ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
สัญญาณตลาดรถยนต์โลกดีดตัว ยอดขาย Q1 หลายแบรนด์ยอดเพิ่ม
เผยแพร่: 23 เม.ย. 2564 14:01 ปรับปรุง: 23 เม.ย. 2564 14:01 โดย: ผู้จัดการออนไลน์

2,408
ไตรมาสแรกของปี 2564 ในยุคที่ โควิด-19 ยังครองโลกอยู่ แต่ดูเหมือนว่าภาพรวมด้านยอดขายของตลาดรถยนต์ทั่วโลกจะส่งสัญญาณในเชิงบวกออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตลาดบางภูมิภาคมียอดขายเพิ่มขึ้นระดับ 2 หลัก เช่นเดียวกับอีกหลายแบรนด์ที่มีแนวโน้มด้านยอดขายช่วงไตรมาสแรกที่สดใส
หลายคนอาจจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่เกินคาดหมายสักเท่าไร เพราะว่าเป็นการเปรียบเทียบกับจุดที่แย่มาก่อนในปีที่แล้ว อันเนื่องมาจากตลาดรถยนต์ปี 2563 ออกสตาร์ทด้วยสภาพที่แย่ จากจุดเริ่มต้นในการแพร่ระบาดของ โควิด-19 แต่อย่าลืมว่าการระบาดช่วงนั้นยังจำกัดวงอยู่แค่ตลาดจีน และบางประเทศในยุโรป แต่ตลาดแห่งอื่นๆ ยังถือว่าไม่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มรูปแบบสักเท่าไร
ad
สหรัฐอเมริกายอดขยับตัว ออกสตาร์ทได้สวย
จริงอยู่ที่กว่าตลาดสหรัฐอเมริกาจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 เวลาก็ล่วงเลยมาช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ไปแล้ว แต่อย่าลืมว่าในยุคที่โลกเราเชื่อมต่อกันด้วยออนไลน์ และการหลั่งไหลของข่าวและข้อมูลที่ส่งต่อกันออกมานั้นย่อมส่งผลต่อภาพรวมของตลาดไม่มากก็น้อย
จากการรวบรวมตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ มีการประเมินว่าตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกา มียอดขายช่วงไตรมาสแรกขยับตัวขึ้นประมาณ 11% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เฉพาะเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มียอดขายเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2563 ถึง 61.9% ด้วยตัวเลขยอดขายราวๆ 1.6 ล้านคันเลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้เป็นผลมาจากความเชื่อมั่นในเรื่องของการจัดการเกี่ยวกับการแพร่ระบาด โควิด-19 และการเข้ามาของวัคซีนที่มีการฉีดกันอย่างต่อเนื่อง
เมื่อมีการแยกออกเป็นแบรนด์แล้วจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า แต่ละแบรนด์มีอัตราส่วนการขยายตัวของยอดขายเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ด้วยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นระดับ 2 หลักทั้งนั้น แต่ก็ยังมีบางแบรนด์ที่มียอดขายลดลงด้วยเช่นกัน
สัญญาณที่เด่นชัดขึ้นด้านยอดขายของตลาดสหรัฐอเมริกาคือ การกลับมาเชื่อมั่นและการใช้เงินของลูกค้าในการซื้อรถยนต์ช่วงเดือนมีนาคม ถือว่าเป็นช่วงเวลาของการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เพราะช่วง 2 เดือนแรกของปี ตัวเลขยอดขายของตลาดลดลงเมื่อเปรียบเทียบเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเดือนมกราคมลดลง 3.3% และเดือนกุมภาพันธ์ลดลงถึง 12.7% เลยทีเดียว แต่ตัวเลขกลับมาดีดขึ้นสูงเดือนมีนาคม ซึ่งทำให้สถานการณ์ช่วงไตรมาสแรกของปีกลับมาอยู่ในแดนบวก
นอกจากนั้นปัจจัยหนึ่งที่ถือว่าส่งผลกระทบอย่างหนักในด้านยอดขายของเดือนกุมภาพันธ์จนทำให้ตัวเลขลดลงถึง 2 หลักเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วคือ การขาดแคลนชิพเพื่อนำมาใช้ในการผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นวิกฤตที่ทำให้ตลาดรถยนต์ในช่วงเดือนนี้ลดลงเพราะไม่สามารถที่จะส่งมอบรถยนต์ให้ทันความต้องการของลูกค้า
ตลาดจีนเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่าช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 จีนได้รับผลกระทบอย่างเต็มตัวในแง่ของการแพร่ระบาด ดังนั้น การที่จะเอาตัวเลขของช่วงเดียวกันในปี 2564 อาจจะไม่มีความชัดเจนในการระบุถึงสภาพที่เกิดขึ้นในตลาดสักเท่าไร ‘ถ้า’ ไม่มีอัตราส่วนของการขยายตัวที่เห็นอย่างเด่นชัด
จากการเปิดเผยของ Autonews.com ยืนยันว่าช่วงไตรมาสแรกของปี ตลาดรถยนต์จีนมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียวมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 75% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีตัวเลขยอดขายเดือนนี้รวม 2.53 ล้านคัน ตรงนี้ทำให้คาดว่าตัวเลขของไตรมาสแรกปี 2564 ตลาดจีนน่าจะมีการเพิ่มขึ้นถึง 77% ด้วยยอดขายรวม 6.48 ล้านคัน
