• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N1712151 สนองความต องการต วเองจนทำให คนอ นเด อดร อน part 2

admin79 by admin79
December 19, 2025
in Uncategorized
0
N1712151 สนองความต องการต วเองจนทำให คนอ นเด อดร อน part 2

ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇

รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อสมรรถนะสูงที่สุดแห่งปี 2025 – ดาวเด่นผู้เปลี่ยนนิยามการขับขี่

ในโลกที่ความแรงและเทคโนโลยีพุ่งทะยานไม่หยุดยั้ง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (All-Wheel Drive หรือ AWD) ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ไปไกลกว่าแค่การลุยทางทุรกันดารอย่างสิ้นเชิง ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการรถยนต์สมรรถนะสูงมานานกว่าทศวรรษ ผมกล้ายืนยันว่าในปี 2025 นี้ รถยนต์ 4×4 ระดับไฮเอนด์ได้พิสูจน์แล้วว่ามันคือหัวใจสำคัญที่ช่วยปลดปล่อยศักยภาพอันมหาศาลบนผืนถนนแอสฟัลต์ ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ไปอีกขั้น

ย้อนกลับไปในยุค 80s การปรากฏตัวของ Audi Quattro พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออันชาญฉลาด ได้สั่นสะเทือนวงการ World Rally Championship และพลิกโฉมหน้าของรถยนต์สมรรถนะสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่นั้นมา แบรนด์ยักษ์ใหญ่มากมายต่างกระโดดเข้าสู่สังเวียนนี้ ไม่ว่าจะเป็น Porsche ที่นำระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมาใช้กับ 911 และซูเปอร์คาร์อย่าง 959, Nissan กับตำนาน Skyline GT-R ไปจนถึง Mitsubishi, Subaru, Lancia, Toyota และ Ford ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งแรลลี่สู่รถถนนสมรรถนะสูงของตนเอง กว่าสี่ทศวรรษนับจากวันแรกของ Quattro ตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงก็เต็มไปด้วยยนตรกรรมที่ส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ในรูปแบบที่หลากหลาย และรถ 4×4 ชั้นเลิศยังคงเป็นสิ่งที่ยากจะหาคู่ต่อกร

ในยุคปัจจุบันที่แรงม้าทะลุหลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพื่อช่วยในการยึดเกาะถนนในสภาพพื้นผิวที่แตกต่างกัน แต่เพื่อเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมพละกำลังมหาศาลและจัดการกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากแบตเตอรี่และระบบไฮบริดในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ รถแฮทช์แบ็คร้อนแรง (Hot Hatchback) อย่าง Audi RS3 มีกำลังเกือบ 400 แรงม้า ขณะที่ซูเปอร์ SUV (Super SUV) อย่าง Range Rover Sport SV มีเกิน 600 แรงม้า และซูเปอร์คาร์ (Supercar) ระดับท็อปอย่าง Lamborghini Revuelto นั้นมีพละกำลังทะลุ 1000 แรงม้าอย่างน่าตกตะลึง

ด้วยวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในปี 2025 จึงมาในรูปแบบที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพเหนือชั้นกว่าที่เคย บางรุ่นที่เป็นไฮบริดอาจไม่ได้เชื่อมต่อเครื่องยนต์เบนซินกับล้อหน้าโดยตรง แต่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนล้อหน้าแทน ขณะที่ระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะและชุดเฟืองท้าย (Differential Hardware) ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ทำให้รถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการขับขี่อย่างไม่น่าเชื่อ จากประสบการณ์การทดสอบอย่างเข้มข้นทั้งบนถนนและสนามแข่ง ผมยืนยันได้ว่า 4×4 ไม่ได้มีไว้แค่ลุยโคลนหรือทำให้ Porsche 911 ขับง่ายขึ้นอีกต่อไป แต่มันคือการเพิ่มขีดความสามารถอันน่าทึ่งให้กับรถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่ ให้สามารถตอบสนองการขับขี่ได้หลากหลายและเหนือกว่าจินตนาการ

และนี่คือสุดยอดรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อสมรรถนะสูงแห่งปี 2025 ที่ผมคัดสรรมานำเสนอ โดยไม่มีลำดับการจัดเรียงใดๆ เป็นพิเศษ เพราะแต่ละคันล้วนมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ยากจะหาใครเทียบเคียงได้

Ferrari Purosangue

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 13.5 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

คำถามที่ว่านี่คือรถ SUV คันแรกของ Ferrari หรือรถสปอร์ต 4 ประตู 4 ที่นั่งของ Ferrari อย่างแท้จริง ได้ถูกตอบอย่างชัดเจนเมื่อได้สัมผัส Purosangue ด้วยตัวเอง ในฐานะที่อยู่ในวงการมานาน ผมกล้ายืนยันว่านี่คือผลงานชิ้นเอกที่ผสมผสานความขัดแย้งได้อย่างลงตัว มันอาจดูขัดกับธรรมเนียมของม้าลำพองในอดีต แต่ Purosangue ได้สร้างนิยามใหม่ของยนตรกรรมอิตาเลียนชั้นเลิศ

หัวใจหลักของ Purosangue คือเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่ไร้ระบบอัดอากาศอันเป็นเอกลักษณ์ ให้พละกำลัง 715 แรงม้า และแรงบิด 716 นิวตันเมตร สามารถลากรอบได้สูงถึง 8250 รอบต่อนาที แม้จะมีน้ำหนักตัวกว่า 2 ตัน แต่ก็สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.3 วินาทีเท่านั้น เสียงคำรามจากเครื่องยนต์ V12 นั้นเป็นอะไรที่ตราตรึงใจอย่างยิ่ง มันเงียบสงบเมื่อแล่นด้วยความเร็วคงที่ แต่จะแผดเสียงกึกก้องเร้าใจเมื่อคุณปลดปล่อยพลังทั้งหมด นี่คือรถที่สามารถเป็นทั้ง Grand Tourer หรูหราสำหรับการเดินทางไกลที่นุ่มนวล และกลายเป็นรถสปอร์ตสุดดุดันที่พร้อมทะยานไปบนถนนคดเคี้ยวได้อย่างคล่องแคล่วในพริบตาเดียว

Purosangue คือผลลัพธ์ของวิศวกรรมที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะระบบช่วงล่าง Multimatic Damper ที่ล้ำสมัยจนต้องมีระบบระบายความร้อนแยกต่างหาก ระบบนี้ช่วยให้รถควบคุมมวลน้ำหนักได้อย่างน่าทึ่ง ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติอย่างเหลือเชื่อเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมประทับใจกับความสามารถในการควบคุมมวลขนาดใหญ่ การส่งถ่ายพละกำลัง และการตอบสนองต่อถนนที่ท้าทายได้อย่างแม่นยำ ด้วยพวงมาลัยที่คมกริบ การเปลี่ยนทิศทางที่ว่องไว ผสานกับความยืดหยุ่นของช่วงล่างระดับถัดไป มันคือ Ferrari ที่ไม่เหมือน Ferrari คันไหนที่ผมเคยขับมาเลย

ข้อดี: ขุมพลัง V12 อันยอดเยี่ยม, สมรรถนะการขับขี่ที่น่าประทับใจ, เสียงเครื่องยนต์สุดเร้าใจ

ข้อเสีย: อินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่ค่อนข้างซับซ้อน, น้ำหนักตัวที่มาก

คู่แข่ง: แม้จะไม่มีคู่แข่งโดยตรงสำหรับ SUV เครื่องยนต์ V12 แต่ Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในกลุ่ม Super SUV สมรรถนะสูง

BMW M4 CS

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 5.3 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

BMW M4 CS คือการรวมตัวกันของส่วนผสมที่ลงตัวเพื่อสร้างรถยนต์ที่อาจถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ มันมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียงเทอร์โบคู่ ให้กำลัง 542 แรงม้า และแรงบิด 650 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ 8 สปีดที่ทำงานได้อย่างราบรื่น และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive ที่เน้นการส่งกำลังไปที่ล้อหลัง ให้ความรู้สึกเป็นกลางและยึดเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม บนถนนที่เหมาะสมและในสภาพอากาศที่ลงตัว มันคือรถที่ระเบิดความเร็วได้อย่างน่าสะพรึงกลัว

M4 CS คือการผสานรวมจุดเด่นของ M4 Competition และ M4 CSL โดยใช้เครื่องยนต์ที่ปรับจูนใหม่จาก CSL และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจาก Competition ทำให้มันเหนือกว่า CSL ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งอาจจะมีความดุดันเกินไปในบางสถานการณ์ M4 CS ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความดุดัน แต่ก็ต้องการยาง Cup 2 R ที่มีอุณหภูมิเหมาะสมเพื่อปลดปล่อยสมรรถนะสูงสุด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักขับมืออาชีพจะเข้าใจดี

เมื่อถึงจุดที่เหมาะสม M4 CS ก็สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ด้วยส่วนหน้าของรถที่ต้านทานอาการอันเดอร์สเตียร์ได้ดีเยี่ยมและให้การยึดเกาะที่สูง ระบบ M-tuned xDrive ช่วยให้คุณดึงประสิทธิภาพสูงสุดจากรถคันนี้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ แม้ว่าจะเป็นรถที่สมดุลดีเยี่ยม แต่ก็ยังต้องการสภาพถนนและอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อโชว์ฟอร์มได้เต็มที่ แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในยุคปัจจุบันมีความหลากหลายและไม่จำเป็นต้องทำให้รถสูญเสียความรู้สึกในการขับขี่ไปเลย

