ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
ยอดขาย BYD ติดท็อป10 ของโลก แซง Benz และ BMW รถค่ายจีนกำลังครองตลาดโลก
28 ส.ค. 66
10:00 น.
อุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกเปลี่ยนโฉมไปอย่างมาก การเปลี่ยนผ่านจากการใช้รถยนต์สันดาป(น้ำมัน) มาสู่พลังงานสะอาดอย่าง รถยนต์ไฟฟ้าทำให้ค่ายรถทั่วโลกต้องปรับตัวเปลี่ยนเทคโนโลยี เพื่อสู้ศึกใหม่ที่กำลังดุเดือด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยอดผลิต-ส่งออกรถยนต์ร่วง! แต่ตลาด EV พุ่งแรง ฉุดยอดขายรวมโต 5.38%
ทำไม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายหุ้น BYD? ทั้งที่ทำกำไรมหาศาลที่สุดในการลงทุนเรเว่ ได้รับการรับรองให้เป็น องค์กรที่น่าร่วมงานด้วยมากที่สุดของประเทศ
ข้อมูลจากบริษัทวิจัย MarkLines และ Automaker data พบว่า 6 เดือนแรกของปีนี้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนมียอดขายที่ก้าวกระโดดเกือบทุกเจ้า โดยเฉพาะ BYD ที่เข้ามาติด Top 10 ยอดขายสูงสุดในโลกได้เป็นครั้งแรก โดยปี 2564 BYD ยังไม่ติด 20 ด้วยซ้ำ แต่พอมาปี 2565 ที่ผ่านมา BYD ไต่ขึ้นมาอยู่อันดับที่16 และ ครึ่งแรกของปี 2566 ก็เข้ามาติด10 อันดับแรกเรียบร้อย แซงหน้า Mercedes-Benz Group และ BMW จากยุโรป เป็นการส่งสัญญาณว่ารถยนต์ไฟฟ้ากำลังเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ไปมากแค่ไหน
ทั้งนี้ยอดขายรถยนต์ใหม่ทั่วโลกของ BYD อยู่ที่ 1.25 ล้านคันในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้น 96% ตามหลัง Suzuki Motor ของญี่ปุ่น ที่มียอดขาย6เดือนแรกอยู่ที่ 1.52 ล้านคัน
BYD นั้นครองอันดับหนึ่งในด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ในตลาดหลัก 14 แห่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ขณะที่ Tesla ตามมาเป็นอันดับสอง โดยกลุ่ม Volkswagen อยู่ในอันดับที่สาม โดยตลาดจีน สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศมีการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า รถยนต์ไฟฟ้า จาก BYD สามารถขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งในระดับล่างและระดับสูงโดยมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด โดย BYD ดีส่งออกรถยนต์ที่ผลิตในจีนออกไปมากกว่า 80,000 คันในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 และยังขยายธุรกิจในประเทศไทยและอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในรัสเซีย ทั้งที่ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป ได้ถอนตัวออกไปหลังสงครามรัสเซีย ยูเครน
ส่วนบริษัทรถยนต์สัญชาติจีนอื่นๆ ก็มียอดขายที่เติบโตทำผลงานได้ดีถ้วนหน้าในครึ่งปีแรกเช่นกัน Zhejiang Geely Group Holding อยู่ในอันดับที่ 13, Changan Automobile Group อยู่ที่อันดับที่ 14 และ Chery Automobile อยู่ในอันดับที่ 17 โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลัก

10 อันดับค่ายรถยนต์ที่ทำยอดขายสูงสุด ในช่วง 6 เดือนแรกของปี2023
10 อันดับค่ายรถยนต์ที่ทำยอดขายสูงสุด ในช่วง 6 เดือนแรกของปี2023
1.โตโยต้า 5.41 ล้านคัน
2.โฟลก์ สวาเก้นท์ 4.37 ล้านคัน
3.ฮุนได/เกีย 3.65 ล้านคัน
4.เรโนลต์ /นิสสัน/มิตซูบิชิ 3.2 ล้านคัน
5.สเตลแลนทิส 3.2 ล้านคัน
6.จีเอ็ม 2.96 ล้านคัน
7.ฟอร์ด 2.17 ล้านคัน
8.ฮอนด้า 1.84 ล้านคัน
9.ซูซุกิ 1.52 ล้านคัน
10.BYD 1.25 ล้านคัน
กลุ่มโตโยต้า มอเตอร์ ยังคงเป็นผู้นำยอดขายรถยนต์โดยรวมทั่วโลกในช่วงครึ่งปีแรกเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน โดยขายได้ 5.41 ล้านคัน เก้าอันดับแรกที่เหลือก็ไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้าเช่นกัน ยกเว้นฮอนด้า มอเตอร์ 
โตโยต้ามียอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบสองปี ตลาดในญี่ปุ่นและยุโรปมีส่วนทำให้การเติบโต แต่ยอดขายในจีนลดลง 3% เหลือ 870,000 คัน ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่างฮอนด้า, นิสสันมอเตอร์, มาสด้ามอเตอร์และมิตซูบิชิมอเตอร์สประสบปัญหาตลาดจีนลดลงเป็นเลขสองหลักหรือมากกว่านั้น
แบรนด์รถยนต์จีน “ได้ลดช่องว่างกับผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าทั้งหลาย ทั้งในแง่ของอุปกรณ์และฟังก์ชันการทำงานของรถ ” เคนทาโร อาเบะ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และธุรกิจที่ปรึกษาของ PwC ในญี่ปุ่น ระบุว่า การส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์พลังงานใหม่อื่นๆ ของจีนกำลังเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
สเปกจัดเต็ม-ราคาเข้าถึงง่าย ดันตลาดรถไฟฟ้าไทยบูม ผู้บริโภคเล็งซื้อ EV เป็นรถคันต่อไป
by Jan 25 September 2025
แชร์ :
เปิดผลการศึกษา “บทบาทของยานยนต์ไฟฟ้า” ที่เริ่มเข้ามาเป็นตัวพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศและ แนวโน้มและการตอบรับของตลาดและกลุ่มผู้ใช้รถ รวมทั้งปัจจัยสำคัญสำคัญต่อการเติบโตและลักษณะการแข่งขันในตลาดรถไฟฟ้า โดยมีแบรนด์ใหม่ๆ จาก “จีน” ก้าวเข้ามาเป็นผู้แข่งขันช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากรายเดิม ค่ายญี่ปุ่นและยุโรป  
ภูมิทัศน์ยานยนต์ในประเทศไทย มีการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาป สู่ “รถยนต์ไฟฟ้า” มาจากปัจจัยหนุนหลายประการ ตั้งแต่แรงจูงใจจากภาครัฐ ทัศนคติของผู้บริโภค หรือ ผู้ใช้รถที่เริ่มเปลี่ยนไป มีการตอบรับรถประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในปัจจัย คือ เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้ามีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและราคาที่จับต้องได้
อิปซอสส์ (Ipsos) ผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยตลาดและสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค สรุปรายงานชุด “Thailand Auto Trend-The Rise of Pure Electric Cars” รถไฟฟ้ากับการพลิกโฉมอนาคตยานยนต์ของประเทศไทย นำโดยคุณเสถียรสิทธิ พรบุญยรัตน์ Associate Director อิปซอสส์ ประเทศไทย ดังนี้

ตลาดรวมรถยนต์ไทยหดตัว แต่ EV โตต่อเนื่อง
แม้ว่าตลาดรถยนต์โดยรวมของไทยจะมียอดขาย “ลดลง” ในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ปี 2552 จากปัจจัยต่างๆ เช่น หนี้ครัวเรือนสูง, ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
แต่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (xEV) ไม่ว่าจะเป็น BEV (ยานยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่), PHEV (ยานยนต์ไฟฟ้าแบบ ไฮบริดปลั๊กอิน), HEV (ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด) กลับเติบโตต่อเนื่อง ในไตรมาสแรกปี 2568 ยอดขายรถยนต์ xEV (BEV + PHEV + HEV) เพิ่มขึ้นถึง 67,000 คัน เติบโต 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่น่าสนใจคือยอดขายกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 40.2% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในไตรมาสนี้ ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของรถยนต์ไฮบริด (HEV) ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาด xEV ถึง 62% บ่งชี้ถึงช่วงเปลี่ยนผ่านที่อาจเกิดขึ้นไปสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