China Association of Automobile Manufacturers ระบุว่ายอดขายเดือนมีนาคม ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกเกือบทุกกลุ่มตลาด โดยเฉพากลุ่มรถยนต์เพื่อพาพาณิชย์ขนาดเล็ก หรือ Light Commercial Vehicle ที่เพิ่มขึ้นถึง 68% ด้วยตัวเลขยอดขาย 651,000 คัน ตรงนี้ทำให้สัดส่วนการขายรวมไตรมาสแรกปี 2564 ของรถยนต์ LCV ในจีนอยู่ที่ 1.41 ล้านคัน หรือมีส่วนแบ่งด้านยอดขาย 21.7% ของภาพรวมทั้งหมด
ขณะที่ตลาดรถยนต์ EV เพิ่มขึ้นถึง 240% ด้วยตัวเลข 226,000 คัน โดยแบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV 190,000 คัน และแบบ Plug-in Hybrid 36,000 คันโดยที่มี Fuel Cell Vehicle ที่ใช้ไฮโดรเจนอยู่ที่ 59 คัน ซึ่งเมื่อมองจากภาพรวมแล้ว ในไตรสมาสแรกของจีน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามียอดขายรวม 515,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 280%
ยุโรปสถานการณ์ยังไม่น่าจะดีขึ้น
จริงอยู่ที่การเข้ามาของวัคซีนจะทำให้บางภูมิภาคของโลกมียอดขายเพิ่มขึ้น และสภาพตลาดเริ่มกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นกว่าที่ปีที่ผ่านมา แต่สำหรับยุโรป ดูเหมือนว่าอาจจะสวนทางจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับที่อื่นๆ โดยแม้ว่าตัวเลขยอดขายรถยนต์เดือนมีนาคมจะยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่จากการประเมินโดยดูจากตัวเลขช่วงของ 2 เดือนแรกของปีพบว่า ยอดขายลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอย่างมาก
จากการเปิดเผยของ European Automotive Manufacturers Association (ACEA) ระบุว่ายอดขายรถยนต์ในกลุ่มประเทศหลักของสหภาพยุโรป หรือ EU ลดลง 24% เดือนมกราคม และ 19% เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเดือนมกราคมมีตัวเลขยอดขาย 726,491 คัน ขณะที่เดือนกุมภาพันธ์มีตัวเลข 771,486 คัน
ขณะที่ตัวเลขของเดือนมีนาคมยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่หลายฝ่ายก็เชื่อว่าตัวเลขเดือนนี้น่าจะมียอดขายที่ดี เพราะว่าเดือนมีนาคม นั้น ตลาดหลักๆ หลายแห่งในยุโรปเริ่มได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เดินทางมาถึงยุโรป และทำให้ตัวเลขยอดขายรถยนต์เดือนมีนาคม 2563 ลดลงอย่างมาก
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ตลาดรถยนต์ในยุโรปเริ่มมีการขยายตัวในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบ BEV และ Plug-in อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงนโยบายด้านการควบคุมสิ่งแวดล้อมของ EU จนทำให้แบรนด์รถยนต์ต้องมีการปรับแนวทางในการพัฒนารถยนต์ และทำให้รถยนต์มลพิษต่ำ และไร้มลพิษเริ่มออกสู่ตลาดมากขึ้น
สำหรับตลาดใหญ่ๆ ของยุโรป เริ่มมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่ตัวเลขยอดขายปี 2563 ลดลง โดยตัวเลขยอดขายช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 แยกตามตลาดประกอบด้วย
-ฝรั่งเศส : มียอดขายเพิ่มขึ้น 21.1% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ด้วยตัวเลขยอดขาย 441,791 คัน โดยที่ Peugeot คือ แบรนด์รถยนต์ขายดีที่สุดในตลาดแห่งนี้ ตรงนี้ แม้ว่าช่วง 2 เดือนแรกยอดขายรถยนต์ของฝรั่งเศสยังจะดูแย่เพราะได้รับผลกระทบอยู่และมีตัวเลขยอดขายปี 2564 ลดลง แต่ทว่าพอเข้าสู่เดือนมีนาคม 2564 ตัวเลขยอดขายกลับเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 190% เมื่อเปรียบเทียบเทียบกับเดือนเดียวกันปี 2563 ส่วนประเภทรถยนต์ที่ครองส่วนแบ่งตลาดช่วงไตรมาสแรกสูงสุดคือ รถยนต์เบนซินมีส่วนแบ่งตลาด 43.5% รถยนต์ดีเซลลดลงค่อนข้างเยอะมาอยู่ที่ 24.4% ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดแบบต่างๆ อยู่ที่ 20%
-เยอรมนี : เป็นตลาดหลักที่มียอดขายลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยไตรมาสแรกของปี 2564 ยอดขายรถยนต์นั่งในเยอรมนีอยู่ที่ 656,452 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 6.4% โดยเมื่อแยกตามแบรนด์ต่างๆ แล้วจะพบกว่ายอดขายของแต่ละแบรนด์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกันถ้วนหน้า เช่น
