ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
รถญี่ปุ่น 5 รุ่นที่มาก่อนกาล เทคโนโลยีใช้งานในคันจริงก่อนใคร ชาติอื่นยังต้องทำตาม

Mr.Argus·2022-05-26 14:22:30

รถยนต์คือสินค้าส่งออกหลักของญี่ปุ่น ในช่วงยุค 80-90 คือช่วงเวลาที่ดีสุด เมื่อธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นทุ่มทุนเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญนี้ ด้วยกระแสนิยมรถประหยัดน้ำมันสู้ราคานำมันแพง ประกอบกับกำลัง ของชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น และเทคโนโลยีเพิ่มการผลิตมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมรถญี่ปุ่นในยุค 80 เจริญรุ่งเรือง
ตัวอย่างความเจริญของวงการรถญี่ปุ่น เช่นปี 1988 มีการผลิตอยู่ที่ 6.72 ล้านคัน หรือในปี 1990 เติบโตขึ้นเป็น 7.77 ล้านคัน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ต้องเทียบกับปี 2010 ญี่ปุ่นผลิตรถยนต์ได้ 4.82 ล้านคัน หรือในปี 2019 ผลิตได้ 4.81 ล้านคัน
ผู้ผลิตรถญี่ปุ่นยุค 80 ที่โปรยงบประมาณการพัฒนาไม่มีที่สิ้นสุด และลูกค้าในตลาดในประเทศญี่ปุ่นต่างก็ต้องการเทคโนโลยีและประสิทธิภาพ ทำให้เทคโนโลยีในยานยนต์ 5 รุ่นที่เริ่มต้นอย่างแพร่หลายในญี่ปุ่นก่อน

ระบบนำทางด้วยดาวเทียมใน Mazda Cosmo
ระบบนำทางรถยนต์ไม่ได้เริ่มต้นด้วย Global Positioning System (GPS) ดังที่เราใช้กันในปัจจุบัน ในความเป็นจริง Honda เป็นผู้นำในด้านระบบนำทางรถยนต์ในปี 1982 ด้วยระบบ ‘Electro Gyro-Cator’ มันเป็นแบบอะนาล็อก ใช้ไจโรสโคปที่เติมก๊าซฮีเลียมตามแรงเฉื่อย เพื่อตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถ โดยผู้ใช้งานต้องมีแผ่นฟิล์มใสลายแผนที่เป็นปึก เพื่อเลือกแผนที่ตามตำแหน่งของคุณมาใส่ในจอฉายแสง
ระบบนำทางดิจิตอลบนดาวเทียมระบบแรก เกิดขึ้นในอีก 9 ปีต่อมาในปี 1990 นี่คือระบบประเภทหนึ่งที่เรารู้จัก และนั่นก็ช่วยชีวิตคนได้ทั่วโลกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เปิดตัวครั้งแรกในปี 1990 กับรถ Mazda Cosmo และรวมอยู่ในแพ็คเกจ Mazda Car Control System (CCS) ที่เป็นอุปกรณ์เสริม หัวใจสำคัญของการทำงานคือจอภาพแบบจอสัมผัส Cathode Ray Tube (CRT) ที่ใช้เวลาเพียง 9 วินาทีในการตอบสนองต่ออินพุต เช่น การซูมเข้าที่ตำแหน่งปัจจุบัน มีเสาอากาศ GPS ที่ซ่อนอยู่ในหลังคาของ Cosmo ทำให้ระบบมีความแม่นยำภายในรัศมี 45 เมตร

หน้าจอ CRT มีฟังก์ชันอื่นๆ ด้วย มันกลายเป็นอินเทอร์เฟซผู้ใช้สำหรับฟังก์ชั่นอื่นๆ ของรถ รวมถึงเครื่องปรับอากาศ ระบบเสียงออนบอร์ดและเครื่องเล่นซีดี และคอมพิวเตอร์ข้อมูลการเดินทาง นอกจากนี้ยังมีอินพุตเสริม ในกรณีที่คุณต้องการเสียบปลั๊ก Nintendo Entertainment System ของคุณ
แม้ว่าจะเป็นระบบ GPS ในรถยนต์ระบบแรก แต่ก็ไม่มีการคำนวนเส้นทางไปสู่จุดหมาย ในอีก 1 ปีต่อมาระบบนำทาง GPS พร้อมคำแนะนำแบบเลี้ยวต่อเลี้ยวถูกใส่อยู่ใน Toyota Soarer ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Mazda Cosmo

