ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
10 อาคารรัฐสภาใหญ่ที่สุดในโลก อันดับประชาธิปไตยอยู่ที่เท่าไหร่
23 Jun 2025




Play
10 อาคารรัฐสภาใหญ่ที่สุดในโลก แต่ความยิ่งใหญ่ไม่ได้การัยตีคุณภาพประชาธิปไตยเสมอไป แต่ละประเทศทำคะแนนได้ดีแค่ไหน มาดูกัน !?
แม้อาคารรัฐสภาจะเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการเมืองในแต่ละประเทศ แต่ขนาดและความอลังการของสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าเนื้อในของประชาธิปไตยจะเข้มแข็งหรือโปร่งใสตามไปด้วยเสมอไป
10 อาคารรัฐสภาใหญ่ที่สุดในโลก
และอันดับประชาธิปไตย

อันดับ 1 Sappaya‑Sapasathan (รัฐสภาไทย, กรุงเทพฯ) อันดับประชาธิปไตย 63
อาคารแห่งนี้ก่อสร้างบนพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขตดุสิต เริ่มโครงการในปี 2008 ภายใต้รัฐบาลสมาคม สุนทรเวช และลงนามสัญญาก่อสร้างในปี 2013 โดยออกแบบโดยทีมอาจารย์ธีรพล นิ่มโยม (เป็นสุดยอดของนักออกแบบสถาปัตยกรรมไทย) งบวางไว้ที่ราว 104 – 2.3 พันล้านบาท และเริ่มงานก่อสร้างอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 มิ.ย. 2013 ถึงจะมีเป้าหมายเปิดในปี 2015 แต่เกิดความล่าช้าและงบทะลุ โดยแล้วเสร็จช่วงสิงหาคม 2019 และจึงเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ 1 พ.ค. 2021
โครงสร้างถูกออกแบบให้ผสมระหว่าง “สามโลก” ของพุทธคติ (โลก สนามหรรษา และสวรรค์) โดยมีองค์เจดีย์ศูนย์กลาง แสดงสัญลักษณ์คุณธรรม พร้อมมีห้องประชุมทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา อุปกรณ์อาคารครบ ทั้งพิพิธภัณฑ์ห้องสัมมนา งานประกาศเกียรติคุณ ที่จอดรถ 2,000 คัน และระบบสมาร์ทอาคาร (IoT) รองรับ 5 G ทั้งนี้มีการใช้ไม้สักกว่า 5,018 ต้น ตอกย้ำตัวตนความเป็นไทย และออกแบบภายใต้แนวคิดสถาปัตยกรรมสีเขียว
อันดับ 2 Palace of the Parliament (บูคาเรสต์, โรมาเนีย) อันดับประชาธิปไตย 72
ศูนย์กลางโครงการ “บ้านของประชาชน” เริ่มต้นช่วงปี 1984 ภายใต้ยุคของนิโคลาเอา เชาเชสกู สะท้อนความยิ่งใหญ่ของระบอบคอมมิวนิสต์ โดยรื้อพื้นที่ประวัติศาสตร์กว่า 1/5 ของกรุงบูคาเรสต์ ทั้งบ้านเรือนโบสถ์และชุมชน ทำให้ผู้คนราว 40,000 คนต้องเคลื่อนย้าย ภายใต้การดูแลออกแบบโดยสถาปนิก Anca Petrescu และทีม 700 คนงาน ก่อสร้างต่อเนื่อง 13 ปี (1984–1997) ใช้วัสดุในประเทศทั้งหมด ทั้งหินอ่อน โลหะสะท้อนแสง ผลิตในโรมาเนีย งบประมาณรวมราว US$4.3 พันล้าน และทำให้อาคารนี้เป็นหนึ่งในอาคารปฏิบัติราชการที่หนักที่สุดในโลก
