ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง
ดูแลรถ | 19 ส.ค. 2564

หากคุณเพิ่งจะซื้อรถคันใหม่มาใช้ได้ไม่นาน แล้วเจอกับปัญหา เติมน้ำมันผิด คุณอาจจะรู้สึกเหมือนว่ากำลังทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตลงไป แต่เชื่อหรือไม่ว่าปัญหาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่คุณคิดเอาไว้มาก สาเหตุที่ทำให้ความผิดพลาดเล็กน้อยนี้เกิดขึ้นได้ง่าย นั่นก็เพราะชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงในท้องตลาดที่มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิด ถึงแม้จะเป็นน้ำมันประเภทเดียวกัน เช่น น้ำมันดีเซล ก็ยังมีให้เลือกทั้ง B7, B10, B20 และดีเซลพรีเมี่ยม เลือกกันตาลายเลยทีเดียวเมื่อขับเข้าปั๊ม
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของเครื่องยนต์อีกต่างหาก ซึ่งถ้าหากคุณเผลอไปเติมน้ำมันผิดมาจริง ๆ รู้ใจ จึงมีคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นมาฝากกัน

เติมน้ำมันผิดแบบไหนเป็นภัยกับรถคุณมากกว่ากัน
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทเดียวกันก็มีหลายชนิดให้เลือกใช้ ซึ่งถ้าหากคุณเติมน้ำมันดีเซล B10 อยู่เป็นประจำ คุณอาจจะสามารถเติมน้ำมัน B7 หรือ ดีเซลพรีเมี่ยมให้กับรถของคุณได้ ซึ่งถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นแต่ก็ช่วยให้ระบบเผาไหม้ทำงานได้ดีขึ้น สะอาดขึ้น
แต่ในกรณีที่ใช้แบบพรีเมียมอยู่แล้วเผลอไปเติมดีเซลที่มีความบริสุทธิ์ต่ำลง (มีสัดส่วนของไบโอดีเซลผสมเข้ามา) จะขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์ของรถคุณว่ารองรับน้ำมันดีเซลชนิดนั้นหรือไม่ โดยการใช้น้ำมันดีเซลที่มีความบริสุทธิ์น้อยลง อาจจะไม่ได้ทำให้เครื่องยนต์เสียในทันที ยังสามารถสตาร์ทใช้งานรถของคุณได้ตามปกติ รวมทั้งสามารถเติมน้ำมันดีเซลชนิดเดิมที่ใช้อยู่เป็นประจำผสมลงไปได้ แต่ในระยะยาวนั้นอาจส่งผลให้เครื่องยนต์หรือชิ้นส่วนบางอย่างเสื่อมลงได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายราคาสูงหากต้องเปลี่ยนอะไหล่เครื่องยนต์ชุดใหญ่ก่อนเวลาอันควร
ส่วนการ เติมน้ำมันผิด อาการเป็นอย่างไร แบบที่เป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์ของคุณแน่นอนก็คือ การเติมน้ำมันผิดจากประเภทของเครื่องยนต์ โดนเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องยนต์ดีเซลแต่ดันเผลอเติมน้ำมันเบนซินลงไป จะส่งผลให้เครื่องยนต์ของรถเกิดความเสียหายได้ เนื่องจากรถยนต์ดีเซลใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นตัวหล่อลื่น ทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่น แต่พอเติมน้ำมันเบนซินซึ่งมีส่วนผสมของเอทานอลลงไป ก็จะทำหน้าที่เหมือนตัวทำละลายน้ำมันหล่อลื่นที่เครื่องยนต์ดีเซลต้องการ
ทำให้เมื่อคุณสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จะทำให้น้ำมันเบนซินถูกส่งหมุนเวียนในเครื่องยนต์ เพิ่มแรงเสียดทานระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆ และทำให้ชิ้นส่วนเสียหายในที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์รถของคุณ จึงควรรีบเปลี่ยนถ่ายและไล่ระบบน้ำมันโดยเร็วที่สุด

