ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
Checklist: 8 จุด ตรวจเช็กสภาพรถ ก่อนเดินทางไกล

ช่วงสิ้นปีแบบนี้ หลายคนคงกำลังเตรียมแผนการเดินทางในวันหยุดยาว ไม่ว่าจะเป็นการออกไปท่องเที่ยวกับครอบครัว หรือเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด แน่นอนว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างมากก่อนการเดินทางก็คือ เจ้าของรถควร ตรวจเช็กสภาพรถ ก่อนเดินทางไกล เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน จนทำให้ทริปที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขต้องมาสะดุดในวันหยุดยาวได้
อย่างไรก็ตาม หลายคนคิดว่า การตรวจเช็กสภาพรถก่อนเดินทางไกล จำเป็นต้องไปที่ ศูนย์ตรวจสภาพรถยนต์ หรือ ศูนย์เช็กสภาพรถ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่แท้จริงแล้ว เจ้าของรถสามารถเช็กสภาพรถของตนเองเบื้องต้นได้ง่ายๆ ใน 8 จุดสำคัญที่ควรจะต้องดูแลความเรียบร้อยก่อนเดินทางไกลดังต่อไปนี้
ซื้อรถยนต์มือสอง กับ CARSOME การันตีคุณภาพรถยนต์ ผ่านการตรวจสภาพ 175 จุด พร้อมรับประกันสูงสุด 2 ปี ราคาคงที่ ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง ซื้อไปแล้วไม่พอใจ การันตีคืนเงินเต็มจำนวนภายใน 30 วัน
8 จุดสำคัญ ตรวจเช็กสภาพรถ ก่อนเดินทางไกล
อย่าให้การเดินทางไกลต้องทำให้คุณหัวเสียเพราะสารพัดปัญหารถเสียกลางทาง พบกับ 8 จุดสำคัญที่เจ้าของรถทุกคนควร ตรวจเช็กสภาพรถ ก่อนออกเดินทาง พร้อมวิธีตรวจสภาพรถเพื่อความปลอดภัย มอบความอุ่นใจให้สมาชิกในครอบครัว
1. ตรวจเช็กสภาพรถ แบตเตอรี่

เพราะ แบตเตอรี่รถยนต์ คือหัวใจหลักของการสตาร์ทรถยนต์เนื่องจากเป็นตัวทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้กับระบบเครื่องยนต์รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องการพลังงานไฟฟ้า กุญแจสำคัญในการตรวจเช็กแบตเตอรี่รถยนต์ก็คือ จุดเชื่อมต่อแบตเตอรี่ เพราะหากการเชื่อมต่อของแบตเตอรี่ไม่ดี ระบบการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ตลอดจนถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ภายในรถก็ทำงานได้ไม่ราบรื่นไปตามด้วย
เราสามารถดูแลจุดเชื่อมต่อแบตเตอรี่ได้ง่ายๆ โดยทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ ด้วยการเช็ดสิ่งสกปรกอย่างคราบขี้เกลือสีขาวบนขั้วแบตเตอรี่ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
วิธีทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่
- ใช้แปรงลวดขัดจนกว่าคราบกัดกร่อนจะหลุดไป
 - ถอดขั้วแบตเตอรี่ออกโดยเริ่มจากสายไฟขั้วลบก่อน
 - ทำความสะอาดทั้งขั้วต่อและขั้วแบตเตอรี่ด้วยน้ำยาทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่โดยเฉพาะ
 - ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบต่างๆ ออกให้สะอาด
 - ใช้ผ้าแห้งเช็ดขั้วต่อและขั้วแบตเตอรี่ให้แห้งสนิท
 - ประกอบกลับตามเดิมและขันขั้วต่อแบตเตอรี่ให้แน่น
 