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- “บวรศักดิ์” แจงเลือกตั้งครั้งหน้ากาบัตร 4 ใบ เลือก สส. 2 ใบ ประชามติแก้รธน.29 Sep 2025
- EGAT ชวนสนุก Safe & Save Trip – กรีนให้สุดแล้วหยุดที่ลำตะคอง ไปนำกัน!!29 Sep 2025
- “ชลน่าน” ซัดรัฐบาลอนุทิน ปูทางสีน้ำเงิน อนุทินโต้มาแก้ปัญหาที่ รบ.ก่อนทิ้งไว้29 Sep 2025
PHOTO Jorge Franganillo
อันดับ 3 Parliament House (ออสเตรเลีย, แคนเบอร์รา) อันดับประชาธิปไตย 11
อาคารที่มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 224,000–250,000 ตร.ม. จำนวน 4,500 ห้อง (รวมพื้นที่ภายนอก 32–35 เฮกตาร์) ผสมผสานความทันสมัยกับสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติ โดยใช้หินอ่อนอิตาเลียนและไม้ท้องถิ่นมากกว่า 90% ภายใน Marble Foyer โถงกลางมีเสา 48 ต้นจากหิน Cipollino และ Atlantide Rosa โรยปูพื้นหินจากออสเตรเลีย นำศิลป์ออสซี่กว่า 3,500 ชิ้นมาผนวกกับศิลปกรรมพื้นเมือง (รวมโมเสก Dreaming ที่ Forecourt) เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นชาติ นอกจากนี้ ตีความสภาในระดับการใช้งานอย่าง House ของสภาผู้แทนฯ (เขียว) และ Senate (แดง) สะท้อนจากสีธรรมชาติของหินและต้นยูคาลิปตัสในพื้นที่ใกล้เคียง
PHOTO Events ACT
อันดับ 4 Great Hall of the People (จีน, ปักกิ่ง) อันดับประชาธิปไตย 145
Great Hall of the People ได้รับการตัดสินใจก่อสร้างจากคณะกรรมการการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนสิงหาคม 1958 เพื่อเชิดชูงานฉลองครบรอบ 10 ปีของสาธารณรัฐประชาชนจีน จุดประสงค์คือสร้างอาคารที่ยิ่งใหญ่พอสำหรับจัดประชุมสภา สูงถึง 10,000 ที่นั่งและใช้งานเชิงพิธีการต่างๆ การก่อสร้างต้นแบบสำเร็จในเวลาเพียง 10 เดือน (สิงหาคม 1958 ถึงกันยายน 1959) โดยใช้แรงงานกว่า 7,785 คน
Tomoaki INABA
อันดับ 5 Palais Bourbon (ฝรั่งเศส, ปารีส) อันดับประชาธิปไตย 26
เริ่มต้นก่อสร้างในปี 1722 และแล้วเสร็จในปี 1728 โดยได้รับพระราชทานเงินทุนจาก หลุยส์ ฟรองซัวซ์ เดอ บูร์บง (Louise-Françoise de Bourbon) พระธิดาที่ถูกแต่งตั้งของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14—เพื่อใช้เป็นที่ประทับ ส่วนแบบแล้วเสร็จใช้ฝีมือสถาปนิกชั้นนำได้แก่ Lorenzo Giardini, Pierre Cailleteau, Jean Aubert และ Jacques Gabriel อาคารได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์ “แกรนด์ ทรีอโนงอง” (Grand Trianon) แห่งพระราชวังแวร์ซายส์ และมีพื้นที่กว้างถึง 124,000 ตร.ม.

