ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
มัดรวมวิธีประหยัดน้ำมันรถยนต์ ทำตามได้เห็นผลจริง
วันที่เผยแพร่ 02/04/2024
ยอดผู้เข้าชม 2049

รถยนต์สันดาปขับเคลื่อนได้ด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ในปัจจุบันน้ำมันมีราคาแพง และผันผวนอยู่ทุกวัน บางคนต้องใช้รถยนต์ในการทำงานเป็นหลักอาจต้องเตรียมค่าน้ำมันต่อเดือนมากกว่า 3,000 บาทเลยทีเดียว แล้วแบบนี้เราจะมีวิธีประหยัดน้ำมันอย่างไรบ้าง วันนี้ TOYOTA SURE ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการขับรถประหยัดน้ำมันมีวิธีไหนบ้างที่ได้ผล ติดตามได้เลย
10 วิธีประหยัดน้ำมันรถยนต์ ปรับใช้ได้เห็นผลจริง

การขับรถให้ประหยัดน้ำมันนั้น ควรเริ่มต้นจากพฤติกรรมการขับขี่ของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนตโดยตรง นอกจากนั้นยังมีเรื่องการบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะ โดยทั้งหมด 10 วิธีประหยัดน้ำมันมีรายละเอียดดังนี้
1. ไม่ออกรถกระชาก
การออกตัวแบบกระชาก หรือคิกดาวน์ทันทีที่ออกตัวเป็นพฤติกรรมที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการสึก หรือของเครื่องยนต์ และเกียร์ เพราะทุกครั้งที่เราเหยียบคันเร่งจนมิดทำให้เชื้อเพลิงถูกฉีกเข้าไปในห้องเครื่องมากกว่าการเหยียบคันเร่งแบบไล่ระดับ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดมลพิษมากขึ้นโดยเฉพาะในรถเครื่องยนต์ดีเซล ก่อให้เกิดควันดำมากกว่าช่วงเหยียบคันเร่งปกติ ดังนั้นช่วงออกตัวค่อย ๆ เหยียบคันเร่งอย่างนุ่มนวล รอรอบเครื่องให้คงที่ตามลำดับดีที่สุด
2. ขับรถด้วยความเร็วคงที่
การขับรถด้วยความเร็วคงที่ และสม่ำเสมอ เป็นวิธีประหยัดน้ำมันมีประสิทธิภาพ และเห็นผลมากที่สุด โดยช่วงความเร็วที่แนะนำควรอยู่ระหว่าง 80 – 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าเป็นความเร็วที่เครื่องยนต์เผาผลาญเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากนี้การใช้เกียร์ให้สอดคล้องกับความเร็วก็ช่วยได้เช่นกัน ป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เร่งรอบสูงเกินไป ส่วนการขับรถช้า ๆ วิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้ประหยัดน้ำมันแต่อย่างใด เพราะหลักสำคัญของข้อนี้คือความเร็วที่สม่ำเสมอ และคงที่ตลอดระยะทาง
3. ไม่เบรกรถกะทันหัน
การเบรกกะทันหันบ่อย ๆ เป็นเหตุที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันไม่แพ้การขับรถเร็ว เพราะทุกครั้งที่เราต้องเบรกแบบทันทีทันใดจะทำให้ความลดลงอย่างมาก เมื่อขับต่อจะต้องเร่งความเร็ว กว่าจะได้ระดับที่เร็วเท่าเดิมก็ทำให้เสียเชื้องเพลิงไปพอสมควร ดังนั้นควรขับอย่างระมัดระวังคอยสังเกตความเร็วจากรถคันข้าง ๆ หรือประเมินจากสถานการณ์โดยรอบเพื่อให้เราขับขี่ได้อย่างเหมาะสม
4. ใส่เกียร์ว่างตอนรถติด
การใส่เกียร์ว่างตอนรถติด ช่วยลดการจ่ายน้ำมันเข้าเครื่องยนต์มากกว่าการเข้าเกียร์ D แล้วเหยียบเบรก วิธีนี้เห็นผลจริงตอนช่วงที่รถติดหนักจนขยับไม่ได้ แถมยังช่วยลดความเมื่อยเท้าจากการเหยียบเบรกนาน ๆ อีกด้วย แต่ไม่แนะนำให้เข้าเกียร์ P เพราะจะทำให้เกียร์สึกหรอมากกว่าการเปลี่ยนเกียร์ว่างมาเป็นเกียร์ D
5. เช็กลมยางสม่ำเสมอ
การเติมให้เหมาะสมกับประเภทรถ ช่วยลดอัตราการกินน้ำมันได้จากการยึดเกาะถนนที่ดี กลับกันหากลมยางอ่อนเกินไปก็จะทำให้เราต้องเค้นแรงมากกว่าเดิน ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น ในขณะที่ลมยางแข็งเกินมากตรฐานก็ส่งผลให้ยึดเกาะถนนได้ไม่ดีเช่นกัน โดยลมยางที่เหมาะสมกับประเภทรถยนต์มีดังนี้
- รถเก๋งขนาดเล็ก ควรเติมลมยางประมาณ 25 – 30 PSI
 - รถเก๋งขนาดกลาง และ SUV ควรเติมลมยางประมาณ 30 – 35 PSI
 - รถกระบะใช้งานทั่วไป ควรเติมลมยางประมาณ 35 – 40 PSI
 

