ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
วิธีการเลือกซื้อยางรถยนต์ และยางรถเก๋ง
ความรู้เรื่องยาง | คุยกันเรื่องยาง
แชร์
วิธีการเลือกซื้อยางรถยนต์ และยางรถเก๋ง
ตลอดอายุการใช้งานของรถยนต์หนึ่งคัน จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนยางรถอยู่เสมอ ซึ่งการเปลี่ยนยางนั้นก็ไม่ใช่การลงทุนราคาถูกสักเท่าไหร่เลย สำหรับเจ้าของรถหลายคน ลึก ๆ แล้วอาจจะไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับยางรถมากนัก เพื่อการนี้เราจึงได้รวบรวมคำแนะนำในการซื้อยางรถยนต์ที่ใช้ได้จริง ซึ่งคุณจะได้ศึกษาข้อมูล และนำไปประกอบการตัดสินใจซื้อได้อย่างมั่นใจ

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ถึงเวลาที่ต้องซื้อยางใหม่แล้ว
วิธีที่ดีที่สุดในการดูว่ายางรถยนต์ของเราถึงเวลาเปลี่ยนแล้วหรือไม่ ก็คือการให้ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีตรวจสอบให้ อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายวิธีที่คุณก็สามารถเช็กเองได้เช่นกัน เพื่อให้การขับขี่มีความปลอดภัย ดอกยางควรจะต้องมีความลึกขั้นต่ำอย่างน้อย 1.6 มิลลิเมตร หากความลึกน้อยกว่าความลึกขั้นต่ำ หรือค่าความลึกของดอกยางใกล้จะต่ำกว่า 1.6 มิลลิเมตร แล้ว คุณควรจะเปลี่ยนยางใหม่ในทันที ยางที่ดีควรจะไม่มีแก้มยางที่เสียหายและเกิดการสึกหรอที่ผิดปกติ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพการขับขี่สูงสุด
คุณสามารถตรวจสภาพยางรถยนต์ด้วยตัวเองได้โดยเริ่มจากการเช็กดอกยางเป็นอันดับแรก ดอกยางจะเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นผิวถนน ซึ่งเราจะต้องเช็กให้แน่ใจว่า ดอกยางมีความลึกเพียงพอ และสึกหรอเท่ากันทั่วทั้งพื้นผิวโดยไม่มีความผิดปกติใด ๆ โดยยางรถทุกเส้นจะมีปุ่มในร่องดอกยางเพื่อใช้วัดความลึกร่องดอกยางที่เรียกว่า “สะพานยาง” ซึ่งจะช่วยให้คุณสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้นว่ายางรถยนต์สึกไปมากแค่ไหนแล้ว เราสามารถพบสะพานยางได้ทั่วทั้งดอกยาง และจะเห็นได้ชัดเมื่อยางสึกถึงระดับ 1.6 มิลลิเมตร นอกจากนี้คุณควรจะตรวจสอบว่าแก้มยางแต่ละเส้นมีความเสียหายที่มองเห็นได้ด้วยหรือไม่
ถ้าตรวจตามวิธีการข้างต้นแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ยังไม่จำเป็นต้องซื้อยางใหม่ ทั้งนี้ให้ตรวจเช็กตามกระบวนการข้างต้นอีกครั้งเมื่อขับขี่ไปทุก ๆ 2,000 – 3,000 กิโลเมตร หรือเดือนละครั้ง และถี่กว่านั้นหากคุณใช้งานรถหนักหรือขับรถทางไกล
วิธีเลือกซื้อขนาดยางรถยนต์ที่ถูกต้อง
หากสมมุติว่าคุณต้องซื้อยางรถเก๋งใหม่แล้ว คำถามต่อไปก็คือยางรถขนาดใดถึงจะเหมาะสมกับรถของเรา ซึ่งคุณสามารถหาข้อมูลเหล่านี้ได้จากคู่มือประจำรถ ขอบประตูฝั่งคนขับ บริเวณฝาครอบถังน้ำมัน หรือตรงกลางแก้มยางของยางรถยนต์ที่คุณใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าหากคุณไม่รู้วิธีการอ่านค่าขนาดของยางรถจากแก้มยาง คุณสามารถอ่านบทความ ที่นี่ เพื่อศึกษาขั้นตอนได้เลย
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ยางแบบไหนเหมาะกับรถของเรา
