ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇

รู้ก่อนซื้อ รถยนต์ไฮบริดคืออะไร มีข้อดี-ข้อเสียอะไรที่ควรรู้บ้าง

ในยุคน้ำมันแพง การเลือกซื้อรถที่ประหยัดน้ำมันอย่างรถยนต์ไฮบริดถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับเศรษฐกิจยุคนี้มากที่สุด ซึ่งนอกจากจะช่วยเซฟค่าใช้จ่าย ประหยัดน้ำมันแล้ว รถยนต์ไฮบริดยังเป็นรถรักษ์โลก ลดการปล่อยมลพิษทางอากาศจากการเผาไหม้น้ำมัน ทำให้ส่งผลกระทบน้อยต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

แล้วก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฮบริด จะต้องรู้อะไรบ้าง? บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักรถยนต์ไฮบริดกันให้มากขึ้น รถยนต์ไฮบริดคืออะไร? หลักการทำงานของรถยนต์ไฮบริด และมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้างที่ควรรู้

รถยนต์ไฮบริด คืออะไร?

รถยนต์ไฮบริด Hybrid Electric Vehicle (HEV) คือ รถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนผสมระหว่างหลักการทำงานของเครื่องยนต์ในรถด้วยพลังงานจากการเผาไหม้น้ำมัน เรียกได้ว่าเป็นรถยนต์ทางเลือกสำหรับคนรักษ์โลกที่ต้องการประหยัดพลังงานจากเครื่องยนต์สันดาปน้ำมันเลยก็ว่าได้ เพราะรถยนต์ไฮบริดจะใช้เครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าในการทำงาน โดยเปลี่ยนพลังงานขณะเครื่องยนต์ขับเคลื่อนมาเป็นไฟฟ้าป้อนกลับไปเก็บที่แบตเตอรี่เพื่อให้รถวิ่งต่อไปได้

หลักการทำงานของรถยนต์ไฮบริด

รถยนต์ไฮบริด จะใช้แหล่งพลังงานขับเคลื่อน 2 ระบบ คือ พลังงานจากเครื่องยนต์ และพลังงานไฟฟ้า

• รถยนต์ไฮบริดจะถูกออกแบบให้ตัวมอเตอร์มีระบบผลิตไฟฟ้าไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ในตอนที่รถชะลอความเร็วหรือขณะเบรก
• ขณะขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานร่วมกันอย่างเหมาะสมเพื่อประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด
• ขณะจอดเครื่องยนต์หยุดทำงานจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไฮบริดเพียงอย่างเดียว
• เมื่อแตะเบรกเพื่อจอด มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยประคองให้รถหยุดอย่างนุ่มนวล

ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเราจะแบ่งรถยนต์ไฮบริด เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้

1. Full hybrid

Full hybrid เป็นรถยนต์ไฮบริดที่ระบบเครื่องยนต์ทำงานแบบผสมผสานระหว่างระบบเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้ทำงานร่วมกันหรือสลับมาใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียวก็ได้ จึงทำให้รถยนต์ไฮบริดแบบ Full hybrid เหมาะกับการขับด้วยความเร็วต่ำหรือขับในเมือง

2. Mild hybrid (MHEV)

Mild hybrid เป็นรถยนต์ไฮบริดที่ระบบเครื่องยนต์จะทำงานคล้ายกับ Full hybrid แต่ Mild hybrid จะใช้แหล่งพลังงานทำงานแยกจากกันไม่ได้ อีกทั้งตัวมอเตอร์ไฟฟ้าจะมีขนาดเล็กและเสริมกำลังในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์เท่านั้น

3. Plug-in hybrid (PHEV)

Plug-in hybrid เป็นรถยนต์ไฮบริดที่ระบบเครื่องยนต์ออกแบบมาให้เสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่โดยตรงจากการชาร์จไฟบ้านหรือตามหัวจ่ายที่มีให้บริการ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินสามารถใช้พลังงานพร้อมกันจาก 2 แหล่งได้ คือ ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานมอเตอร์ไฟฟ้า ร่วมกับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนตัวแบตเตอรี่มีการพัฒนาให้เก็บประจุไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เดินทางไกลกว่าเดิม