ข้อดี: ความเร็วที่ดุดันพร้อมช่วงล่างที่เข้าคู่กัน, ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive ที่ชาญฉลาด

ข้อเสีย: ต้องการออปชั่นเสริมราคาแพงเพื่อดึงศักยภาพสูงสุด, ยางต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสม

คู่แข่ง: คู่แข่งของ BMW M4 CS มีไม่มากนัก แต่ถ้าคุณไม่ได้ต้องการความอเนกประสงค์แบบ BMW มากนัก Porsche 911 GTS รุ่นใหม่ก็เป็นอีกทางเลือกที่เน้นการขับขี่มากกว่า

Land Rover Defender Octa

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 6.2 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

Land Rover คือสัญลักษณ์ของการขับเคลื่อน 4 ล้อในโลกออฟโรดมาโดยตลอด และแม้ว่าไลน์ผลิตภัณฑ์ปัจจุบันจะก้าวเข้าสู่ตลาดรถหรูมากขึ้น แต่ก็ยังคงรักษาความสามารถในการลุยทางสมบุกสมบันได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งหลักการนี้ยิ่งเด่นชัดใน Defender Octa ที่ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้นทั้งบนและนอกถนน

ภายใต้ฝากระโปรงคือเครื่องยนต์ V8 ที่ส่งตรงจาก BMW M ให้พละกำลัง 626 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาทีเมื่อใช้โหมด Launch Control ตัวรถมีความกว้างขึ้นเพื่อรองรับปีกนกที่ยาวขึ้น และมีความสูงที่เพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มระยะห่างจากพื้นสำหรับการขับขี่ออฟโรด สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือระบบช่วงล่าง 6D ซึ่งเป็นระบบไฮดรอลิกที่เชื่อมโยงกันพร้อมแดมเปอร์กึ่งแอคทีฟแบบแปรผันต่อเนื่อง แม้จะไม่ใช่ระบบที่ให้การสื่อสารแบบรถสปอร์ตดั้งเดิม แต่ Octa ให้ความรู้สึกแน่นหนา ตอบสนองได้ดีเยี่ยม และเร้าใจในการขับขี่บนถนนยิ่งกว่า Super SUV สมรรถนะสูงชั้นนำบางคันเสียอีก

สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือความสามารถบนถนนที่เพิ่งค้นพบใหม่นี้ยังคงรักษาประสิทธิภาพเมื่อคุณเลี้ยวออกจากถนนลาดยาง ไม่ว่าพื้นผิวจะเป็นแบบไหน Octa ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างราวกับอยู่บนสนาม Dakar Special Stage แต่ในขณะเดียวกัน ผู้โดยสารก็ยังคงได้รับความสบายในการขับขี่และการควบคุมที่เหนือกว่า Defender รุ่นมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด นี่คือรถยนต์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการไปได้ทุกที่อย่างแท้จริง

ข้อดี: คุณสมบัติการขับขี่แบบสปอร์ตคาร์, ความสามารถในการลุยที่เหนือชั้น

ข้อเสีย: ราคาแพง, สถานที่ที่จะสำรวจศักยภาพเต็มที่อาจหายากในเมืองไทย

คู่แข่ง: แม้ตลาด Super SUV จะกว้างขวาง แต่ไม่มีใครเทียบเท่า Defender Octa ได้โดยตรงในฐานะรถ Trophy Truck สำหรับถนน หากต้องการความสามารถออฟโรดที่ใกล้เคียง อาจมีเพียง Ford Ranger Raptor เท่านั้น แต่ขาดความสามารถบนถนนที่โดดเด่นของ Defender ส่วนในตลาดรถบรรทุกหรู Mercedes-AMG G63 คือคู่แข่งที่ชัดเจน

Toyota GR Yaris

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 2.1 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

ในอดีต รถยนต์ homologation special เคยเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ปัจจุบันแทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว นี่คือสิ่งที่ทำให้การเปิดตัวของ GR Yaris เป็นเรื่องที่น่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง ใช่แล้ว นี่คือรถยนต์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากความปรารถนาในการแข่งขัน และมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งในรุ่น Gen 1 และ Gen 2 มันคือรถที่ขับสนุกอย่างบ้าระห่ำ

GR Yaris (Gen 2) ในปัจจุบันได้เพิ่มฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ เข้าไปมากมาย และได้พิสูจน์ตัวเองอย่างน่าชื่นชมในการทดสอบ eCoty 2024 โดยสื่อต่างชาติยกย่องว่า “ผมชอบคุณภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมของ Yaris ซึ่งเมื่อรวมกับขนาดที่กะทัดรัด ความคล่องตัวที่น่าทึ่ง และพละกำลังอันมหาศาลจากเครื่องยนต์ 3 สูบ ทำให้มันเป็นรถที่สนุกสุดเหวี่ยง และมันยังโดดเด่นเป็นพิเศษในสภาพถนนเปียกอีกด้วย” ความสามารถในสภาพถนนเปียกส่วนหนึ่งมาจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ GR-Four อันชาญฉลาด ซึ่งมีโหมดการกระจายแรงบิดหน้า-หลัง 3 ระดับ ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างร้ายกาจ

เครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร อาจฟังดูไม่น่าตื่นเต้นที่สุด แต่ด้วยกำลัง 276 แรงม้า และแรงบิด 360 นิวตันเมตร ก็มีพละกำลังมากพอที่จะขับเคลื่อน GR Yaris ที่มีน้ำหนัก 1280 กก. ให้พุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 5.2 วินาที GR Yaris คือรถแฮทช์แบ็คร้อนแรงที่คุณจะต้องขับแบบสุดเหวี่ยงตลอดเวลา พร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า มันยังเป็นรถที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย และดูเท่มากถ้าคุณรู้ว่าคุณกำลังมองอะไรอยู่

ข้อดี: ความเร็วบนถนนชนบทที่น่าทึ่ง, จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน, เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง

ข้อเสีย: ราคาแพง, หายาก, ไม่ได้เน้นความขี้เล่นมากนัก

คู่แข่ง: ด้วยธรรมชาติของการเป็นรถแรลลี่บนถนน ทำให้ Toyota GR Yaris ไม่มีคู่แข่งโดยตรงในตลาด แต่ Super Hatch ที่ขับเคลื่อน 4 ล้อจากเยอรมนีอย่าง Audi RS3 และ Mercedes-AMG A45 S เป็นทางเลือกที่ใกล้เคียง

Bentley Continental GT Speed

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 10.2 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

Bentley Continental GT Speed ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคูเป้หรือ GTC แบบเปิดประทุน ล้วนเป็นบทพิสูจน์ที่ท้าทายกฎฟิสิกส์ Bentley ไม่เคยมีชื่อเสียงเรื่องน้ำหนักเบา และด้วยระบบส่งกำลังไฮบริด ทำให้รุ่น GT Speed มีน้ำหนักถึง 2459 กก. ในรุ่นคูเป้ และ 2636 กก. ในรุ่น GTC แต่ทั้งสองรุ่นก็ยังคงเป็นรถที่น่าหลงใหลอย่างที่สุด

GT Speed คือ Bentley ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ให้กำลัง 771 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบชาร์จ และมอเตอร์ไฟฟ้า 140kW พร้อมแรงบิดมหาศาลถึง 1000 นิวตันเมตร แม้จะมีน้ำหนักมาก แต่ก็ยังให้ความรู้สึกรวดเร็วทุกครั้งที่คุณเหยียบคันเร่งเต็มที่ การเปลี่ยนผ่านระหว่างการล่องลอยด้วยพลังงานแบตเตอรี่และการปลุกเครื่องยนต์ V8 นั้นราบรื่นและละเอียดอ่อน มันมาพร้อมระบบ Bentley Dynamic Ride พร้อมเหล็กกันโคลงแอคทีฟ 48V และซอฟต์แวร์สำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแอคทีฟ และเฟืองท้ายไฟฟ้าด้านหลังได้รับการปรับจูนใหม่สำหรับ Continental รุ่นล่าสุดนี้

มันสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยพลังงานไฟฟ้าได้อย่างเงียบสงบ แต่เมื่อรวมกับ V8 มันก็สามารถแกล้งทำเป็นรถสปอร์ตได้อย่างยอดเยี่ยมแม้ในทางคดเคี้ยว พวงมาลัยค่อนข้างเบาแต่ตอบสนองได้โดยตรง และแม้ว่าจะไม่ใช่ระบบที่ให้ความรู้สึกมากที่สุด แต่คุณก็ยังรู้ว่ายางหน้ากำลังทำอะไรอยู่ด้วยการยึดเกาะและการตอบสนองจากแชสซีที่ช่วยให้คุณรับรู้ถึงขีดจำกัดของมัน ในฐานะรถ GT ที่สมบูรณ์แบบพร้อมคุณสมบัติแบบสปอร์ต มันมีคู่แข่งน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย

ข้อดี: ระบบส่งกำลังไฮบริดใหม่ที่เข้ากับคาแรคเตอร์ของ GT ได้อย่างลงตัว, ความหรูหราที่เหนือกว่า