นอกจากนั้น เราควรตรวจสอบสภาพตัวก้อนแบตเตอรี่ว่า ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ พร้อมทั้งเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนด รวมถึงความแน่นของขั้วแบตเตอรี่และฉนวนหุ้มสายที่ต่อเข้ากับวงจรอีกด้วย
2. ล้อรถยนต์ ยางรถยนต์
ล้อและยางรถยนต์ เป็นอีกจุดที่สำคัญมากๆ เนื่องจากเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง และเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนหลักที่ง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เช่น ยางระเบิดขณะขับขี่ เป็นต้น ซึ่งการเช็กส่วนล้อก็ควรเริ่มต้นสังเกตที่ตัวล้อว่า ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่คด ไม่เบี้ยว น็อตล้อยังขันแน่น ขณะที่ส่วนยางรถยนต์ก็ต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่รั่ว ไม่ซึม ไม่แตกลายงา ไม่นูนหรือบวมจนผิดปกติ มีลมยางตามที่คู่มือประจำรถกำหนด ที่สำคัญ ต้องอย่าลืมเช็กความลึกร่องดอกยางและควรเปลี่ยนยางใหม่เมื่อร่องดอกยางมีความลึกน้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตรหรือที่เรียกกันว่า “ดอกยางหมด” ก่อนออกเดินทางด้วย
3. ตรวจเช็กสภาพรถ ระบบช่วงล่างรถยนต์

ถัดจากล้อรถยนต์ขึ้นมาก็เป็น ระบบช่วงล่าง ซึ่งเป็นศูนย์ถ่วงของการขับขี่รถยนต์ ถึงแม้จะค่อนข้างยากสักนิด แต่เจ้าของรถก็สามารถตรวจสอบระบบช่วงล่างด้วยตนเองได้ง่ายๆ ด้วยการตรวจเช็กคราบน้ำมันบริเวณแกนโช้คว่า รั่วหรือไม่ พร้อมทั้งเติมน้ำมันเกียร์และน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หลังจากนั้น ให้ ลองขับบนถนนเรียบทางตรงและสังเกตพวงมาลัยว่าตรงไหม มีเสียงแปลกปลอม หรือความผิดปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติข้อใดข้อหนึ่งก็ควรนำไปแก้ไขตามจุดสังเกตดังนี้
วิธีตรวจสอบระบบช่วงล่างรถยนต์
- หากระหว่างออกตัวหรือกำลังหยุดรถทั้งเดินหน้าและถอยหลัง มีเสียงดังกึกแบบเบาๆ หรือขับขี่ในทางตรงแล้ว พวงมาลัยมีอาการเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าบูชปีกนกอาจจะมีปัญหา จำเป็นต้องนำรถไปตั้งศูนย์ถ่วงล้อใหม่
 - หากมีเสียงดังขณะขับขี่ไปบนถนนขรุขระหรือลูกระนาด ลูกหมากปีกนกอาจจะมีปัญหา
 - หากขับขี่ในทางตรง แต่รู้สึกว่าล้อไม่ตรง ไม่สามารถควบคุมให้รถนิ่งได้ หรือถ้าขับขี่ไปบนถนนขรุขระแล้วสะท้านขึ้นมาจนถึงพวงมาลัย แสดงว่าลูกหมากแร๊คหรือยางรัดแร๊คมีปัญหา ต้องรีบให้ช่างแก้ไขโดยด่วน
 - ขับขี่ไปบนถนนขรุขระแล้วพวงมาลัยดึง และหลวม มีเสียงดังกุกกัก แสดงว่าลูกหมากคันชักอาจจะมีปัญหา
 
4. ระบบเบรก ระดับน้ำมันเบรก
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ระบบเบรค เป็นอีกหนึ่งระบบสำคัญของตัวรถ อีกทั้งยังรักษาชีวิตของผู้โดยสารได้ในเวลาฉุนเฉิน ดังนั้น ระบบเบรคจึงต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา โดยผ้าเบรกจะต้องไม่บางเกินไป ความหนาของเนื้อผ้าเบรกรวม Backing Plate (แผ่นเหล็กประกบหลังผ้าเบรก) ไม่น้อยกว่า 7 มม. นอกจากนั้น จานเบรกต้องไม่คด ไม่สั่น จานเบรกมาเจียนหน้าสัมผัสให้เรียบเสมอกัน และมีความหนาไม่ต่างจากของเดิมมากนัก นอกจากนั้น ควรมีการเปลี่ยนผ้าเบรกและน้ำมันเบรกตามกำหนด