เหล็กกันโคลงแบบแอ็คทีฟในรถ Mitsubishi Mirage
การตลาดรถยนต์โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะใส่เทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดในรุ่นเรือธงของแบรนด์เป็นอันดับแรกก่อนที่จะค่อยๆ หาทางเข้าสู่รถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่ระดับต่ำกว่า แต่ในญี่ปุ่น สิ่งต่าง ๆ ทำต่างออกไป แม้แต่รถยนต์ขนาดเล็กที่เน้นความประหยัด ก็ยังใช้เทคโนโลยีขั้นสุดยอดมาก่อนใคร อย่างเช่น Mitsubishi Mirage Cyborg Turbo ปี 1988 รุ่นพิเศษเฉพาะสำหรับตลาดญี่ปุ่น ซึ่งมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและเทอร์โบชาร์จเจอร์ เป็นรถสำหรับการผลิตจำนวนมากรุ่นแรก ที่มีเหล็กกันโคลงแบบแอ็คทีฟ ซึ่งปัจจุบันเป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันทั่วไปในหมู่รถ SUV ในยุโรป
รถยนต์ราคาประหยัดของ Mitsubishi รุ่นนี้ ใช้ไฮดรอลิกส่งของเหลวไปที่ข้อต่อปลายเหล็กกันโคลง เพื่อปรับความฝืดของข้อต่อดังกล่าว มีการควบคุมปริมาณน้ำมันไฮดอรลิคด้วยกลไกโช้คอัพแบบปรับความหนืดได้ ด้วยสวิตช์ในคอนโซล 2 ค่าคือ แข็งและอ่อน

โช้คอัพแบบปรับได้ใน Toyota Soarer
ถ้านับโช้คอัพแบบปรับได้ตามคำนิยาม จะพบว่ารุ่นแรกมาจากแบรนด์ Citroen ของฝรั่งเศส พร้อมระบบไฮโดรนิวเมติก แต่ถ้าปรับได้ในแง่ของระบบคอยล์สปริงและระบบกันสะเทือนแบบลมหรือระบบควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ จะพบว่า Toyota Soarer ทำเป็นรายแรกด้วยระบบ ‘TEMS’ หรือ Toyota Electronic Modulated Suspension ซึ่งเปิดตัวในตลาดในปี 1983 เป็นคูเป้สุดหรูส่วนบุคคลของโตโยต้า
เนื่องจากเป็นช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ที่นิยมความนุ่นวลเป็นหลัก ระบบ TEMS ในโหมดอัตโนมัติ จะมีค่าเริ่มต้นเป็นการตั้งค่าที่นุ่มนวลที่สุด – จะยิ่งแน่นขึ้นหากความเร็วของรถเพิ่มขึ้น หรือหากผู้ขับขี่เริ่มป้อนข้อมูลที่ก้าวร้าว ซึ่งทำให้รถพลิกคว่ำได้
ต่อมาในปี 1989 โตโยต้าได้ส่งมอบโลกอีกใบหนึ่งในสาขานี้ ด้วยระบบ ‘Piezo TEMS’ ที่ปรับใหม่ ใช้เซรามิกเพียโซอิเล็กทริกตามชื่อ Piezoelectricity เป็นประจุไฟฟ้าที่สร้างขึ้นจากวัสดุเซรามิกที่คล้ายกันในระบบกันสะเทือน เป็นทั้งเซ็นเซอร์สภาพถนน และแอคทูเอเตอร์ (ควบคุมกลไกเป็นสัญญาณไฟฟ้า)
Piezo TEMS มีความสามารถในการอ่านถนนเพิ่มจากรุ่นแรก และไม่ได้จำกัดแค่ความเร็วรถหรือการป้อนข้อมูลของผู้ใช้ โดยเริ่มปรับการตั้งค่าที่แน่นเหนียวที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าการควบคุมยานพาหนะในสถานะการณ์แย่ที่สุดได้ดี แต่ถ้าหากพื้นผิวถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ เมื่อระบบตรวจจับพบแล้ว มันจะกลับไปที่การตั้งค่าที่นุ่มนวลที่สุดทันที และป้องกันไม่ให้แรงกระแทกรุนแรงส่งผ่านเข้าตัวรถ
อ่านเพิ่มเติม : พาชมรถสปอร์ตญี่ปุ่นที่เคาะประมูลแพงที่สุดในโลก 83 ล้านบาท!