ข้อเสีย: ทำให้รถที่หนักอยู่แล้วมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก

คู่แข่ง: Bentley Continental GT Speed ผสมผสานความโอ่อ่าที่ไม่มีใครเทียบกับสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม คู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Aston Martin DB12 และ Maserati GranTurismo ซึ่งให้ความรู้สึกแบบสปอร์ตมากกว่า แต่ Bentley คือรถที่สมบูรณ์แบบกว่าสำหรับการเดินทางไกล

Mercedes-AMG GT 63

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 7.3 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

ต้องยอมรับว่า Mercedes-AMG อาจจะไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดกับรถยนต์บางรุ่นที่ผ่านมา แต่กับการกลับมาของ GT 63 รุ่นใหม่นี้ พวกเขาได้กลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ด้วยเบาะหลังแบบ 2+2 ที่นั่ง และพื้นที่เก็บสัมภาระที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มันใช้งานได้จริงมากขึ้น พร้อมกับสมรรถนะที่ทรงพลังและน่าเร้าใจยิ่งขึ้น แม้จะมีชื่อ GT แต่ AMG เชื่อว่ามันคือรถสปอร์ตที่แท้จริง

มันมีพละกำลังที่จำเป็นด้วยเครื่องยนต์ V8 รหัส M177 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้กำลัง 577 แรงม้า และแรงบิด 800 นิวตันเมตร ซึ่งทำให้ GT 63 สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม. แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจและน่าตื่นเต้นคือช่วงล่างของ GT สร้างขึ้นบนโครงอลูมิเนียมสเปซเฟรมใหม่ทั้งหมด โดยมีการผสมผสานเหล็ก แมกนีเซียม และคอมโพสิต ทำให้มีความแข็งแกร่งในการบิดตัว แนวขวาง และแนวยาวอย่างมีนัยสำคัญ

ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบมัลติลิงก์อลูมิเนียมฟอร์จประกอบด้วยแดมเปอร์แอคทีฟที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบไฮดรอลิกทั่วทั้งแชสซี ระบบเหล็กกันโคลงแอคทีฟ ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง เฟืองท้ายหลังแบบลิมิเต็ดสลิปควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic+ ที่สามารถส่งแรงบิดได้สูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์ไปยังเพลาหน้า ในโหมด Comfort และ Sport มันคือรถ GT แต่เมื่อเพิ่มระดับเป็น Sport+ หรือ Race ก็จะเผยคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือรถสปอร์ตที่น่าดึงดูดใจ เต็มไปด้วยบุคลิก และแม่นยำ

ข้อดี: ขับขี่ได้คมกริบ, เป็นรถ GT ที่ใช้งานได้จริงและน่าเร้าใจ

ข้อเสีย: เสียงเครื่องยนต์ V8 อาจจะเงียบลงไปบ้าง, ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังและ eLSD อาจต้องใช้เวลาปรับตัว

คู่แข่ง: Mercedes-AMG GT 63 คือรถที่ทำได้หลายอย่าง สามารถเป็นรถสปอร์ตได้เกือบเทียบเท่า Porsche 911 GTS หรือ Aston Martin Vantage แต่มีคุณสมบัติแบบ Grand Touring เพิ่มเข้ามา

BMW M5

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 4.8 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

น้ำหนักที่มากเกินควรของ M5 ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางก่อนการเปิดตัว ซึ่งแทบจะเป็นสิ่งเดียวที่ถูกพูดถึงเกี่ยวกับรถคันนี้ แน่นอนว่ามันได้เปลี่ยนเป็นระบบไฮบริด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 500 กก. เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ สิ่งนี้สร้างความตื่นตระหนกไม่น้อยในหมู่สาวก BMW M แต่ถึงกระนั้น หากเราต้องการให้ตัวเลือกของ Supersaloon ยังคงอยู่ เราก็ต้องทำความคุ้นเคยกับรถไฮบริดที่มีน้ำหนักมากเช่นนี้

และเมื่อคุณได้อยู่หลังพวงมาลัยและคุ้นเคยกับ M5 อย่างแท้จริง ก็จะเห็นได้ว่าการเพิ่มพลังงานไฟฟ้าเข้าไปนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป แม้จะมีพละกำลังถึง 717 แรงม้า M5 มีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่แย่กว่ารุ่น V8 ที่ไม่ใช่ไฮบริดก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่มันก็ยังสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 305 กม./ชม. หากติดตั้งแพ็คเกจ M Driver’s

แต่ไม่ใช่ความเร็วสูงสุดที่น่าประทับใจเท่าไรนัก แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า M5 สามารถ “หดตัว” รอบตัวคุณได้จริง ทำให้รู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าที่ตัวเลขระบุไว้อย่างมาก มีโหมดการขับขี่ให้เลือกไม่รู้จบสำหรับไดนามิกส์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย, แดมปิ้ง, แผนที่การเปลี่ยนเกียร์, การกู้คืนพลังงาน, แผนที่ระบบส่งกำลัง และแม้แต่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ M5 ยังสามารถสลับระหว่างโหมด 4WD, โหมด 4WD Sport ที่เน้นการส่งกำลังไปที่ล้อหลังมากขึ้น และโหมดขับเคลื่อนล้อหลังล้วนๆ และในโหมด 4WD Sport มันจะสนุกสนานอย่างแท้จริง ปลอมแปลงมวลของมันด้วยความคล่องตัวที่คาดไม่ถึง

ข้อดี: รวดเร็วอย่างมหาศาล, มีความสามารถที่เหนือชั้น

ข้อเสีย: ขนาดใหญ่, น้ำหนักค่อนข้างมาก

คู่แข่ง: BMW M5 มีคู่แข่งอย่าง Panamera Turbo E-Hybrid แต่ถ้าคุณต้องการกำลังที่ไม่ใช่ไฮบริด Audi RS7 คือตัวเลือกเดียวในปัจจุบัน และสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ Porsche Taycan Turbo และ Audi RS E-Tron GT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในแบบของตัวเอง

Range Rover Sport SV

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 7.6 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

Range Rover Sport รุ่นก่อนหน้านี้อาจจะดูหรูหราเกินไปสำหรับบางรสนิยม แต่รุ่นล่าสุดนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดี ห่อหุ้มด้วยรูปลักษณ์ที่ละเอียดอ่อนกว่าเดิม ซึ่งซ่อนขุมพลังที่ทรงประสิทธิภาพไม่แพ้กัน ด้วยเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ขนาด 626 แรงม้า ที่มาจาก BMW M ทำให้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที และจะลดลงอีก 0.2 วินาที หากเลือกแพ็คเกจคาร์บอนพร้อมล้อคาร์บอนและยางที่ยึดเกาะถนนดีกว่า

มันรวดเร็ว แล้ว SUV ขนาด 2.5 ตันคันนี้จะสามารถสร้างความบันเทิงได้เมื่อต้องเข้าโค้งหรือไม่? สั้นๆ เลยคือ “ได้” อย่างแน่นอน มันมีช่วงล่างที่รองรับขุมพลังได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยระบบกันสะเทือนไฮดรอลิกแบบ 6D Cross-linked อันชาญฉลาด ซึ่งคล้ายกับที่พบใน McLaren 750S เพื่อมอบการผสมผสานระหว่างความสบายและการควบคุมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตลาด SUV

แม้จะยังคงมีการโยนตัวในระดับหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถพิงได้ แต่ระบบ 6D จะป้องกันการโยกตัวที่มากเกินไป ซึ่งรถยนต์ประเภทนี้มักมีปัญหาในการควบคุมภายใต้การเข้าโค้งและการเบรกอย่างหนัก ด้วยการเพิ่มระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง ทำให้ SV ให้ความรู้สึกมั่นคงอย่างสมบูรณ์แบบบนสนามแข่ง การเปลี่ยนจากจุดเลี้ยวเข้าสู่จุดเอเป็กและออกจากโค้งด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง ทำให้คุณรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ประทับใจกับความสามารถของรถที่คุณคาดว่าจะเห็นจอดอยู่ในพิท ไม่ใช่กำลังวิ่งเข้าโค้งอย่างเฉียบคม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าของส่วนใหญ่จะไม่กล้าลงสนามแข่ง แต่เป็นเรื่องดีที่รู้ว่า SV ยังคงมีความสามารถเมื่ออยู่นอกเขตความสบายของมัน

ข้อดี: คุณภาพไดนามิกส์ในระดับรถสปอร์ต, ระบบช่วงล่าง 6D ที่ล้ำสมัย

ข้อเสีย: ราคาแพง, เป็นคำตอบสำหรับคำถามที่ไม่มีใครถามจริงๆ

คู่แข่ง: Range Rover Sport SV คือคู่แข่งโดยตรงของ Porsche Cayenne Turbo ซึ่งปัจจุบันมีเฉพาะรุ่น e-Hybrid ทำให้ Range Rover ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเพียงอย่างเดียวมีน้ำหนักเบากว่า Cayenne ในขณะที่ยังคงรักษาความรู้สึกหรูหราแบบ “Range Rover” ที่เป็นเอกลักษณ์เหนือกว่า นอกจากนี้ยังแข่งขันกับ BMW X5M และ Audi RSQ8 แต่ไม่รวมถึง Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE ที่มีราคาแพงกว่า

Audi RS3

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 2.6 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

