ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇

มัดรวมปัญหาของคนมีรถยนต์ต้องรู้ ซ่อมรถ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนยาง

บัตรเครดิตคือเพื่อนคู่ใจคนมีรถ ช่วยผ่อนค่าใช้จ่ายซ่อมรถ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนยาง หรือซ่อมใหญ่แบบไม่ต้องจ่ายเงินก้อนทันที

หัวข้อที่น่าสนใจ

• เงินไม่พร้อม รถเสียกะทันหัน บัตรเครดิตช่วยซ่อมรถยนต์ได้ไหม?
• บัตรเครดิต ตัวช่วยบริหารจัดการ “ซ่อมรถยนต์” ที่ไม่คาดฝัน

รถยนต์คือเพื่อนคู่ใจที่พาเดินทางไปในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปทำงานในแต่ละวัน การรับส่งลูกหลาน หรือสร้างรายได้ แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ความสะดวกสบายนั้น “การมีรถ” ก็มักจะมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์จำเป็นที่ต้อง ซ่อมรถยนต์ กะทันหัน ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนยางทั้งชุด บางครั้งเกิดขึ้นในตอนที่ไม่พร้อมด้านการเงิน นั่นคือเหตุผลที่ควรมี “บัตรเครดิต” ติดตัวไว้เสมอ เพื่อใช้จ่ายซ่อมรถยนต์ในยามคับขัน

เงินไม่พร้อม รถเสียกะทันหัน บัตรเครดิตช่วยซ่อมรถยนต์ได้ไหม?

เพราะบัตรเครดิตไม่ได้มีไว้แค่ชอปปิงหรือสะสมแต้มเท่านั้น แต่ยังเป็น “ตัวช่วยจัดการสภาพคล่อง” ที่ทำให้คุณไม่ต้องควักเงินสดก้อนโตทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับรถคู่ใจ  ดังนั้น ถ้าเจอเหตุการณ์ให้ซ่อมรถก็ไม่ต้องกังวลใจ เพราะมีบัตรเครดิต วันนี้จะพาไปสำรวจ 5 สถานการณ์สุดปวดใจที่เจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่ต้องเคยเจอพร้อมเปิดเผยทางออกที่จะช่วยให้คุณสามารถ “คุมงบ” ได้ดีขึ้น

มีเหตุด่วนให้ซ่อมรถกะทันหันแต่เงินเดือนยังไม่ออก

สมมติว่ากำลังขับรถไปทำงานในช่วงใกล้สิ้นเดือนที่เงินเดือนยังไม่ออก แล้วจู่ๆ รถยนต์คู่ใจเกิดอาการผิดปกติขึ้นมา ทำให้มีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินที่มีค่าซ่อมพุ่งสูงไปถึงหลักหมื่นบาทในช่วงเวลาที่การเงินไม่พร้อมที่สุด ทำให้หลายคนต้องจึงต้องเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะไม่มีเงินสดจ่ายทันที อาจต้องหาทางยืมเงิน หรือปล่อยให้รถจอดเสียค้างไว้โดยยังไม่ได้รับการซ่อมแซม ตัวอย่างค่าใช้จ่ายซ่อมรถยนต์ฉุกเฉินที่พบได้บ่อย เช่น

• เปลี่ยนแบตเตอรี่ฉุกเฉิน 2,000-4,000 บาท ขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของแบตเตอรี่
• แอร์ไม่เย็น 3,000-8,000 บาท หากต้องเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์ อาจสูงถึงหลักหมื่น
• เกียร์พัง เป็นหนึ่งในเคสหนักที่สุดที่หลายคนเจอ โดยเฉพาะรถที่ใช้งานมานานหรือไม่มีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
  • เกียร์ธรรมดา ค่าซ่อมอยู่ที่ประมาณ 8,000-20,000 บาท
  • เกียร์อัตโนมัติหรือ CVT ที่มีระบบซับซ้อน ค่าซ่อมสามารถพุ่งสูงได้ถึง 40,000-100,000 บาท ขึ้นกับรุ่นรถและระดับความเสียหาย