ฝาสูบหลายวาล์วใน Nissan Skyline
ภายในฝาสูบเครื่องยนต์มีห้องรูปโดม มีวาล์วทำหน้าที่ปล่อยให้อากาศเข้าไปเผาไหม้ และไล่ไอเสียที่ใช้แล้วออกไป เดิมทีใช้กัน 2 วาล์ว/สูบ เมื่อเทคโนโลยีและความรู้จากสนามแข่งเพิ่มขึ้น ปริมาณวาล์วในเครื่องยนต์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มจำนวนวาล์วต่อสูบมากกว่า 2 จะทำให้ขนาดวาล์วเล็กลง น้ำหนักวาล์วน้อยลง สามารถขยับขึ้นลงในรอบสูงมากขึ้น การเพิ่มจำนวนวาล์วก็ไม่ควรเกิน 5 วาล์ว/สูบ เพราะพื้นที่ใส่วาล์วน้อยลง
ด้วยความรู้จากการทดลองในรถแข่งที่ผ่านมาในอดีต รถยนต์สมัยใหม่ส่วนใหญ่จึงมี 4 วาล์วต่อสูบ โดยจุดกำเนิดของฝาสูบ 4 วาล์วนี้ เริ่มใช้ในรถที่ผลิตจำนวนมากคือ Nissan Skyline GT-R (นิสสัน สกายไลน์ จีที-อาร์) รุ่นแรกในปี 1969 ใช้เครื่องยนต์ ‘S20’ แบบ 6 สูบเรียง ซึ่งป้อนด้วยคาร์บูเรเตอร์ 3 ตัว ให้กำลัง 160 แรงม้า และ 117 นิวตันเมตร
สำหรับเครื่องยนต์ที่มี 5 วาล์วต่อสูบ รถญี่ปุ่นเป็นรายแรกอย่างชัดเจน ในรถขนาดเล็กสุดคือ 1989 Mitsubishi Minica Dangan ZZ เพื่อรักษาประสิทธิภาพสูงสุดเป็นสิ่งสำคัญ ในขณะนั้น Mitsubishi เชื่อว่าฝาสูบ 5 วาล์วจำเป็นต้องใช้เพื่อรีดกำลังจากความจุ 660 ซีซีเพิ่ม ซึ่งการใช้ 5 วาล์ว/สูบนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายไปถึง เฟอร์รารี ในอีก 6 ปีต่อมา กับเครื่อง ‘Tipo F129B’ V8 ในรุ่น F355
อ่านเพิ่มเติม : พาไปดู Nissan Skyline 2000 GT-R ตำนานขอบฟ้าคลาสสิค ที่สวยเหมือนถูกต้องมนต์สะกด

โมโนค็อกอะลูมิเนียมจาก Honda NSX
โมโนค็อกเป็นโครงสร้างรถยนต์ที่มีแชสซีและตัวถังเป็นหนึ่งเดียว ด้วยปริมาณวัสดุที่โครงสร้างต้องการความแข็งแรง ทำให้อาจมีน้ำหนักเพิ่มได้อย่างมาก ดังนั้นการใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาและมีราคาแพงกว่า เช่น อลูมิเนียม ได้กลายเป็นที่แพร่หลาย เพื่อลดน้ำหนักเป็นสำคัญ
ตำแหน่งผู้นำนวัตกรรมวงการยานยนต์ข้อสุดท้ายนี้ ตกเป็นของ Honda NSX รุ่นดั้งเดิมในปี 1989 นอกจากความล้ำหน้าด้านโครงสร้างอะลูมิเนียมทั้งคันแล้ว ยังต้องฟันฝ่าด้านการตลาด สำหรับแบรนด์ญี่ปุ่นที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดรถสปอร์ต แต่กล้าตั้งราคาขายรถยนต์เท่ากับ Porsche 911 ถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยหลายคนไม่ได้สังเกตว่า รถรุ่นนี้ใช้โลหะน้ำหนักเบาอย่างสมบูรณ์ และด้วยเทคนิคการก่อสร้างขั้นสูง ตัวถังจึงแข็งแกร่งกว่าของปอร์เช่อย่างมาก ถึงขั้นนักแข่งตำนาน F1 Ayrton Senna ก็มีความสำคัญในการพัฒนาเช่นกัน ซึ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับ NSX รุ่นดั้งเดิม จนปัจจุบันมีราคาขายต่อพุ่งสูงมากกว่าปอร์เช่
นวัตกรรมสุดล้ำของรถญี่ปุ่น 5 รุ่นนี้ อาจจะเคยมีใช้ในรถแข่งในสนามมาก่อนแล้ว แต่การนำมาใช้ในรถยนต์ที่ผลิตขายเป็นจำนวนมากนั้น แบรนด์ญี่ปุ่นเหล่านี้ทำได้ก่อนใคร และยังมีใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้
