ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
อินเดียหัวใจของ “ซูซูกิ” ฐานผลิตรถไฟฟ้าส่งออกอาเซียน ทางรอดอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคใหม่
เผยแพร่: 7 มี.ค. 2568 10:05 ปรับปรุง: 7 มี.ค. 2568 10:05 โดย: ผู้จัดการออนไลน์

1,079
ด้วยประชากรที่มีจำนวนมากไม่แพ้จีน เพียงแต่เรื่องของรายได้ต่อหัวของประชาชนยังค่อนข้างต่ำ จึงทำให้อินเดียมักจะถูกมองข้ามเสมอ ทั้งที่ในอดีตตลาดแห่งนี้มักจะถูกจับตามองจากผู้ผลิตรถยนต์ในฐานะของตลาดเกิดใหม่ที่มีกำลังซื้อรออยู่จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ชื่อของอินเดียกลับมาหอมหวนอีกครั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ และซูซูกิ คือ หนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่เป็นเจ้าตลาดที่นี่ พร้อมกับเปิดเผยแผนการล่าสุดในการให้อินเดียเป็นหนี่งในยุทธศาสตร์การรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าของพวกเขา
ซูซูกิ กับการผงาดครองตลาดอินเดีย
ในขณะที่หลายแบรนด์เริ่มเบนเข็มออกจากอินเดียด้วยเหตุผลในเรื่องของรายได้ของประชากรต่อหัวที่ต่ำ และทิศทางในเชิงเศรษฐกิจไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดดเหมือนจีน ดูเหมือนว่า ซูซูกิ จะเป็นบริษัทรถยนต์เพียงรายเดียวที่มองเห็นพื้นที่ให้กับตัวเองในการสอดแทรกเข้าไป และดูเหมือนว่าผลิตภัณฑ์ที่พวกเขามีกับความต้องการของตลาดจะสอดคล้องกัน
จริงๆ แล้วในตลาดอินเดียมีเจ้าถิ่นคือ รถยนต์แบรนด์พื้นที่ทำตลาดอยู่แล้ว และการเข้าไปของ ซูซูกิ คือ การจับมือกับแบรนด์อย่าง Maruti Udyog ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลอินเดียตั้งแต่ปี 1981 โดยทั้งคู่ได้ตั้งบริษัทร่วมทุนที่ชื่อว่า Maruti Suzuki India หรือ MSIL ขึ้นมาเมื่อปี 2001
ช่วงเวลานั้น รัฐบาลอินเดียเองก็ต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ และสร้างงานให้กับคนรอบพื้นที่เขตโรงงาน เพื่อลดอัตราการว่างงานและเป็นการเพิ่มงานให้คนในท้องถิ่นด้วย ความร่วมมือของทั้งคู่จึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพราะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทในประเทศและแบรนด์ต่างประเทศ ซึ่งต่างจาก ฮุนได แบรนด์ที่มียอดขายเป็นอันดับ 2 ในอินเดีย ซึ่งมาแบบเดี่ยวๆ ไม่สนใจการร่วมทุน
ความสำเร็จของ Maruti Suzuki คือ ความลงตัวของโปรดักต์และสภาพตลาด ที่นั่นต้องการรถยนต์ไซส์เล็ก และ ซูซูกิ คือ เจ้าพ่อในตลาดรถยนต์ K-Car ของญี่ปุ่น และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตรถยนต์ไซส์นี้ รถยนต์ของซูซูกิ สามารถตอบสนองการขับขี่รถของผู้คนในอินเดียได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่ารุ่นที่ขายดีที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น รุ่น Swift ที่มียอดขายมากถึง 172,671 คัน ในปี 2020 ก่อนที่ Wagon R จะขยับขึ้นมาแทนที่ด้วยยอดขายต่อปีถึง 200,177 คันในปี 2024 ที่ผ่านมา
ที่น่าสนใจคือ 3 อันดับแรกของรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในอินเดียประจำปี 2024 คือ รถยนต์จากค่าย Maruti Suzuki และมีถึง 6 รุ่นติดอยู่ในอันดับ Top 10
ปรับแผนพร้อมเดินหน้าครั้งใหม่
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในปี 2024 ทั้งคู่เพิ่งอัพเกรดยอดผลิตรถยนต์ด้วยการก้าวข้ามเลข 2 ล้านคัน แต่ดูเหมือนว่า ซูซูกิ จะไม่พอใจแค่นั้น และมีความพยายามครั้งใหม่ในการวางอินเดียให้เป็นแกนกลางในแผนระยะกลางของตัวเอง
Toshihiro Suzuki ประธานคนปัจจุบันของ SMC หรือ Suzuki Motor Corporation ได้กล่าวถึงแผนการระยะกลาง หรือ Mid-Term Management Plan ในช่วงระยะเวลา 6 ปี (2026-2031) ของพวกเขาเกี่ยวกับอินเดีย ด้วยการวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานที่มีอยู่ รวมถึงการขยายโรงงานเพื่อให้มีตัวเลขการผลิตอยู่ที่ 4 ล้านคันต่อปีภายในปี 2031 ‘เราคาดหวังให้ที่นี่เป็นทั้งฐานการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอินเดีย และการส่งออก’ ซูซูกิ กล่าว
ยอดการผลิตรถยนต์ของ ซูซูกิ ในอินเดียแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.06 ล้านคันในปี 2024 ซึ่งคิดเป็น 62.5% ของยอดการผลิตทั้งหมด และมากกว่าจำนวนรถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่นถึงสองเท่า หากบริษัทบรรลุเป้าหมายในการผลิต 4 ล้านคันต่อปีในอินเดีย ยอดการผลิตดังกล่าวเพียงอย่างเดียวจะเกินปริมาณการผลิตทั่วโลกของ นิสสัน ซึ่งอยู่ที่ 3.14 ล้านคันในปี 2024 เลยทีเดียว