หากคุณมีบัตรเครดิต* ที่สามารถผ่อนจ่ายได้ จะช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเงินสดทั้งหมดในครั้งเดียว บัตรบางใบยังมีโปรผ่อน 0% หรือ Cashback สำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ ช่วยแบ่งเบาภาระการเงินให้คุณ

ถึงรอบเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือเปลี่ยนยาง แต่เงินสดไม่พอ

ในเรื่องของการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือเปลี่ยนยางรถยนต์ หลายคนมักคิดว่า “เอาไว้ก่อนก็ได้” ด้วยเหตุผลด้านเวลาหรืองบประมาณที่จำกัด แต่การขับรถยนต์ต่อไปโดยไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามกำหนด อาจส่งผลให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายที่ต้องซ่อมรถยนต์ครั้งใหญ่ รวมไปถึงการเปลี่ยนยางรถยนต์เช่นกัน หากละเลยอาจนำไปสู่อุบัติเหตุที่มีการสูญเสียทั้งค่าใช้จ่ายและอาจรวมไปถึงชีวิตด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ไม่ยอมเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือเปลี่ยนยางรถ คือ

• น้ำมันเครื่องหมดคุณภาพ เมื่อน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ จะไม่สามารถหล่อลื่นและระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วขึ้นและมีอายุการใช้งานสั้นลง จนอาจถึงขั้นเครื่องยนต์พัง โดยทั่วไปควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 6 เดือน หรือทุก 10,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) แม้ว่าจะขับขี่ไม่เยอะก็ตาม เพราะน้ำมันเครื่องมีการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องโดยประมาณจะอยู่ที่ 1,000-3,000 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทน้ำมันเครื่องและยี่ห้อรถ
• ยางสึกหรอเกินกำหนด หากยางรถยนต์ที่สึกหรอมากเกินไปจะทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนลดลงอย่างมาก เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนถนนเปียก หรือเมื่อต้องเบรกกะทันหัน ควรเปลี่ยนยางเมื่อใช้งานครบ 2-3 ปี หรือเมื่อวิ่งครบ 50,000 กิโลเมตร (โดยประมาณ) และควรตรวจสอบดอกยางอย่างสม่ำเสมอ หากดอกยางบางลงจนใกล้ถึงสะพานยาง หรือมีรอยแตกร้าว ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนทันที โดยทั่วไป ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 10,000-15,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาด ยี่ห้อ และรุ่นของยางที่คุณเลือก ซึ่งถือเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ต้องจ่ายในครั้งเดียว

บัตรเครดิต* ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าต้อง “ซ่อมตอนนี้” แทนที่จะเปลี่ยนวันไปเรื่อย เพราะสามารถผ่อนค่าใช้จ่ายได้แบบไม่ต้องใช้เงินสดก้อน เช่น ผ่อนยางรถยนต์ 0%  ซึ่งบัตรเครดิตบางใบนั้น สามารถใช้แต้มสะสมที่เคยมีมาใช้เป็นส่วนลดได้ด้วยเช่นกัน

รถเสียกลางทาง ไม่มีเงินสดจ่ายค่ารถลากไปอู่ซ่อมรถยนต์

ไม่มีใครคาดคิดว่าวันหนึ่งจะต้องจอดรถเสียกลางทาง โดยเฉพาะเมื่อขับรถอยู่ต่างจังหวัด หรือเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งเรื่องแบบนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งตัว และกลายเป็นฝันร้ายมากถ้าไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน เพราะการโทรเรียกรถลากโดยส่วนมากต้องจ่ายเงินทันที ซึ่งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่ารถลาก คือ

• ระยะทางไม่เกิน 10 กม. เริ่มต้นที่ 1,500 บาท
• ระยะทาง 30 กม. ขึ้นไป ราคาประมาณ 2,000-2,500 บาท
• หากข้ามจังหวัดหรือใช้บริการนอกเวลาทำการ อาจสูงถึง 3,000-5,000+ บาท

ในกรณีที่ต้องใช้เงินสดเพื่อจัดการปัญหาตรงหน้า ยังมี บัตรเครดิต* หลายใบสามารถกดเงินสดมาใช้ได้ในทันที หรือถ้าเป็นบัตรเครดิตที่มีบริการ Roadside Assistance คุณจะได้ใช้สิทธิ “ลากรถฟรี” ได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินเองเลย ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างดี

