ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
รถรุ่นไหนที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น
- เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2017
 - ผู้เขียน FUN! JAPAN Team
 

ที่ประเทศไทยเราจะเห็นรถโตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน วิ่งกันตามท้องถนนเป็นส่วนมาก แล้วที่ญี่ปุ่น เพื่อนๆ คิดว่ารถอะไรขายดีที่สุดคะ? จะเป็นรถญี่ปุ่นหรือเปล่า?
ในตลาดญี่ปุ่นก็ได้มีการสำรวจยอดขายในช่วงเดือนเมษายน – เดือนกันยายนที่ผ่านมา และแล้วรถยอดนิยมครองใจชาวญี่ปุ่นนั้นก็คือ รถฮอนด้า รุ่น N BOX นั่นเอง
หัวข้อเรื่อง
- รถที่มียอดขายอันดับหนึ่งก็คือ N BOX
 - รถขนาดเล็ก (อีโค่คาร์) ชนะเลิศ
 - ทำไมรถขนาดเล็กจึงมียอดขายดี?
 - รถยิ่งเล็ก แต่ถูกออกแบบสร้างมาให้ภายในห้องโดยสารกว้างสบาย
 
รถที่มียอดขายอันดับหนึ่งก็คือ N BOX
การจัดอันดับยอดขายรถยนต์ในช่วงเดือนเมษายน – เดือนกันยายนที่ผ่านมา ในประเทศญี่ปุ่น
อันดับ 1 N BOX (Honda) 94,601 คัน
อันดับ 2 Prius (Toyota) 78,707 คัน
อันดับ 3 Note (Nissan) 68,441 คัน
อันดับ 4 DAYZ (Nissan) 67,262 คัน
อันดับ 5 Move (Dihatsu) 67,021 คัน
อันดับ 6 Tanto (Dihatsu) 65,225 คัน
อันดับ 7 Aqua (Toyota) 62,537 คัน
อันดับ 8 CH-R (Toyota) 60,627 คัน
อันดับ 9 Wagon R (Suzuki) 58,981 คัน
อันดับ 10 Mira (Daihatsu) 55,506 คัน

อันดับ 1 N BOX (Honda) 94,601 คัน

อันดับ 5 Move (Dihatsu) 67,021 คัน

อันดับ 8 CH-R (Toyota) 60,627 คัน

อันดับ 10 Mira (Daihatsu) 55,506 คัน
รถขนาดเล็ก (อีโค่คาร์) ชนะเลิศ
ถ้าเรามองจาก 10 อันดับของยอดขายนี้ จะเห็นได้ว่า แชมป์อย่าง N BOX และอันดับที่ 4,5,6,9 และ 10 ต่างก็เป็นรถเล็กแบบอีโค่คาร์ด้วยกันทั้งนั้น
รถขนาดเล็กนั้น ต้องมีความยาวไม่เกิน 3480 มม. กว้างไม่เกิน 1480 มม. ผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน เครื่องยนต์ต่ำกว่า 600 cc ซึ่งมีขนาดเล็กกะทัดรัดมาก
ทำไมรถขนาดเล็กจึงมียอดขายดี?
ทำไมรถขนาดเล็กถึงขายดี? อันดับแรกคงเป็นเรื่องราคาที่ถูกกว่ารถประเภทอื่นมาก ไม่เพียงแต่ภาษีเท่านั้น ทั้งเรื่องการซ่อมบำรุง เบี้ยประกันภัย และค่าทางด่วนก็ถูกกว่ารถประเภทอื่น
แต่เหตุผลที่ทำให้ขายดีไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ถ้ารถขนาดเล็กนั้นใช้งานไม่สะดวกสบายก็คงไม่เป็นที่นิยม รถขนาดเล็กรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันได้ออกแบบมาให้ใช้ได้สะดวก อุปกรณ์ครบครัน

รถยิ่งเล็ก แต่ถูกออกแบบสร้างมาให้ภายในห้องโดยสารกว้างสบาย
อันดับ 1 อย่าง N BOX ในครั้งนี้ แม้จะโดยสารได้เพียง 4 คน แต่ห้องโดยสารภายในได้ออกแบบมาอย่างกว้างขวางลงตัว ทั้งส่วนของผู้ขับและเบาะหลัง ซึ่งรถรุ่นนี้ได้ติดอันดับรถขนาดเล็กที่มีห้องโดยสารกว้างขวางเทียบเท่ากับรถหรูอย่างโตโยต้าคราวน์ได้เลยทีเดียว
ดูจากขนาดภายนอกแม้จะเล็กและใช้เครื่องยนต์ 660cc ดูจากในรูปขนาดห้องเครื่องถูกออกแบบมาให้สั้นกว่ารถรุ่นอื่นๆ เลยทำให้ห้องโดยสารกว้างสบายไม่เหมือนกับรถขนาดเล็กรุ่นอื่นๆ จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ได้พัฒนาไม่หยุดอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีรถดีๆ มากมาย อย่างรถ N BOX นี้ ผู้โดยสาร 4 คนก็นั่งใช้ขึ้นทางด่วนได้อย่างสบายๆ
‘รถจีน’เบียด‘รถญี่ปุ่น’ตกอันดับงาน Motor Show
![]()
3
April
2023
3 ค่ายรถจีน MG , GWM, BYD มาแรง!! ติดโผ 3 อันดับในทำเนียบ TOP 10 แบรนด์รถยนต์ที่มียอดจองสูงสุดในงาน Motor Show 2023 เบียดรถแบรนด์ญี่ปุ่นที่เป็นผู้เล่นหลักในตลาดไทยมาอย่างยาวนานอาทิ มิตซูบิชิ หลุดหายออกไปจากอันดับหัวตาราง
ไม่เว้นแม้กระทั่งแบรนด์ขายดีตลอดกาลอย่าง ISUZU ซึ่งเดิมทียอดจองติดอยู่ใน Top 5 แต่ปีนี้หล่นมาอยู่ในอันดับที่ 6
โดนแซงหน้าโดยค่ายรถจีนอย่าง MG ที่ครองแชมป์อันดับที่ 3 และ GWM ที่ติดอันดับ 5 ยอดจองสูงสุดในงานมอเตอร์โชว์ 2023
จนสื่อไทยวิเคราะห์ว่า หรือนี่จะเป็นการสะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไป ไม่ติดยึดกับแบรนด์ชั้นนำ และพร้อมที่จะมองหาเทคโนโลยีใหม่และความน่าสนใจอื่น ๆหรือไม่ !?

