ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
ในที่สุด ผลสำรวจสุดยอดเมืองจุดหมายปลายทางโลก ที่มีการใช้จ่ายด้านอาหารและการชอปปิง (GDCI : Indulgences) ปี 2561 ของมาสเตอร์การ์ด ก็ประกาศออกมา และชื่อของ กรุงเทพฯ เมืองหลวงประเทศไทย ก็สร้างชื่ออีกครั้งด้วยการติดอันดับ ‘Top 3 ของเมืองที่มีการใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มมากที่สุด’ โดยครองอันดับ 3 เบียด ปารีส ลอนดอน และโตเกียว ซึ่งเป็นรองอยู่ในอันดับ 4 อันดับ 6 และอันดับ 8 ตามลำดับ ไม่เพียงเท่านั้น กรุงเทพฯ ยังสร้างความภาคภูมิใจให้ชาวกรุงต่อด้วยโปรไฟล์ ‘กรุงเทพฯ ติด Top 10 เมืองชอปปิงโลก’ ด้วย
วิเคราะห์ความโดดเด่น ทำไมกรุงเทพฯ ติด Top 10 เมืองจุดหมายปลายทางด้านอาหารและการชอปปิงของโลก
เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยู่แล้วว่า อาหารไทย มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่ กรุงเทพฯ จะมีชื่อเสียงในฐานะเมืองหลวงที่มีสีสันของอาหารและวัฒนธรรมซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยผลสำรวจสุดยอดเมืองจุดหมายปลายทางโลกที่มีการใช้จ่ายด้านอาหารและการชอปปิง ปี 2561 ระบุว่า
“นักท่องเที่ยวมีการจับจ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มเมื่อมาเที่ยว ‘กรุงเทพฯ’ ถึงปีละ 3,370 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เมืองที่ครองแชมป์อันดับ 1 ในการสำรวจครั้งนี้ คือ ‘ดูไบ’ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยนักท่องเที่ยวจ่ายค่าอาหารในระหว่างเที่ยวที่เมืองนี้ปีละ 5,940 ล้านดอลลาร์ และเมือง ‘ปัลมา เด มา ยอร์กา’ ประเทศสเปน ทำสถิติตามมาเป็นอันดับ 2 โดยนักท่องเที่ยวใช้จ่ายค่าอาหารปีละ 3,780 ล้านดอลลาร์”
หากถามถึงความโดดเด่นของอาหารไทยที่ทำให้ กรุงเทพฯ ติด Top 10 เมืองน่ากิน น่าชอป ของโลก รศ.ดร.สุรชัย จิวเจริญสกุล อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการธุรกิจอาหาร ให้มุมมองที่น่าสนใจไว้ว่า
“ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวเกิดจากความคุ้มค่าของเงินที่จ่าย ซึ่งทำให้เกิดการจดจำ บอกต่อ และกลับมาใหม่ โดยความประทับใจนี้เกิดจากหลายปัจจัยร่วมอย่าง การให้บริการที่ดี ความเป็นมิตรและมีน้ำใจไมตรี ที่พักได้มาตรฐานเหมาะสมกับราคา ของฝากที่มีให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะการกินอาหารที่โดดเด่นเป็นธรรมชาติ เป็นวิถีไทยที่มีเสน่ห์ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น ทำให้วัตถุดิบมีความหลากหลาย อย่างอาหารตำรับชาววัง หรืออาหารหลากรสชาติที่เปลี่ยนไปตามแต่ละภูมิภาค ทั้งอาหารเหนือ อาหารปักษ์ใต้ อาหารอิสาน”
เมื่อมีเรื่องกินก็ต้องมีการชอปปิงตามมา ซึ่งกรุงเทพฯ ก็ได้สร้างชื่อต่อเนื่องด้วยการอยู่ในอันดับ 6 ของเมืองที่สร้างรายได้ด้านการชอปปิงมากที่สุดในโลก โดยสร้างมูลค่าจากการที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาใช้จ่ายสูงถึง 120,000 ล้านบาท หรือราวปีละ 3,750 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 23 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้จ่าย
โดยในผลสำรวจเรื่องนี้ เมืองดูไบ ยังครองแชมป์อันดับ 1 ด้านการชอปปิงพ่วงด้วย ตามมาด้วย ลอนดอน ซึ่งการชอปนี้รวมทั้งการชอปเสื้อผ้า ของฝาก และสินค้าอื่นๆ ในระหว่างการท่องเที่ยวในเมืองนั้น
‘ที่พักในเมืองไทย’ ก็ยอดเยี่ยม ติดอันดับ Top 20 ของโลก
ไม่ใช่แค่เรื่องกิน เรื่องชอปเท่านั้น แต่ในด้านที่พัก ประเทศไทยก็ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Top 20 ของการประกาศผลรางวัล Guest Review Award ประจำปี 2561 โดย Booking.com ซึ่งจะประเมินความพึงพอใจของลูกค้าและจัดอันดับ จากประเทศและเขตการปกครองทั้งหมด 219 ประเทศ รวม 9,251 แห่ง โดยการจัดอันดับในปีนี้ ประเทศอิตาลี มีจำนวนที่พักที่ได้รับรางวัลนี้มากที่สุดถึง 106,513 แห่ง
และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่มีการจัดอันดับจุดหมายการเดินทางที่ทุ่มเทให้กับงานบริการ โดยอ้างอิงจากการรีวิวของผู้เข้าพัก ซึ่ง Top 3 ของประเทศที่ได้ชื่อว่า ‘รักงานบริการที่สุด’ คือ ออสเตรีย สาธารณรัฐเช็ก และโปแลนด์