เคลมประกันแต่ต้องสำรองจ่าย เงินไม่พอไม่ได้ซ่อมรถยนต์

จริงอยู่ที่ว่า “มีประกันรถยนต์ชั้น 1” แล้วจะหมดกังวลเรื่องค่าซ่อมไปได้เลย เพราะคุ้มครองครอบคลุม แต่จริงๆ แล้วในบางกรณีคุ้มครองจริง แต่ต้อง “สำรองจ่าย” ก่อน แล้วค่อยดำเนินการเบิกคืนจากบริษัทประกันภายหลัง ฟังแล้วดูเป็นวิธีที่ง่าย แต่สำหรับคนที่ไม่มีเงินสดติดบัญชีเพียงพอ การซ่อมรถยนต์ต้องเลื่อนออกไปแบบจำใจ ทั้งที่รถยังจอดรอซ่อมอยู่แบบนั้น ตัวอย่างที่ต้องสำรองจ่ายเพื่อซ่อมรถยนต์ คือ

• ขับรถชนแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ขับชนต้นไม้ เสาไฟ หรือรั้วบ้าน ในกรณีแบบนี้บางบริษัทประกันรถยนต์อาจขอให้เจ้าของรถจ่ายค่าซ่อมก่อน แล้วค่อยเบิกทีหลัง
• มีค่าส่วนต่างนอกเหนือความคุ้มครอง แม้จะซ่อมรถยนต์กับอู่ในเครือ แต่ถ้าค่าซ่อมเกินวงเงินประกันหรือมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อยู่นอกเงื่อนไข ก็ต้องจ่ายเองก่อน
• ซ่อมสีรถแต่ยังรออนุมัติ กรณีที่ต้องทำสีรถหรือซ่อมบางรายการ อาจต้องรอการอนุมัติจากบริษัทประกัน ถ้าไม่อยากรอนาน บางอู่จะขอให้สำรองจ่ายก่อน แล้วค่อยเคลียร์ภายหลัง

ถ้าคุณมีบัตรเครดิต*ที่พร้อมใช้งาน จะช่วยให้คุณนำรถเข้าซ่อมรถยนต์ได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้เรื่องการอนุมัติยืดเยื้อ หรือกังวลว่าเงินสดจะไม่พอ เพราะสามารถใช้วงเงินบัตรสำรองจ่ายล่วงหน้า เช่น จ่ายค่ากระจกรถยนต์ของคู่กรณี จ่ายค่ากันชนที่เสียหาย เป็นต้น

บำรุงรักษารถทั้งปี มีค่าใช้จ่ายแฝง แต่ถ้ามีบัตรเครดิต ก็เบาลงได้

ใครว่ามีรถแค่ผ่อนหมดก็คือจบ แต่จริงๆ แล้ว “การมีรถ” คือภาระระยะยาวที่มาพร้อมกับ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ที่ต้องเจอกันทั้งปี ทั้งค่าบำรุงตามระยะทางที่วางแผนไว้ล่วงหน้า และค่าใช้จ่ายจุกจิกที่โผล่มาแบบไม่ให้ตั้งตัว ซึ่งค่าบำรุงรักษารถยนต์ที่ส่วนมากต้องเจอทุกๆ ปี ได้แก่

