ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
รวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนตรวจสภาพรถยนต์
วันที่เผยแพร่ 28/12/2023
ยอดผู้เข้าชม 18075

รถยนต์ทุกคันเมื่อผ่านการใช้มาระยะหนึ่ง ย่อมต้องมีการสึกหรอของส่วนประกอบต่าง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเพื่อให้ทุกคนสามารถใช้รถยนต์ได้อย่างปลอดภัย ทางกรมการขนส่งทางบกและพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 จึงได้กำหนด ให้รถทุกคันต้องตรวจเช็กสภาพเมื่อถึงเวลาที่กำหนด สำหรับมือใหม่ที่พึ่งมีรถคันแรกอาจยังไม่รู้ขั้นตอนอะไรมาก เพราะฉะนั้นเราจะพาทุกคนไปเจาะลึกรวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนตรวจสภาพรถยนต์ รวมถึงตรวจสภาพรถใช้เอกสารอะไรบ้าง ? ถ้าพร้อมแล้วติดตามกันได้เลย
ทำไมต้องตรวจสภาพรถยนต์
การตรวจสภาพรถมี 2 เหตุผลหลัก ๆ ที่ผู้ใช้รถต้องดำเนินการ ได้แก่
- ตรวจเช็กสภาพความพร้อมของรถเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ ผู้โดยสารและเพื่อร่วมทางรายอื่น ๆ
 - หากรถมีอายุใช้งาน 7 ปีขึ้นไป ตั้งแต่จดทะเบียนครั้งแรก จำเป็นต้องตรวจสภาพรถเพื่อนำเอกสารไปยื่นต่อภาษี
 
รถประเภทไหนบ้างที่ต้องตรวจสภาพ
รถที่ต้องตรวจสภาพสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
- รถยนต์ที่มีอายุ 7 ปีขึ้นไปทุกชนิด รถส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ,รถยนต์ส่วนบุคคลเกิน 7 คน และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล
 - รถจักรยานยนต์ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป
 
ตรวจสภาพรถยนต์ได้ที่ไหน
การตรวจสภาพรถยนต์ตามที่กรมการขนส่งกำหนด สามารถเข้าไปดำเนินการได้ 2 แห่งหลัก ๆ ดังนี้
สถานตรวจสภาพรถ ตรอ.
ตรอ. หรือ สถานตรวจสภาพรถเอกชน มีผู้ให้บริการอยู่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้รถสามารถเลือกใช้บริการสถานตรวจสภาพรถ ตรอ. ใกล้บ้านได้ทุกแห่ง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสถานนีที่ได้รับการอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก ให้เป็นสถานตรวจสภาพรถที่มีมาตรฐาน สามารถออกเอกสารเพื่อนำไปยื่นต่อภาษีรถได้
กรมการขนส่งทางบก
หากเป็นรถขนาดใหญ่ หรือเป็นรถที่มีปัญหา เช่น มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์, เปลี่ยนสีตัวถัง, ดัดแปลงสภาพรถ, เลขตัวรถ/เลขเครื่องยนต์ไม่ชัดเจน หรือขาดการต่อทะเบียนเกิน 1 ปี จะแนะนำให้มาตรวจสภาพที่กรมการขนส่งทางบกจะครอบคลุมกว่า

Alt Text : ตรวจสภาพรถใช้เอกสารอะไรบ้าง
ตรวจสภาพรถใช้เอกสารอะไรบ้าง
มาถึงคำถามยอดฮิตที่ว่า ‘ตรวจสภาพรถใช้เอกสารอะไรบ้าง ?’ คำตอบคือ มีเพียง 2 อย่างเท่านั้น ได้แก่
- รถที่ต้องการไปตรวจสภาพ
 - เอกสารเล่มทะเบียนรถที่ต้องการตรวจสภาพ ถ้าเป็นรถยนต์ เล่มสีน้ำเงิน ส่วนรถมอเตอร์ไซค์ เล่มสีเขียว หรือใช้สำเนาทะเบียนรถก็ได้เช่นกัน
 
ตรวจสภาพรถ เช็กอะไรบ้าง
เช็กความพร้อมของรถก่อนนำไปตรวจสภาพ มีชัยไปกว่าครึ่ง โดยสถานตรวจสภาพรถ ตรอ./กรมการขนส่งทางบก จะเริ่มเช็กตั้งแต่ความถูกต้องของข้อมูลรถ, สภาพตัวรถ, ระบบภายใน, ประสิทธิภาพการเบรก, โคมไฟหน้า, วัดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และก๊าซไฮโดรคาร์บอน (HC), ตรวจค่าควันดำสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล และวัดเสียงรถไม่เกิน 100 เดซิเบล
ตรวจสภาพรถ เสียเงินเท่าไหร่
สำหรับรถจักรยานยนต์ 60 บาท/คัน ,รถยนต์ที่น้ำหนักไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม 160 บาท/คัน และรถยนต์ที่น้ำหนักเกิน 1,600 กิโลกรัม 250 บาท/คัน

H2 สรุปบทความ
การตรวจเช็กสภาพรถมีความสำคัญมากกว่าที่คุณคิด นอกจากจะช่วยเตือนให้ผู้ใช้รถหมั่นตรวจเช็กสภาพทุกปีแล้ว ยังช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องจากเครื่องยนต์ติดขัดได้อีกด้วย โดยเฉพาะรถที่มีอายุการใช้งานมาก หรือรถบ้าน รถมือสอง ก่อนเลือกซื้ออย่าลืมเช็กประวัติการตรวจสภาพรถ เพื่อช่วยคัดกรองรถเบื้องต้น และเพื่อการันตีคุณภาพของตัวรถ
อันตรายที่คุณไม่รู้! กดปุ่มอากาศหมุนเวียน ตอนขับรถทางไกล มีผลเสียมากกว่าที่คิด
15 ก.ย. 68 (15:30 น.) พิมพ์