จากการจัดอันดับนี้ หากพิจารณาในบริบทของประเทศไทยพบว่า จุดหมายปลายทางในไทย 5 อันดับแรกที่รักงานบริการมากที่สุด 5 คือ จังหวัดสุโขทัย, เขาหลัก จังหวัดพังงา, หาดในยาง จังหวัดภูเก็ต, อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
แนวคิดที่ซ่อนอยู่ในการจัดอันดับจุดหมายการเดินทางที่ทุ่มเทให้กับงานบริการ ก็เพื่อที่จะสื่อผลลัพธ์ที่ได้จากการสำรวจความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการจองที่พักผ่าน Booking.com ว่า
“คนท้องถิ่นที่เป็นมิตรและมีความน่าสนใจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกส่วนใหญ่ใช้พิจารณาเลือกจุดหมายปลายทางในการเดินทางครั้งต่อไป ซึ่งการสำรวจในปีนี้ ยังค้นพบข้อที่น่าสนใจว่าประเภทที่พักทั่วโลกที่มีใจรักงานบริการมากที่สุดนี้ไม่ใช่โรงแรม แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านักเดินทางทั่วโลกชื่นชอบที่จะเข้าพักในที่พักที่มีรูปแบบแปลกใหม่อย่าง เบดแอนด์เบรกฟาสต์ (บีแอนด์บี) ฟาร์มสเตย์ โฮมสเตย์ เกสต์เฮาส์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เรียวกัง เป็นต้น”
นอกจากนั้น จากการสำรวจเรื่องที่พักเป็นเวลา 2 ปี ติดต่อกัน พบว่าที่พักซึ่งได้รับรางวัลมากที่สุด 4 ใน 5 อันดับแรก ไม่ใช่โรงแรม โดย อพาร์ตเมนต์ เป็นที่พักที่ได้รับรางวัลมากที่สุดถึง 269,649 แห่ง ทั่วโลก คิดเป็น 36 เปอร์เซ็นต์ของที่พักทั่วโลกที่ได้รับรางวัลในปี 2561 ขณะที่รองลงมาเป็น โรงแรม จำนวน 148,913 แห่ง และ เกสต์เฮาส์ 78,574 แห่ง ตามลำดับ ซึ่งผู้จัดทำแบบสำรวจนี้มั่นใจว่า แนวโน้มความนิยมในการเลือกที่พักปี 2562 ก็ยังคงมีอุปสงค์ด้านที่พักที่ไม่ใช่โรงแรมอย่างชัดเจน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ปัจจัยที่จะทำให้ ภาคการท่องเที่ยวปี 2562 สดใสอย่างต่อเนื่อง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกมาคาดการณ์ว่า ภาคการท่องเที่ยวจะนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยตลอดปี 2562 อย่างต่อเนื่อง โดยชี้ว่าปัจจัยที่ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2561 คือ การที่ภาครัฐมีมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม (Visa on Arrival) สำหรับนักท่องเที่ยว 21 ประเทศ จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2562 ส่งผลให้รายได้ด้านการท่องเที่ยวมีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 2.01 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ กอปรกับภาคเอกชนที่ยังคงกล้าที่จะลงทุนสร้างแหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่พัก โรงแรม ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กใหม่ๆ รวมถึงการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับนานาชาติมากขึ้น ปัจจัยทั้งหลายนี้มีส่วนช่วยให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น
นอกจากนั้น ทิศทางการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยยังขึ้นอยู่กับ ปัจจัยภายในประเทศด้วย อย่างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทย เช่น ความปลอดภัย ความสมบูรณ์ของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และ ปัจจัยภายนอก ที่มาจากเศรษฐกิจในหลายประเทศส่อแววชะลอตัว ขณะที่มีการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเดียวกันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายคือ ภูมิอากาศทั่วโลกที่แปรปรวน ส่งผลให้ต้องปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางท่องเที่ยวแบบกะทันหันอีกด้วย
ส่องทิศทางนักท่องเที่ยวต่างชาติ ชาติไหนเดินทางเข้าไทยมาก – น้อย รู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้ตรงจุด
ในการคาดการณ์ฉบับเดียวกันนี้ นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียยังมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ที่ยังเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนคาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา แต่การฟื้นตัวที่ชัดเจนและต่อเนื่องเพิ่งมาเกิดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเพิ่มได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับทิศทางเศรษฐกิจและค่าเงินหยวนของจีน รามถึงการแข่งขันกับประเทศที่มาแรงด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม
ส่วนกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่เราจะได้เห็นว่าเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น คือ ชาวอินเดีย ที่จะเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดความท้าทายใหม่ๆ ในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และจะต้องปรับตัวรับกลุ่มลูกค้าใหม่นี้ให้มากขึ้น โดยต้องทำแข่งกับอีกหลายประเทศเพื่อเรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวอินเดียเช่นกัน
ขณะที่นักท่องเที่ยวจากยุโรป ทั้งจาก เยอรมนี ฝรั่งเศส ยังมีแนวโน้มที่ดี แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ยังต้องติดตามประเด็นในเรื่องของค่าเงินรูเบิล และสถานการณ์ Brexit ที่อาจส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวสหราชอาณาจักรด้วย นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางยังมีทิศทางชะลอตัว เพราะภาวะเศรษฐกิจในประเทศตะวันออกกลางนั้น ส่งผลให้ชาวตะวันออกกลางเที่ยวในประเทศของตนมากขึ้น
Salika’s says
สำหรับเทคนิคการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อรับกับแนวโน้มการท่องเที่ยวไทยที่รายงานมานี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้จัดโครงการ “รวมพลังตัวจริงหนุนเอสเอ็มอี–ชี้ทางรอดธุรกิจโรงแรม” ร่วมพูดคุยชี้ทางรอดให้ผู้ประกอบการ พร้อมสนับสนุนการทำธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กและขนาดกลางในไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีคำแนะนำที่น่าสนใจจากวิทยากรภายในงานที่สรุปได้ดังนี้
- ปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะมุ่งเน้นส่งเสริมการเที่ยวแบบลงลึก (Local Experience) ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านวิถีชุมชน นอกจากนี้ยังสนับสนุนธุรกิจโรงแรมด้วยการจัดโครงการและกิจกรรมในต่างประเทศ ให้ผู้ประกอบการโรงแรมได้ออกบูธเพื่อพูดคุยธุรกิจ นับเป็นอีกช่องทางในการส่งเสริมธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย
- ผู้ประกอบการโรงแรมที่พักในปัจจุบันมักให้ความสำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะการขายห้องพักผ่าน OTA (Online Travel Agent) เนื่องจากเป็นช่องทางที่เข้าถึงลูกค้าได้โดยตรงและรวดเร็ว แต่จริงๆ แล้วยังมีช่องทางการขายอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นการจองโดยตรงกับโรงแรม การจองผ่านบริษัทนำเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และการติดต่อกลุ่มบริษัทห้างร้านและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งหากธุรกิจโรงแรมสามารถสร้างรายได้จากหลายช่องทาง ก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ธุรกิจได้
- การบริหารความเสี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นหรือให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดเป็นสิ่งสำคัญ ธุรกิจโรงแรมก็เช่นกันต้องทำทุกทางเพื่อให้มียอดจองเข้ามา หากธุรกิจโรงแรมยังอยู่ที่เดิม แต่ผู้บริโภคและตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ นั่นคือเรากำลังตกอยู่ในความเสี่ยง การยึดวิธีการขายเดิมๆ ยึดตลาดใดตลาดหนึ่ง ถ้าวันหนึ่งตลาดนั้นเปลี่ยน ธุรกิจย่อมได้รับผลกระทบ แต่ถ้ารู้ทันความเสี่ยงนั้น เปลี่ยนเทรนด์ตามปัจจุบันได้ นั่นคือทางรอดของธุรรกิจ
ไทยติดอันดับที่ 11 ของโลก และ ที่ 1 ทวีปเอเชีย ประเทศน่าใช้ชีวิตหลังเกษียณ
11 Jan 2022




Play
ประเทศไทย ถือว่ายังคงได้รับความนิยมและสนใจจากผู้คนทั่วโลก เพราะเป็นประเทศที่สามารถใช้ชีวิตได้ทุกฤดูกาล ไม่ร้อน หรือ หนาวเกินไป และล่าสุดได้รับการจัดอันดับให้เป็น ประเทศน่าใช้ชีวิตหลังเกษียณ เป็นลำดับที่ 11 ของโลก เป็นเบอร์หนึ่งของทวีปเอเชียเลยทีเดียว
นิตยสารอินเทอร์เนชันแนลลิฟวิง (International Living) เปิดเผยข้อมูลสถิติ โดยยกให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่ น่าใช้ชีวิตหลังเกษียณ หรือช่วงบั้นปลายในชีวิต เป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย และเป็นลำดับที่ 11 ของโลก โดย แหล่งข้อมูลของสถิตินี้ ได้ยกเหตุผลเรื่องที่ ประเทศไทย น่าอยู่นั้น มีเรื่องค่าครองชีพที่ถูก และผู้คนในประเทศเป็นมิตร มีความเป็นกันเอง
.