“EVจีน” ผู้เล่นหน้าใหม่ ครองแชมป์งานมอเตอร์โชว์
สภาวะการแข่งขันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย “ผู้ผลิตรถยนต์จากจีน” ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีราคาเข้าถึงได้ด้วยเทคโนโลยีแบบจัดเต็ม จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เข้ามาครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
สะท้อนได้จากสถิติการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 46 ปีนี้ แบรนด์ที่มีการจองสูงสุด 15 อันดับ กว่าครึ่งเป็นแบรนด์จากจีน (8 ใน 15) แซงหน้าคู่แข่งจากญี่ปุ่นและยุโรป
โดย BYD เป็นผู้นำอันดับ 1 ด้วยยอดจอง 10,353 คัน (แซงเบอร์ 1 โตโยต้า เป็นครั้งแรก) ตามมาด้วย GAC AION, Deepal และ GWM

แรงจูงใจของผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
จากการผลักดันประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งภูมิภาคเอเชีย” (EV Hub) รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้ไทยผลิตรถยนต์ EV ให้ได้ 30% ของยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมดในปี 2030 โดยมีนโยบายสนับสนุน เช่น การลดภาษี, เงินอุดหนุนการซื้อ, สิทธิประโยชน์ลงทุนสำหรับผู้ผลิต, และการพัฒนาสถานีชาร์จ
พบว่าผู้บริโภคชาวไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นที่พิจารณาการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อถามถึงรถยนต์คันต่อไปที่พิจารณาซื้อ สรุปได้ดังนี้
– รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 33%
– รถยนต์ไฮบริด (HEV) 32%
– รถยนต์สันดาป (น้ำมัน) 28%
– ยังไม่ตัดสินใจ 32%
แนวโน้มนี้สอดคล้องกันในทุกกลุ่มอายุ โดยทุกกลุ่มแสดงให้เห็นถึงความสนใจในรถยนต์ EV และ HEV มากกว่ารถยนต์สันดาป และ แยกตามช่วงอายุ ได้ดังนี้
– อายุ 20-29 ปี สนใจรถ HEV 33% รถใช้น้ำมัน 31% BEV 29% และ 7% ยังไม่ตัดสินใจ
– อายุ 30-44 ปี สนใจรถ BEV 34% HEV 29% รถใช้น้ำมัน 29% และยังไม่ตัดสินใจ 10%
– อายุ 40-65 ปี สนใจรถ BEV 32% HEV 32% รถใช้น้ำมัน 24% และยังไม่ตัดสินใจ 12%

ปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการพิจารณาซื้อรถ EV คือ ราคา 57% ความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม 51% เทคโนโลยีที่เหนือกว่า 49% ประสบการณ์การขับขี่ที่ดี 41%
“ราคา” คือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภคมาโดยตลอด ในอดีตรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มาพร้อมสเปกสูงและสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม มักมีราคาสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป อย่างไรก็ตามในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้นและอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีทันสมัยในราคาที่เข้าถึงได้
 อุปสรรคลังเลซื้อรถไฟฟ้า
ผลสำรวจยังเผยถึงความท้าทายและอุปสรรค ที่ทำให้หลายคนยังลังเลที่จะซื้อรถยนต์ EV ดังนี้
– ความกังวลเรื่องระยะทางวิ่งและแบตเตอรี่ 60%
– กังวลด้านความปลอดภัย 54% ที่รวมถึงเรื่องความเสี่ยงจากแบตเตอรี่
– ต้นทุนการเป็นเจ้าของโดยรวม 51%
– สถานีชาร์จที่ไม่เพียงพอ 50%
– มูลค่าการขายต่อที่ไม่แน่นอน 42%
อิปซอสส์ ได้วิเคราะห์ผลสรุปสำคัญเพื่อให้เป็นมุมมองสำหรับ “ผู้เล่นรายใหม่” ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค สรุปได้ดังนี้
– บริการหลังการขาย: ผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องความชำนาญ และความล่าช้าในการจัดหาอะไหล่
– คุณภาพแบตเตอรี่: ยังคงเป็นข้อกังวลหลัก ทั้งในเรื่องอายุการใช้งานและประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย
– ความน่าเชื่อถือของซอฟต์แวร์: ผู้บริโภคยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเสถียรในระยะยาว และกระบวนการอัปเดตซอฟต์แวร์ในตัวรถยนต์
– มูลค่าขายต่อ: แม้ว่าราคาที่ถูกลงของรถไฟฟ้า จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่ายขึ้น แต่อาจส่งผลให้มูลค่าขายต่อเมื่อเข้าสู่ตลาดรถยนต์มือสองลดลงตามไปด้วย