ก่อนการมาถึงของ Mercedes-AMG A45 S, RS3 เคยเป็นรถแฮทช์แบ็กที่ทรงพลังที่สุดในโลกในช่วงเวลาสั้นๆ และแม้ว่าจะถูกคู่แข่งจากสตุ๊ตการ์ทแซงหน้าไปแล้ว RS3 ก็ยังคงเป็น Hyperhatch ที่น่าเร้าใจอย่างยิ่งและเป็นรถที่ทำได้ดีรอบด้าน มันให้ความรู้สึกละเอียดอ่อนกว่าพี่น้อง RS ขนาดใหญ่ และเมื่อเลือกออปชั่นที่เหมาะสม ก็แทบจะสามารถขับผ่านไปได้โดยไม่สะดุดตา

ด้วยกำลัง 394 แรงม้า มันจึงรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในไม่ถึง 4 วินาที และด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro ทำให้มันสามารถวิ่งไปข้างหน้าได้อย่างมีความสุขไม่ว่าสภาพถนนจะเป็นอย่างไร กุญแจสำคัญที่ทำให้ RS3 รุ่นนี้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดคือ “torque splitter” เฟืองท้ายหลังของ Audi ซึ่งสามารถกระจายแรงบิดไปยังเพลาหลังได้ตามล้อที่ต้องการและสามารถรับแรงได้ แรงบิดของเครื่องยนต์สูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์สามารถส่งไปยังด้านหลังได้ แต่ทั้งหมดนั้นสามารถส่งไปยังล้อหลังเพียงล้อเดียวได้ ไม่ว่าจะเป็นล้อด้านนอกเพื่อลดอาการอันเดอร์สเตียร์ (หรือทำให้รถสไลด์) หรือล้อด้านในเพื่อเพิ่มเสถียรภาพเมื่อจำเป็น

หัวใจของ RS3 คือเครื่องยนต์ 5 สูบเทอร์โบชาร์จอันยอดเยี่ยม ซึ่งน่าประทับใจและเต็มไปด้วยบุคลิก ด้วยเสียงคำรามของเครื่องยนต์ 5 สูบที่แสร้งทำเป็น V8 ของ R8 ได้ในบางสถานการณ์ มันอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกมีส่วนร่วมเท่ากับ GR Yaris หรือ Civic Type R แต่ก็ใกล้เคียงอย่างมาก และเมื่อคุณไม่ได้กำลังเร่งเข้าโค้ง และเพียงต้องการขับขี่ชิลล์ๆ มันก็ให้ความรู้สึกสบายและประณีต

ข้อดี: เครื่องยนต์อันยอดเยี่ยม, ช่วงล่างที่น่าตื่นเต้นและขี้เล่น

ข้อเสีย: ขาดการตอบสนองและความแม่นยำเทียบเท่ารถที่ดีที่สุด

คู่แข่ง: คู่แข่งหลักของ Audi RS3 ในแง่ของราคา, สมรรถนะ และตำแหน่งทางการตลาดคือ Mercedes-AMG A45 S ทั้งสองเป็นรถแฮทช์แบ็กพรีเมียมขับเคลื่อน 4 ล้อจากเยอรมนีที่มีกำลังประมาณ 400 แรงม้า ซึ่งต่อสู้กันมาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความเร็วและความสนุกสนาน หากต้องการความมีส่วนร่วมมากขึ้นและไม่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Honda Civic Type R คือคู่แข่งที่ไม่มีใครเทียบได้

Porsche 911 Carrera 4 GTS

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 6.2 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

Porsche 911 Carrera 4 GTS ล่าสุดนี้ ในแง่หนึ่งคือแนวคิดใหม่ที่น่าทึ่งสำหรับ Porsche ในฐานะ 911 ไฮบริดรุ่นแรก (แม้เพียงเล็กน้อย) ในอีกแง่หนึ่ง มันคือรุ่นล่าสุดในสายเลือดของรถขับเคลื่อน 4 ล้อที่เริ่มต้นด้วย Carrera 4s เจเนอเรชัน 964 ในยุค 80s Porsche เป็นผู้บุกเบิกรถสปอร์ตขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงไม่น่าแปลกใจที่รุ่นล่าสุดนี้เป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์และการทำซ้ำมาหลายปี

GTS รุ่นล่าสุดนี้มีเครื่องยนต์ 3.6 ลิตรใหม่ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างเครื่องยนต์และเกียร์ และในเทอร์โบชาร์จเจอร์เดี่ยวใหม่ ผลลัพธ์คือสามารถส่งกำลังมหาศาลถึง 534 แรงม้า และแรงบิด 610 นิวตันเมตร ไปยังยางด้วยการตอบสนองที่รวดเร็วราวกับกระแสประสาทต่อคำสั่งของคุณ

เมื่อคุณเรียกใช้มันเป็นครั้งแรก คุณจะได้รับความประทับใจว่ามอเตอร์นั้นในคราวเดียวกันเป็นเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่ไร้ระบบอัดอากาศและเป็นเครื่องยนต์หลายสูบขนาดใหญ่ที่ทรงพลัง มันมีความอเนกประสงค์อย่างมาก พละกำลังที่รุนแรงและมาถึงอย่างรวดเร็วทำให้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมีความเกี่ยวข้องอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนใน Carrera ให้การยึดเกาะที่มีค่าเมื่อต้องการการยึดเกาะเป็นพิเศษ แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์การขับเคลื่อนล้อหลังของ 911 ไว้ได้ คุณสมบัติของ GT3 และ 911 Turbo มารวมกันใน Carrera 4 GTS T-Hybrid ด้วยผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

ข้อดี: 992 Carrera ที่สมบูรณ์แบบและมีเสน่ห์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา, สมรรถนะไฮบริดที่เร้าใจ

ข้อเสีย: เทคโนโลยีไฮบริดทำให้ไม่มีตัวเลือกเกียร์ธรรมดา

คู่แข่ง: ไม่มีใครเทียบความหลากหลายของรถ 911 ได้ คู่แข่งโดยตรงที่สามารถเทียบเท่าความสามารถของ Carrera 4 GTS จึงมีน้อยมาก อาจเป็น Mercedes-AMG GT63 ซึ่งจับคู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อกับขุมพลังเทอร์โบชาร์จที่ทรงพลังและกำลังเพิ่มอีก 50 แรงม้า

Aston Martin DBX707

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 8.8 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

การพัฒนาแพลตฟอร์มอะลูมิเนียมพิเศษแทนที่จะนำโครงสร้างจาก Mercedes มาใช้ เป็นวิธีที่ดีในการทำให้ผู้ที่สงสัยในความแท้จริงของ SUV คันแรกของ Aston Martin ต้องคิดใหม่ หรืออย่างน้อยก็ควรเป็นเช่นนั้น เมื่อได้อยู่หลังพวงมาลัยของ DBX707 รุ่นล่าสุด ผมกล้าเดิมพันว่าแม้แต่นักอนุรักษนิยมที่ดื้อรั้นที่สุดก็ยังต้องยอมรับ

นี่คือรถยนต์สำหรับครอบครัวที่มีความสูงจากพื้นดินมาก พร้อมรูปทรง, แผงตัวถัง และความหรูหราภายใน (หากไม่ใช่รายละเอียดที่จู้จี้จุกจิก) ที่คุณคาดหวังจาก Aston Martin บวกกับความประณีต, สมรรถนะ และไดนามิกส์ที่ยอดเยี่ยม และด้วยการตกแต่งภายในที่ได้รับการอัปเดตใหม่ มันจึงมีคุณภาพดีขึ้นและใช้งานง่ายขึ้นด้วย

เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร ที่พัฒนาโดย AMG มาพร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ Aston ปรับแต่งมาเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้กำลัง 697 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร เพื่อขับเคลื่อนมวล 2.2 ตันไปบนถนน ขณะที่แดมเปอร์ Bilstein DTX รุ่นล่าสุดช่วยให้รถยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นคงในทางโค้ง ระบบบังคับเลี้ยว, แดมปิ้ง และเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป ล้วนให้ความรู้สึกที่ตอบสนองอย่างเป็นเส้นตรงคล้าย Lotus ซึ่งทำให้ 707 มีความน่าเชื่อถืออย่างไม่น่าเชื่อสำหรับรถที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้

คุณสามารถวางตำแหน่งรถบนถนนและสำรวจศักยภาพสูงสุดของมันได้อย่างมั่นใจ ซึ่งสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติเมื่ออยู่หลังพวงมาลัย จากนั้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องผ่อนคลาย มันก็เป็นรถที่นุ่มนวลอย่างแท้จริง DBX707 ให้ความรู้สึกแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งหลายรายที่ให้ความรู้สึกเหมือนรถบรรทุกสัมภาระที่มาพร้อมฮาร์ดแวร์สมรรถนะที่ติดตั้งมาอย่างไม่ลงตัว เพราะมันคือรถที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ใช่การดัดแปลง

ข้อดี: สมรรถนะที่ยอดเยี่ยมพร้อมไดนามิกส์ที่เข้าคู่กัน, การตกแต่งภายในที่อัปเดตและคุณภาพสูง