อินเดียคือศูนย์กลางใหม่แห่งการผลิต
แน่นอนว่าตามแผนการ ซูซูกิ ตั้งเป้าผลิต 4 ล้านคันภายในปี 2031 แต่เอาเข้าจริงๆ ยอดจำหน่ายรถยนต์ในอินเดียที่พวกเขาวางแผนเอาไว้ว่าจะต้องทำให้ได้ในปี 2030 คือ การขยับยอดขายรถยนต์ในอินเดียให้เพิ่มขึ้นเป็น 2.54 ล้านคัน ดังนั้น ส่วนต่างราวๆ 1.5 ล้านคันจะไปไหน ?
“อินเดียเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดที่ ซูซูกิ ควรให้ความสำคัญ เราจะขยายธุรกิจให้ครอบคลุมผู้คนกว่า 1 พันล้านคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงระบบขนส่งได้… เราจะเสริมสร้างโมเดลการเริ่มต้นที่กลุ่มคนรายได้ปานกลางที่กำลังเติบโตเลือกซูซูกิ เป็นรถคันแรก” ซูซูกิ กล่าว
ตามแผนการ Mid-Term Management Plan ตลอดช่วง 5 ปี ซูซูกิ จะเทงบลงทุนในอินเดีย 1.2 ล้านล้านเยน หรือ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 60% ของการลงทุนทั้งหมด 2 ล้านล้านเยน (ราว 448,000 ล้านบาท) ที่วางแผนไว้สำหรับระยะเวลา 6 ปี โดยการลงทุนในอินเดียของ ซูซูกิ จะแบ่งเป็น 550,000 ล้านเยนสำหรับการเสริมกำลังการผลิต รวมถึงการก่อสร้างโรงงานใหม่ ซึ่งก็คือ การสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่มีการประกาศออกมาเมื่อต้นปี 2024 ซึ่งโรงงานนี้อยู่ที่รัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดีย ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตได้ 1,000,000 คัน และอีกส่วนคือการขยายไลน์การผลิตแห่งที่ 4 ของโรงงาน SMG ตรงนี้จะเพิ่มยอดการผลิตได้อีก 250,000 คันต่อปี
นอกจากนั้นซูซูกิ ยังได้จัดสรร 400,000 ล้านเยน สำหรับการเตรียมการผลิตยานยนต์ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีทั้งรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน และรถยนต์พลังไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออก ซึ่งสอดรับกับแผนที่เคยประกาศออกมาเมื่อปี 2023 ซึ่งซูซูกิ จะผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าร่วมกับ Maruti จำนวน 6 รุ่น ก่อนจะปรับเหลือ 4 รุ่น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Maruti e Vitara จะเป็นรถ EV ราคาประหยัดที่จะมาแข่งกับ Tiago EV และ YMC MPV ซึ่ง e Vitara มีแผนเข้ามาเปิดตัวในไทยช่วงปลายปีนี้ และจะมีจำหน่ายในยุโรปและญี่ปุ่นด้วย
“e VITARA คือรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV รุ่นแรกของ ซูซูกิ ซึ่งเราได้ศึกษาความต้องการของลูกค้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV อย่างละเอียด และเราจะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อสร้างระบบนิเวศสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ในอินเดีย รวมถึงสถานีชาร์จ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ไร้กังวลในการใช้งาน สำหรับ e VITARA เป็นไปตามกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี 10 ปีที่เราประกาศไปเมื่อไม่นาน” ประธานของ ซูซูกิ กล่าว
สำหรับส่วนต่างอีก 1.5 ล้านคันโดยประมาณ มีการประเมินว่า ซูซูกิ จะใช้อินเดียเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์บางประเภทที่เหมาะสมกับตลาดเอเชีย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน โดยการส่งผ่านรถยนต์สำเร็จรูปทั้งคันหรืออาจจะรวมถึงชิ้นส่วนจะส่งไปยังอินโดนีเซียที่ถือว่าเป็นอีกศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญของ ซูซูกิ และมีข้อตกลงในเรื่องการยกเว้นภาษีกับอินเดีย จากนั้น ค่อยกระจายออกสู่ประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งก็รวมถึงไทย เพื่อใช้ประโยชน์การเป็น AFTA ซึ่งการนำเข้าแบบสำเร็จรูปทั้งคันจากอินเดียเพื่อมาขายในประเทศแถบอาเซียนเลยจะไม่อยู่ในเกณฑ์การยกเว้นภาษี
ถือเป็นการเดินหมากที่น่าสนใจ และเรียกว่าเป็นการปรับตัวที่น่าจะช่วยทำให้ซูซูกิ สามารถอยู่รอดในอุตสาหกรรมรถยนต์ยุคใหม่ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงได้
10 รถแพงที่สุดในโลกมีทั้งความหรู และสมรรถนะความแรง
วันที่ประกาศ : 23 ก.ค. 2567
รถที่แพงที่สุดในโลก
    