แชร์เรื่องนี้
ทุกวันนี้เมื่อคุณขับรถในกรุงเทพฯ หรือบางพื้นที่มักจะกดปุ่ม “อากาศหมุนเวียน” (สัญลักษณ์รูปรถที่มีลูกศรวนอยู่ข้างใน) ค้างไว้ตลอดทาง เพราะป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกที่มีกลิ่นเข้ามาในรถ แต่รู้หรือไม่ ปุ่มนี้ถ้ากดค้างเวลาขับรถทางไกลอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ วันนี้ Sanook Auto มาเฉลยว่าทำไมปุ่มอากาศหมุนวนกดค้างทำให้คุณง่วงนอนได้ และต้องทำอย่างไรหากต้องขับรถทางไกล
ทำความเข้าใจการทำงานของปุ่มอากาศภายในรถ
ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่าระบบปรับอากาศในรถยนต์มี 2 โหมดหลักนั่นคือ
- โหมดอากาศหมุนเวียน (Recirculation Mode): คือการ นำอากาศภายในห้องโดยสารมาหมุนเวียน เพื่อทำให้เย็นลงอีกครั้ง เหมาะสำหรับการทำให้ห้องโดยสารเย็นเร็วขึ้นในช่วงแรก หรือเมื่อขับผ่านบริเวณที่มีกลิ่นเหม็น, ควัน, หรือฝุ่นละอองเยอะๆ
 - โหมดรับอากาศภายนอก (Fresh Air Mode): คือการ ดึงอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกรถ เข้ามาผ่านระบบกรองและคอยล์เย็น เพื่อสร้างอากาศใหม่หมุนเวียนในห้องโดยสาร
 

ภัยเงียบ! เมื่อกดปุ่มอากาศหมุนวนค้างไว้
ทันทีที่เมื่อคุณกดปุ่มอากาศหมุนเวียนค้างไว้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อมีผู้โดยสารในรถหลายคน ระบบจะนำอากาศเดิมที่พวกเราหายใจออกมาวนกลับไปทำความเย็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
- ระดับออกซิเจน (O2) ลดลง: เพราะไม่มีการนำอากาศใหม่จากภายนอกเข้ามาเติม
 - ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงขึ้น: ซึ่งเป็นก๊าซที่เราหายใจออกมา จะสะสมอยู่ในห้องโดยสารมากขึ้นเรื่อยๆ
 
ผลกระทบจากระดับ CO2 ที่สูงเกินไป มีผลโดยตรงต่อร่างกายและสมองของผู้ขับขี่ คือจะทำให้เกิดอาการดังนี้
- ง่วงซึมและอ่อนเพลีย
 - ปวดศีรษะ มึนงง
 - สมาธิในการขับขี่ลดลง
 - การตัดสินใจช้าลง
 
อาการเหล่านี้คือสัญญาณอันตรายที่นำไปสู่ “การหลับใน” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุรุนแรงบนท้องถนน
คำแนะนำในการใช้ปุ่มอากาศหมุนเวียนที่ถูกต้องเมื่อขับรถทางไกล
เพื่อความปลอดภัยและสภาวะที่เหมาะสมที่สุดในการขับขี่ทางไกล ควรปฏิบัติตามนี้
- ช่วงแรกของการเดินทาง: สามารถกดปุ่ม “อากาศหมุนเวียน” ได้ประมาณ 5-10 นาที เพื่อเร่งให้ความเย็นกระจายทั่วห้องโดยสารได้เร็วขึ้น
 - ระหว่างเดินทางไกล: หลังจากแอร์เริ่มเย็นแล้ว ควรกดปิดปุ่มอากาศหมุนเวียน เพื่อเปลี่ยนไปใช้โหมด “รับอากาศภายนอก” เป็นหลัก วิธีนี้จะช่วยรักษาสมดุลของออกซิเจนและป้องกันการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ร่างกายสดชื่นและตื่นตัวอยู่เสมอ
 - ใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น: เปิดใช้โหมดอากาศหมุนเวียนเป็นครั้งคราว เฉพาะเมื่อขับผ่านบริเวณที่มีมลภาวะสูง เช่น เขตก่อสร้าง, โรงงาน, หรือตามหลังรถที่ควันดำ และเมื่อผ่านพ้นบริเวณนั้นแล้ว ให้รีบสลับกลับไปใช้โหมดรับอากาศภายนอกทันที
 - เทคนิคเพิ่มเติม: ทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ควรลดกระจกลงเล็กน้อยประมาณ 1-2 นาที เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดียิ่งขึ้น
 
จริงๆ แล้วปุ่มอากาศหมุนวน เป็นปุ่มที่หลายคนอาจจะคิดถึงแค่ขับรถในเมืองที่ไม่อยากให้มีกลิ่นอะไรเข้ามา แต่จริงๆ แลัวถ้าจะขับรถทางไกลให้ปลอดภัย ก็ควรจะใช้ปุ่มอากาศเข้าหรือหมุนวนในรถให้เหมาะสมกันด้วยเช่นเดียวกัน
	    	
		    