• เปลี่ยนน้ำมันเบรก ถือเป็นพื้นฐานของการดูแลรถยนต์ที่สำคัญมาก เพราะน้ำมันเบรกมีอายุการใช้งาน หากเสื่อมหรือมีฟองอากาศในระบบ อาจทำให้เบรกทำงานได้ไม่เต็มที่ เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ
• เช็กช่วงล่าง ระบบเบรก หรือระบบแอร์ ระบบเหล่านี้ทำงานหนักทุกวัน ถ้าเริ่มมีเสียงแปลก ๆ หรือเบรกตอบสนองช้า อย่ารอให้พังแล้วค่อยซ่อม เพราะค่าซ่อมจะสูงกว่าค่าบำรุงหลายเท่า
• ตรวจระบบไฟ หรือเปลี่ยนแบตเตอรี รถสตาร์ทไม่ติดกลางทางเพราะแบตฯ เสื่อมคือเรื่องจริงที่เกิดบ่อยมาก ยิ่งถ้าใช้รถในเมืองที่มีการจอดบ่อย วิ่งสั้น แบตก็เสื่อมเร็วก็ต้องเปลี่ยนก่อนถึงรอบ
• ล้างเคลือบสี ดูดฝุ่น หรือตรวจเครื่องยนต์เบื้องต้น อย่ามองข้ามความสะอาดและการดูแลเครื่องยนต์ นอกจากจะช่วยยืดอายุการใช้งาน ยังช่วยรักษามูลค่ารถหากวันหนึ่งต้องขายต่อ

โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการบำรุงรักษารถยนต์ทั้งปีทั่วไปจะอยู่ที่ ประมาณ 10,000-20,000 บาท/ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับระยะทางที่ใช้ อายุของรถ และประเภทของรถยนต์ เช่น รถยุโรปหรือรถยนต์ไฮบริดอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า เป็นต้น

ดังนั้น การมีบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์เรื่องรถยนต์ จึงเป็นมากกว่าแค่เรื่อง “เครดิต” แต่คือการ “วางแผนรับมือกับสิ่งที่คาดไม่ถึง” ที่เจ้าของรถทุกคนควรมีติดตัวไว้

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

*ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

*กรณีเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากบัตรเครดิตเสียดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่เบิกถอน

บัตรเครดิต ตัวช่วยบริหารจัดการ “ซ่อมรถยนต์” ที่ไม่คาดฝัน

การมีรถยนต์คู่ใจนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบและค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมรถยนต์ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือการเปลี่ยนยาง เป็นต้น ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ด้วยการวางแผนที่ดีและมีตัวช่วยทางการเงินที่เหมาะสมอย่าง บัตรเครดิตอิออน ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้รถ ก็จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลกับเงินก้อนใหญ่ที่ต้องจ่ายแบบไม่ทันตั้งตัวอีกต่อไป หากคุณกำลังมองหาตัวช่วยทางการเงินที่เข้าใจคนมีรถ และพร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดในทุกสถานการณ์ ลองพิจารณาบัตรเครดิตที่มอบสิทธิประโยชน์ด้านรถยนต์ที่หลากหลาย เพื่อให้ทุกการเดินทางของคุณราบรื่นและอุ่นใจมากยิ่งขึ้น

ราคาที่ปรากฏในบทความนี้รวบรวมจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ในช่วงปี พ.ศ. 2567-2568 อ้างอิงจากเว็บไซต์ของผู้ให้บริการหรือแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง เช่น service-battery, esbbattery, yellowtire, car.kapook, ktc, roojai, subaru.asia, khaosod, sumoroadside.co.th/price-table ทั้งนี้ ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงเวลา โปรดตรวจสอบข้อมูลกับแหล่งบริการที่เลือกใช้อีกครั้งก่อนตัดสินใจ

TOP 10 แบรนด์ยานยนต์ที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุด

ผู้เขียน: Thirakan T Published: เมษายน 29, 2021

แก้ไขโดย: Natthamon Last edited: เมษายน 14, 2024

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน

สวัสดีครับไทร์บิดกลับมาอีกครั้งครับ วันนี้จะมาคุยกันในเรื่องแบรนด์ไหนที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุดในต้นปี 2021 นี้ครับผม ถือว่าถ้าบริษัทไหนมีมูลค่าบริษัทมากย่อมมีองค์ประกอบหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการที่ดี เทียบเท่ากับการขายดี หรือว่าจะมีสินทรัพย์ที่เพิ่มมากขึ้นนั้นก็ส่งผลมาจากผลประกอบการบริษัทที่ดีแน่นอนครับ วันนี้ต้องบอกว่ามีการขยับสับเปลี่ยนกันในอันดับหลายอันดับอยู่เลยอยากมาบอกเพื่อนๆกันว่า ยี่ห้อไหนที่มาแรงในต้นปี 2021 นี้ครับผม