ข้อเสีย: หน้าจอสัมผัสยังคงต้องมีการปรับแต่งเพิ่มเติม

คู่แข่ง: คู่แข่งที่แท้จริงของ Aston Martin DBX707 มีน้อยมาก แม้ตลาด Super SUV จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม มีเพียง Ferrari Purosangue เท่านั้นที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะอย่างแท้จริง ซึ่งให้ความรู้สึกสมบูรณ์แบบและการควบคุมที่คล้ายคลึงกัน Porsche Cayenne Turbo e-Hybrid ก็ทำผลงานได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแพ็คเกจ GT ที่เน้นการขับขี่มากขึ้น

Lamborghini Revuelto

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 19.5 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

หนึ่งในรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อที่ล้ำสมัยที่สุดในตลาดปัจจุบันคือ Lamborghini Revuelto ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในการรวมพลังงานไฟฟ้าเข้ากับล้อหน้าและพลังงานจากการเผาไหม้ภายในเข้ากับล้อหลัง โดยทั้งสองเชื่อมต่อกันด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะอย่างเหลือเชื่อ รถคันนี้คือรุ่นล่าสุดในสายเลือดของเรือธงเครื่องยนต์ V12 อันยิ่งใหญ่ของ Lamborghini ซึ่งมีมาตั้งแต่ Miura Lamborghini Revuelto จึงท้าทายขนบธรรมเนียมด้วยความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีและถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตอย่างน่าทึ่งเมื่อเทียบกับบรรพบุรุษที่ค่อนข้างหยาบ

สิ่งที่สำคัญพอๆ กับการขับขี่คือรูปลักษณ์ ซึ่งดูน่าเหลือเชื่อ แต่การออกแบบที่สะดุดตาก็ไม่ได้โอ้อวดตัวเลขสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่เกินจริง ด้วยกำลัง 1001 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่สามารถลากรอบได้ถึง 9500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ทำให้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีน้ำหนัก (แห้ง) 1772 กก. แต่ก็ยังมีความคล่องตัวสูง ระบบไฟฟ้าและกลไกทำงานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังช่วยเพิ่มความคล่องตัว ระบบกระจายแรงบิดที่เพลาล้อได้รับการปรับจูนอย่างดีเยี่ยม และอินเทอร์เฟซสำหรับผู้ขับขี่ก็ได้รับการออกแบบมาอย่างชาญฉลาด นี่คือรถที่มีพละกำลังและรูปลักษณ์ที่โดดเด่นกว่า Bugatti Veyron แต่เต้นรำได้อย่างคล่องแคล่วราวกับ Audi R8 รุ่นแรก

ข้อดี: ในที่สุดก็ได้ V12 Lambo ที่ขับขี่ได้น่าเหลือเชื่อเท่ากับรูปลักษณ์, เทคโนโลยีไฮบริดล้ำสมัย

ข้อเสีย: ราคาแพงและขายหมดแล้ว (ในตอนนี้)

คู่แข่ง: Lamborghini Revuelto อยู่บนจุดสูงสุดในขณะนี้ โดยมี Ferrari SF90 (และไฮเปอร์คาร์ Holy Trinity รุ่นก่อนหน้านี้) เป็นคู่แข่ง แม้ว่า Aston Martin Valhalla รุ่นใหม่กำลังจะเข้ามาท้าชิงตำแหน่ง สำหรับความเร็วที่แท้จริงของซูเปอร์คาร์ McLaren 750S ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แม้จะขาดความเร้าใจของ V12

Mercedes-AMG A45 S

ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 2.8 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในประเทศไทย)

Mercedes-AMG A45 เริ่มต้นชีวิตโดยไม่มีเสียง fanfare มากนัก โดยเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ไร้ชีวิตชีวาและไม่น่ามีส่วนร่วมในการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แทนที่จะเป็น Hot Hatch ที่น่าตื่นเต้น Mercedes-AMG ได้นำคำกล่าวอ้างเหล่านี้มาพิจารณาอย่างจริงจัง ปรับปรุงรถคันแรกและปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมากก่อนที่จะเปิดตัวรถรุ่นที่สอง (และรุ่นปัจจุบัน) ที่ยอดเยี่ยม มันจับคู่ความรู้สึกที่พัฒนามาอย่างดีและราคาแพงเข้ากับการควบคุมและสมรรถนะที่มหาศาล พร้อมกับความสามารถในการปรับแต่งช่วงล่างที่แท้จริง ความขี้เล่น และความรู้สึกที่เต็มใจ นี่คือรถที่ดูเหมือนจะสนุกกับการถูกขับขี่ด้วยความเร็ว ไม่ใช่แค่ความเร็วเต็มพิกัด

สิ่งนี้น่าประทับใจเมื่อพิจารณาถึงคลังเทคโนโลยีที่กว้างขวางของ A45 ระบบกันสะเทือนปรับได้ AMG Ride Control, การตั้งค่าไดรเวอร์ Dynamic Select, ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic และเกียร์ Speedshift 8 สปีด ทั้งหมดนี้สามารถแยกขาดออกจากกันได้ง่ายๆ แทนที่จะรวมเข้าด้วยกัน แต่การปรับจูนและการตั้งค่าที่ยอดเยี่ยมได้สร้างความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและความกลมกลืน เครื่องยนต์ก็เป็นเครดิตสำหรับความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์สันดาปของ AMG ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบชาร์จ 2 ลิตร ที่สามารถสร้างกำลัง 415 แรงม้า ได้อย่างน่าเชื่อถือ

ข้อดี: ความเร็วแบบ Point-to-point, ช่วงล่างที่ขี้เล่น, เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง

ข้อเสีย: ไม่ได้แปลกใหม่หรือน่าดึงดูดใจเท่า RS3

คู่แข่ง: A45 S แข่งขันโดยตรงกับ Audi RS3 ในฐานะคู่แข่งหลัก ทั้งสองเป็นรถแฮทช์แบ็กพรีเมียมขับเคลื่อน 4 ล้อจากเยอรมนีที่มีกำลังประมาณ 400 แรงม้า ซึ่งต่อสู้กันมาตลอดหลายปีเพื่อสร้างความสมดุลที่น่าปรารถนาระหว่างความเร็วและความสนุกสนาน อย่างไรก็ตาม ยังมีทางเลือกอื่นอีก เช่น Honda Civic Type R ที่เป็น Hot Hatch ตัวท็อปสาย Hardcore และ Toyota GR Yaris ที่เป็น Super Hatch ขับเคลื่อน 4 ล้ออีกรสชาติหนึ่ง

ในฐานะผู้ที่คลุกคลีในแวดวงรถยนต์สมรรถนะสูงมานาน ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งได้เปลี่ยนจากกลไกพื้นฐานสำหรับการขับขี่แบบออฟโรด ไปสู่หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนรถยนต์สมรรถนะสูงให้ไปได้ไกลเกินขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็น Super SUV ที่มอบความหรูหราพร้อมความสามารถในการบุกตะลุย, Hot Hatch ที่เล็กพริกขี้หนูแต่พร้อมระเบิดความเร็ว, หรือ Supercar ไฮบริดที่ผสานพลังไฟฟ้าเข้ากับความแรงจากเครื่องยนต์ได้อย่างลงตัว ทุกคันล้วนแสดงให้เห็นถึงความอัจฉริยะทางวิศวกรรมที่ทำให้เรามั่นใจในการควบคุมพละกำลังมหาศาลบนท้องถนนในปี 2025

เทคโนโลยี AWD ในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนเสริม แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของยนตรกรรมเหล่านี้ ด้วยระบบที่ซับซ้อนและชาญฉลาดกว่าที่เคย ผู้ขับขี่จึงสามารถสัมผัสประสบการณ์ที่เหนือกว่าในทุกสภาพการขับขี่ และสำหรับใครที่กำลังมองหา รถยนต์สมรรถนะสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ไม่เพียงแต่เร็วและแรง แต่ยังให้ความมั่นใจและประสบการณ์การขับขี่ที่น่าจดจำ ผมหวังว่าลิสต์นี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของคุณ

ถึงเวลาแล้วที่คุณจะสัมผัสกับนิยามใหม่ของสมรรถนะเหนือระดับไปกับรถยนต์ 4×4 ชั้นนำเหล่านี้! อย่ารอช้าที่จะออกไปค้นพบว่ารถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงมุมมองการขับขี่ของคุณไปตลอดกาลได้อย่างไร เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเพื่อสำรวจข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมและค้นพบรถยนต์ในฝันของคุณวันนี้!