ทำไมการเติมน้ำมันผิดประเภทแล้วถึงทำให้รถมีปัญหา
น้ำมันคนละชนิดกันจะมีระดับการเผาไหม้ของน้ำมันแตกต่างกัน ซึ่งเมื่อคุณเติมน้ำมันคนละประเภทลงในถังน้ำมันที่มีน้ำมันเดิมค้างอยู่ เมื่อมีการสตาร์ทเครื่องยนต์จะทำให้การเผาไหม้สะดุด ส่งผลให้การทำงานของลูกสูบไม่เป็นไปตามจังหวะที่ควรเป็น เครื่องยนต์ทำงานไม่ได้และทำให้เครื่องดับในที่สุด หากคุณเพิกเฉยไม่รีบแก้ไขปัญหา จะทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายอย่างถาวรได้
ดังนั้นเมื่อรู้ตัวแล้วว่า เติมน้ํามันรถผิด ก็ควรรีบทำการถ่ายน้ำมันนั้นออกและทำความสะอาดเครื่องยนต์รวมไปถึงชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ไม่มีสิ่งปนเปื้อนเหลืออยู่โดยเร็วที่สุด ก็จะช่วยให้คุณสามารถรักษาเครื่องยนต์เอาไว้ได้ดังเดิม
วิธีสังเกตอาการหากสงสัยว่า เติมน้ำมันผิด
หากคุณไม่รู้ตัวจริง ๆ ว่าเติมน้ำมันผิดประเภทไปหรือเปล่า แต่รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างว่ารถของคุณมีอาการต่างไปจากเดิม ให้สังเกตว่ามีอาการตามที่ระบุด้านล่างนี้หรือไม่ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคุณ เติมน้ำมันผิด นั่นเอง
1.หากเผลอเติมน้ำมันเบนซินลงในเครื่องยนต์ดีเซล อาการที่อาจเกิดขึ้นกับรถของคุณคือ
• เครื่องยนต์มีเสียงดังขณะเร่งความเร็ว
• อัตราการเร่งช้ากว่าปกติ และ ไม่สามารถทำความเร็วได้ดีเมื่อรอบเครื่องยนต์สูงขึ้น
• ระบบแสดงไฟเตือนเครื่องยนต์ และส่งผลให้เครื่องยนต์ดับได้ในที่สุด
• ไม่สามารถสตาร์ทรถใหม่ได้
2.หากเผลอเติมน้ำมันดีเซลลงในเครื่องยนต์เบนซิน อาการที่อาจเกิดขึ้นกับรถของคุณคือ
• มีควันดำออกมาจากท่อไอเสียมากกว่าปกติ
• เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ และ อาจทำให้เครื่องยนต์ดับได้
• มีปัญหาในการสตาร์ทเครื่องใหม่

เติมน้ำมันผิดประเภทควรทำยังไง
ถ้าหากคุณรู้ตัวตั้งแต่ที่ปั๊มน้ำมันเลยว่าคุณได้เติมน้ำมันผิดประเภทให้กับรถของคุณไปแล้ว ถือว่าโชคดีทีเดียวที่คุณยังไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์ เพราะน้ำมันจะยังอยู่แค่ในถังน้ำมัน ยังไม่เกิดการหมุนเวียนไปที่เครื่องยนต์หรือชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ซึ่งทำให้คุณแก้ไขความผิดพลาดของการเติมน้ำมันผิดได้ไม่ยาก คุณเพียงแจ้งให้พนักงานในปั๊มน้ำมันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และขอให้ช่างมาช่วยทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันรวมทั้งไล่ระบบน้ำมันของเครื่องยนต์ใหม่ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถใช้งานรถของคุณได้ตามปกติ โดยที่เครื่องยนต์ยังไม่ได้รับความเสียหาย
ถ้าเติมน้ำมันผิดแล้วสตาร์ทรถไปแล้ว ความโชคร้ายที่สุดจะอยู่ที่เมื่อคุณ เติมน้ำมันผิด แล้วขับรถออกไปโดยที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วรถเกิดดับกลางทาง ถ้าหากมีการทำประกันรถยนต์เอาไว้ก็จะสามารถขอใช้บริการลากรถฉุกเฉินได้ ก็จะช่วยให้คุณเบาใจไปได้เยอะเลย แต่ถ้าหากว่าประกันรถยนต์ของคุณไม่ได้ครอบคลุมการดูแลในกรณีนี้เอาไว้ ก็ต้องรีบนำรถเข้าข้างทางโดยเร็วที่สุดแล้วเรียกให้ช่างมาดูจะดีกว่า