ขั้นตอนต่อไปคุณจะต้องตัดสินใจว่า การเลือกยางรถยนต์แบบไหนที่จะตอบโจทย์ความต้องการและความชอบในการขับขี่ของคุณโดยเฉพาะ เริ่มจากการประเมินนิสัยในการขับขี่ของคุณเป็นอย่างแรก คุณอาจจะตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น คุณติดกับการขับรถในเมืองและบนทางหลวงไหม ใจเรียกร้องที่จะขับรถผจญนอกเมืองหรือไม่ หรือคุณคิดถึงเรื่องประหยัดน้ำมันบ้างหรือเปล่า เป็นต้น
เมื่อคุณรู้แล้วว่าปัจจัยข้อไหนสำคัญและจำเป็นต่อการขับขี่ของคุณเอง คุณก็สามารถจับคู่สไตล์การขับขี่และยางที่เหมาะสมสำหรับคุณได้ดังต่อไปนี้
ยางสปอร์ตสมรรถนะสูง
ยางสมรรถนะสูงหรือ ยางสปอร์ต ถูกพัฒนามาเพื่อผู้ขับขี่ที่ต้องการการควบคุมและการตอบสนองที่ดีทั้งในสภาพถนนเปียกและถนนแห้ง ยางเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีเสถียรภาพความเร็วสูง พร้อมกับประสิทธิภาพการเบรกที่ยอดเยี่ยมบนถนนหรือสนามแข่งรถ
ยางคอมฟอร์ทและยางทัวริ่ง
ยางทัวริ่งหรือยางนุ่ม เงียบ เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่เน้นความเงียบและสบายเป็นพิเศษอย่างรุ่น Turanza t005a ยางตัวนี้ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีลดเสียงรบกวนขณะขับขี่บนถนน มอบประสบการณ์ดี ๆ ขณะอยู่ภายในรถยนต์ เช่น ยาง Dueler ที่ให้ความนุ่มเงียบ และความแกร่ง เหมาะกับรถกระบะที่ต้องการความคล่องตัว
ยางประหยัดน้ำมัน
ยางประหยัดน้ำมันถูกผลิตมาเพื่อประสิทธิภาพลดแรงต้านทานการหมุนของล้อ ทำให้รถสามารถเดินทางได้ไกลขึ้นโดยใช้ปริมาณน้ำมันที่น้อยลง เช่น Ecopia EP300
ยางทางลุยและทางเรียบ (All Terrain)
ยาง All Terrain หรือเรียกสั้นๆ ว่า A/T เป็นยางที่เหมาะสำหรับทุกสภาพภูมิประเทศ ออกแบบมาเพื่อไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยวที่ลุยได้ในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะขับขี่บนถนนลาดยางทั่วไป และยังสามารถใช้ขับขี่บนเส้นทางขรุขระแบบทางออฟโรดได้อีกด้วย อย่างเช่น รุ่น DUELER A/T 001 ที่เหมาะสำหรับรถกระบะ รวมไปถึง SUV อีกด้วย
ยางรันแฟลต (Run Flat)
ยางรันแฟลต มีลักษณะพิเศษด้วยเทคโนโลยีในการรองรับสถานการณ์ไม่คาดคิดจากเหตุยางรั่วซึม โดยจะช่วยคงสภาพของยางรถยนต์ให้สามารถประคองรถต่อไปได้ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วย อย่างรุ่น POTENZA S001 RFT ที่ประสิทธิภาพการขับขี่ดีเยี่ยมทั้งถนนเปียกและถนนแห้ง หลังจากที่เราเลือกรุ่นยางรถยนต์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์การขับขี่แล้ว ในเรื่องของความสูงของแก้มยางเป็นอีกหนึ่งจุดที่แนะนำให้เข้าใจและช่วยให้เลือกซื้อยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ได้ดียิ่งขึ้น
ยางแก้มเตี้ย-ยางแก้มสูง เลือกซื้อยางรถยนต์แบบใดจึงเหมาะสม
ยางแก้มเตี้ย จะช่วยในการยึดเกาะถนนและควบคุมความเร็วรถยนต์ในการเข้าโค้งได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น จึงเหมาะสมกับคนที่กำลังมองหาซื้อยางรถยนต์ เพื่อการขับขี่ในสไตล์สปอร์ต ยางแก้มสูง จะช่วยรองรับแรงกระแทกได้ดี มีความนุ่มนวลขณะขับขี่มากยิ่งขึ้น จึงเหมาะสมกับคนที่มองหายางรถยนต์ เพื่อความนุ่มเงียบ หรือสำหรับใช้บนท้องถนนที่ขรุขระ ไม่ค่อยเรียบ เช่น รถประเภท SUV รถบรรทุก หรือรถออฟโรด