อ่านเพิ่มเติม : 2022 Honda NSX ภาพเรนเดอร์สมจริงสไตล์ล้ำ ดีไซน์ไฟหน้าซ่อนในตัวถัง ย้อนรอยตำนานรุ่นแรก

Mr.Argus นักเขียน
คุณกัส ผู้จำชื่อรถได้หมดตั้งแต่เด็ก ขับรถเป็นตั้งแต่มัธยม ซ่อมรถใช้เองตอนปริญญาตรี สะสมรถคลาสสิคและรถหายาก ทำงานเรื่องรถมานาน 5 ปี ผ่านการอบรมขับขี่ปลอดภัยจาก Sach มีรถทดสอบผ่านมือมาตั้งแต่รถกระบะ รถเก๋ง จนถึงรถสปอร์ต งานอดิเรกก็แค่ซ่อมรถสะสมที่มีอยู่ ติดตามชีวิตคนบ้ารถได้ที่กลุ่ม https://www.facebook.com/groups/97434297973776
แบรนด์รถยนต์ยอดนิยมในไทย
ขายรถทั้งปีไปไม่ถึง 7 แสนคัน ญี่ปุ่นยอดตกหนักสุดรอบ 10 ปี
วันที่ 12 มิถุนายน 2567 – 08:45 น.
ค่ายรถยนต์แหยงหลัง “ซูบารุ-ซูซูกิ” ถอนการลงทุนในไทยประกาศปิดโรงงานเลิกผลิต หวั่นมีตามมาอีกเป็นระลอกหากรัฐบาลไม่ยื่นมือช่วยเหลือ ประเมินทั้งปียอดขายรวมไม่ถึง 7 แสนคัน ตกหนักสุดในรอบ 10 ปี ยิ่งกว่าโควิด ดีลเลอร์ขายรถปิดตัวอุตลุด กระแส EV เริ่มแผ่ว เชื่อครึ่งปีหลังทัพจีนมาอีกลอตใหญ่แข่งเดือดสงครามราคา
อุตสาหกรรมรถยนต์ที่เคยเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งของประเทศไทย และความหวังลำดับต้น ๆ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำของภูมิภาค โดยเฉพาะเป็น “ฮับ” ผลิตยานยนต์สำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน
แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยในปี 2567
ปิดถาวร 2 โรงงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมามีค่ายรถยนต์ถึง 2 แบรนด์จากญี่ปุ่น ประกาศถอนการลงทุนโดยจะยุติการผลิตจากโรงงานประกอบในไทย ได้แก่ ซูบารุ ซึ่งมีกำหนดยุติไลน์ผลิตในสิ้นปี 2567 และอีกราย ซูซูกิ ประกาศยุติการผลิตราวสิ้นปี 2568 ทั้ง 2 แบรนด์ยืนยันว่า ยังทำตลาดในประเทศไทยต่อไป ซึ่งจะมีครบทั้งการขายและบริการหลังการขาย ขาดแต่การผลิตโดยจะใช้วิธีนำเข้าจากต่างประเทศมาจำหน่ายแทน
ซูซูกิให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า การตัดสินใจในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนโครงสร้างการผลิตของซูซูกิทั่วโลกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระดับโลกและสอดรับกับนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า
ดังนั้น ซูซูกิจึงได้ตัดสินใจยุติไลน์ผลิตในไทยภายในช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2568 ส่วนการนำเข้ามาขายจะมาจากโรงงานในภูมิภาคแถบอาเซียน รวมถึงประเทศญี่ปุ่น และประเทศอินเดีย
นอกจากปิดโรงงานตามกำหนด ซูซูกิมีแผนดูแลพนักงานในโรงงานผลิต ซึ่งมีอยู่ประมาณ 800 คน ตามกฎหมายแรงงาน และบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อเร่งหามาตรการเยียวยาพนักงานให้ดีที่สุดมากกว่ากฎหมายแรงงาน ขณะที่คู่ค้าซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 100 แห่งทั่วประเทศ อยู่ระหว่างพิจารณาลงในพื้นที่ว่างอย่างต่อเนื่อง และให้การสนับสนุนทุกด้าน