อันดับ 6. Palace of Westminster (ลอนดอน, สหราชอาณาจักร) อันดับประชาธิปไตย 17
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ใจกลางลอนดอน เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์กอธิคฟื้นฟู (Gothic Revival) ที่งดงามและเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของอังกฤษ ตัวอาคารถูกสร้างขึ้นใหม่หลังจากเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1834 โดยสถาปนิก Charles Barry และ Augustus Pugin โดยมีอาคารโดดเด่นอย่าง Big Ben ซึ่งปัจจุบันชื่อว่า Elizabeth Tower. ภายในประกอบด้วยห้องประชุมใหญ่สองฝั่งคือ House of Commons และ House of Lords รวมถึงห้องโถง Westminster Hall ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11
10 อาคารรัฐสภาใหญ่ที่สุดในโลก อันดับประชาธิปไตยอยู่ที่เท่าไหร่
อันดับ 7 The Capitol (สหรัฐฯ, วอชิงตัน ดี.ซี.) อันดับประชาธิปไตย 28
รู้จักกันในชื่อ United States Capitol คืออาคารรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นสถานที่ประชุมของสองสภาคือ วุฒิสภา (Senate) และ สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1793 ตามแบบสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิก โดยมีการวางศิลาฤกษ์โดยประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน อาคารได้รับการขยายหลายครั้งตลอดประวัติศาสตร์ รวมถึงการต่อเติมโดมขนาดใหญ่ในช่วงสงครามกลางเมือง ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของระบอบประชาธิปไตยอเมริกัน

อันดับที่ 8 Reichstag (เยอรมนี, เบอร์ลิน) อันดับประชาธิปไตย 13
อาคาร Reichstag เป็นอาคารรัฐสภาที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมืองของเยอรมนี ตั้งอยู่ในกรุงเบอร์ลิน สร้างขึ้นระหว่างปี 1884–1894 เพื่อเป็นที่ประชุมของ Reichstag ซึ่งเป็นรัฐสภาแห่งจักรวรรดิเยอรมัน ตัวอาคารได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Paul Wallot ในสไตล์นีโอเรอเนซองส์ โดยมีโดมกระจกอลังการเป็นสัญลักษณ์สำคัญในเวลานั้น อย่างไรก็ตาม อาคารแห่งนี้เผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เมื่อเกิดเหตุการณ์วางเพลิงในปี 1933 ซึ่งนาซีนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการขยายอำนาจเผด็จการอย่างเป็นทางการ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Reichstag ได้รับความเสียหายอย่างหนัก และถูกปล่อยทิ้งร้างในช่วงที่เยอรมนีแบ่งแยก จนกระทั่งหลังการรวมชาติในปี 1990 อาคารจึงได้รับการบูรณะครั้งใหญ่โดยสถาปนิกชื่อดัง Norman Foster ซึ่งออกแบบให้ตัวโดมใหม่เป็นกระจกใสเพื่อสะท้อนแนวคิด “การเมืองโปร่งใส” กลายเป็นจุดชมวิวและสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยใหม่ในเยอรมนี ปัจจุบัน Reichstag เป็นที่ประชุมของ Bundestag หรือรัฐสภาเยอรมัน และเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ด้วย โดยมีพื้นที่ใช้สอยรวมราว 61,000 ตารางเมตร.