รถยนต์ไม่ใช่เพียงแค่พาหนะที่พาไปถึงจุดหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นที่บ่งบอกถึงไลฟสไตล์และความชอบของแต่ละคนด้วย ผู้ผลิตรถหลายรายจึงทำรถออกมาโดยมีการออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อเฉพาะกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นความหรูหราหรือสมรรถนะความแรง ซึ่งแน่นอนว่ารถเหล่านี้ย่อมมีราคาที่ไม่ธรรมดา
แต่ก็ยังมีรถบางคันที่มีราคาแพงเป็นพิเศษไปอีกระดับจนเป็นที่สุดในด้านราคา จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นรถที่มีราคาแพงที่สุดในโลกโดยแต่ละปีมักจะมีรถรุ่นใหม่ ๆ ออกมาแย่งอันดับกันอยู่เสมอ ดังนั้นผมจึงรวบรวม 10 อันดับ รถแพงที่สุดในโลกล่าสุดในปี 2023 มาให้ดูกันว่ามีรถรุ่นไหนบ้าง แต่ละคันมีราคาสูงเท่าไหร่ และมีความโดดเด่นอย่างไรจึงทำให้รถมีราคาแพงเป็นพิเศษ
ส่วนผู้ที่กำลังมองหารถสักคันไว้ใช้งาน ไม่ได้ต้องการรถหรูราคาแพง ขอแค่รถมีคุณภาพ 
ผ่อนถูก ราคาเข้าถึงได้ ผมแนะนำที่ Roddonjai.com แหล่งรวมรถมือสองราคาโดนใจ กับผู้ขายที่ไว้ใจได้ ลองเข้ามาเลือกดูกันก่อนได้เลยครับ
10 รถแพงที่สุดในโลกล่าสุดปี 2023
1. Rolls-Royce Boat Tail
ราคา 28 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 963,564,000 บาท
 
