chen Hong โดยทางบริษัทมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องเครื่องยนต์สันดาปภายใน และมีการเริ่มต้นจากธุรกิจโรงงานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นการผลิตรถยนต์จำหน่ายแทนในช่วงทศวรรษที่ 60s และปัจจุบันผลิตรถยนต์ครอบคลุมทั้งเครื่องสันดาปภายใน และรถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับ แบรนด์ SAIC จะมีความแตกต่างกับ BYD ตรงที่จะมีรัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ โดยมีอีก 3 ราย คือ Changan Automobile, FAW Group และ Dongfeng Motor Corporation ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของเหมือนกัน นอกจากนี้ SAIC ยังทำตลาดภายใต้แบรนด์ย่อย ไม่ได้ใช้ชื่อตัวเอง คล้ายกับกรณีของ GM จากสหรัฐอเมริกา
โดยชื่อแบรนด์ก็มีตั้งแต่ Maxus, Roewe, MG รวมไปถึงการรับเป็นผู้ผลิตให้กับรถยนต์ต่างประเทศเพื่อขายในจีน เช่น กลุ่ม GM และ Volkswagen นอกจากนี้ SAIC ยังเริ่มออกไปทำตลาดต่างประเทศ โดย SAIC มีมูลค่ากิจการ 33,000 ล้านหยวน (29 เม.ย. 2021) ยอดขาย 45,000 ล้านหยวน และกำไรจากการดำเนินงาน 2,872 ล้านหยวน
ในด้านการตลาดของไทย SAIC ได้ร่วมมือกับกลุ่ม CP เพื่อทำตลาดรถยนต์แบรนด์ MG ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์น้องใหม่ของตลาดไทยที่ตีตลาดได้ และได้รับความนิยมสูง โดยเฉพาะในกลุ่ม SUV ที่สามารถมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งได้ รวมถึงการกดราคารถยนต์ไฟฟ้าล้วนลงมาต่ำกว่า 1 ล้านบาทก็เป็นอีกเรื่องที่สร้างชื่อให้กับ MG
จากจุดนี้ทำให้กลายมาเป็นจุดเด่นของ SAIC โดยเฉพาะในเรื่องการประกอบยานยนตร์ ตั้งแต่ช่วงปี 2000 เป็นต้นมา ทำให้เหล่าแบรนด์รถยนต์ระดับโลกจึงเข้ามาร่วมทุนและผลิตยนต์ส่งออกขาย และช่วยผลักให้ SAIC เติบโต มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนสามารถผลิตรถยนต์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของจีน และอันดับ 12 ของโลก ไม่ว่าจะเป็น รถน้ำมัน รถไฟฟ้า ทั้งระดับธรรมดาและพรีเมี่ยม รวมไปถึงรถบัส รถบรรทุก รถเมล์ ที่มีการส่งออกไปทั่วโลกด้วย
MG

credit : www.mgcars.com
ในส่วนของ MG นั้นถือว่าเป็นรถยนต์ระดับตำนานจากอังกฤษ ที่ให้กำเนิดโดย William R Morris ตั้งแต่ปี 1924 และได้มีการดำเนินกิจการธุรกิจภายใต้ชื่อตนเองและชื่อบริษัท Morris Motors Limited จนถึงปี 1952 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมารถ MG ได้เปลี่ยนเจ้าของหลายครั้ง จาก Morris มาสู่ British Motor Corporation, British Motor Holdings, British Leyland, Rover Group, British Aerospace, BMW, MG Rover Group และในที่สุดปี 2005 ก็ถูกซื้อโดยบริษัทจีน Nanjing Automobile Group (ซึ่งต่อมารวมเข้ากับ SAIC – Shanghai Automotive Industry Corporation ในปี 2008 ทำให้ปัจจุบัน MG เป็นของ SAIC)
หลังจากการเปลี่ยนผ่านมาหลายบริษัท MG ที่อยู่ในแดนจีนก็ได้เริ่มการผลิตใหม่ในปี 2007 จนนกระทั่งวันที่ 26 มิถุนายน 2011 MG ถึงได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ MG 6 อย่างเป็นทางการ นับแต่นั้น MG ก็เข้าสู่ยุคใหม่ ได้เริ่มบุกตลาดอย่างจริงจังอีกครั้ง และยังมีรถรุ่นใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดหลายรุ่นอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน ซึ่งในคราวนี้ MG ไม่ได้เน้นเฉพาะในอักฤษและในอีกไม่กี่ประเทศเท่านั้น แต่ MG ยังได้ขยายตลาดเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ เช่น จีน, อินเดีย, ไทย และกลุ่มประเทศอาเซียนหลาย ๆ ประเทศด้วย