รถยนต์ 4×4 สุดยอดสมรรถนะแห่งปี 2025 – ดาวเด่นแห่งการขับเคลื่อนสี่ล้อบนท้องถนน

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์สมรรถนะสูงมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (All-Wheel Drive หรือ AWD) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับตะลุยทางออฟโรด หรือเป็นเพียงกลไกที่ Audi Quattro สร้างมาตรฐานใหม่ในการแข่งขัน World Rally Championship ในช่วงยุค 80 แต่ในปัจจุบัน ระบบ AWD ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเหล่านั้นไปไกล กลายเป็นหัวใจสำคัญที่หล่อหลอมรถยนต์สมรรถนะสูงแห่งปี 2025 ให้สามารถปลดปล่อยพละกำลังมหาศาลลงสู่พื้นผิวถนนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์คาร์ รถแฮทช์แบ็กสุดร้อนแรง หรือแม้กระทั่งซูเปอร์เอสยูวีที่หรูหราขับเคลื่อนสี่ล้อก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

ในโลกยานยนต์ยุค 2025 ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันด้านพละกำลัง เครื่องยนต์ไฮบริด และการควบคุมที่ซับซ้อน ระบบ AWD ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวช่วยในการยึดเกาะถนนอีกต่อไป แต่เป็นเสาหลักที่ช่วยให้รถยนต์ยุคใหม่ที่มีน้ำหนักมากและพละกำลังระดับพันแรงม้าสามารถถ่ายทอดความแรงเหล่านั้นได้อย่างปลอดภัยและแม่นยำ เทคโนโลยีการกระจายแรงบิดที่ล้ำสมัย ระบบไฟฟ้าที่ช่วยเสริมการขับเคลื่อน และฮาร์ดแวร์เฟืองท้ายอัจฉริยะ ล้วนทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่คล่องตัวและยืดหยุ่นกว่าที่เคยเป็นมา จากการทดสอบอย่างเข้มข้นทั้งบนถนนจริงและในสนามแข่ง ผมกล้าพูดได้เลยว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในวันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการขับลุยโคลน หรือทำให้ Porsche 911 ขับง่ายขึ้นเท่านั้น แต่มันคือการยกระดับความสามารถอันหลากหลายของรถยนต์สมรรถนะสูงยุคใหม่ให้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง และนี่คือรถยนต์ 4×4 สมรรถนะเยี่ยมที่เรายกให้เป็นที่สุดของปี 2025 ที่โดดเด่นในแบบฉบับของตัวเอง

Ferrari Purosangue

ราคาเริ่มต้นประมาณ 14.5 ล้านบาท

เมื่อ Ferrari ประกาศเปิดตัว Purosangue คำถามมากมายเกิดขึ้นว่านี่คือ SUV คันแรกของแบรนด์ม้าลำพองหรือไม่? แต่ Ferrari ยืนกรานว่านี่คือรถสปอร์ตสี่ประตูสี่ที่นั่งแบบ Ferrari แท้ๆ คันแรกของพวกเขา และหลังจากได้สัมผัสและผลักดันมันอย่างเต็มที่บนเส้นทางที่ท้าทาย ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า Purosangue คือยานยนต์ที่ยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมาย ด้วยขุมพลังอันเร้าใจและความสามารถในการขับขี่ที่ไม่เป็นรองใครในตลาดปี 2025

หัวใจหลักของ Purosangue คือเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่ไร้ระบบอัดอากาศ ให้พละกำลัง 715 แรงม้า แรงบิด 716 นิวตันเมตร สามารถลากรอบเครื่องยนต์ได้สูงถึง 8,250 รอบต่อนาที แม้จะมีน้ำหนักตัวเกินสองตัน แต่ Purosangue กลับพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.3 วินาทีเท่านั้น เสียงคำรามของเครื่องยนต์ V12 นั้นไพเราะราวกับบทเพลง ซ่อนความดุดันเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง และปลุกเร้าวิญญาณสปอร์ตเมื่อคุณปลดปล่อยพละกำลังทั้งหมด นี่คือรถยนต์ที่สามารถเป็น GT หรูหราที่นุ่มนวลสำหรับการเดินทางไกลในนาทีหนึ่ง และกลายร่างเป็นนักล่าบนเส้นทางคดเคี้ยวได้อย่างคล่องแคล่วในอีกนาทีถัดไป

Purosangue คือผลงานทางวิศวกรรมที่ซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะระบบกันสะเทือน Multimatic ที่ล้ำสมัยจนต้องมีระบบระบายความร้อนแยกต่างหาก แต่กลับให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติอย่างน่าประหลาดใจเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง มันอาจไม่ใช่รถที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติเสมอไป ด้วยอินเทอร์เฟซผู้ใช้แบบ Haptic ที่อาจต้องใช้เวลาปรับตัว และพื้นที่เก็บสัมภาระที่อาจไม่กว้างขวางเท่าที่คาดหวังจากรถประเภทนี้ แต่เมื่อคุณได้ปลดปล่อย V12 ไร้ระบบอัดอากาศ และดื่มด่ำกับการควบคุมที่ตอบสนองอย่างแท้จริง ข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นก็ดูจะเลือนหายไป สิ่งที่น่าทึ่งคือวิธีที่ Purosangue ควบคุมมวลน้ำหนัก ถ่ายทอดสมรรถนะ และฉีกเส้นทางที่ท้าทายได้อย่างน่าประหลาดใจ ด้วยพวงมาลัยที่คมกริบ การเข้าโค้งที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ ผนวกกับความยืดหยุ่นของช่วงล่างที่เหนือชั้น สรุปได้ว่า Purosangue เป็นรถที่อาจไม่มีคู่แข่งโดยตรงในตลาดปี 2025 ด้วยเครื่องยนต์ V12 ในกลุ่ม Super SUV แต่ Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในแง่ของสถานะแบรนด์และสมรรถนะ

BMW M4 CS

ราคาเริ่มต้นประมาณ 5.6 ล้านบาท

M4 CS คือสูตรรถยนต์สมรรถนะสูงที่ลงตัวอย่างยิ่งสำหรับปี 2025 ด้วยเครื่องยนต์ Twin-turbocharged straight-six ที่ให้พละกำลัง 542 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะที่ตอบสนองฉับไว และแชสซีส์ AWD แบบเน้นล้อหลังที่ให้การยึดเกาะและความเป็นกลางในการขับขี่ ในสภาพถนนและสถานการณ์ที่เหมาะสม มันคือรถที่พุ่งทะยานได้อย่างดุดันและรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ

M4 CS ได้รับการผสมผสานส่วนที่ดีที่สุดจาก M4 Competition และ M4 CSL โดยนำเครื่องยนต์ Straight-six ที่ได้รับการอัปเกรดของ CSL มาผสานกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของ Competition และการมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อนี้เองที่ทำให้ M4 CS เหนือกว่า CSL ที่เป็นขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งค่อนข้างจะดุดันและคาดเดายากในสภาพถนนที่ไม่สมบูรณ์นัก ถึงแม้ M4 CS เองก็ยังต้องการสภาพถนนและอุณหภูมิยางที่เหมาะสม (โดยเฉพาะยาง Cup 2 R) เพื่อให้ได้สมรรถนะสูงสุด แต่เมื่อทุกอย่างลงตัว M4 CS ก็พร้อมจะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าทึ่ง

ช่วงล่างด้านหน้าที่ต้านทานอาการอันเดอร์สเตียร์ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้รู้สึกถึงการยึดเกาะที่มั่นคง และระบบ xDrive ที่ได้รับการปรับแต่งโดย M Division ช่วยให้ผู้ขับสามารถดึงสมรรถนะที่ดีที่สุดของรถออกมาได้ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ จากประสบการณ์ของผม ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ใน M3, M4 และ M5 คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า AWD ในยุคปัจจุบันมีความหลากหลายและไม่จำเป็นต้องลดทอนความสนุกในการขับขี่ลงไปเลย หากคุณกำลังมองหารถที่มีความคล่องตัวน้อยกว่าแต่เน้นความเป็นรถสปอร์ตมากขึ้น Porsche 911 GTS รุ่นใหม่ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับปี 2025

Land Rover Defender Octa

ราคาเริ่มต้นประมาณ 6.7 ล้านบาท

Land Rover เป็นชื่อที่คุ้นเคยกับการผจญภัยออฟโรดมาโดยตลอด และแม้ว่าไลน์ผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของพวกเขาจะก้าวเข้าสู่ตลาดพรีเมียมมากขึ้น แต่ก็ยังคงรักษาความสามารถในการลุยได้อย่างยอดเยี่ยม และ Defender Octa ก็คือการยกระดับความสามารถนี้ไปอีกขั้น ทั้งบนทางเรียบและทางลุย

ใต้ฝากระโปรงของ Octa คือเครื่องยนต์ V8 ขนาด 626 แรงม้า ที่ได้รับจาก BMW M สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.8 วินาทีเมื่อใช้โหมด Launch Control ตัวรถมีความกว้างขึ้นเพื่อรองรับปีกนกที่ยาวขึ้น และสูงขึ้นเพื่อเพิ่มระยะห่างจากพื้นสำหรับการขับขี่แบบออฟโรด แต่เทคโนโลยีที่น่าทึ่งที่สุดคือระบบกันสะเทือน 6D ที่มาพร้อมโช้คอัพแบบกึ่งแอคทีฟที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบไฮดรอลิก แม้จะไม่ใช่การเซ็ตอัพที่ให้ฟีดแบ็กแบบรถสปอร์ตดั้งเดิม แต่ Octa กลับให้ความรู้สึกที่แน่นหนา ตอบสนองฉับไว และกระตือรือร้นบนท้องถนนอย่างไม่น่าเชื่อ เหนือกว่า Super SUV สมรรถนะสูงหลายๆ คันในตลาดปี 2025

สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือความสามารถบนทางเรียบนี้ยังคงอยู่เมื่อคุณพา Octa ออกนอกเส้นทาง ไม่ว่าพื้นผิวจะเป็นอย่างไร Octa ก็พร้อมจะรับมือกับทุกสิ่งราวกับกำลังโลดแล่นอยู่ในการแข่งขันแรลลี่ Dakar ในขณะที่ผู้โดยสารยังคงได้รับความสะดวกสบายและการทรงตัวในระดับที่รถ Defender ทั่วไปไม่สามารถทำได้ นี่คือรถยนต์ที่สามารถไปได้ทุกที่อย่างแท้จริง และเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งซึ่งเหนือกว่าที่เราคาดหวังจาก “Defender SVR” จาก Black Country เมื่อ Land Rover เปิดตัวไอคอนที่เกิดใหม่นี้ในปี 2019 สำหรับปี 2025 Defender Octa ยืนหยัดในฐานะรถบรรทุกแห่งชัยชนะที่พร้อมสำหรับทุกเส้นทาง แม้ว่า Ford Ranger Raptor หรือ F150 Raptor จะใกล้เคียงในด้านการลุย แต่ไม่มีรุ่นไหนเทียบได้กับความสามารถบนถนนของ Defender ส่วน Mercedes-AMG G63 คือคู่แข่งที่ชัดเจนในฐานะรถบรรทุกสมรรถนะสูงบนท้องถนน

Toyota GR Yaris

ราคาเริ่มต้นประมาณ 2.1 ล้านบาท

เคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่รถยนต์รุ่นพิเศษเพื่อการโฮโมโลเกต (Homologation Special) ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ปัจจุบันนั้นหาได้ยากยิ่ง นั่นคือสิ่งที่ทำให้การเปิดตัว GR Yaris เป็นเรื่องที่น่าดึงดูดใจอย่างยิ่งในปี 2025 ใช่แล้ว นี่คือรถยนต์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะลงสนามแข่ง และมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในทั้งรุ่น Gen 1 และ Gen 2 ว่ามันคือความสนุกอย่างแท้จริงในการขับขี่

GR Yaris รุ่นปัจจุบัน (Gen 2) ได้รับการเพิ่มฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมมากมาย และทำผลงานได้อย่างน่าชื่นชมในการทดสอบประจำปี 2024 จุดเด่นที่ทุกคนพูดถึงคือคุณภาพการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ซึ่งเมื่อรวมกับขนาดที่กะทัดรัด ความคล่องตัวที่ยอดเยี่ยม และพละกำลังอันน่าประหลาดใจจากเครื่องยนต์สามสูบ ทำให้มันกลายเป็นรถที่สนุกสนานอย่างแท้จริง และยังโดดเด่นเป็นพิเศษในสภาพถนนเปียก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ GR-Four ที่ชาญฉลาด สามารถปรับการกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและล้อหลังได้สามระดับ และมีประสิทธิภาพที่น่าทึ่ง

เครื่องยนต์สามสูบ 1.6 ลิตร อาจฟังดูไม่น่าตื่นเต้นที่สุด แต่ด้วยพละกำลัง 276 แรงม้า และแรงบิด 360 นิวตันเมตร มันมีแรงผลักดันเพียงพอที่จะเคลื่อนย้าย GR Yaris ที่มีน้ำหนัก 1280 กก. ให้พุ่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.2 วินาที GR Yaris คือรถแฮทช์แบ็กสมรรถนะสูงที่คุณจะต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ขับด้วยความเร็วสูงสุดไปทุกที่ และมักจะมาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า นอกจากนี้ยังเป็นรถที่ใช้งานได้ในชีวิตประจำวันอย่างง่ายดาย และดูเท่แบบลุ่มลึกหากคุณเข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน จากประสบการณ์ของผม GR Yaris คือรถที่เข้าถึงง่ายและใช้งานได้ทันทีไม่ว่าจะอยู่ในราคาใด และไม่มีรถแฮทช์แบ็กสมรรถนะสูงคันไหนที่ให้ความรู้สึกว่าถูกสร้างมาเพื่อถนนคดเคี้ยวเท่าคันนี้อีกแล้ว สำหรับปี 2025 ด้วยธรรมชาติของการเป็นรถแรลลี่ที่ถอดแบบมา ทำให้ GR Yaris ไม่มีคู่แข่งโดยตรงอย่างแท้จริง แต่ถ้าคุณมองหารถแฮทช์แบ็กขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูงจากเยอรมนี Audi RS3 และ Mercedes-AMG A45 S คือตัวเลือกที่น่าพิจารณา

Bentley Continental GT Speed

ราคาเริ่มต้นประมาณ 10.9 ล้านบาท

Bentley Continental GT Speed ที่มีให้เลือกทั้งแบบคูเป้และแบบเปิดประทุน GTC คือผลงานที่ท้าทายกฎฟิสิกส์อย่างแท้จริง Bentley ไม่เคยขึ้นชื่อเรื่องน้ำหนักเบา และด้วยขุมพลังไฮบริดทำให้ GT Speed มีน้ำหนักถึง 2459 กก. ในรุ่นคูเป้ และ 2636 กก. ในรุ่น GTC แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังเป็นรถที่น่าหลงใหลอย่างที่สุด

GT Speed คือ Bentley ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยกำลัง 771 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบชาร์จและมอเตอร์ไฟฟ้า 140kW พร้อมแรงบิดมหาศาลถึง 1000 นิวตันเมตร แม้จะมีน้ำหนักมาก แต่ก็ยังให้ความรู้สึกรวดเร็วทุกครั้งที่คุณกดคันเร่งจนสุด และการเปลี่ยนผ่านระหว่างการลอยตัวด้วยพลังงานแบตเตอรี่ไปสู่การปลุก V8 นั้นราบรื่นและละเอียดอ่อน มาพร้อมกับ Bentley Dynamic Ride ที่มีเหล็กกันโคลงแอคทีฟ 48V และซอฟต์แวร์สำหรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแอคทีฟและ e-diff ด้านหลังได้รับการปรับเทียบใหม่สำหรับ Continental รุ่นล่าสุดนี้

มันสามารถแล่นไปข้างหน้าด้วยพลังงานไฟฟ้าในความเงียบเกือบสมบูรณ์ แต่เมื่อรวมพลังกับ V8 มันก็จะแสดงความสามารถของรถสปอร์ตได้อย่างยอดเยี่ยม แม้บนเส้นทางที่คดเคี้ยว พวงมาลัยค่อนข้างเบาแต่ตอบสนองได้โดยตรง แม้จะไม่ใช่การเซ็ตอัพที่ให้ความรู้สึกมากที่สุด แต่คุณก็ยังรู้ว่ายางหน้ากำลังทำอะไรอยู่ ด้วยการยึดเกาะและฟีดแบ็กจากแชสซีส์ที่เชื่อมโยงคุณเข้ากับขีดจำกัดของรถ ในฐานะรถ GT ที่สมบูรณ์แบบพร้อมคุณสมบัติความเป็นสปอร์ต มันมีคู่แข่งไม่มากนักในปี 2025 ผมเคยทดสอบมันทั้งบนถนนและในสนามแข่ง และอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยความชื่นชมในความคล่องตัวที่วิศวกรของ Bentley มอบให้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ มันเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบปรับการกระจายแรงบิดทำงานร่วมกับเครื่องมือแชสซีส์และระบบส่งกำลังได้อย่างไร เพื่อทำให้รถยนต์หรูหนัก 2.4 ตันคันนี้คล่องตัวกว่าที่เคยเป็นมา สำหรับทางเลือกอื่นๆ Aston Martin DB12 และ Maserati GranTurismo อาจให้ความรู้สึกสปอร์ตกว่า แต่ Bentley ก็เป็นรถที่เดินทางไกลได้ดีกว่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

Mercedes-AMG GT 63

ราคาเริ่มต้นประมาณ 7.8 ล้านบาท

ต้องยอมรับว่า Mercedes-AMG อาจไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดกับรถยนต์สองสามรุ่นล่าสุด แต่ GT 63 ใหม่นี้คือการกลับมาสู่จุดสูงสุดอย่างแท้จริง ด้วยเบาะหลังแบบ +2 ที่นั่ง และพื้นที่เก็บสัมภาระที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มันใช้งานได้จริงมากขึ้น พร้อมทั้งทรงพลังและน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม แม้จะมีชื่อ GT แต่ AMG กลับมองว่ามันเป็นรถสปอร์ตที่แท้จริง

แน่นอนว่ามันมีพละกำลังที่จำเป็น ด้วยเครื่องยนต์ V8 M177 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้พละกำลัง 577 แรงม้า และแรงบิด 800 นิวตันเมตร ทำให้ GT 63 มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม. แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจและน่าหลงใหลคือแชสซีส์ของ GT ที่สร้างขึ้นบนโครงอลูมิเนียมสเปซเฟรมใหม่ทั้งหมด โดยมีการผสมผสานเหล็ก แมกนีเซียม และวัสดุคอมโพสิต ทำให้มีความแข็งแกร่งในการบิดตัว ด้านข้าง และตามยาวอย่างมีนัยสำคัญ

ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบมัลติลิงก์ที่ทำจากอลูมิเนียมฟอร์จ มาพร้อมโช้คอัพแอคทีฟที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบไฮดรอลิก ระบบเหล็กกันโคลงแอคทีฟ ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง เฟืองท้ายแบบจำกัดการลื่นไถลควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic+ ที่สามารถส่งแรงบิดได้สูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์ไปยังเพลาหน้า ในโหมด Comfort และ Sport มันคือรถ GT ที่สง่างาม แต่เมื่อปรับไปที่ Sport+ หรือ Race คุณสมบัติที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจะปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือรถสปอร์ตที่น่าดึงดูด เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ และแม่นยำ