หวั่นทยอยปิดอีกหลายแบรนด์
แหล่งข่าวในวงการผู้ค้ารถยนต์กล่าวเสริมว่า ตลาดรถยนต์ตอนนี้เรียกว่ากำลังเจอวิบากกรรมทั้งกำลังซื้อที่อ่อนแอของตลาดในประเทศไทย รวมทั้งตลาดส่งออกหดตัวอย่างไม่เคยเจอมาก่อน
ตอนนี้เท่าที่ดูโดยเฉพาะช่วง 4 เดือนแรกของปี หดตัวทุกตลาด ยิ่งเป็นกลุ่มรถสันดาปภายในต้องบอกว่าแย่สุด ๆ ปิกอัพหดตัวเกือบ 50% ประกอบกับตลาดรถยนต์กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์ธรรมดาไปสู่มอเตอร์ไฟฟ้า
ดังนั้นเชื่อว่าค่ายรถยนต์รายใดที่ยังไม่มีโปรดักต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ทั้งไฮบริด ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และอีวีก็น่าจะประสบปัญหายอดขายหดตัวแบบน่าตกใจ ส่งผลให้สต๊อกบวมและมีโอกาสที่บริษัทแม่จะถอดการลงทุนด้านการผลิตในไทยแบบเดียวกับซูบารุและซูซูกิ
“ตอนนี้มีข่าวว่าหลายโรงงานแถวชลบุรี ระยอง เดิมเคยผลิตแบบ 2 กะมีโอที ตอนนี้เหลือกะเดียว สต๊อกเริ่มบวมวิ่งหาโกดังเก็บรถกันพรึ่บพรั่บ ดีลเลอร์เองก็ทยอยปิดตัวกันอุตลุด ตัวอย่างเช่น กลุ่มไซม์ ดาร์บี้ มีข่าวว่าพร้อมปิดอีก 6-7 โชว์รูม เลิกขายรถกลุ่มแมสซึ่งกำลังเผชิญวิกฤตหนี้เสียและการเข้มงวดของไฟแนนซ์ หันไปเน้นกลุ่มรถหรูแทน”
ทรุดหนักในรอบ 10 ปี
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดผลิตรถยนต์ 4 เดือน (มกราคม-เมษายน 2567) ทำได้แค่ 518,790 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา 17.05%
สำหรับเดือนเมษายน 2567 ยอดผลิตอยู่ที่ 104,667 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 11.02% และลดลงจากเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 24.34% ซึ่งเป็นผลจากการผลิตเพื่อขายในประเทศของรถยนต์นั่ง ลดลง 5.03% และรถกระบะที่หดตัวถึง 45.94% ถือว่าหดตัวหนักสุดในรอบ 32 เดือน หวังว่าครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นจากการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ถ้าดูตลาดตอนนี้รถยนต์ในกลุ่มอีโคคาร์ ปิกอัพ และพีพีวี ได้รับผลกระทบอย่างมาก ทำให้ล่าสุดเอ็มจีประเมินความต้องการรถยนต์โดยรวมของปีนี้ว่าจะปรับลดลงเหลือราว ๆ 600,000-700,000 คัน
แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูแนวโน้มครึ่งปีหลังว่าตลาดรถยนต์จะปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ และการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ได้หรือไม่
เช่นเดียวกับนายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมรถยนต์ปีนี้ คาดว่าจะต้องปรับลดความต้องการจาก 800,000 คัน เหลือเพียง 700,000 คัน และในจำนวนนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเมินว่ารถยนต์ไฟฟ้าน่าจะมียอดขายเพียง 96,000 คัน ลดลงจากเดิมที่หลายคนมองว่าจะเพิ่มเป็น 140,000 คัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากการประเมินของค่ายรถยนต์ที่เชื่อว่าตลาดรวมน่าจะทำได้แค่ 6-7 แสนคัน จะเป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ประเทศไทยเคยทำยอดขายสูงสุดในปี 2562 ทะลุ 1 ล้านคัน ขณะที่ตัวเลขต่ำสุดในช่วงวิกฤตโควิดยังมียอดขายถึง 7.6 แสนคัน ซึ่งมากกว่าที่ประเมินปีนี้