สำหรับ MG ถือว่าเป็นแบรนด์รถยนต์เจ้าแรกที่มาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากจีนในไทยนานถึง 7 ปี โดยเป็นการร่วมทุนระหว่าง เอสเอไอซี มอเตอร์ และ เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) ซึ่งได้เลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา มีกำลังการผลิตมากกว่า 100,000 คันต่อปี โดยมีรถยนต์จำหน่าย 5 รุ่น ได้แก่ MG HS, MG ZS, MG5, MG3, MG Extender และยังมีรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่าย 2 รุ่น คือ MG ZS EV และ MG EP โดย MG นั้นเป็นรถยนต์ที่มีระบบเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษในทุกรุ่น ๆ อีกด้วย
Great Wall Motor

credit : www.gwm-global.com
สำหรับรถยนต์จากค่ายนี้ก็มีรุ่นที่โดดเด่นก็คือ ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์สุดน่ารักที่มาในสไตล์วินเทจ ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ทำให้หลาย ๆ คนหันมาสนใจรถยนต์จากจีนมากขึ้น และยังเป็นการเปิดตัวตลาดรถยนต์ของจีนได้กว้างขึ้นด้วย สำหรับ GWM นั้นได้ก่อตั้งเมื่อปี 1984 โดย Wang Fengying ซึ่งมีการเริ่มต้นจากการผลิตรถบรรทุก ที่มีจุดเด่นด้านความทนทาน จากนั้นจึงต่อยอดไปสู่รถกระบะและได้รับความนิยมจนตีตลาดในจีนแตก จนในปี 1998 ก็ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดรถปิคอัพ ในจีนได้สำเร็จ ทำให้ขยายไปสู่ประเภทรถยนต์อื่น ๆ ด้วย เช่น SUV
ในช่วงทศวรรษ 90s รถกระบะของ GWM ได้ถูกส่งออกไปยังตะวันออกกลาง จน GWM เริ่มตั้งตัวได้ และสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อปี 2003 และหลังจากนั้นอีก 10 ปี ได้ก่อตั้งแบรนด์ Haval เพื่อใช้ทำตลาดรถ SUV โดยเฉพาะ ครอบคลุมทุกขนาด และทุกความต้องการ
โดยในปัจจุบันทาง GMW ก็ได้ผลิตรถยนต์ออกมาหลายแบรนด์ โดยมีรถยนต์ 4 แบรนด์ที่ได้รับความนิยมและหลาย ๆ คนอาจจะเห็นบ่อย ๆ ได้แก่ HAVAL เป็นแบรนด์รถยนต์ประเภท SUV ยอดขาดสูงสุดในจีน 11 ปีซ้อน, ORA แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า ที่เกิดจากการลงทุนวิจัยและพัฒนาของบริษัทนานกว่า 10 ปี, WEY แบรนด์รถยนต์ Smart SUV เป็นแบรนด์เจาะกลุ่มตลาดรถพรีเมี่ยม หรูหรา คุณภาพสูง และ GWM POER แบรนด์รถกระบะถึกทน ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของ GMW ตั้งแต่สมัยบุกเบิก
ซึ่งถ้าหากถามว่ารถยนต์จากค่ายนี้มีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง ก็คงต้องบอกว่า เทคโนโลยีของจีนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้ทางค่ายได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านยานยนตร์ให้สามารถใช้ไฟฟ้าได้ 100 % อีกทั้งยังมีราคาที่จับต้องได้ บวกกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัยมากมายและดีไซน์อันล้ำสมัย ทำให้รถยนต์จากแดนมังกรค่ายนี้ก็เป็นอีกค่ายที่น่าจับตามองในบ้านเราเป็นพิเศษค่ะ
NIO

credit : www.nio.com
NIO ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่น่าจับตามองของจีน ก่อตั้งโดย William Li ซึ่งได้เริ่มต้นจากการทำ Startup ด้านอินเทอร์เน็ต และตามด้วยก่อตั้งบริษัท Bitauto Holdings Limited ที่ให้บริการข้อมูลด้านรถยนต์ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