Rolls-Royce Boat Tail
ปกติรถจาก Rolls-Royce เป็นที่รู้จักในด้านความหรูหราและมีราคาแพงอยู่แล้ว แต่ Rolls-Royce Boat Tail ที่มีราคา 28 ล้านดอลลาร์ เป็นการตอกย้ำถึงความหรูหราและความแพงของผู้ผลิตรถยนต์จากสหราชอาณาจักรรายนี้ให้เด่นชัดเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะได้รับตำแหน่งรถแพงที่สุดในโลกปี 2023 นี้ไปครอง 
ด้วยความโดดเด่นของรถรุ่นนี้ กับการเป็นรถสั่งผลิตพิเศษโดยได้แรงบันดาลใจมาจากเรือยอร์ช J Class ซึ่งภายนอกของตัวรถถูกออกแบบให้มีสีทูโทน มีกระจังหน้าขนาดใหญ่ และไฟหน้าที่มีขนาดเรียวเล็ก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์ ขณะที่ด้านหลังของรถสามารถดัดแปลงให้เป็นพื้นที่สังสรรค์ให้นั่งทานอาหารพร้อมเครื่องดื่มได้ ด้วยตู้แช่ ร่มกันแดด โต๊ะไม้ และเก้าอี้บาร์
ส่วนห้องโดยสารแต่งหรูด้วยการใช้ไม้ในบริเวณช่วงล่าง รวมทั้งพื้นห้องโดยสารซึ่งแน่นอนว่ายังคงนำสไตล์มาจากเรือยอร์ชมาใช้ พร้อมมีการใช้วัสดุมันวาว รวมทั้งไม้ Caleidolegno ในการตกแต่ง และเพิ่มมูลค่าให้รถมีราคาแพงขึ้นด้วยนาฬิกา Bovet 1822 ที่แผงหน้าปัด ด้วยความมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจึงทำให้ Rolls-Royce Boat Tail ติดอันดับรถที่แพงที่สุดในโลก
2. Bugatti La Voiture Noire
ราคา 18.7 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 643,523,100 บาท
 
Bugatti La Voiture Noire
รถไฮเปอร์คาร์สมรรถนะสูงสัญชาติฝรั่งเศส Bugatti La Voiture Noir ที่ชื่อรุ่นเป็นภาษาฝรั่งเศสมีความหมายว่า”รถยนต์สีดำ”เป็นรถที่ถูกผลิตออกมาเพียงคันเดียว โดยได้รับการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถคลาสสิกในตำนาน Type S75C Atlantic ของ Bugatti พร้อมกับมีตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ที่ผลิตด้วยมือ ส่วนการขับเคลื่อนรถราคา 18.7 ล้านดอลลาร์เป็นหน้าที่ของเครื่องยนต์ W16 ความจุ 6.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ 4 ตัวที่สร้างกำลังออกมา 1,500 แรงม้า ส่วนเจ้าของรถคันนี้คือนักฟุตบอลชื่อดัง Cristiano Ronaldo ที่ปัจจุบันค้าแข้งอยู่ในลีกซาอุดิอาระเบีย
3. Rolls-Royce Sweptail
ราคา 12 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 412,956,000 บาท
 
Rolls-Royce Sweptail
Rolls-Royce Sweptail ยานยนต์หรูสองประตูผลิตพิเศษเพียงคันเดียวโดยใช้ Rolls-Royce Phantom Coupe เป็นพื้นฐานที่ใช้เวลาถึง 4 ปีนับตั้งแต่ปี 2013-2017 ในการสร้าง เมื่อถูกเปิดตัวออกมาเมื่อปี 2017 ก็กลายเป็นรถแพงที่สุดในโลกในตอนนั้น โดยรถเป็นการผสานแรงบันดาลใจจากการทำตัวถังรถในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่ผูัสั่งผลิตรถคันนี้ชื่นชอบเข้ากับความคลาสสิกและทันสมัยของเรือยอร์ช นอกจากนี้ยังมีความสวยงามของเส้นด้านข้าง รวมทั้งแนวหลังคาที่ลาดลงด้านหลัง ขณะที่ห้องโดยสารถูกออกแบบให้มีความสวยงามในลักษณะที่ดูเรียบง่ายพร้อมกับการใช้วัสดุหรูต่าง ๆ อย่างหนัง Moccacain และ Dark Spice แผงไม้ Paldao ที่โชว์ลายไม้ รวมทั้งมีหลังคากระจกเพื่อให้แสงธรรมชาติเข้าสู่ภายในของรถได้เต็มที่
4. Bugatti Centodieci
ราคา 9 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ309,700,000 บาท
 