อันดับที่ 9 Argentine National Congress (อาร์เจนตินา, บัวโนสไอเรส) อันดับประชาธิปไตย 54
Argentine National Congress หรือ รัฐสภาแห่งชาติอาร์เจนตินา (Congreso de la Nación Argentina) ตั้งอยู่ในกรุงบัวโนสไอเรส เป็นหนึ่งในอาคารรัฐสภาที่สวยงามและโดดเด่นที่สุดในอเมริกาใต้ ตัวอาคารเริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1898 และเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในปี 1906 แม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ทั้งหมด จุดเด่นของอาคารคือโดมทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ที่สูงกว่า 80 เมตร และรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกผสมเรอเนซองส์ ออกแบบโดยสถาปนิก Vittorio Meano ชาวอิตาเลียน ซึ่งต่อมาเสียชีวิตและโครงการถูกสานต่อโดย Julio Dormal
ภายในประดับด้วยวัสดุหรูหรา เช่น หินอ่อน องค์ประกอบทองเหลือง และไม้แกะสลักอย่างวิจิตร Congress ยังเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองที่สำคัญของอาร์เจนตินา โดยลานด้านหน้าอาคารคือ Plaza del Congreso ซึ่งเป็นสถานที่จัดการชุมนุม การประท้วง และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์บ่อยครั้งจนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองของประเทศ
10 อาคารรัฐสภาใหญ่ที่สุดในโลก อันดับประชาธิปไตยอยู่ที่เท่าไหร่
อันดับที่ 10 Sansad Bhavan (อินเดีย, นิวเดลี) อันดับประชาธิปไตย 41
ตั้งอยู่ในกรุงนิวเดลี เป็นที่ประชุมของรัฐสภาอินเดียทั้งสองสภา ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร (Lok Sabha) และวุฒิสภา (Rajya Sabha) อาคารนี้ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษ Sir Edwin Lutyens และ Sir Herbert Baker ในช่วงยุคอาณานิคมอังกฤษ และเริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1921 แล้วเสร็จในปี 1927 โดยมีรูปทรงกลมอันโดดเด่น มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 170 เมตร และล้อมรอบด้วยเสาโบราณแบบคลาสสิกทั้งหมด 144 ต้น สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างความงามแบบตะวันตกและแรงบันดาลใจจากศิลปะอินเดีย เช่น เจดีย์โบราณและเสาอโศก
‘ฮ่องกง’ เบอร์หนึ่งเมืองที่ดินแพงที่สุดในโลก ราคาสูงเกินเอื้อมเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ
17.06.2024

- 586

สถานีโทรทัศน์ CNN เปิดเผยรายงานประจำปีของ Demographia International Housing Affordability Report ซึ่งติดตามราคาบ้านมาเป็นเวลา 20 ปี และคอยจัดอันดับราคาที่อยู่อาศัยของเมืองต่างๆ ทั่วโลกทั้งหมด 94 แห่งใน 8 ประเทศ พบเขตปกครองพิเศษฮ่องกงขึ้นแท่นกลายเป็นเมืองที่มีราคาที่ดินแพงที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับค่าครองชีพของคนในท้องถิ่น จนทำให้ชนชั้นกลางหนึ่งคนกับการอยากมีบ้านเป็นของตนเองกลายเป็นความฝันที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ (Impossibly Unaffordable)
รายงานนี้รวบรวมโดยนักวิจัยจาก Center for Demographics and Policy ของ Chapman University ในแคลิฟอร์เนีย และ Frontier Centre for Public Policy ซึ่งเป็น Think Tank ด้านนโยบายสาธารณะในแคนาดา ซึ่งระบุว่า ทางกลุ่มได้เปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยกับราคาบ้านโดยเฉลี่ย โดยพบว่าความต้องการบ้านที่มีพื้นที่ภายนอกซึ่งขับเคลื่อนด้วยโควิด บวกกับนโยบายการใช้ที่ดินที่มุ่งจำกัดการขยายตัวของเมือง และนักลงทุนที่เข้ามาในตลาด ส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้น