กระบะ EV จีนพร้อมเดือด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าจับตา คือในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ EV จีนอีกหลายแบรนด์จะทยอยเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา เรียกว่าเป็นทัพ EV ชุดที่ 3 ซึ่งสังเกตได้จากการเคลื่อนไหวในการจับจองพื้นที่งานมอเตอร์เอ็กซ์โป อีเวนต์ใหญ่ขายรถช่วงปลายปี โดยเจ้าของงานระบุว่ามีมากกว่า 4-5 ราย อาทิ Geely, Riddara, Omoda & Jacoo, Denza
ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า น่าจะเกิดสงครามราคาขึ้นอีกรอบ โดยทัพEV ใหม่หากต้องการแจ้งเกิดก็ต้องใช้ราคาเป็นจุดขาย ในขณะที่ทัพ EV ชุดแรกและชุด 2 ที่เข้ามาก่อนไม่ว่าจะเป็น เอ็มจี, เกรท วอลล์ฯ, NETA, BYD, AION, CHANGAN ก็พร้อมต่อกร เมื่อสงครามราคาเกิดก็ยิ่งทำให้ตลาดรถยนต์ปั่นป่วนแน่นอน
โดยฉางอานยืนยันว่า ไตรมาส 3 มีแผนจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ทั้งเอสยูวีและรถปิกอัพไฟฟ้า ฉางอานจะพัฒนา NEUVO 07 พวงมาลัยขวา มาทำตลาดในประเทศไทย รถรุ่นนี้เป็นรถเอสยูวีและรถปิกอัพในคันเดียวกัน ขนาด 5 ที่นั่ง พัฒนาบนแพลตฟอร์ม SDA มีหลังคากระจกด้านท้ายสามารถสไลด์เปิดกว้างได้เหมือนรถกระบะไฟฟ้า รองรับการบรรทุกของชิ้นใหญ่ มีให้เลือกทั้งรุ่นมอเตอร์เดียวให้กำลัง 252 กิโลวัตต์ หรือ 338 แรงม้าและมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ แบ่งเป็นคู่หน้าให้กำลัง 188 กิโลวัตต์ หรือ 252 แรงม้า ส่วนมอเตอร์คู่หลังให้กำลัง 252 กิโลวัตต์ หรือ 338 แรงม้า นอกจากนี้ยังพร้อมเปิดรถ EV ใหม่ภายใต้แบรนด์ AVATR ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ด้วย
ขณะที่แบรนด์ใหม่อย่าง Riddara จะมีปิกอัพไฟฟ้าเข้ามาทำตลาด คาดว่าน่าจะเป็น Riddara RD6 สเป็กเมืองจีน ให้กำลังสูงสุด 271 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 7 วินาที มีระยะวิ่งราว ๆ 400-500 กม.
ด้านโตโยต้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะเปิดตัวปิกอัพไฟฟ้าได้ภายในครึ่งปีหลังนี้เช่นกัน โดยนายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ระบุถึงแผนธุรกิจของโตโยต้าในประเทศไทยว่า ในช่วงปลายปี 2568 โตโยต้าพร้อมแนะนำรถปิกอัพไฟฟ้า 100% หรือไฮลักซ์ รีโว่ BEV ออกสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการแน่นอน
อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยปี 2567 กำลังจะพ่ายฟิลิปปินส์
ตลาดรถยนต์ร่วงหนักฉุดภาษี สรรพสามิตหืดจับ 7 เดือนฮวบ 1.8 หมื่นล้าน… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/prachachat-top-story/news-1584179
	    	
		    