เลือกซื้อยางรถยนต์ต้องระวังติดซุ้มล้อ
การเลือกซื้อยางไม่เพียงแค่ต้องทราบขนาดล้อเท่านั้น ซึ่งเราแนะนำให้คุณทราบความสูงของรถยนต์เบื้องต้น เพื่อให้มั่นใจว่าเลือกซื้อยางรถยนต์ที่เหมาะสม ไม่ใหญ่หรือสูงเกินไปจนเสียดสีกับซุ้มล้อ อาจทำให้ประสิทธิภาพของยางรถยนต์เสื่อมเร็วก่อนเวลาอันควร และอาจส่งผลต่อการขับขี่อีกด้วย
วิธีการคำนวณความสูงของยางรถยนต์เบื้องต้น เช่น ล้อยางรถยนต์ขนาด 205/55 R16 ก่อนอื่นจะต้องแปลงรหัส คือ
205 = ความกว้างหน้ายาง
55 = ความสูงของแก้มยางที่มีหน่วยเป็นเปอร์เซนต์
R16 = เส้นผ่าศูนย์กลางของขนาดล้อ
ให้นำ 205 x (55/100) = 112.75 mm จากนั้นให้แปลงหน่วยเป็นนิ้วด้วยการหาร 25.4 (25.4 mm = 1 inch) จะได้เท่ากับ 4.439 นิ้ว จากนั้นนำมาคูณ 2 (แก้มยางบน+ล่าง) แล้วบวกด้วยขนาดของล้อ 16 นิ้ว จะได้ค่าความสูงทั้งหมด 24.878 นิ้ว
ต้องเปลี่ยนยางทั้ง 4 เส้นในครั้งเดียวเลยหรือไม่
อีกหนึ่งคำถามสำหรับคนที่กำลังจะซื้อยางนั่นก็คือ เราจะต้องเปลี่ยนยางทั้งหมด 4 เส้นเลยหรือไม่ คำตอบง่าย ๆ เลยคือ ใช่ เนื่องจากยางรถยนต์คือส่วนที่มีผลต่อประสิทธิภาพและการควบคุมรถของคุณ สิ่งสำคัญก็คือต้องให้ยางรถมีความเหมือนกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากยางเส้นใดเส้นหนึ่งแตกต่างจากเส้นอื่น ๆ ก็เป็นไปได้ที่ยางเส้นนั้นจะตอบสนองได้ไม่เท่ายางเส้นอื่น ๆ ทำให้ยากต่อการควบคุม
ยางของคุณคือส่วนที่สัมผัสกับพื้นผิวถนนโดยตรง ดังนั้นการที่ยางมีพื้นผิวที่สม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ
หากคุณต้องเปลี่ยนยางเพียงหนึ่งหรือสองเส้น ให้คุณเลือกยางที่มีลักษณะใกล้เคียงกับยางที่คุณกำลังใช้อยู่ในปัจจุบันให้มากที่สุดรวมถึงเป็นกลุ่มยางประเภทเดียวกันด้วย และให้ติดตั้งยางใหม่กับล้อหลังเท่านั้น
ยางใหม่กับยางใช้แล้ว อันไหนดีกว่ากัน
แม้ว่ายางมือสองจะมีราคาที่ถูกกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงมากมายตามมาด้วยเช่นกัน หากคุณไม่ทราบประวัติของยางมือสองมาก่อน ก็ยากที่จะรู้ว่า ยางที่ซื้อนั้นผ่านการปะซ่อมมาเนื่องจากโดนเจาะหรือฉีกขาดหรือไม่ ซึ่งมีแนวโน้มที่ยางเหล่านี้จะรั่วหรือระเบิดได้ง่ายกว่า ยางที่ใช้แล้วอาจมีการสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมอ กินขอบด้านใน ซึ่งอาจส่งผลต่อการควบคุมและความปลอดภัย แถมยางที่ใช้แล้วอาจจะต้องเปลี่ยนเร็วกว่ายางใหม่มาก