ที่สำคัญ ! เราไม่แนะนำให้คุณฝืนขับรถไปที่อู่เอง เพราะเมื่อเครื่องยนต์มีการสูบฉีดน้ำมันเข้าสู่ระบบไปทั่วแล้ว จะยิ่งทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย แต่โดยทั่วไปแล้วเมื่อเครื่องยนต์ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติเครื่องก็จะดับไปโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว และคุณก็ไม่ควรฝืนหรือพยายามสตาร์ทเครื่องใหม่
โดยวิธีใน การดูแลรถเบื้องต้น เมื่อเติมน้ำมันผิดและทำการออกรถไปแล้ว ก็จะคล้ายกันกับกรณีที่ยังไม่ได้สตาร์ทรถออกไป คือ คุณต้องทำการถ่ายน้ำมันรถออกทั้งหมดและให้ช่างไล่ระบบน้ำมันให้ใหม่ รวมทั้งต้องล้างหัวเทียนเพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้คุณต้องทำการเปลี่ยนไส้กรองใหม่เพื่อให้ไม่เกิดการปนเปื้อนกับน้ำมันที่เติมผิดไป จึงจะทำให้รถของคุณทำงานได้ตามปกติและไม่สร้างปัญหาให้กับเครื่องยนต์

เห็นหรือยังว่าการ เติมน้ำมันผิด นั้นเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ และถึงแม้โอกาสในการเกิดขึ้นจะมีไม่มาก แต่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ของคุณนั้นค่อนข้างซีเรียสเลยทีเดียว ดังนั้นการเรียนรู้ถึงวิธีการที่ถูกต้องในการ ”แก้ปัญหาเบื้องต้น” เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เอาไว้ จะช่วยให้คุณดูแลรถของคุณไม่ให้ได้รับความเสียหายได้ ที่สำคัญ การมีประกันรถยนต์ดี ๆ ก็จะช่วยให้คุณอุ่นใจได้มากกว่า ว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้ขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ก็พร้อมมีคนดูแลคุณแบบเตรียมสแตนบายให้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งที่รู้ใจ เรามีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนเตรียมไว้ให้คุณตลอด 24 ชม. ทั่วประเทศไทย รับประกันคุณภาพงานซ่อมนานถึง 12 เดือนอีกด้วย
สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ ๆ จากรู้ใจได้ทาง FB Fan page: Roojai หรือ คลิก add Official Line ของเราไว้ได้เช่นกัน
6 สิ่งที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ McLaren
22 พ.ย. 2564 40 views
ทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับ McLaren Automotive และเป็นหนึ่งในบริษัทที่เข้าไปสู่โลกซุปเปอร์คาร์ถัดจาก Lamborghini และ Ferrari และนี่คือ 6 สิ่งที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ McLaren
แหล่งกำเนิด – ปี 1963
เรื่องราวของ McLaren เริ่มต้นจาก Bruce McLaren นักออกแบบ นักแข่ง วิศวกร และนักประดิษฐ์รถชาวนิวซีแลนด์ หนึ่งในนักแข่งรถ Ford GT40 ที่ชนะรายการ Le Mans
หลังจากพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักแข่งรถ เขาได้ก่อตั้ง Bruce McLaren Motor Racing (BMR) ในปี 1963 ซึ่งเข้าสู่ Formula 1 เป็นครั้งแรกในปี 1966 นอกจากนี้ BMR ยังประสบความสำเร็จในการสร้างรถยนต์สำหรับ CanAm แต่น่าเสียดายที่ CanAm เป็นที่ที่เรื่องราวของ Bruce จบลงเมื่อเขาเสียชีวิตบน Goodwood Circuit ในสหราชอาณาจักรขณะทดสอบ McLaren M8D

ชื่อของเขายังคงอยู่ในบริษัท ซึ่งต่อมา รอน เดนนิสอดีตช่างเครื่องที่สร้างทีมแข่งก็เข้าซื้อกิจการ เดนนิสก่อตั้ง McLaren Group ซึ่งมีกลุ่มเทคโนโลยีที่หลากหลาย ส่วน McLaren Cars ก่อตั้งขึ้นในปี 1985 โดยรถสำหรับใช้งานจริงรุ่นแรกคือตำนานอย่าง McLaren F1 เปิดตัวในปี 1992
F1 เป็นตัวกำหนดทิศทางสำหรับ สิ่งที่ McLaren จะผลิตต่อไป โดยใช้เทคโนโลยีรถแข่ง และความรู้ความชำนาญ สร้างสถิติใหม่ในฐานะรถยนต์ที่ผลิตได้เร็วที่สุดในโลก และถูกมองว่าเป็นหนึ่งในรถยนต์บนท้องถนนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผลิตออกมา ด้วยเครื่องยนต์ V12 ความแรง 618 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง ภายใน 3.2 วินาที
McLaren บุกเบิกคาร์บอนไฟเบอร์
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพูดถึง McLaren ในแง่ของรถทั่วไป เนื่องจากรถที่ใช้บนถนนอาศัยการบุกเบิกเทคโนโลยีการแข่งรถของ McLaren เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ McLaren ยังคงเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาวัสดุคอมโพสิตที่นำความเบา และความแข็งแกร่งมาสู่การออกแบบ