Volkswagen ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มียอดขายสูงสุดในไตรมาสแรกของปีนี้ ก็มีตัวเลขลดลง 2.2% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 130,854 คัน ส่วนเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งอยู่ในอันดับ 2 มียอดขายรวม 62,333 คันลดลง 10.1% และ BMW อยู่ในอันดับ 3 มีตัวเลขยอดขาย 56,432 คันลดลง 2.9%
-อังกฤษ : เช่นเดียวกับตลาดเยอรมนี ภาพรวมของยอดขายในตลาดอังกฤษช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 นั้นมีตัวเลขลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 โดยไตรมาสแรกของปีนี้มียอดขายรวม 425,525 คันหรือลดลง 12% และเมื่อแยกออกเป็นแบรนด์ต่างๆ ที่อยู่ช่วง 10 อันดับแรกแล้ว ตัวเลขยอดขายลดลงกันทั้งหมด เช่น Volkswagen ที่มียอดขายสูงสุดในตลาดอังกฤษ มีตัวเลขอยู่ที่ 36,219 คันลดลง 19.68% อันดับ 2 คือ Ford มีตัวเลข 36,072 คันลดลง 17.71% และอันดับ 3 คือ BMW ลดลง 6.77% มีตัวเลขอยู่ที่ 31,944 คัน
‘อีวีจีน’ ใน ‘ยุโรป’ กำลังมา ยอดขาย BYD แซง Tesla 2 เดือนติด
25 ก.ย. 2025 เวลา 16:53 น.




Play
ยอดขายอีวีจีน BYD ในยุโรป พุ่งแซงหน้าอีวีอเมริกา Tesla ติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง ครั้งนี้สูงกว่าปีก่อน “สามเท่า” ทะยานกว่า 200%
รอยเตอร์สรายงานอ้างข้อมูลจากกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ยานยนต์ยุโรป ACEA ว่า บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน “บีวายดี” (BYD) มียอดขายรถยนต์ใหม่ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) เดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นมากกว่า “3 เท่า” เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว และยังสามารถแซงหน้าคู่แข่ง “เทสลา” (Tesla) ได้เป็นเดือนที่สองติดต่อกันแล้ว
ส่วนยอดขายรถยนต์แบรนด์ “สเตลแลนทิส” (Stellantis) กลับมาเติบโตในยุโรปได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี เนื่องจากตลาดในภาพรวมขยายตัว โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV)
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมรถยนต์ที่ซบเซาของยุโรปกำลังเผชิญความท้าทายต่างๆ มากมาย ทั้งภาษีนำเข้าจากสหรัฐ การแข่งขันจากจีน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบภายในประเทศที่เคร่งครัด
บรรดาบริษัทรถยนต์ได้เร่งยอดขายรถยนต์ PHEV เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการปล่อยมลพิษ โดยผลิตรถยนต์ที่ราคาไม่แพงและทำกำไรได้มากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วน นอกจากนี้ “แบรนด์จีน” ยังใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อลดผลกระทบจากภาษีศุลกากรของอียูที่มุ่งเป้ารถไฟฟ้าผลิตในจีน และเพื่อเอาชนะใจผู้บริโภคชาวยุโรปที่ยังไม่เชื่อมั่นในจีน
ข้อมูลจาก ACEA ระบุว่า ยอดขายในกลุ่มอียู, สหราชอาณาจักร และสมาคมการค้าเสรียุโรป 4 ประเทศ (ECEA) เพิ่มขึ้น 4.7% อยู่ที่ราว 8 แสนคัน ในเดือนสิงหาคม
ยอดจดทะเบียนรถยนต์ Volkswagen และ Renault เพิ่มขึ้น 4.8% และ 7.8% ตามลำดับเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ Stellantis เพิ่มขึ้น 2.2% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2567
ส่วนยอดขายของ Tesla ในอียูลดลง 36.6% ทำให้ส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 2% ในปีที่แล้ว เหลือเพียง 1.2% สวนทางกับยอดขายของ BYD ที่เพิ่มขึ้นถึง 201.3% เมื่อเทียบเดือนเดียวกันของปีก่อน ทำให้ส่วนแบ่งตลาดแซงขึ้นเป็น 1.3%
ส่วนยอดขายของบริษัทรถยนต์จีนรายอื่นๆ เช่น SAIC Motor ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ MG พุ่งขึ้น 59.4% ทำให้ส่วนแบ่งตลาดรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 1.9% และกลายเป็นรถยนต์ขายดีอันดับที่ 10 ของอียูในปีนี้
สำหรับยอดขายรถยนต์อีวีโดยรวมในอียูเพิ่มขึ้น 5.3% โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบบ แบตเตอรี่ล้วน, ไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริด เพิ่มขึ้น 30.2%, 54.5% และ 14.1% ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วน 62.2% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ทั้งหมดในอียู เพิ่มขึ้นจาก 52.8% ในเดือนส.ค. 2567
	    	
		    