เปรียบเทียบชัด ๆ รถยนต์ไฮบริดมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง

เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของรถยนต์ไฮบริด ก่อนตัดสินใจซื้อต้องรู้อะไรบ้าง

ข้อดีของการใช้รถยนต์ไฮบริด

• ประหยัดน้ำมันเมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไป
• ลดการปล่อยมลพิษทางอากาศจากการเผาไหม้น้ำมัน ทำให้ส่งผลกระทบน้อยต่อสิ่งแวดล้อม
• รถยนต์ไฮบริดจะมีอัตราการเร่งที่ดีในช่วงความเร็วต่ำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ที่ดี
• รถยนต์ไฮบริดทำงานได้อย่างเงียบสงบ เพราะใช้ระบบไฟฟ้าในบางสถานการณ์ ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารมีประสบการณ์การเดินทางที่สงบสุข เงียบ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์รบกวน
• ไม่ต้องเสียเวลาชาร์จแบตรถยนต์ เพราะรถยนต์ไฟฟ้าจะปั่นกระแสไฟฟ้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับขี่รถ
• หากมอเตอร์พังหรือแบตเสื่อมก็ยังใช้งานได้
• มอเตอร์ไฟฟ้ามีอัตราเร่งเทียบเท่าเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุสูงกว่า

ข้อเสียของการใช้รถยนต์ไฮบริด

• รถยนต์ไฮบริดจะมีราคา ค่าซ่อมบำรุง แบตเตอรี่มีราคาสูงกว่าแบตรถยนต์ทั่วไป
• ไม่สามารถชาร์จไฟจากแหล่งจ่ายไฟภายนอกได้เหมือนกับรถยนต์ PHEV
• มอเตอร์ไฟฟ้ายังให้พลังงานที่ไม่สูงมากนัก
• มีระยะวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าล้วนที่สั้นมาก ใช้แค่ตอนออกตัวรถและชะลอรถเท่านั้น

สรุปบทความ

ใครที่กำลังมองหารถยนต์ในราคาคุ้มค่า ช่วยประหยัดน้ำมันและรักษ์โลกไปในเวลาเดียวกัน รถยนต์ไฮบริดถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย ในด้านรูปลักษณ์ก็ถือว่ามีความทันสมัย สวยงาม ใช้งานง่าย ขับขี่คล่อง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการลงทุนที่สูงด้วยเช่นกัน เพราะรถยนต์ไฮบริดมีราคาค่าซ่อมบำรุง และแบตเตอรี่มีราคาสูงกว่าแบตรถยนต์ทั่วไป

แต่ถ้าคุณมีประกันภัยรถยนต์ก็ถือว่าช่วยลดภาระในขั้นตอนไปได้อย่างดีเยี่ยม อินทรมีประกันภัยรถยนต์ที่ช่วยให้คุณเปรียบเทียบประกันรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 ประกันชั้น 2, 2+, 3 หรือ 3+ มั่นใจด้วยบริการประกันภัยที่ครอบคลุม เราพร้อมที่จะดูแลความปลอดภัยของคุณทุกสถานการณ์

5 เรื่องจริงอันน่าทึ่งเกี่ยวกับแพลตฟอร์มใหม่ TNGA ของ Toyota ที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน

17,141อ่าน

0

          5 เรื่องจริงเกี่ยวกับแพลตฟอร์มใหม่ TNGA ที่โฆษณาว่าใช้กับ Toyota Prius 2017, Toyota CH-R 2018 และ Toyota Camry 2018 ใหม่ นั้นสำคัญกับ Toyota แค่ไหนและมีผลดีอย่างไรกับเรา รวมถึงในอนาคตแพลตฟอร์ม TNGA นั้นจะถูกนำมาใช้กับรถใหม่ของ Toyota ถึงครึ่งหนึ่งในปี 2020