โดย Tiresbid จะเรียงลำดับจากมีมูลค่ามากที่สุด ลงไป มูลค่าน้อยที่สุดเพียง 10 อันดับครับ

10 แบรนด์ยานยนต์ มูลค่าสูงติดอันดับโลก

อันดับที่ 1 Michelin (มิชลิน) มีมูลค่าบริษัท 6,848 ล้านดอลลาร์

อันดับที่ 2 Bridgestone (บริดจสโตน) มีมูลค่า 6,805 ล้านดอลลาร์

อันดับที่ 3 Continental (คอนติเนนทอล) มีมูลค่า 3,163 ล้านดอลลาร์

อันดับที่ 4 Dunlop (ดันลอป) มีมูลค่า 1,837 ล้านดอลลาร์

อันดับที่ 5 Goodyear (กู๊ดเยียร์) มีมูลค่า 1,734 ล้านดอลลาร์

อันดับที่ 6 Pirelli (พิเรลลี่) มีมูลค่า 1,238 ล้านดอลลาร์

อันดับที่ 7 Hankook (ฮันกุ๊ก) มีมูลค่า 1,103 ล้านดอลลาร์

อันดับที่ 8 Yokohama (โยโกฮามา) มีมูลค่า 757 ล้านดอลลาร์

อันดับที่ 9 Sumitomo Rubber (ซูมิโตโม) มีมูลค่า 743 ล้านดอลลาร์

อันดับที่ 10 LingLong Tire (หลิงหลง) มีมูลค่า 703 ล้านดอลลาร์

เพื่อนๆคงเห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่ามีแบรนด์ไหนที่สลับตำแหน่งกัน ที่แน่ๆขับเคี้ยวกันอันดับ 1 และ 2 แน่นอน คือยี่ห้อ Michelin(มิชลิน) และ Bridgestone(บริดจสโตน) ปีนี้มีการสลับตำแหน่งกันเพราะปีที่แล้วบริดสจโตนมีอยู่อันดับที่ 1 มิชลิน อยู่ในอันดับที่ 2 ครับ แต่แบรนด์หนึ่งที่อยากให้เพื่อนสังเกตคืออันดับ 10 ครับ Linglong(หลิงหลง) เป็นแบรนด์จีนที่มาตั้งโรงงานผลิตในบ้านเราแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ยางที่มีมาตรฐานการผลิตที่สูงเทียบเท่ากับแบรนด์ชั้นนำมากๆครับ และเริ่มขยายตลาดในบ้านเราเยอะขึ้น ซึ่งเพื่อนๆหลายคนอาจจะเคยเห็นและเคยลองใช้มาบ้างแล้ว อีกแบรนด์หนึ่งที่น่าสนใจซึ่งห่างหายจากตลาดบ้านเราไปนานแล้วก็คือ Goodyear ซึ่งแบรนด์ Goodyear จริงๆแล้วเป็นแบรนด์ที่ผลิตจากอเมริกา ซึ่งเป็นที่ถือว่ายางนั้นคุณภาพดีมากเกือบจะเป็นยางเกรดพรีเมียมเลยครับ

แต่ราคาค่อนข้างอยู่ในระดับกลาง ๆ เพื่อน ๆ สามารถจับต้องได้สบายกระเป๋า โดยมียางให้เลือกค่อนข้างหลากหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็นรถขนาดเล็กก็จะมีรุ่น Assurance Duraplus 2 , Assurance TripleMax 2 หรือว่าจะเป็นยางสปอร์ตอย่างรุ่น Eagle F1 sport และยางกระบะและรถ SUV อย่างรุ่น Wrangler TripleMax และ Efficient Grip Performance SUV และ ดอกยางAT อย่างรุ่น AT SilenTrac ซึ่งก็ตอบโจทย์แทบทุกการใช้งานสำหรับเพื่อน ๆ ครับ