วิธีที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนยางใหม่โดยเลือกยี่ห้อ ขนาดยาง ดัชนีการรับน้ำหนัก และขีดจำกัดความเร็วสูงสุดของยางแบบเดียวกัน
ควรถามอะไรกับตัวแทนจำหน่ายบ้าง
เมื่อคุณรู้ขนาดและประเภทของยางรถที่ต้องการแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างนั่นก็คือการขอคำแนะนำจากตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้มั่นใจว่า คุณได้เลือกยางที่ดีที่สุดสำหรับรถของคุณแล้ว ทั้งนี้คุณอาจจะใช้บริการอื่น ๆ ที่จำเป็นด้วย เช่น การสลับตำแหน่งยางและการตั้งศูนย์ล้อไปพร้อม ๆ กับยางใหม่ของคุณ นอกจากนี้คุณควรสอบถามตัวแทนจำหน่ายเกี่ยวกับใบรับประกัน พร้อมกับมาตรการเปลี่ยนสินค้าของโรงงานผลิตที่ผลิตยาง เพื่อให้แน่ใจว่ายางรถใหม่ที่คุณเพิ่งจะลงทุนไปจะได้รับการคุ้มครองในระยะยาว แล้วก็อย่าลืมถามเกี่ยวกับข้อเสนอพิเศษอื่น ๆ ที่ทางร้านอาจจะมีด้วยล่ะ
จากเกร็ดความรู้ที่เรานำมาเล่าสู่กันฟังนี้ น่าจะช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้อยางได้อย่างมั่นใจแล้ว
10 ข้อดี-ข้อเสีย รถยนต์ไฟฟ้า อย่าเพิ่งซื้อถ้ายังไม่รู้สิ่งนี้
Pakkawat Unchalee | 07 September 2566 11:19
https://www.facebook.com/v16.0/plugins/like.php?action=like&app_id=&channel=https%3A%2F%2Fstaticxx.facebook.com%2Fx%2Fconnect%2Fxd_arbiter%2F%3Fversion%3D46%23cb%3Df504d1040d48aee3b%26domain%3Dwww.one2car.com%26is_canvas%3Dfalse%26origin%3Dhttps%253A%252F%252Fwww.one2car.com%252Ff00d5f00055cf844d%26relation%3Dparent.parent&container_width=0&href=https%3A%2F%2Fwww.one2car.com%2F%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%2F10-thing-ev-car-132465%2F132465&layout=button_count&locale=th_TH&sdk=joey&share=true&show_faces=true&size=small