ถ้าเจาะลงในรายละเอียดแบรนด์รถยนต์ที่มียอดจองสูงสุดติดอันดับ Top 5 ต้องยอมรับว่าเป็นแบรนด์ที่มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ หรือ รุ่นปรับปรุง ความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์และการนำเสนอทางเลือกใหม่ที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค จึงทำให้ผลลัพธ์ของการเข้าร่วมงานในครั้งนี้สะท้อนออกมาผ่านตัวเลขยอดจอง

ค่ายรถจีนกวาดยอดจองอีวี 8,465 คัน
สำหรับงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 หรือ Motor Show 2023 ปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 มี.ค. – 2 เม.ย. 2566 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี มียอดจองรถยนต์และรถจักรยานยนต์ภายในงานรวมทั้งสิ้น 45,983 คัน โดยแบ่งออกเป็นยอดจองรถยนต์อยู่ที่ 42,885 คัน เติบโตขึ้น 34.45% เมื่อเทียบจากปี 2565 ที่ผ่านมา
ในจำนวนนี้ แบ่งเป็นยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle หรือ EV) อยู่ที่ 9,233 คัน คิดเป็น 21.5% จากยอดจองรถยนต์ภายในงาน แบ่งเป็น กลุ่มรถจีน 8,465 คัน ประกอบด้วย BYD จำนวน 2,737 คัน, MG จำนวน 2,750 คัน , NETA จำนวน 1,300 คัน และ ORA จากค่าย Great Wall Motor (GWM) จำนวน 1,678 คัน

สำหรับ 10 อันดับยอดจองรถยนต์สูงสุด ในงาน Motor Show 2023 ได้แก่
1. Toyota 6,042 คัน
2. Honda 4,304 คัน
3. MG 3,929 คัน
4.Suzuki 3,887 คัน
5.GWM 3,117 คัน
6.ISUZU 3,064 คัน
7.Mazda 2,989 คัน
8.Nissan 2,808 คัน
9.BYD 2,737 คัน
10.Ford 1,630 คัน
.jpg)
แพ้จีนไม่ได้! ประธานมิตซูบิชิญี่ปุ่นชักธงรบสู้คู่แข่งในตลาดรถยนต์
รายงานข่าวของ PPTV ระบุว่า ยุคของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่แบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นอยู่เฉยไม่ได้ต้องปรับตัวเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ไว้
โดยก่อนหน้านี้ ในช่วงระหว่างการจัดงานมอเตอร์โชว์ในประเทศไทย นายทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จากประเทศญี่ปุ่น ได้กล่าวถึงแบรนด์จีนในช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า มิตซูบิชิพยายามแข่งขันกับแบรนด์รถยนต์จากประเทศจีน ภายหลังการมีบทบาทมากขึ้นของแบรนด์จีนในตลาดโลกรวมถึงประเทศไทย ดังนั้นจึงต้องมองด้านการแข่งขันของบริษัท ที่มีต่อแบรนด์จีนว่าจะสามารถแข่งขันได้อย่างไร

ทั้งนี้ ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนในปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าดีไซน์การออกแบบมีความล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงคุณภาพวัสดุในการประกอบของแบรนด์จีนมีทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น โอกาสของมิตซูบิชิที่จะแข่งขันกับแบรนด์จีนได้ คือเรื่องของดีไซน์ที่สามารถพัฒนาให้มีความชัดเจนเป็นเอกลักษณ์เหนือแบรนด์จีนได้
สำหรับประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญต่อ Mitsubishi Motors Corporation ซึ่งเป็นฐานการผลิตและส่งออกไปยังทั่วโลก โดยเศรษฐกิจในประเทศไทยมีแนวโน้มการขยายตัวดี อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา มิตซูบิชิ อาจจะไม่ได้มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เท่าใดนัก แต่นับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป บริษัทมีแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เกือบทุกปี
“ เราจะมีการออกรถรุ่นใหม่ ๆเข้ามาในตลาดอาเซียน ซึ่งรวมถึงตลาดประเทศไทยด้วย นอกจากนั้น รัฐบาลไทยยังมีนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งมองว่าคงจะต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมา เพื่อรองรับนโยบายของภาครัฐต่อไป เราต้องการที่จะยกระดับบทบาทของเราในตลาดประเทศไทยไม่ให้แพ้ผู้ผลิตจากประเทศจีนที่กำลังเข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนารถกระบะไฟฟ้า100% ซึ่งต้องสงวนสิทธิ์ไม่บอกว่าเมื่อไร แต่เราจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะเปิดตัวให้ได้ภายใน 5 ปี โดยต้องรอโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยด้วยว่าสามารถที่จะรองรับกับจำนวนที่จะออกมาได้มากน้อยหรือเปล่า”

————————————–
ที่มา :
	    	
		    