ก็กำลังกลับมาทำตลาดในบ้านเราเยอะขึ้นซึ่งเค้าก็จะมีจุดบริการที่ชื่อ Autocare ที่เป็น Goodyear shop ครับ ซึ่งแบรนด์ดังๆทั้งหมดก็มีอยู่ในบ้านเราหมดแล้ว อยากให้เพื่อนๆได้เชื่อมั่นว่าเมื่อเราซื้อยางแบรนด์ใน 10 อันดับที่ทาง Tiresbid เรานำเสนอไปนั้น มั่นใจได้แน่นอนครับ ว่าคนทั่วทั้งโลกก็ใช้กัน เพราะฉะนั้นเรื่องคุณภาพและมาตรฐานไม่มีปัญหาแน่นอน เพื่อน ๆ สามารถเลือกใช้แบรนด์ยางข้างต้นได้เลยครับ สมรรถนะดี อายุการใช้งานดี อีกทั้งมาตรฐานการผลิตดีด้วยครับผม

แต่สิ่งหนึ่งที่ปี 2021 นั้นแตกต่างไปก็คือ เรื่องของมูลค่าโดยรวมของทุกบริษัทจากรายงานมีการลดลงเล็กน้อยครับ น่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์โควิดที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งโลก มีการ work from home ทำให้คนใช้รถน้อยลง ปริมาณยางก็ใช้น้อยลงตามไปด้วยผลประกอบการก็เลยน่าจะตกลง แต่ยังไง เราก็เชื่อว่า การเดินทางไปในที่ต่างๆด้วยรถ หรือการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกนั้นยังไงก็มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว  แต่ในรายละเอียดของแต่ละยี่ห้อนั้น ก็จะมีสเปกการใช้งานที่แตกต่างกันไป หรือ จะมีจุดเด่นในยางแต่ละประเภทไปครับ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆสามารถที่จะอ่านบทความรู้ยางรถยนต์ ว่าแต่ละรุ่นมีจุดเด่นอย่างไรที่ www.tiresbid.com ได้ครับเพราะแบรนด์ชั้นนำข้างต้น เรามีรีวิวและแนะนำสินค้าได้อย่างครบถ้วนครับผม

หรือถ้าหากเพื่อนๆมีข้อสงสัยเรื่องยางไม่แน่ใจว่ารถตัวเองใช้กับยางรุ่นไหนถึงเหมาะสม เราก็มีบริการที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเรื่องยางรถยนต์ที่คอยให้คำแนะนำ โดยสามารถติดต่อช่องทาง Line OA : @tiresbid (มี @ ด้วยครับ) โอกาสหน้ามีบทความอะไรใหม่ๆติดตามกันนะครับ

ซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์กับ แรบบิท แคร์ ที่เดียวครบจบทุกความต้องการ เพื่อให้รถของคุณได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด แพลตฟอร์มนี้ช่วยคุณเปรียบเทียบประกันรถยนต์จากบริษัทชั้นนำ พร้อมเลือกแผนความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การซ่อมแซม หรือความเสียหายจากภัยธรรมชาติ มาพร้อมบริการ 24 ชั่วโมงจากทีมงานมืออาชีพ และส่วนลดสูงสุดถึง 70% ช่วยคุณประหยัดอย่างคุ้มค่า

รายละเอียดแผนประกันรถยนต์

• ประกันภัยชั้น 1:
  ครอบคลุมทุกกรณี เช่น อุบัติเหตุ, ชน, พลิกคว่ำ, ไฟไหม้, น้ำท่วม, รถหาย รวมถึงการซ่อมรถผู้เอาประกัน แม้ไม่มีคู่กรณี
• ประกันภัยชั้น 2+:
  คุ้มครองกรณีชนกับยานพาหนะ (มีคู่กรณี), ไฟไหม้, น้ำท่วม, รถหาย พร้อมดูแลบุคคลภายนอก
• ประกันภัยชั้น 3+:
  คุ้มครองเฉพาะกรณีชนกับยานพาหนะ (มีคู่กรณี) และบุคคลภายนอก
• ประกันภัยชั้น 2:
  คุ้มครองกรณีรถหายและไฟไหม้ พร้อมดูแลบุคคลภายนอก
• ประกันภัยชั้น 3:
  คุ้มครองเฉพาะบุคคลภายนอก

เลือกแผนที่เหมาะกับคุณได้ที่ แรบบิท แคร์ พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 1438 ตลอด 24 ชั่วโมง