เราจะเห็นว่าในประเทศไทยเริ่มพบเจอรถยนต์ไฟฟ้าได้ทั่วไปตามท้องถนนแล้ว เรื่องนี้อาจเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าประเทศเราพร้อมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว แต่ทว่าถ้าคุณคิดจะซื้อจริงๆ คุณต้องรู้ในสิ่งเหล่านี้ก่อน

1.ปัญหาการชาร์จของรถยนต์ไฟฟ้า
ปัญหาของการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้อยู่ที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานหรือตัวรถ เพราะรถยนต์ไฟฟ้าที่จัดจำหน่ายในประเทศไทยล้วนเป็นรถที่จัดจำหน่ายในต่างประเทศอยู่แล้ว ซึ่งหลายๆ รุ่นที่ขายในประเทศไทยก็ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าใช้งานได้ดี
สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญสำหรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้ราบรื่นได้ไม่ต่างจากรถยนต์เครื่องสันดาปคือเรื่องของโครงข่ายสถานีชาร์จ เพียงแค่สถานีชาร์จ EV จุดเดียว ก็สามารถทำให้รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งได้ไกลขึ้นกว่า 300 กิโลเมตร ยิ่งถ้าเป็นการตั้งสถานีชาร์จจุดแรกในพื้นที่นั้นๆ ก็จะเป็นการดึงดูดให้ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ง่ายขึ้น
การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เพียงการวิ่งในเมืองแต่ผู้ใช้ก็ต้องการเดินทางไกลเช่นเดียวกัน หากมีสถานีชาร์จที่ครอบคลุมก็จะช่วยให้การใช้งานและการเดินทางเป็นไปได้อย่างราบลื่น แต่ในช่วงที่ประเทศกำลังพัฒนาเข้าสู่ยุคสมัยของรถยนต์ไฟฟ้าแบบนี้ก็ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังต้องมีการวางแผนการเดินทางและการชาร์จไฟให้ดีด้วย ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดปัญหาไฟหมดกลางทางก่อนถึงสถานีชาร์จ

2.รถยนต์ไฟฟ้า บูมแต่ไม่สุด
เมื่อลองดูยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยก็ค่อนข้างชัดเจนว่ารถยนต์ไฟฟ้าได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ทว่าตัวเลขที่เราเห็นประกอบกับรถยนต์ไฟฟ้าที่เราเห็นบนท้องถนน ถ้าว่ากันตามตรงแล้วผู้ใช้งานกลุ่มนี้ล้วนแต่ยังเป็นกลุ่มผู้บุกเบิกทั้งสิ้น เพราะเอาเข้าจริงแล้วถ้าจะใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าให้สะดวกที่สุดสำหรับประเทศไทยก็ยังอยู่ในรูปแบบการชาร์จที่บ้านเป็นหลักมากกว่า
ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้ว่าสาเหตุหลักที่รถยนต์ไฟฟ้าในไทยยังไม่บูมพอ นั่นก็เป็นเพราะผู้คนยังคงมีความกังวลใจเรื่องสถานีชาร์จรายทางและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานอยู่ ซึ่งเสียงสะท้อนจากผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเองก็ยังบอกว่ามันคือเรื่องจริง

3.มีสถานีชาร์จแต่หัวชาร์จน้อยมาก
แม้ว่าสถานีชาร์จจะมีอยู่ทั่วประเทศครบทุกจังหวัดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเพียงพอกับทุกคัน สถานีที่อยู่ตามถนนสายหลักที่ใช้เป็นทางผ่านไปยังจังหวัดอื่นๆ มักมีรถเข้ามาชาร์จค่อนข้างน้อย โดยในแต่ละวันอาจมีรถเข้ามาแค่หลักหน่วย หลายๆ สถานีชาร์จจึงติดตั้งเครื่องชาร์จไฟไว้เพียง 1-2 เครื่องเท่านั้น ซึ่งรองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมกันได้แค่ 2-4 คัน
แน่นอนว่าเมื่อเป็นแบบนี้จะเป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าช่วงเทศกาลเพราะต้องไปต่อคิวชาร์จรถที่สถานีชาร์จกัน และระยะเวลาในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละคันก็ค่อนข้างใช้เวลานานพอสมควร มันก็ทำให้เราเสียเวลาในการเดินทางไปค่อนข้างเยอะ ต่างจากรถยนต์เครื่องสันดาปที่เติมน้ำมันแล้วก็วิ่งต่อไปได้เลย