สำหรับในช่วงปี 2014 William Li ได้หันมาเริ่มจับธุรกิจรถยนต์สปอร์ตไฟฟ้าในปีภายใต้บริษัท NIO Inc. ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก จากกระแสรถ EV ที่กำลังมาแรงยิ่งทำให้นักลงทุนและกองทุนมาร่วมเป็นพันธมิตร เช่น Baillie Gifford, BlackRock, Temasek และ Tencent ใช้เวลาเพียง 4 ปี ก็สามารถพา NIO Inc. เข้าตลาดหลักทรัพย์ NYSE ได้สำเร็จ
ถ้าหากจะพูดถึงจุดเด่นของ NIO ก็อาจจะเป็นเรื่องราวของบริษัทที่ต้องการเติบโตได้เหมือน Tesla อย่างรวดเร็วและจากเรื่องราวนี้เอง ทำให้นับตั้งแต่ทางบริษัทสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของ Nasdaq ได้เมื่อปี 2018 ทำให้ตัวมูลค่าหุ้นของ NIO ก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนมูลค่ากิจการนั้นมหาศาลนั่นเอง
ในส่วนของรถยนต์ที่ได้ทำการตลาดปัจจุบันมี 3 รุ่นด้วยกัน คือ EC6, ES6 กับ ES8 เป็น SUV ที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของขนาด Mid-Size และ Full-Size นอกจากนี้ NIO ยังมี EP9 รถสปอร์ตไฟฟ้าล้วนสมรรถนะสูง รวมไปถึงการส่งทีมลงแข่งรายการ Formula E เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ด้วย
สำหรับในประเทศไทย NIO ยังไม่มีความชัดเจน แต่ว่าในปัจจุบันได้มีแผนการทำ Marketing ในต่างประเทศมากขึ้น และล่าสุดยังได้มีการเปิดตัว ET7 รถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบ Sedan รวมไปถึงเทคโนโลยีระบบรถยนต์ไร้คนขับประสิทธิภาพสูง และการสลับแบตเตอรี่ในกรณีที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเสื่อมสภาพด้วย
Geely

credit : global.geely.com
สำหรับแบรนด์รถยนต์ดังเดิมอย่าง Geely โดยมีการก่อตั้งเมื่อปี 1997 และผลิตรถยนต์รุ่นแรกออกมาในปี 1998 Geely เป็นบริษัทผลิตรถยนต์เอกชนถือหุ้นรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2001 ทั้งจากนั้นไม่นานยังเริ่มส่งออกรถยนต์ออกไปทำตลาดในต่างประเทศด้วย
ในส่วนของ Geely จะเน้นไปที่การสร้างรถยนต์ที่เน้นความปลอดภัยสูง ซึ่งช่วงนั้นทางค่ายได้เริ่มริเริ่มโปรเจคต์การซื้อกิจการ Volvo และสุดท้ายในปี 2010 ก็เป็นผลสำเร็จ ทำให้ทางค่ายเป็นผู้ผลิตรถยนต์จีนรายแรกที่เป็นเจ้าของแบรนด์รถยนต์จากต่างประเทศ ไม่ใช่แค่รับผลิต และจำหน่ายรถยนต์ของต่างประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ในปี 2017 ทาง Geely ก็ยังได้เข้าซื้อกิจการ Proton รถยนต์ของมาเลเซีย เพื่อบุกตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวา ซึ่งการซื้อครั้งนั้นได้แบรนด์ Lotus จากอังกฤษมาด้วย สำหรับในปัจจุบัน Geely ไม่ได้ทำตลาดในประเทศไทย แต่ก็มี Volvo ที่ผลิตจากโรงงานมาเลเซียเข้ามาทำตลาดแทน ที่สำคัญ Geely ยังต้องการบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีใหม่ในรถยนต์มากขึ้น ถึงขั้นมีการตั้งเป้าหมายจำหน่ายแต่รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต รวมไปถึงการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ที่เน้นทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
Chery

credit : www.cheryinternational.com
สำหรับกระแสข่าวการกลับมาอีกครั้งของแบรนด์รถยนต์เชอรี่ ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ชั้นนำจากเมืองจีนเมื่อ10 ปีที่แล้ว ได้กลายเป็นกระแสขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากมีการจับภาพรถยนต์ไฟฟ้าของเชอรี่กำลังวิ่งทดสอบในประเทศไทย แต่ภายหลังทราบว่าเป็นการวิ่งทดสอบระบบของทางกลุ่ม การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย(ปตท.) ซึ่งยังไม่มีคำยืนยันหรือปฏิเสธอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างเชอรี่กับปตท. ทำให้เป็นที่ลุ้นกันว่าเชอร์รี่นั้นจะได้เข้ามาทำการตลาดในไทยหรือไม่อย่างไร