Bugatti Centodieci
Centodieci ซึ่งเป็นภาษาอิตาลีที่มีความหมายว่า 110 เป็นรถไฮเปอร์คาร์ที่ถูกผลิตออกมาเพียงแค่ 10 คัน โดยใช้พื้นฐานจาก Chiron พร้อมการออกแบบเพื่อเป็นเกียรติแก่ Bugatti EB110 SS รถซูเปอร์คาร์รุ่นดังในยุค 90 โดยเป็นการนำดีไซน์ของรถในอดีตมาตีความใหม่ให้มีความทันสมัยขึ้น นอกจากนี้รถยังถูกลดน้ำหนักลงจนเบากว่า Chiron ที่เป็นพื้นฐานในการสร้าง 20 กิโลกรัม แต่ขุมกำลัง W16 8.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ 4 ตัวของรถมีกำลัง 1,600 แรงม้ามากกว่า Chiron ถึง 100 แรงม้าจนทำให้ใช้เวลาแค่ 2.4 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
5. Maybach Exelero
ราคา 8 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 275,300,000 บาท
Maybach Exelero
รถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่ผลิตพิเศษเพียงคันเดียวโดยความร่วมมือระหว่าง Stola บริษัทยานยนต์อิตาลีกับ Daimler/Chrysler จากความต้องการของ Fulda บริษัทลูกของ Goodyear ในเยอรมนีเพื่อใช้สำหรับทดสอบยาง Carat Exelero รุ่นใหม่ โดยเป็นรถที่นำแนวทางการออกแบบมาจาก Maybach SW 38 ในปี 1938 พร้อมกับใช้ Maybach 57 ที่เป็นรถในสายการผลิตตอนนั้นเป็นพื้นฐานในการสร้าง ทำให้รถมีฝากระโปรงหน้าที่ยาว กระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่ พร้อมกับความสมรรถนะในการทำความเร็วได้ถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากความต้องการของ Fulda เพื่อทดสอบถึงขีดจำกัดของยาง
6. Bugatti Divo
ราคา 5.8 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 199,500,000 บาท
 
Bugatti Divo
รถสปอร์ตสำหรับสนามแข่งที่ถูกผลิตออกมาจำกัด 40 คันระหว่างปี 2019-2021 โดยตั้งชื่อรถตาม Albert Divo นักแข่งรถชาวฝรั่งเศสที่เคยขับรถแข่ง Bugatti ในยุค 1920 โดย Bugatti Divo มีแรงบันดาลใจการออกแบบมาจาก Bugatti Type 57SC Atlantic ทศวรรษที่ 1930 และรถคอนเซ็ปต์ Vision Gran Turismo พร้อมกับการได้รับปรับเปลี่ยนหลายส่วนไปจาก Chiron ซึ่งใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างไม่ว่าจะเป็นระบบระบายไอเสียพร้อม 4 ปลายท่อ สปอยเลอร์หลังติดตายตัวกว้าง 1.8 เมตร และช่องดักอากาศ NACA ที่หลังคาเพื่อช่วยเพิ่มแรงกดให้กับรถ ส่วนห้องโดยสารใช้ Alcantara หุ้มเบาะ พร้อมแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ ขณะที่ขุมกำลังของรถยังคงเป็นเครื่องยนต์ W16 8.0 ลิตร ติดตั้งเทอร์โบ 4 ตัว กำลังสูงสุด 1,500 แรงม้า ใช้เวลา 2.4 วินาที ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่แตกต่างจาก Chiron แต่มีการตอบสนองในช่วงปลายที่ดีกว่า
7. Pagani Huayra Imola
ราคา 5.4 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 185,830,000 บาท
Pagani Huayra Imola
รถซูเปอร์คาร์ที่ถูกตั้งชื่อตามสนามแข่งรถ Imola ในอิตาลีเป็นรุ่นที่ทรงพลังมากที่สุดสำหรับขับถนนสาธารณะของรุ่น Huayra จากการนำเครื่องยนต์ V12 ของ Mercedes-AMG มาปรับจนมีกำลังสูงสุด 827 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,100 นิวตัน-เมตร รวมทั้งน้ำหนักของรถยังถูกลดลงลงเหลือ 1,246 กิโลกรัม จากการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ รวมทั้งสีน้ำหนักเบา นอกจากนี้ภายนอกของรถยังได้รับการเปลี่ยนแปลงจาก Huayra มาตรฐานทั้งในส่วนของ Diffuser ด้านหลัง ช่องดักอากาศขนาดใหญ่บนหลังคา ครีบฉลาม สเกิร์ตข้างขนาดใหญ่ขึ้น และปีกหลังที่มาพร้อมกับไฟเบรก โดย Pagani Huayra Imola ถูกผลิตออกมาเพียง 6 คันเป็นรถที่ขายให้ลูกค้า 5 คันรวมถึงรถต้นแบบอีกหนึ่งคัน
8. Koenigsegg CCXR Trevita
ราคา 4.8 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 165,180,000 บาท
 