4.ความเร็วที่ไม่เร็วสำหรับการชาร์จ
ความเร็วในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อระยะเวลาในการชาร์จ ประเทศไทยมักจะใช้ตู้ชาร์จที่จ่ายกระแสไฟฟ้าได้สูงเกิน 80 kW อยู่แล้ว ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นยอดนิยมมักจะใช้เวลาชาร์จ 30-80% ภายใน 30 นาที แต่ว่าสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแทบจะทุกแห่งล้วนแล้วแต่ใช้ไฟฟ้าในระบบ Low Priority
Low Priority คือ การใช้ไฟฟ้าสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าซึ่งมีความสำคัญเป็นลำดับรอง เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ไฟฟ้าเพื่อวัตถุประสงค์อื่นแล้วมันสามารถถูกควบคุม ปรับลด หรือตัดการใช้ไฟฟ้าของสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้ เมื่อมีข้อจำกัดด้านความจุไฟฟ้าของระบบจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่นและรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า
ซึ่งสถานีชาร์จส่วนใหญ่มักจะมีหัว DC ชาร์จด่วนแค่ 2 หัวเท่านั้น หากมีรถมาชาร์จมากกว่า 2 คัน ก็จำเป็นต้องรอคิว ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องเสียเวลามากขึ้นไปอีกแทนที่จะได้ชาร์จเร็วๆ แต่ก็ไม่เร็วซะงั้น หรือถ้าไปชาร์จอีกแบบก็อาจจะต้องเซ็งเพราะว่ามันถูกลดกำลังลงก็ยิ่งทำให้ช้าขึ้นไปอีก

5.Low Priority ระบบที่ควรแก้ไขสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
ค่าไฟฟ้าอัตรา Low Priority จะอยู่ที่หน่วยละ 2.6369 บาท + ค่าบริการรายเดือน 312.24 บาท และค่า FT ซึ่งเปรียบเสมือนว่าสถานีชาร์จ EV จะได้ใช้ไฟฟ้าในอัตรา TOU Off Peak ตลอดเวลา แต่ต้องแลกมากับการโดนปรับลดกำลังไฟของสถานีชาร์จบ่อยครั้ง ซึ่งมักจะพบปัญหานี้ได้กับเขตเมือง
ซึ่งจะส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเข้ามาชาร์จในช่วงเวลานี้จะถูกปรับลดกำลังไฟลง จากปกติรับอยู่ 80 kW จะถูกลดเหลือ 30 kW หรือต่ำกว่านั้น ทำให้ใช้เวลาการชาร์จนานเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงอยู่ในปัจจุบันสำหรับผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งเหตุผลที่เป็นแบบนี้การไฟฟ้าให้เหตุผลไวว่า “เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่นและรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า” หรือก็คือสถานีชาร์จใช้ไฟเยอะจนกระทบความสามารถในการจ่ายไฟฟ้านั่นแหละ ซึ่งแปลว่าระบบไฟฟ้าประเทศไทยยังไม่ได้รองรับกับการมีอยู่ของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามากขนาดนั้น แน่นอนว่าวิธีแก้ไขนั้นมีแน่นอนแต่ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร

6.รถไฟฟ้าชาร์จเร็วได้ แต่สถานีไม่ได้ชาร์จเร็วให้
ด้วยความที่สถานีชาร์จในประเทศไทยใช้ไฟฟ้าแบบ Low Priority และมักจะจ่ายไฟฟ้า 30-40 kW โดยเฉพาะช่วงเวลากลางวัน ซึ่งต่อให้เราใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่รองรับการชาร์จได้แรงแค่ไหน เทคโนโลยีแบตเตอรี่ดีเลิศเพียงใด รับไฟได้สูงสุด 270 kW แต่ถ้าสถานีชาร์จปล่อยมาแค่นั้นคุณก็จะรับไฟได้แค่นั้นอยู่ดี
สุดท้ายการที่รถยนต์ไฟฟ้าจะบูมในไทยมากกว่านี้ และครอบคลุมต่อการใช้งานมากกว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับโครงข่ายระบบไฟฟ้าของประเทศล้วนๆ ว่าจะสามารถรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในปริมาณที่มากกว่านี้ได้เพียงใดในอนาคต