ทั้งนี้ การศึกษาพบว่า 5 เมืองทางชายฝั่งตะวันตกและฮาวายของสหรัฐฯ ครองตำแหน่ง 5 จาก 10 อันดับแรกที่มีราคาเอื้อมไม่ถึง โดยเมืองที่แพงที่สุดในการซื้อบ้านในสหรัฐฯ อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่เมืองซานโฮเซ ลอสแอนเจลิส ซานฟรานซิสโก และซานดิเอโก ล้วนติด 10 อันดับแรก ส่วนโฮโนลูลู เมืองหลวงของฮาวาย จัดอยู่ในอันดับที่ 6
ด้านออสเตรเลียถือเป็นประเทศเดียวนอกเหนือจากสหรัฐฯ ที่ครองรายชื่อ ‘เมืองที่บ้านยังไม่สามารถหาซื้อได้’ โดยเมืองที่บ้านราคาแพงที่สุดในออสเตรเลียคือซิดนีย์และเมลเบิร์น เมืองทางตอนใต้ในรัฐวิกตอเรีย และเมืองแอดิเลดในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตาม อันดับหนึ่งยังคงเป็นเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ซึ่งครองตำแหน่งเบอร์หนึ่งราคาที่อยู่อาศัยแพง โดยศูนย์กลางการเงินขนาดเล็กในเอเชียแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กและค่าเช่าที่สูงลิ่ว
ปัจจุบันฮ่องกงมีอัตราการเป็นเจ้าของบ้านต่ำที่สุดในบรรดาเมืองทั้งหมดที่สำรวจ คือเพียง 51% เมื่อเทียบกับคู่แข่งในเอเชียอย่างสิงคโปร์ ซึ่งมีอัตราการเป็นเจ้าของบ้านสูงสุด 89% อานิสงส์จากความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่ยาวนานหลายทศวรรษในการสร้างและจัดสรรอาคารสาธารณะ
ทั้งนี้ การจัดทำรายงาน Demographia International Housing Affordability Report จะวัดความสามารถในการจ่าย โดยใช้อัตราส่วนราคาต่อรายได้ของราคาบ้านเฉลี่ยหารด้วยรายได้เฉลี่ยของครัวเรือน โดยเชื่อมโยงการเพิ่มขึ้นของการทำงานจากที่บ้านในช่วงวิกฤตโควิดระบาดที่เกิด Demand Shock ขณะที่บ้านนอกใจกลางเมืองซึ่งมีพื้นที่ภายนอกมากขึ้นก็ยังคงมีราคาแพง อันเป็นผลมาจากนโยบายการใช้ที่ดิน ซึ่งรวมถึงการจำกัดพื้นที่ในเมือง ซึ่งเป็นการวางแผนประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อหยุดยั้งการขยายตัวของเมือง
รายงานระบุว่า ชนชั้นกลางตกอยู่ภายใต้การปิดล้อม สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน เนื่องจากที่ดินได้รับการจัดสรรเพื่อลดการขยายตัวของเมือง และอุปสงค์ที่มากเกินอุปทานทำให้ราคาสูงขึ้น
นอกจากนี้ ราคาบ้านและที่ดินของหลายประเทศทั่วโลกยังปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีนักลงทุนส่วนหนึ่งกระโดดเข้ามาหาช่องทางลงทุนทำกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ 10 เมืองที่มีราคาที่อยู่อาศัยแพงที่สุดในโลกได้แก่
- ฮ่องกง
- ซิดนีย์
- แวนคูเวอร์
- ซานโฮเซ
- ลอสแอนเจลิส
- โฮโนลูลู
- เมลเบิร์น
- ซานฟรานซิสโก / แอดิเลด
- ซานดิเอโก
- โทรอนโต
ขณะเดียวกัน รายงานยังได้หยิบยกนิวซีแลนด์เป็นตัวอย่างการหาโซลูชันในการแก้ปัญหาราคาที่ดินแพงเกินเอื้อม ด้วยการเพิ่มพื้นที่ว่างเพื่อการพัฒนาในทันที ภายใต้นโยบาย ‘Going for Housing Growth’ ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานท้องถิ่นต้องกำหนดเขตการเติบโตของที่อยู่อาศัยในระยะเวลา 30 ปีโดยทันที
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถรอให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรืออุปสงค์ที่ลดลง รายงานยังระบุเมืองที่มีราคาเหมาะสมที่สุดจาก 94 เมืองที่สำรวจทั่วโลก ได้แก่ เมืองพิตต์สเบิร์ก, โรเชสเตอร์ และเซนต์หลุยส์ ในสหรัฐฯ เมืองเอดมันตันและคาลการีในแคนาดา เมืองแลงคาสเชอร์และกลาสโกว์ในอังกฤษ และเมืองเพิร์ทกับบริสเบนในออสเตรเลีย