โดยการจัดอันดับ ประเทศน่าใช้ชีวิตหลังเกษียณ ครั้งนี้ ใช้ดัชนีชี้วัดจาก Global Retirement Index ของ นิตยสารอินเทอร์เนชันแนลลิฟวิง (International Living) ประจำปี 2022 ได้ทำการจัดอันดับ 25 ประเทศที่เหมาะจะใช้ชีวิตหลังเกษียณ
ไทยติดอันดับที่ 11 ของโลก และที่ 1 ทวีปเอเชีย ประเทศน่าใช้ชีวิตหลังเกษียณ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เที่ยวเลย สัมผัสอากาศหนาว ดูดอกนางพญาเสือโคร่งกว่า 1000 แปลง
- คุณยายวัย 90 ปี จัด podcast Mondays with Milly มีแฟนติดตาม 27 ประเทศทั่วโลก
- ปลูกถ่าย หัวใจหมู ในร่างมนุษย์สำเร็จ ครั้งแรกของโลกที่สหรัฐฯ
โดยประเทศไทยติดอันดับที่ 11 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย ด้วยคะแนน 72.9 ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็คือ ไทยเป็นประเทศที่อากาศดี, อาหารอร่อย, ค่ารักษาพยาบาลไม่แพงจนเกินไป และผู้คนค่อนข้างเป็นมิตร จนทำให้ชาวต่างชาติจำนวนมากเลือกไทยเป็นบ้านหลังที่สอง
.
Global Retirement Index ของ นิตยสารอินเทอร์เนชันแนลลิฟวิง (International Living) ระบุด้วยว่า กรุงเทพมหานคร, หรือหัวเมืองใหญ่ๆ อย่าง เชียงใหม่ และ หัวหินในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คือหนึ่งในเมืองที่ได้รับความนิยมสำหรับการใช้ชีวิตหลังเกษียณมากที่สุด
ไทยติดอันดับที่ 11 ของโลก และที่ 1 ทวีปเอเชีย ประเทศน่าใช้ชีวิตหลังเกษียณ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- 10 อันดับศิลปินที่ยอดวิวใน YouTube สูงที่สุดในไทยประจำปี 202110 Jan 2022
- 10 อันดับ มหาเศรษฐีโลกประจำปี 2021 อีลอน มัสก์ ครองเบอร์ 1 ของโลก01 Jan 2022
- 10 อันดับวลีสุดฮิตปี 2564 ของชาวโซเชียล17 Dec 2021
ประเมินว่าคนโสดนั้นสามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย ประเทศที่ขึ้นชื่อว่า ‘The Land of Smiles’ ได้อย่างสบายๆ ด้วยเงินเพียง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน (33,000 บาท) ส่วนค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ก็ตกอยู่ที่ประมาณ 400-500 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนเท่านั้น (13,200-16,500 บาท)
.
สำหรับประเทศที่คว้าอันดับ 1 ได้แก่ “ปานามา” โดยได้คะแนนไปถึง 86.1 ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงสุด มีค่าครองชีพที่จับต้องได้มากที่สุด และผู้คนเป็นมิตรมากที่สุด ส่วน 10 อันดับแรก มีดังนี้
.
อันดับ 1 ปานามา
อันดับ 2 คอสตาริกา
อันดับ 3 เม็กซิโก
อันดับ 4 โปรตุเกส
อันดับ 5 เอกวาดอร์
อันดับ 6 โคลอมเบีย
อันดับ 7 ฝรั่งเศส
อันดับ 8 มอลตา
อันดับ 9 สเปน
อันดับ 10 อุรุกวัย
อันดับ 11 ไทย
.
สำหรับเพื่อนบ้านในอาเซียนที่ติดอันดับรองจากไทย ได้แก่ กัมพูชา (72.3), มาเลเซีย (72) รั้งอันดับที่ 15 , เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย (69) และเวียดนาม (68.3)
.
ทั้งนี้ การจัดอันดับนิตยสารอินเทอร์เนชันแนลลิฟวิง (International Living) ได้พิจารณาถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่น ค่าครองชีพ, ที่อยู่อาศัย, ความสะดวกในการขอวีซ่า, ระดับการพัฒนา, บริการด้านสุขภาพ, ภูมิอากาศ, สิทธิพิเศษต่างๆ รวมถึงระบบการจัดการต่างๆ และเป็นการเก็บข้อมูลจากผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จริง เป็นต้น