ในส่วนของเชอร์รี่นั้นก็มีจุดเด่นในด้านเครื่องยนต์ที่ติดอันดับ Top 10 ของจีนถึง 6 โมเดลด้วยกัน และในแง่ของเทคโนโลยีอัจฉริยะ Chery ก็ได้มีการร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Huawei และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกรายอื่น ๆ เพื่อร่วมกันพัฒนายานยนต์อัจฉริยะที่พร้อมรับกับโลกอนาคต ปัจจุบันได้มีการเปิดตัวเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ L2.5 ในตลาดแล้ว และน่าจะพัฒนาจนได้เป็นเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ L4 ได้ในปี 2025 และในแง่ของเทคโนโลยีพลังงานใหม่ Chery ได้เริ่มวิจัยและพัฒนามาตั้งแต่ปี 1999 และเป็นแบรนด์จีนเจ้าแรกที่เปิดตัวรถไฟฟ้าขนาดเล็ก (Little Ant) อย่างรุ่น EQ1 ที่มีตัวรถทำมาจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา
ส่วนการคาดการณ์ว่ารถยนต์เชอร์รี่ที่จะมาเปิดตัวในไทยนั้นน่าจะเป็น Chery Tiggo Series เอสยูวีรุ่นเด่นของค่าย และรุ่นที่คาดว่าจะนำมาขายนั่นคือ Chery Tiggo 7 PRO เอสยูวีระดับเดียวกับ MG ZS, Toyota Corolla Cross, Mazda CX-30 หรูสง่าสไตล์ เชอรี่ มาพร้อมกับความเท่กระจังหน้าลายเอกลักษณ์พร้อมไฟหน้า Martrix LED และไฟท้าย LED แนวยาว ที่มีการออกแบบคล้าย ๆ Geely พร้อมหลังคาพาโนรามิกซันรูฟขนาดใหญ่ และอีกรุ่น Chery Tiggo PRO 8 เอสยูวีใหญ่ 7 ที่นั่ง เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.6 ลิตร 197 แรงม้า พร้อมความหรูตามสไตล์ เชอรี่ ด้วยไฟแอมเบี่ยนไลท์ 7 สี และเครื่องปรับอากาศแยกส่วน 3 โซน ซึ่งเรามาดูกันว่ารุ่นที่กล่าวมานั้นจะมีการเปิดตัวในไทยปีหน้าหรือไม่ ต้องติดตามค่ะ
DFSK

credit : www.dfsk.com
แบรนด์ใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้ามาเปิดตัวในไทย แต่แท้ที่จริงแล้ว DFSK ที่จีนเป็นแบรนด์ในเครือของ ตงฟง มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับท็อป 5 ของประเทศจีนที่เก่าแก่ ซึ่งอดีต ตงฟง เคยทำตลาดรถยนต์ปิกอัพขนาดเล็กในประเทศไทยด้วย แต่ภายหลังได้มีการยุติการขายไป เหลือไว้เพียงส่วนของการบริการหลังการขายเท่านั้น
สำหรับรถยนต์รุ่นแรกที่จำหน่ายของทางค่ายก็คือ Glory iAuto ซึ่งเป็นรถยนต์แบบครอสโอเวอร์ 7 ที่นั่ง ที่มีการนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย เปิดตัวด้วยราคาแนะนำเพียง 899,000 บาท ซึ่งทำให้เป็นที่น่าจับตามองเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นการนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งไม่เสียภาษีนำเข้าภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน และยังมีการปรับดีไซน์ให้ดูมีความทันสมัย พร้อมด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ในราคาเข้าถึงง่าย มีความคุ้มค่าสูง สามารถสู้กับคู่แข่งในตลาดได้
ทางค่ายยังได้มีการเพิ่มศูนย์บริการในไทยจากเดิมที่มีอยู่ 8 แห่ง เตรียมขยายเป็น 12 แห่งทั่วประเทศในปีหน้า รวมไปถึงการเปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่จะตามมาในปีถัดไป ทำให้เราจะได้เห็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยคึกคักกันมากขึ้นด้วย
หากคุณกำลังสนใจจะ ซื้อรถมือสอง หรือ ขายรถ แล้วล่ะก็… ที่ CARSOME เสนอราคาให้คุณได้ดีที่สุด! เรามีขั้นตอนการชำระเงินที่รวดเร็ว และไม่มีขั้นตอนยุ่งยากใด ๆ คลิกที่เว็บไซต์เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย!