6. เปิดแอร์อุณหภูมิที่เหมาะสม
การเปิดแอร์ให้เย็นพอดี ช่วยลดภาระการทำงานของคอมเพรสเซอร์ และไม่กินแรงเครื่องยนต์ สามารถช่วยลดการใช้น้ำมันได้มากกว่า 10 – 20% เลยทีเดียว และถ้าให้ดีควรหมั่นเช็กระบบแอร์เป็นประจำ เพื่อให้คอมเพรสเซอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. เช็กเครื่องยนต์สม่ำเสมอ
เพราะเครื่องยนต์เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนรถยนต์ จึงควรดูแลอย่างสม่ำเสมอ ซ่อม หรือเปลี่ยนอะไหล่ที่สำคัญตามระยะที่กำหนด เป็นวิธีที่ช่วยถนอมเครื่องยนต็ได้เป็นอย่างดี โดยสิ่งที่ควรตรวจเช็กบ่อย คือ ระบบการจุดระเบิด สภาพหัวเทียนที่พร้อมใช้งาน ไส้กรอกอากาศไม่ตัน และระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานได้เต็มระบบก็จะใช้เชื้อเพลิงได้อย่างเหมาะสม
8. ขนสัมภาระเท่าที่จำเป็น
การขนสัมภาระที่มากเกินความจำเป็น ทำให้เครื่องยนต์ต้องรับภาระมากขึ้นกว่าเดิม และนั่นทำให้เราต้องเหยียบคันเร่งมากขึ้นตามไปด้วย ถ้าให้ดีควรขนสัมภาระเท่าที่จำเป็น หากต้องขนของครั้งละจำนวนมาก ๆ ควรจัดวางสิ่งของให้มีความสมดุล ไม่วางให้หนักไปทางด้านใดด้านหนึ่ง และควรใช้ความเร็วไม่มากประมาณ 80 – 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยประหยัดน้ำมันได้เป็นอย่างดี
9. ดับเครื่องเมื่อจอดรถ
รู้หรือไม่ว่าการจอดติดเครื่องนาน 5 นาที ทำให้เราสูญเสียน้ำมันไปประมาณ 100 cc. หากจอดติดเครื่องเฉย ๆ นานกว่านั้นก็จะสิ้นเปลืองน้ำมันไปเรื่อย ๆ ดังนั้นหากรู้ตัวว่าต้องจอดนานเกิน 5 นาที แนะนำให้ดับเครื่องดีกว่า ประหยัดทั้งน้ำมัน และลดมลพิษในอากาศ
10. ถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนด
น้ำมันเครื่อง คือของเหลวสำคัญที่ช่วยหล่อลื่นเครื่องยนต์ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่ทางผู้ผลิตรถยนต์กำหนดให้เปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 5,000 – 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน ซึ่งมีส่วนช่วยให้เครื่องยนต์เผาไหม้ได้สมบูรณ์ที่สุด เกิดคราบเขม่าน้ำ หากพบว่าน้ำมันเครื่องปริมาณลดลง หรือสีเปลี่ยนก่อนกำหนด แนะนำให้เช็กอาการโดยช่างผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด

สรุปเกี่ยวกับวิธีประหยัดน้ำมันรถยนต์
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 10 วิธีประหยัดน้ำมันรถยนต์ที่นำเสนอไปในวันนี้ หากมองภาพรวมทั้งหมดจะพบว่าส่วนใหญ่ล้วนมากจาพฤติกรรมการใช้รถทั้งสิ้น เพราะการทำงานของเครื่องยนต์นั้นขึ้นอยู่กับวิธีใช้งานของผู้ขับขี่ หากใช้ความเร็วที่เหมาะสมขับขี่อย่างระมัดระวัง และหมั่นดูแลรักษาเป็นประจำ ก็จะทำให้รถยนต์คันโปรดของคุณไม่สิ้นเปลืองน้ำมันอย่างแน่นอน และสุดท้ายใครกำลังมองหารถบ้านมือสองประหยัดน้ำมัน เข้ามาชมได้ที่ TOYOTA SURE มาให้เลือกมากมายทั้งอีโคคาร์สุดประหยัด รถเก๋งไซซ์กลาง หรือกระบะสุดแกร่งก้มีเช่นกัน รับประกันคุณภาพโดยโตโยต้า ประเทศไทย
เลือกรถไฮบริดให้เหมาะกับคุณ รุ่นไหนดีสุดในปี 2025?
Share :

ปัจจุบันกระแสรถยนต์พลังงานทางเลือกเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะรถไฮบริด (Hybrid) ที่ได้รับความนิยมในไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นทั้งในเรื่องความประหยัด การขับขี่ที่นุ่มนวล และยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับคนที่อยากเริ่มต้นกับรถ hybrid แต่ไม่แน่ใจว่าจะเลือกรุ่นไหนดี บทความนี้จะช่วยคุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
10 รุ่นรถไฮบริด (Hybrid) รุ่นไหนดี ประหยัดน้ำมัน 2025
1. Toyota Corolla Altis Hybrid
ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและค่าบำรุงรักษาที่ไม่สูง รุ่นนี้มาพร้อมกับระบบรถไฮบริด ที่ปรับปรุงใหม่ ช่วยให้สามารถขับขี่ในเมืองได้อย่างคล่องตัว และยังมีอัตราการประหยัดน้ำมัน สูงสุดถึง 23 กม./ลิตร เหมาะสำหรับคนที่ต้องการรถใช้งานในชีวิตประจำวันแบบคุ้มค่า ทั้งด้านราคาและค่าซ่อมบำรุง

2. Honda Accord e:HEV
รถไฮบริดซีดานหรูที่มาพร้อมขุมพลังไฮบริดแบบ 2 มอเตอร์ ให้แรงบิดดี ขับสนุกและเงียบกว่าที่เคย เป็นอีกรุ่นที่เหมาะกับคนต้องการรถครอบครัวที่แรงดีและประหยัดพลังงาน ดีไซน์ภายนอกดูพรีเมียม ภายในกว้างขวาง พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย Honda Sensing ครบชุด

3. Toyota Camry Hybrid
สายพรีเมียมที่ยังคงเน้นเรื่องสมรรถนะ พร้อมความประหยัดน้ำมัน รุ่นนี้ใช้ระบบรถไฮบริด เจเนอเรชันล่าสุด ทำให้สามารถขับทางไกลได้อย่างมั่นใจ มาพร้อมช่วงล่างแน่นหนึบ ขับขี่นุ่มนวล และมีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกครบถ้วน ทั้งสำหรับผู้ขับและผู้โดยสาร

4. Nissan Kicks e-POWER
แม้ระบบ e-POWER ของรถคันนี้จะไม่เหมือนกับไฮบริดทั่วไป แต่ก็ให้ประสบการณ์ขับขี่ที่ใกล้เคียงกับรถไฟฟ้าล้วน พร้อมความสะดวกในการเติมน้ำมัน จุดเด่นอยู่ที่การประหยัดพลังงานมากกว่ารถ SUV ในระดับเดียวกัน เหมาะสำหรับผู้ที่อยากสัมผัสความเป็นรถไฟฟ้าโดยไม่ต้องพึ่งสถานีชาร์จ และยังมอบประสบการณ์ขับขี่ที่สนุกสนานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแรงบิดสูง

5. Honda City e:HEV
รถไฮบริดขนาดเล็กที่โดดเด่นด้านราคา และความคุ้มค่า ด้วยอัตราการประหยัดน้ำมัน สูงถึง 27 กม./ลิตร เหมาะกับผู้ที่มองหารถไฮบริดคันแรก ขนาดกะทัดรัดแต่ให้ฟีลลิ่งขับขี่คล่องตัว เหมาะทั้งในเมืองและทางไกล มาพร้อมระบบความปลอดภัย Honda Sensing และหน้าจออินโฟเทนเมนต์ครบครัน

6. Toyota Yaris Ativ Hybrid (คาดเปิดตัว 2025)
เป็นอีกรุ่นที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2025 เหมาะกับคนเมืองที่ต้องการรถขนาดเล็ก สมรรถนะดี และปลอดภัยในราคาจับต้องได้ คาดว่าจะใช้เทคโนโลยีรถ hybrid ล่าสุดจาก Toyota พร้อมระบบขับเคลื่อนที่รองรับการใช้งานจริง และมีอุปกรณ์มาตรฐานมากขึ้นกว่าเดิม
7. Lexus ES 300h
สำหรับสายหรูที่ต้องการทั้งความสบายและภาพลักษณ์ระดับพรีเมียม รุ่นนี้โดดเด่นเรื่องการเก็บเสียง ระบบความปลอดภัยขั้นสูง และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ยังมาพร้อมวัสดุภายในระดับหรูหรา และระบบช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวล เหมาะทั้งขับเองและโดยสาร

8. Mitsubishi Outlander PHEV
แม้จะเป็นปลั๊กอินไฮบริด แต่ก็ยังใช้หลักการผสมผสานพลังงานไฟฟ้าและน้ำมันได้ลงตัว เหมาะสำหรับผู้ต้องการขับไฟฟ้าระยะใกล้ และยังมีเครื่องยนต์ช่วยเวลาเดินทางไกล จุดเด่นคือสามารถชาร์จที่บ้านได้ รองรับโหมด EV ล้วน และให้พลังในการขับที่มากกว่าระบบไฮบริดทั่วไป

9. Hyundai Tucson Hybrid
SUV สไตล์ยุโรป ที่เน้นความทันสมัยและออปชันครบครัน ขับขี่นุ่มนวลและ ประหยัดพลังงาน ด้วยระบบไฮบริดแบบ Full Hybrid ดีไซน์โฉบเฉี่ยว ภายในหรู พร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ รองรับการเชื่อมต่อและระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความลงตัวทุกด้าน

10. MG HS PHEV
ราคาไม่แรง แต่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี เหมาะกับคนที่อยากลองใช้รถไฮบริดเป็นครั้งแรก และต้องการออปชันแบบจัดเต็มในราคาที่เป็นมิตร แบตเตอรี่สามารถชาร์จไฟได้เองขณะขับหรือเสียบปลั๊กที่บ้านได้ มีโหมด EV ให้เลือกใช้ และยังโดดเด่นเรื่องความกว้างของห้องโดยสารอีกด้วย

ทำไมรถไฮบริดถึงประหยัดน้ำมัน
หัวใจหลักของระบบรถไฮบริด คือการผสมผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินและมอเตอร์ไฟฟ้า โดยรถจะเลือกใช้พลังงานที่เหมาะสมตามสถานการณ์ เช่น ใช้ไฟฟ้าตอนรถติด ใช้น้ำมันตอนเร่งแซง ช่วยลดภาระของเครื่องยนต์และทำให้ประหยัดพลังงานมากกว่ารถเครื่องยนต์ล้วน
ยิ่งในสภาพการจราจรในเมืองที่มีการหยุด–เคลื่อนตลอดเวลารถ hybrid จะใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้ามากขึ้น ส่งผลให้สิ้นเปลืองน้ำมันน้อยกว่ารถทั่วไปอย่างชัดเจน อีกทั้งยังช่วยลดมลภาวะทางเสียงและไอเสียได้ในระยะยาวด้วย
รถไฮบริดควรเลือกทำประกันรถยนต์แบบไหน
การเลือกประกันให้เหมาะสมกับรถไฮบริด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเพราะรถไฮบริดมีระบบเฉพาะทาง เช่น แบตเตอรี่แรงดันสูง หรือระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูงกว่าปกติ
	    	
		    