อีกหนึ่งจุดที่สำคัญคือ การตรวจเช็กปริมาณน้ำมันเบรก ซึ่งจะแตกต่างจากการตรวจเช็กของเหลวอื่นๆ ในระบบ เนื่องจากระบบน้ำมันเบรกเป็นระบบปิด น้ำมันเบรกจะอยู่ภายในระบบโดยไม่มีการระเหยออกหรือถูกใช้ไปเหมือนของเหลวอื่นๆ อย่างน้ำมันเชื้อเพลิง หรือน้ำยาเช็ดกระจก ดังนั้น ถ้าปริมาณน้ำมันเบรกลดลง อาจจะมีสาเหตุมาจากผ้าเบรกสึก หรือมีจุดที่ระบบเบรกรั่วที่ต้องตรวจสอบและซ่อมแซมโดยด่วน
จุดสำคัญที่ควรตรวจเช็กระบบเบรก
- น้ำมันเบรก ต้องอยู่ระดับ Full สีใส ไม่ดำคล้ำ
 - หม้อลมเบรกหลังกระปุกน้ำมันเบรก อยู่ในสภาพดี
 - ชุดระบบเบรค ABS สายน้ำมันเบรก อยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งาน
 - จานเบรก ควรมีรอยสึกเสมอกันทั่วทั้งวง และขนาดไม่บางเกินไป
 - แนวร่องกลางผ้าเบรก ควรมีความลึกที่เหมาะสม
 - ชุดคาลิเพอร์เบรคประกบผ้าเบรคกับจานเบรคไว้ได้แนบสนิท
 - ระยะเบรกจากแป้นเบรก ต้องมีความลึกแบบพอดีๆ
 
5. ระบบไฟและใบปัดน้ำฝน
ส่วนหน้าของรถเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญเนื่องจากช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ของเราดีขึ้นทั้งในทุกสภาพเส้นทาง โดยเฉพาะในส่วน ระบบไฟ ที่เป็นผู้ช่วยสำคัญในการเดินทางยามค่ำคืนทั้งไฟหน้า, ไฟท้าย ,ไฟตัดหมอก, ไฟเลี้ยว และไฟฉุกเฉิน จะต้องใช้งานได้ครบทุกจุด แสงสว่างคมชัด ไม่มัว
นอกจากนั้น อุปกรณ์ที่ช่วยปรับทัศนวิสัยให้กระจกหน้าอย่าง น้ำยาฉีดกระจกหน้ารถ และ ใบปัดน้ำฝน ก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก โดยเจ้าของรถจำเป็นต้องเติมน้ำฉีดกระจกหน้ารถให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และถ้าหากพบว่า ใบปัดน้ำฝนไม่สามารถกวาดน้ำบนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนใหม่ เพราะการใช้ใบปัดน้ำฝนที่ชำรุดหรือเสื่อมสภาพเป็นอันตรายต่อการขับรถยนต์ในช่วงฝนตกหนักเป็นอย่างมากนั่นเอง
วิธีการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน
- ยกใบปัดน้ำฝนขึ้นจากกระจกรถยนต์
 - กดแถบล็อกเพื่อเอาใบปัดน้ำฝนอันเก่าออก
 - ใส่ใบปัดน้ำฝนอันใหม่
 - กดแถบล็อกกลับที่เดิม
 
นึกถึง รถยนต์มือสอง ต้อง CARSOME

6. น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่อง ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นของระบบกลไกต่างๆในเครื่องยนต์ ประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องที่ดีจะต้องผ่านการใช้งานไม่เกินระยะทางที่คู่มือกำหนด ระดับน้ำมันเครื่องจะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม และขณะเดินทางก็ควรจะมีน้ำมันเครื่องสำรองติดรถไว้อย่างน้อย 1 ลิตรในยามฉุกเฉิน ซึ่งเราสามารถตรวจเช็กได้จากก้านวัดน้ำมันเครื่องตามขั้นตอนดังนี้
วิธีการตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง
- ต้องจอดรถให้อยู่ในแนวระนาบไม่ลาดเอียง ก่อนเปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย
 - ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาและเช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัด
 - เสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนเพื่อดูระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมัน
 - ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้ง พร้อมตรวจสอบระดับน้ำมันที่ปลายก้านวัด
 - ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” ถือว่าปกติ
 
7. หม้อน้ำและระบบระบายความร้อน
ระบบระบายความร้อน ถือเป็นอีกหนึ่งระบบที่เป็นหัวใจหลักของเครื่องยนต์ เพราะขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน จะเกิดความร้อนสะสมขึ้น บวกกับความร้อนจากภายนอก ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์น็อคหากระบบระบายความร้อนมีปัญหาโดยจุดที่จำเป็นต้องตรวจเช็กในระบบระบายความร้อนประกอบไปด้วยปริมาณน้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำควรอยู่ในระดับปกติ จุดต่างๆ ตามหม้อน้ำ ท่อยาง และข้อต่อระบบหล่อเย็นว่า ไม่มีรอยรั่วซึม รวมไปถึงการทำงานของพัดลมหม้อน้ำและมอเตอร์ว่า สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญ ควรเปลี่ยนน้ำยาหม้อน้ำทุกๆ 2 ปีเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของน้ำยานั่นเอง
8. แผ่นกรองอากาศและระบบแอร์
แผ่นกรองอากาศ เป็นชิ้นส่วนที่จะช่วยปกป้องเครื่องยนต์จากสิ่งสกปรกหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ดังนั้น การปล่อยให้แผ่นกรองอากาศอุดตันจะทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักมากกว่าปกติ ส่งผลให้ส่วนประกอบภายในเครื่องยนต์สึกหรอรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งการตรวจสอบและดูแลแผ่นกรองอากาศรถยนต์นั้นสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เปิดตู้แอร์แล้วนำตัวกรองอากาศออกมาตรวจสอบ พร้อมกับดูดเศษสิ่งสกปรกภายในตู้ออก หรือถ้าจำเป็นการควรเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศใหม่เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
นอกจากนั้น ควรจะต้องตรวจดูแผ่นกรองแอร์ภายในห้องโดยสารพร้อมทั้งปริมาณ น้ำยาแอร์ ด้วยว่า ยังสามารถใช้งานได้ปกติหรือไม่ เพราะระบบดังกล่าวจะคอยดูแลอากาศภายในห้องโดยสาร พร้อมทั้งดักกรองสิ่งสกปรกต่างๆ จากภายนอกรถ เช่น เขม่าและควันเสีย เป็นต้น โดยสามารถเช็กแผ่นกรองแอร์ได้ตรงหลังช่องเก็บของหน้ารถ จากนั้นลองเปิดแอร์ในรถตามปกติในระดับความเย็นประมาณ 23-25 องศา จากนั้นให้ใช้มืออังที่บริเวณช่องปรับอากาศ ถ้ารู้สึกถึงความเย็นก็แปลว่า ระบบแอร์สามารถใช้งานได้ปกตินั่นเอง
ตรวจเช็กสภาพรถฟรี ที่ไหนดี 2565
แต่สำหรับใครที่รู้สึกว่า ทั้ง 8 ข้อยุ่งยากเกินไปล่ะก็ ปัจจุบันทางภาครัฐฯ ก็จัดกิจกรรม “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” โดยมีให้บริการ ตรวจเช็กสภาพรถฟรี เบื้องต้นทั้งสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ก่อนเดินทางกว่า 20 รายการ โดยเจ้าของรถยนต์สามารถนำรถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการที่มีป้ายประชาสัมพันธ์ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ตามรายชื่อเครือข่ายทั่วประเทศดังต่อไปนี้
- บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (ศูนย์บริการ Toyota)
 - บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (ศูนย์บริการ Honda)
 - บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (ศูนย์บริการ Nissan)
 - บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด (ศูนย์บริการ Isuzu)
 - บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (ศูนย์บริการ Mitsubishi)
 - บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (ศูนย์บริการ Hyundai)
 - บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัดและบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ศูนย์บริการ MG)
 - บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด
 - บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด
 - บริษัท ซูซูกิโมโตเซลส์คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (ศูนย์บริกา Suzuki)
 - บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด
 - บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)
 - บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (สถานีบริการน้ำมัน บางจาก)
 - บริษัท บี – ควิก จำกัด (ศูนย์บริการ B-Quik)
 - บริษัท ฟอร์ซเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (ศูนย์บริการ AUTO QUIKS)
 - บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด
 - บริษัท คาร์เวิลด์ คลับ จำกัด
 - บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ศูนย์บริการ Mazda)
 - บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย)
 - บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด (สถานีบริการน้ำมัน Shell)
 
ทั้งหมดนี้ก็เป็นขั้นตอนเบื้องต้นในการ ตรวจเช็กสภาพรถ ก่อนเดินทางไกล เพราะรถก็ต้องการการดูแลใส่ใจและอาจมีจุดเสื่อมสภาพที่เราไม่คาดคิดได้ ดังนั้น การหมั่นตรวจสภาพรถเป็นประจำโดยเฉพาะช่วงก่อนเดินทางไกลจะช่วยให้เราสามารถรีบแก้ไขความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที เพื่อความปลอดภัยในระหว่างเดินทางต่อตัวเราเองและผู้ร่วมทริป
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เดินทางไกล รถยนต์ที่ถูกใช้งานเป็นประจำก็ควรได้รับการตรวจเช็กสภาพตามมาตรฐานเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับทุกชีวิตที่ใช้รถใช้ถนน ด้วยเหตุนี้ รถยนต์มือสองที่ได้รับการรับประกันจาก CARSOME ทุกคันจึงต้องผ่านการตรวจเช็กอย่างละเอียดถึง 175 จุดและได้รับการปรับสภาพให้ได้มาตรฐาน นอกจากนั้น ยังได้รับการรับประกันนานสูงสุด 2 ปีเต็มพร้อมการการันตีคืนเงินภายใน 30 วัน ในราคาโปร่งใส คุ้มค่า ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง เพื่อความอุ่นใจในทุกการขับขี่
หากคุณกำลังสนใจจะ ซื้อรถมือสอง หรือ ขายรถ แล้วล่ะก็… ที่ CARSOME เสนอราคาให้คุณได้ดีที่สุด! เรามีขั้นตอนการชำระเงินที่รวดเร็ว และไม่มีขั้นตอนยุ่งยากใด ๆ คลิกที่เว็บไซต์เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย!