7.แรงจริงแต่ไม่ได้ขับสนุกทุกช่วงเวลา
เรามักจะได้ยินคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าชอบพูดว่ารถมันแรง ก็ต้องยอมรับเลยว่ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถยนต์ที่เร็วและแรงจริง เหยียบแล้วหลังติดเบาะแบบทันใจด้วยตัวมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังได้รวดเร็ว การกดคันเร่งรถไฟฟ้าจะทำให้รถพุ่งออกไปได้ทันทีทั้งการออกตัวและเร่งเเซง ต่างจากรถยนต์เครื่องสันดาปที่ต้องรอรอบเครื่องยนต์
แต่ทว่าความเร็วและความเเรงของรถยนต์ไฟฟ้านั้นเป็นเหมือนกับอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น สนุกแค่ชั่วคราวต่างจากรถเครื่องสันดาปที่ต้องใช้อารมณ์ร่วมในการเหยียบแป้นด้วยเท้าคู่นี้และขยี้ครัทช์กวาดรอบเอาเสียงเครื่องยนต์และเสียงท่อที่เร้าใจ เป็นความสนุกอย่างต่อเนื่องและมีสเน่ห์ที่รถยนต์ไฟฟ้าให้ไม่ได้ นั่นก็ทำให้ขาซิ่งอาจจะไม่ถูกใจรถยนต์ไฟฟ้ามากนัก

8.ค่าซ่อมบำรุงแพงและอะไหล่ยังไม่ค่อยพร้อม
แน่นอนว่าการขับรถในประเทศไทยทุกวันนี้มันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะขับรถได้ดีเสมอไป อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ถึงแม้ว่าเราจะระวังมากแค่ไหนแต่ถ้าคนอื่นขับมาชนเราเหมือนเดิมก็เป็นเรื่อง ที่ผ่านมาเราก็จะเห็นข่าวอยู่เรื่อยๆ เกี่ยวกับการรออะไหล่ หรือค่าเเบตเตอรีที่แพงแสนแพง นี่คือเรื่องที่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะต้องคิดหนักรวมถึงค่าเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่แพงมากด้วย ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องระวังให้ดี

9.ถนนประเทศไทยไม่ค่อยเอื้อต่อแบตเตอรี
ทราบกันดีว่าแบตเตอรีของรถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่บริเวณใต้ท้องรถ ซึ่งเมื่อตัดภาพมาดูที่สภาพถนนเมืองไทยเราในบางเส้นทางเราก็จะรู้ได้ทันทีว่าโอกาสที่เเบตเตอรีจะขูดหรือกระแทกกับพื้นนั้นมีสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่ที่มีการทำถนนและเปิดช่องจราจรชั่วคราว สภาพเส้นทางก็จะมีหลุมลึก บางทีก็อาจจะเจอกับแผ่นเหล็ก ซึ่งแน่นอนว่าแบตอาจจะขูดหรือมีความเสียหายได้แน่นอน ใครใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องระวังเป็นพิเศษ

10.ใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเยอะ
ถึงแม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เครื่องสันดาปจะหน้าตาคล้ายกัน แต่ถ้าคุณเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าคุณจำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ในหลายๆ ด้าน เช่น การคิดถึงระยะทางและระยะเวลาในการเดินทางที่มากขึ้น ต้องมีการวางแผนจองสถานีชาร์จระหว่างทาง
ปรับตัวให้คุ้นชินกับการลงน้ำหนักเท้าในการขับ การขับรถต้องระวังมากขึ้นเพราะอะไหล่ยังไม่ค่อยพร้อม ค่าใช้จ่ายลดลงแต่จะมีค่าเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น ต้องระมัดระวังเรื่องแบตเตอรีมากขึ้น ต้องรู้จักรถของคุณและเรียนรู้เกี่ยวกับรถบบต่างๆ ให้ชำนาญ เป็นต้น

ใครที่กำลังเล็งว่าจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งาน เมื่ออ่านครบทั้ง 10 ข้อแล้ว เราอยากบอกว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอย่างที่คิด แต่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าสักคันในช่วงเวลาที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์เครื่องสันดาปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ผู้ใช้จำเป็นต้องหาข้อมูลให้ครบถ้วนและมีการคิดวางแผนที่เพิ่มมากขึ้น สุดท้ายแล้วการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะทำให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียวครับ
	    	
		    