ในปี 1981 McLaren ได้สร้างแชสซีโมโนค็อกคาร์บอนไฟเบอร์ตัวแรกของ Formula 1 ในรถ MP4/1 เป็นคันแรกที่เปิดตัวโดยใช้เทคโนโลยีที่สร้างแชสซี และตัวรถเป็นชิ้นเดียวจากคาร์บอนไฟเบอร์ และได้รับชัยชนะครั้งแรกที่ 1981 British Grand Prix และได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของมันด้วยการปกป้องนักแข่ง John Watson ในการชนด้วยความเร็วถึง 140 ไมล์ต่อชั่วโมงที่ Monza
McLaren เคยหยุดผลิตรถ Road Car เป็นเวลากว่า 10 ปี
หลังจากที่ F1 เลิกผลิตในปี 1998 McLaren Cars ก็หยุดนิ่งจนถึงปี 2007

McLaren F1 ไม่ใช่ Road Car คันแรกของ McLaren
McLaren F1 เป็นรถยนต์สำหรับการผลิตคันแรกของบริษัท แต่ Bruce McLaren ได้คิดที่จะนำความเชี่ยวชาญด้านการแข่งรถของเขามาสู่ท้องถนน เขาต้องการทำให้รถยนต์ M6A Can-Am ได้รับชัยชนะสำหรับซีรีส์ปี 1969 แต่ไม่สามารถตอบสนองกฎใหม่ และความต้องการในการผลิตรถยนต์ 50 คัน M6B จึงถูกเก็บเข้าลิ้นชัก

อย่างไรก็ตาม Bruce McLaren ไม่ยอมแพ้กับความฝันเกี่ยวกับรถยนต์บนท้องถนนของเขา ในปี 1970 เขาได้สร้างต้นแบบโดยผสานแชสซี M6B เข้ากับตัวถัง M6 GT และเครื่องยนต์เชฟโรเลตที่ปรับแต่งโดย BARTZ M6GT ที่ทรงพลังกลายเป็นรถที่ใช้ขับประจำวันของเขา และมีคนพูดถึงว่ามันจะถูกนำไปผลิตถึว 250 คัน แต่แนวคิดนี้ก็หยุดลงเมื่อ Bruce McLaren เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 1970
ศูนย์เทคโนโลยี McLaren สุดอลังการ
ในเมืองวอคกิ้ง เซอร์รีย์ สหราชอาณาจักร พื้นที่กว่า 500,000 ตารางเมตร เป็นที่ตั้งของ McLaren Group ทั้งหมด อาคารหลักได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกนอร์มัน ฟอสเตอร์ โดยมีลักษณะครึ่งวงกลม และมีทะเลสาบอีกครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีทะเลสาบอีกสี่แห่งในพื้นที่นี้ และน้ำประมาณ 13 ล้านแกลลอนถูกสูบผ่านเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนของอาคาร เพื่อทำให้เย็น และกระจายความร้อนที่เกิดจากการวิ่งของอุโมงค์ลม ส่วนอาคารที่สองคือ McLaren Production Centre ซึ่งสร้างขึ้นในปี 2011

McLaren ต้อนรับผู้เข้าชมผ่านศูนย์ผู้เข้าชมใต้ดิน ในขณะที่พนักงานสามารถเข้าถึงร้านอาหาร 700 ที่นั่ง น้ำผลไม้ คอฟฟี่บาร์ สระว่ายน้ำ และฟิตเนสเซ็นเตอร์
McLaren ผลิตซีรีส์แอนิเมชั่น
เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์ แม็คลาเรนได้ผลิตซีรีส์การ์ตูนแอนิเมชั่นที่ฉายมาสามฤดูกาล โดยมีดาราดัง ได้แก่ นักแข่งรถ Jenson Button, Fernando Alonso, Lewis Hamilton, Kevin Magnussen, Sergio Pérez และ Murray Walker นักวิจารณ์การแข่งรถชาวอังกฤษในตำนาน
มีการผลิตสามสิบตอนสำหรับช่อง YouTube ของแบรนด์ และออกอากาศทางช่อง Sky Sports 1 TV ของสหราชอาณาจักรก่อนงานกรังปรีซ์
	    	
		    