EP22: เช็คก่อนเดินทาง 7 จุดสำคัญของรถยนต์ ที่ควรตรวจสภาพความฟิตก่อนเดินทางไกล

วันหยุดยาว หลายคนจะใช้จังหวะนี้เดินทางกลับบ้านเกิดหรือเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดต่างๆ ซึ่งถ้ามีรถส่วนตัว ส่วนใหญ่ก็เลือกรถส่วนตัวไปเพื่อความสะดวก อย่างไรก็ตาม ก่อนเดินทางไกลการตรวจสอบสภาพความฟิตของรถก็เป็นสิ่งสำคัญพอๆ กับการตรวจสอบความฟิตของคนขับ แล้วจุดไหนของรถบ้างที่ต้องเช็คเราจะมาชี้เป้า 7 จุดที่ควรเช็คให้ดีก่อนออกเดินทางไกลกันค่ะ
1.เช็คน้ำมันเครื่อง
สิ่งสำคัญของรถยนต์นอกเหนือจากน้ำมันก็คือ ‘น้ำมันเครื่อง’ นี่แหละที่สำคัญ หากขาดน้ำมันเครื่องไปสิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาเครื่องยนต์ถึงขั้นพังได้เพราะเครื่องยนต์จะขาดน้ำมันเครื่องไปหล่อลื่นลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ปัญหาต่างๆ ทั้งลูกสูบติด ฝาสูบโก่ง เครื่องความร้อนขึ้น ชาร์ปละลาย (แผ่นปะกับที่รองระหว่างข้อเหวี่ยงกับก้านสูบ) ทุกปัญหาเกิดจากการขาดน้ำมันเครื่อง ซึ่งความพินาศนั้นระดับยกเครื่องใหม่เลยทีเดียว
การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องทำได้ไม่ยาก แค่เปิดกระโปรงรถเปิดมองหาตำแหน่งจุดตรวจสอบน้ำมันเครื่อง จะมีก้านพลาสติกให้ตรวจสอบ ดึงออกมาแล้วดูว่าจุดของน้ำมันเครื่องอยู่ในตำแหน่ง L หรือ Low หรือเปล่า ถ้าใช่ก็เติมด่วน อย่ารอจนถึงครบรอบถ่ายน้ำมันเครื่องค่อยเปลี่ยนเลย มันเสี่ยงไป
2.เช็คระบบหล่อเย็น
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องตรวจสอบมากที่สุดไม่แพ้เรื่องอื่นก็คือระบบหล่อเย็นในรถที่อยู่ในเครื่องยนต์ เราควรตรวจสอบการทำงานของระบบหล่อเย็นเสมอทุกครั้ง เช็คดูว่าในระบบหล่อเย็นยังทำงานดีอยู่ไหม หรือน้ำในหม้อน้ำยังมีน้ำอยู่ไหม แม้รถรุ่นใหม่หากเข้าศูนย์สม่ำเสมอ ก็ไม่ต้องกังวลเพราะศูนย์จะเติมให้ตลอด
แต่ก็เช็คสักนิดก่อนเดินทางก็ดี ถ้าเกิดเห็นหม้อน้ำมีปริมาณน้ำลดลงมากกว่าปกติ นี่คือสัญญาณที่บอกว่าคุณต้องตรวจสอบก่อนเดินทางไกลอย่างด่วน ไม่อย่างนั้นเครื่องร้อนเกินพังนะคะ
3.เช็คยาง
เราควรตรวจสอบยางด้วยทุกครั้ง ทั้งลมยาง และดอกยาง อย่างแรกสุดตรวจสอบลมยางก่อนว่ามีปริมาณลมตรงกับมาตรฐานที่ควรจะเป็นไหม ซึ่งรถทุกคัน จะมีข้อมูลปริมาณลมยางที่เหมาะสมบอกไว้อยู่
อีกสิ่งหนึ่งคือดอกยาง ไม่ต้องประหยัดมากจนเกินไปเพราะหากดอกยางหมดโอกาสที่รถจะเกาะถนนไม่อยู่มีสูงมาก เสี่ยงที่รถจะเกิดอาการไถล หรือถ้ายางปริจนใกล้จะระเบิดก็ควรเปลี่ยนเถอะ ไม่อย่างนั้นยางระเบิดรถคว่ำ อาจถึงแก่ชีวิตได้นะคะ
4.เช็คเบรค
เบรคคืออีกส่วนที่สำคัญที่สุดของรถยนต์ ถ้าไม่มีเบรคแล้วรถจะหยุดยังไงล่ะจริงไหม แต่ที่น่าตกใจคือคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับผ้าเบรค โดยเฉพาะรถยนต์หลายคนคิดว่าผ้าเบรคมีหลายล้อ หมดสักข้างก็มีเป็นไร…ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ
หารู้ไม่ว่าหากฝืนใช้ผ้าเบรคจนหมดนอกจากจะเบรคไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ตามมาคือจานเบรคสึก ซึ่งเมื่อเจอกับผ้าเบรคจะทำให้รถเกิดเสียงหอนเพื่อเตือน ถ้ายังไม่ฟังอีกก็เตรียมเงินก้อนใหญ่ไปซื้อจานเบรคมาเปลี่ยนได้เลย อย่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายดีกว่านะคะ
5.เช็คไฟส่องสว่าง
จุดหลักๆ ของไฟส่องสว่างที่ควรเช็คหลักๆ ได้แก่ ไฟหน้ารถ ไฟสูง ไฟท้าย ไฟเลี้ยวทั้งสิงข้าง และไฟเบรคทั้งสองข้าง บางคนคิดแค่ว่า ไฟมันดับไปดวงเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก มองเห็นอยู่ดี แต่คุณอย่าลืมว่า เวลากลางคืน รถยนต์ที่ไฟดับข้างหนึ่งมองไกลๆ คนนึกว่ามอเตอร์ไซค์ สมมุติคาดเดาระยะผิดในการแซงขึ้นมานี่ชนเละเลยนะคะ
ส่วนไฟเลี้ยวที่ต้องส่งสัญญาณบอกคนอื่นว่าเราจะเลี้ยวก็สำคัญ บางจุดคุณจะกลับรถแต่ไฟเลี้ยวเสีย รถคันอื่นที่ตามมาหลังคุณมาเขาไม่สามารถรับรู้กับคุณได้แน่นอนว่าจะเลี้ยวหรือหยุด
6.เช็คแบตเตอรี่
แบตหมดคือจุดจบของการเดินทาง รถยนต์ใช้แบตเตอรี่ในการสตาร์ททั้งนั้น ถ้าแบตหมดรถก็สตาร์ทไม่ติด ถ้าสตาร์ทติดยากแล้วเป็นรถที่ใช้มานานเกินสองปีสันนิษฐานเบื้องต้นเลยว่าแบตหมด หากมีอุปกรณ์วัดโวลต์ไฟแบบพกพาก็สามารถเอามาช่วยตรวจสอบได้เพื่อความชัวร์
7.เช็คของเหลวอื่นๆ
ในรถยังมีของเหลวอื่นๆ ที่สำคัญนอกจากน้ำมันเครื่อง และน้ำหล่อเย็น ได้แก่น้ำมันเบรค, น้ำมันครัช, น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันพาวเวอร์ (มีผลในการควบคุมพวงมาลัย) เปิดใต้กระโปรงมา (ใช่..กระโปรงรถ) จะเห็นกระปุกน้ำมันต่างๆ ตั้งอยู่ ถ้าไม่รู้ว่าจุดไหน เปิดคู่มือเลย ในนั้นมีบอกไว้อย่างละเอียดหรือแวะเข้าอู่ให้เข้าตรวจเช็คให้ก่อนเดินทางจะดีมากๆนะคะ
        ***เมื่อเช็คทุกส่วนเรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางกันได้เลยนะคะ อีกอย่างที่อยากนำเสนอสิ่งที่จะช่วยคุณได้หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด  ประกันภัยรถยนต์ ช่วยดูแลคุณเคียงข้างคุณเมื่อมีภัย คุ้มครองทั้งคุณ รถ และบุคคลภายนอก  เหมือนมีเพื่อนที่คอยช่วยเหลือคุณในช่วงเวลาที่คุณเกิดปัญหาค่ะ 
.
หากเกิดเหตุเพียงยกหูโทรศัพท์ โทรเข้าสายด่วนหรือแอปพลิเคชั่นของแต่ละบริษัท จะมีเจ้าหน้าที่ประสานงานและช่วยเหลือคุณถึงหน้าที่เกิดเหตุแน่นอนค่ะ ” มีประกันรถยนต์ติดไว้ อุ่นใจตลอดทุกการเดินทาง ”
หากยังกังวลใจ ยังอุ่นใจไม่พอ มีประกันรถยนต์ติดตัวเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วย มั่นใจได้แน่นอนบางบริษัทประกันเขามีช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมงด้วยนะคะ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา เพียงยกหูโทรศัพท์กถึงสายด่วนของแต่ละบริษัทได้เลย มีพนักงานคอยประสานงานและช่วยเหลือคุณแน่นอนค่ะ
	    	
		    