จับตาอนาคตของรถยนต์สันดาป-รถยนต์ไฟฟ้า
รถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) จะยังคงมีบทบาทสำคัญและไม่หายไปจากท้องถนนของประเทศไทยในเร็วๆ นี้ รถยนต์ ICE จะยังคงครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ในบางเซ็กเมนต์โดยเฉพาะรถกระบะ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากและเป็นส่วนสำคัญของภูมิทัศน์ยานยนต์ไทยมาอย่างยาวนาน
ประเทศไทยแตกต่างจากประเทศอื่นๆ โดยมีรถเก๋งและรถกระบะ ครองส่วนแบ่งการตลาดเท่ากันที่ 50 : 50 นั่นทำให้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปยังมีอยู่ต่อไปในตลาดไทย
ในขณะที่เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ผู้ผลิตก็ยังคงลงทุนในการพัฒนารถยนต์สันดาป ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ออกรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันได้ดีขึ้น
การอยู่ร่วมกันของเทคโนโลยีทั้งสองนี้สะท้อนให้เห็นถึงตลาดที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งทั้งสองเทคโนโลยีจะยังคงแข่งขันกันเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค โดยแต่ละประเภทต่างมีจุดเด่นเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน
โอกาสแบรนด์-นักการตลาด เจาะตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
ตลาดรถไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็วชี้ให้เห็นว่า เป้าหมายของรัฐบาลที่ตั้งให้ไทยผลิตรถยนต์ EV ให้ได้ 30% ของยอดผลิตรถยนต์นั่งทั้งหมดในปี 2030 จึงเป็นเป้าหมายที่ดูจะเป็นจริงได้มากขึ้น ด้วยแรงขับเคลื่อนจากนโยบายที่เอื้ออำนวยและความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถนำเสนอรถยนต์ที่โดนใจผู้บริโภคคือ ความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง รวมถึงเข้าใจวิธิคิดทั้งแง่บวกและแง่ลบที่มีต่อรถยนต์ชนิดต่างๆ ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับตลาดรถในประเทศไทย ที่มีความหลายหลายของเซกเมนต์รถ EV
การแข่งขันไม่ได้เฉพาะเจาะจงเพียงแค่ประเภทเครื่องยนต์หรือพลังงานที่ขับเคลื่อน แต่การแข่งขันจะครอบคลุมทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ขั้นตอนการตัดสินใจ การใช้งาน ไปจนถึงระยะยาวจนกระทั่งรถยนต์คันนึงจะถูกเปลี่ยนหรือทดแทน ผู้บริโภคจะเรียนรู้และแสวงหาข้อมูลเพื่อพิจารณาว่ารถยนต์คันนั้นๆ คุ้มค่าราคาที่ต้องจ่ายหรือไม่
ตลาดไทย “รถยนต์” ถูกมองเป็นค่านิยมที่ต้องการมีไว้ใช้งาน โดยรถยนต์ไฟฟ้ากำลังถูกเลือกซื้อเป็นรถคันที่ 2 และ 3 ของสมาชิกครอบครัวมากขึ้น ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ยังกลายเป็นรถคันแรกที่เลือกซื้อ เพราะราคาเข้าถึงง่ายและได้เทคโนโลยี ฟีเจอร์ต่างๆ แบบจัดเต็ม
	    	
		    