Koenigsegg CCRX Trviata
ความโดดเด่นของ Koenigsegg CCRX Trviata คือการมีตัวถังรถคาร์บอนไฟเบอร์ที่ผลิตด้วยวิธี Koenigsegg Proprietary Diamond Weave ซึ่งมีการเคลือบไฟเบอร์ด้วยเพชรที่ผู้ผลิตรถซูเปอร์คาร์สวีเดนรายนี้พัฒนาขึ้นมาเอง และด้วยความซับซ้อนในการทำผลิตคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีเพชรเคลือบนี้จึงทำให้มีการผลิตรถออกมาเพียงแค่ 2 คันเท่านั้นจนทำให้เป็นรุ่นหายากที่สุดของ Koenigsegg จึงกลายเป็น 1 ใน 10 รถราคาแพงที่สุดในโลก ซึ่งผู้หนึ่งที่เคยเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้คือนักมวยดัง Floyd Mayweather ก่อนที่จะขายรถไปในปี 2017 ด้วยราคา 2.7 ล้านดอลลาร์
9. Lamborghini Veneno
ราคา 4.5 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 154,858,000 บาท
 
Lamborghini Veneno
รถซูเปอร์คาร์ผลิตจำกัดในโอกาสฉลอง 50 ปี Lamborghini โดยใช้ Aventador เป็นพื้นฐานในการผลิต มาพร้อมกับ V12 ความจุ 6.5 ลิตร ที่ถูกปรับให้มีกำลังสูงสุด 750 แรงม้ามากกว่า Aventador 50 แรงม้า ด้านการออกแบบรถมีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากรถในสายการผลิตในช่วงเวลานั้นของ Lamborghini เพราะนำแนวทางมาจากรถสปอร์ตต้นแบบและรถแข่ง ส่วนห้องโดยสารของรถมีความคล้ายกับห้องโดยสารของ Aventador แต่มีการใช้ Carbon Skin ร่วมด้วย ส่วนจำนวนการผลิตของรถมีการทำแบบตัวถังคูเป้ 4 คันและเปิดประทุน 9 คัน
10. Bugatti Chiron Super Sport 300+
ราคา 3.9 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 134,200,000 บาท
 
Bugatti Chiron Super Sport 300+
Chiron Super Sport 300+ เป็นรถอีกรุ่นจาก Bugatti ที่ติด 1 ใน 10 รถแพงที่สุดในโลก โดยเป็นรถที่ถูกผลิตออกมาจำกัดแค่ 30 คันหลังจากความสำเร็จของรถต้นแบบ Chiron ที่ถูกปรับแต่งเป็นพิเศษจนสามารถทำความเร็วทะลุหลัก 300 ไมล์/ชั่วโมง เพื่อบ่งบอกถึงความพิเศษของรถจึงทำให้ตัวถังรถคาร์บอนไฟเบอร์มีแถบคู่สีส้มพร้อมความดุดันด้วยช่องดักอากาศขนาดใหญ่ที่กันชนหน้าและ Diffuser ขนาดใหญ่ที่กันชนหลัง รวมไปถึงมีปลายท่อไอเสียใหม่ รวมถึงถอดสปอยเลอร์หลังออกไป สำหรับขุมกำลังของรถเป็นเครื่องยนต์ W16 ความจุ 8.0 ลิตรพร้อมเทอร์โบ 4 ตัวมีกำลังสูงสุด 1,600 แรงม้า เหมือนกับที่ประจำการใน Bugatti Centoddieci
เช็กราคารถมือหนึ่ง-มือสองได้ที่ Roddonjai.com.
ไม่ใช่แค่ รถที่แพงที่สุดในโลก เท่านั้นนะครับ เพราะบรรดารถเหล่านี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็นไอคอนแห่งวงการรถสปอร์ตคาร์ อีกด้วย เพราะดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมความหรูหราและเทคโนโลยีทันสมัย ทั้งเครื่องยนต์ที่มีความเร็วแรง ด้วยการผลิตที่มีจำนวนจำกัดแถมบางคันยังผลิตเพียงคันเดียวในโลกเท่านั้น จึงไม่แปลกว่าทำไมรถเหล่านี้ถึงได้เป็นรถในฝันของผู้ที่หลงใหลในรถยนต์ทั่วโลก
	    	
		    