          แพลตฟอร์ม TNGA ดีอย่างไร ทำไมเราต้องมานั่งรับรู้ว่ารถรุ่นไหนของ Toyota จะใช้แพลตฟอร์ม TNGA เพราะฟังแล้วก็ไม่เห็นว่าจะน่าตื่นเต้นหรือเกี่ยวข้องอะไรด้วยนอกเหนือไปจากการลดต้นทุนของผู้ผลิต แค่รถสวย ขับดี มีอุปกรณ์เยอะราคาโดนใจก็พอแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าแพลตฟอร์ม TNGA หรือ Toyota New Global Platform นั้นอยู่เบื้องหลังของทั้งหมด ซึ่งนี่คือข้อเท็จจริงจาก Toyota ที่ออกมาอธิบายเกี่ยวกับข้อดีของแพลตฟอร์ม TNGA ในสิ่งที่เราอาจไม่ทันได้คิดถึง

 1. แพลตฟอร์ม TNGA ถูกออกแบบให้ใช้ได้กับรถยนต์หลายรุ่น หลายขนาด และหลายรูปแบบ

แพลตฟอร์ม TNGA ถูกสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงส่วนสำคัญสองประการ คือ ส่วนที่เป็นโครงสร้างซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้กับรถยนต์หลายรุ่น หลายขนาดและหลายรูปแบบ กับส่วนตัวถังภายนอกเพื่อใช้บ่งบอกบุคลิกของรถแต่ละรุ่น โดยส่วนหลักที่เกี่ยวข้องกับสมรรถนะนั้นจะได้รับการออกแบบให้ใช้ส่วนประกอบร่วมกันได้ รวมถึงง่ายสำหรับหัวหน้าทีมวิศวกรที่จะเน้นจุดน่าสนใจให้กับรถแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกัน

 2. แพลตฟอร์ม TNGA ถูกออกแบบให้มีพื้นที่ภายในกว้างขวางและการบังคับควบคุมที่สปอร์ตขึ้น

          แพลตฟอร์ม TNGA นั้นได้รับการออกแบบเพื่อให้มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางมากที่สุด ขณะที่เอื้อต่อการดีไซน์ภายนอกให้ดูสปอร์ตด้วยพื้นตัวถังต่ำและแบนกว้าง แพลตฟอร์ม TNGA จึงมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ลดการโคลงของตัวถังและการตอบสนองที่ว่องไว โดยภาพรวมคือการวาง Packaging ให้ทุกจุดสัมพันธ์กับความต้องการหลัก (ใช้ได้กับรถหลายแบบ ภายในกว้างขวาง แต่ให้ความเป็นสปอร์ตอยู่บ้าง เพราะถ้าสปอร์ตจริง ๆ แล้วมักจะไม่สนเรื่องความกว้างขวางต้องยอมแคบ) ตั้งแต่โครงสร้าง ถาดพื้นตัวถัง การออกแบบระบบกันสะเทือน เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่มีขนาดเล็กและเบา

 3. แพลตฟอร์ม TNGA จะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้มหาศาล

          การลดต้นทุนด้วยการใช้แพลตฟอร์ม TNGA ไม่ได้หมายถึงการทำให้รถมีคุณภาพต่ำ แต่เมื่อแพลตฟอร์มเดียวสามารถนำไปใช้ได้กับรถยนต์หลายขนาดหลายรูปแบบ รวมถึงใช้อุปกรณ์บางส่วนร่วมกันได้ ย่อมช่วยให้ระยะเวลาในการพัฒนาสั้นลงจึงส่งผลให้การผลิตมีต้นทุนที่ต่ำลง (ลดต้นทุนในที่นี้ไม่ได้เกิดจากการแนวคิดลดคุณภาพแต่เป็นการลดขั้นตอนกระบวนผลิตการทั้งระบบ) นอกจากนี้เครื่องยนต์ที่ดีไซน์มาเพื่อแพลตฟอร์ม TNGA แบบปกติและไฮบริดจะใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และปล่อยมลพิษต่ำ อีกทั้งแพลตฟอร์ม TNGA จะมีน้ำหนักเบาด้วยการใช้เหล็กกล้าและอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ

      อีกประเด็นที่น่าสนใจคือแพลตฟอร์ม TNGA จะช่วยให้ไลน์การผลิตเป็นไปได้ง่ายและสั้นขึ้นมาก โดยจะสามารถผลิตได้ถึง 200,000 คัน/ปี และผลิตรถที่แตกต่างกันในไลน์เดียวกันได้สูงสุดถึง 8 รุ่น ซึ่งเป็นเรื่องยากหากไม่ใช่แพลตฟอร์มสหกรณ์ จึงลดการลงทุนในการตั้งไลน์การประกอบใหม่ลงไปได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับโรงงานประกอบรถยนต์ที่ไม่ใช่แพลตฟอร์ม TNGA ปัจจุบัน

 4. มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่สำหรับไลน์การผลิตที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด

          ไลน์การผลิตแบบใหม่สำหรับแพลตฟอร์ม TNGA จะมีขนาดเล็กและสั้นลง นับตั้งแต่การปั๊มขึ้นรูปถาดพื้นตัวถัง การใช้เลเซอร์เชื่อมชิ้นส่วนโครงสร้าง และประกอบชิ้นส่วนตัวถังเข้าด้วยกัน โดยในส่วนของการพ่นสีตัวถังนั้นออกแบบให้เล็กลงด้วยแขนหุ่นยนต์แทนการจุ่มตัวถังลงในบ่อ ที่ติดตั้งและปรับเปลี่ยนได้ง่ายซึ่งลดไลน์ให้สั้นเหลือเพียง 6 เมตร จากเดิมที่ใช้ถึง 10-13 เมตร  จึงช่วยประหยัดเวลาได้มาก รวมถึงการออกแบบให้ไลน์ประกอบชิ้นส่วนอุปกรณ์ประกอบปลีกย่อยสามารถเคลื่อนที่หรือปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงทีตามความต้องการ เช่นโมลด์ปั๊มขึ้นรูปกันชน สลับไปมาได้สำหรับรถแต่ละรุ่น

 5. ลดพลังงานและมลพิษในการผลิต

          ไลน์การผลิตเดียวที่สามารถประกอบรถยนต์ได้หลายรุ่นย่อมประหยัดพลังงานและมลพิษได้มากกว่า นอกจากนี้โรงงานประกอบใหม่ของ Toyota ซึ่งเป็นไลน์ผลิตรถยนต์ที่ใช้แพลตฟอร์ม TNGA จะถูกออกแบบให้ประหยัดพลังงาน ด้วยการใช้หลอดไฟ LED ร่วมกับแสงธรรมชาติ และมีหลังคาโซลาร์เซลล์ รวมถึงน้ำฝนก็จะถูกกักและนำมาหมุนเวียนใช้ในโรงงานด้วยเช่นกัน

 แน่นอนว่าแนวคิดแพลตฟอร์มสหกรณ์ที่ออกแบบให้ยืดหยุ่นและสามารถนำไปปรับใช้ได้กับรถยนต์มากรุ่นอย่าง TNGA ของ Toyota ถูกสร้างมาเพื่อลดกระบวนการพัฒนาและการผลิตรถรุ่นใหม่ ๆ ทำให้มีต้นทุนต่ำลง โดยแพลตฟอร์มลักษณะนี้ถือว่าเป็นเทรนด์ใหม่ของวงการยานยนต์ จึงส่งผลให้ผู้ผลิตสามารถแข่งขันในด้านอื่นได้มากขึ้นโดยที่ราคาจำหน่ายไม่เพิ่มสูงจนเกินไปนัก และคาดว่าในปี 2020 ครึ่งหนึ่งของรถใหม่จาก Toyota จะใช้แพลตฟอร์ม TNGA ทั้งหมด