จากประสบการณ์ของผม GT 63 ยึดเกาะถนนและพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อคุณปรับสไตล์การเข้าโค้งเล็กน้อย เช่น ยกคันเร่งขณะเลี้ยว หรือเบรกในโค้ง ท้ายรถจะค่อยๆ สไลด์ออกไปอย่างควบคุมได้ และสามารถรักษาการสไลด์นั้นไว้ได้ด้วยการกดคันเร่งอย่างมั่นใจ ลองนึกภาพรถที่อยู่ระหว่าง R35 GT-R ที่มีความหรูหราน้อยกว่าและ 911 Turbo ที่ดุดันกว่า มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก และส่วนใหญ่ต้องขอบคุณผลกระทบของ 4Matic+ สำหรับปี 2025 Mercedes-AMG GT 63 คือรถที่ทำได้หลายอย่าง สามารถเป็นรถสปอร์ตได้เกือบเทียบเท่า Porsche 911 GTS หรือ Aston Martin Vantage แต่มีคุณสมบัติของการเป็นรถ Grand Tourer เพิ่มเติม

BMW M5

ราคาเริ่มต้นประมาณ 5.1 ล้านบาท

น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของ M5 เป็นประเด็นถกเถียงอย่างมากก่อนการเปิดตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะการเปลี่ยนมาใช้ระบบไฮบริด ทำให้มีน้ำหนักมากกว่ารุ่นก่อนหน้าประมาณ 500 กก. ซึ่งสร้างความไม่พอใจในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบ BMW M พอสมควร เช่นเดียวกับตอนที่ตัดสินใจเปลี่ยนรุ่นก่อนหน้าเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แต่ถ้าเรายังต้องการให้รถยนต์ซูเปอร์ซาลูนยังคงอยู่ เราก็ต้องคุ้นเคยกับไฮบริดที่หนักขึ้น

และเมื่อคุณได้อยู่หลังพวงมาลัยและคุ้นเคยกับ M5 อย่างแท้จริง การเพิ่มพลังงานไฟฟ้าก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป แม้จะมีพละกำลังรวม 717 แรงม้า แต่ M5 รุ่นใหม่กลับมีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่ด้อยกว่า V8 ที่ไม่ใช่ไฮบริดรุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 305 กม./ชม. หากติดตั้งแพ็คเกจ M Driver’s

แต่สิ่งที่น่าประทับใจไม่ใช่ความเร็วสูงสุดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความรู้สึกที่ M5 สามารถ “หดตัวลง” รอบตัวคุณได้อย่างน่าประหลาดใจ ทำให้รู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าที่ตัวเลขระบุไว้อย่างมาก มีโหมดการขับขี่ที่ปรับได้ไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับเลี้ยว การหน่วง การเปลี่ยนเกียร์ การฟื้นฟูพลังงาน แผนผังระบบส่งกำลัง และแม้กระทั่งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M5 ยังสามารถสลับระหว่าง 4WD, โหมด 4WD Sport ที่เน้นล้อหลังมากขึ้น และโหมดขับเคลื่อนล้อหลังล้วนๆ ได้อีกด้วย และในโหมด 4WD Sport มันคือรถที่สนุกสนานอย่างแท้จริง ซ่อนมวลน้ำหนักด้วยความคล่องตัวที่ไม่คาดคิด

จากการทดสอบอย่างเข้มข้น ผมพบว่าวิธีที่ M5 เข้าโค้งและออกจากโค้งนั้นทำให้มันรู้สึกเหมือนรถที่เล็กกว่ามาก คุณจะสาบานได้เลยว่ามันมีน้ำหนักน้อยกว่าที่เป็นอยู่ถึง 800 กก. การเปลี่ยนมาใช้ระบบไฮบริดทำให้มันมีความสามารถที่หลากหลายมากขึ้น และถ้ามันหมายความว่า M5 จะยังคงอยู่กับเราในแบบที่เราคุ้นเคยไปได้อีกนาน นั่นก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ในตลาดปี 2025 BMW M5 สามารถนับ Panamera Turbo E-Hybrid เป็นคู่แข่งได้ แต่ถ้าคุณต้องการขุมพลังที่ไม่ใช่ไฮบริด Audi RS7 คือตัวเลือกเดียวในปัจจุบัน และหากพร้อมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ Porsche Taycan Turbo และ Audi RS E-Tron GT ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

Range Rover Sport SV

ราคาเริ่มต้นประมาณ 8.1 ล้านบาท

Range Rover Sport รุ่นก่อนหน้าอาจดูหรูหราเกินไปสำหรับบางคน ดังนั้นรุ่นล่าสุดนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดี ด้วยรูปลักษณ์ที่เรียบหรูและซับซ้อนกว่า แต่กลับซ่อนขุมพลังที่ทรงประสิทธิภาพไว้ภายใน ด้วยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบชาร์จ 626 แรงม้า ที่ได้รับจาก BMW M ทำให้สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที และสามารถลดเวลาได้อีก 0.2 วินาทีหากเลือกแพ็คเกจคาร์บอนพร้อมล้อคาร์บอนและยางที่ยึดเกาะถนนได้ดีกว่า

มันรวดเร็วอย่างแน่นอน แต่ SUV ขนาด 2.5 ตัน คันนี้จะสามารถสร้างความบันเทิงเมื่อต้องเข้าโค้งได้หรือไม่? ตอบสั้นๆ คือ “ได้” อย่างแน่นอน มันมีแชสซีส์ที่รองรับพละกำลังได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยระบบกันสะเทือนไฮดรอลิก 6D cross-linked ที่ชาญฉลาด ซึ่งคล้ายกับที่คุณจะพบใน McLaren 750S เพื่อมอบการผสมผสานระหว่างความสะดวกสบายและการควบคุมที่เหนือกว่า SUV ที่ดีที่สุดในตลาดปี 2025

แม้จะยังมีการโยนตัวในระดับหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถพิงกับแรงเหวี่ยงได้ แต่ระบบ 6D ก็ช่วยป้องกันการโยกตัวที่มากเกินไปที่รถประเภทนี้มักประสบปัญหาในการควบคุมขณะเข้าโค้งและเบรกอย่างหนัก และด้วยการเพิ่มระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง ทำให้ SV ให้ความรู้สึกมั่นคงอย่างสมบูรณ์แบบบนสนามแข่ง การเข้าโค้งจากจุดเลี้ยวไปสู่จุด Apex ไปจนถึงทางออกของโค้งด้วยความมั่นใจอย่างเหลือเชื่อ คุณแทบจะรู้สึกผิดที่ประทับใจในความสามารถของรถคันนี้มากขนาดนี้ ซึ่งปกติแล้วคุณจะเห็นมันจอดอยู่ในสนามแข่งมากกว่าที่จะหักเลี้ยวเข้าโค้งอย่างรุนแรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าของไม่กี่คนที่จะนำรถไปลงสนามแข่ง แต่ก็ดีที่รู้ว่า SV ยังคงมีความสามารถเมื่ออยู่นอกเขตสบายของมัน

จากประสบการณ์ของผม เมื่อพุ่งเข้าโค้ง Range Rover Sport SV ให้ความรู้สึกไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย เปลี่ยนทิศทางด้วยความคมชัดที่คาดไม่ถึงสำหรับรถขนาดมหึมาเช่นนี้ ไม่ว่าคุณจะมอง SUV อย่างไร Rangie Sport SV ก็เป็นเครื่องจักรที่น่าทึ่ง สำหรับปี 2025 Range Rover Sport SV คือคู่แข่งโดยตรงของ Porsche Cayenne Turbo ซึ่งปัจจุบันมีเฉพาะรุ่น e-Hybrid เท่านั้น ซึ่งแปลกตรงที่ Range Rover ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเพียงอย่างเดียวกลับมีน้ำหนักเบากว่า Cayenne ในขณะที่ยังคงรักษาสัมผัสแห่งความหรูหราที่เป็นเอกลักษณ์ของ Range Rover เหนือกว่าคู่แข่งอย่าง BMW X5M และ Audi RSQ8 รวมถึง Aston Martin DBX707 และ Lamborghini Urus SE ที่มีราคาแพงกว่า

Audi RS3

ราคาเริ่มต้นประมาณ 2.7 ล้านบาท

ก่อนการมาถึงของ Mercedes-AMG A45 S, RS3 เคยเป็นรถแฮทช์แบ็กที่ทรงพลังที่สุดในโลกชั่วขณะหนึ่ง และแม้จะถูกแซงหน้าไปโดยคู่แข่งจากสตุ๊ทการ์ท แต่ RS3 ก็ยังคงเป็นรถไฮเปอร์แฮทช์ที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง และยังเป็นรถอเนกประสงค์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย มันคือรถที่มีบุคลิกที่ละเอียดอ่อนกว่าพี่น้อง RS ขนาดใหญ่ และเมื่อติดตั้งออปชั่นที่เหมาะสม มันก็เกือบจะสามารถกลมกลืนไปกับรถคันอื่นๆ ได้โดยไม่สะดุดตา

ด้วยพละกำลัง 394 แรงม้า มันจึงรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในไม่ถึง 4 วินาที และด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ทำให้มันสามารถทำความเร็วได้ดีไม่ว่าจะอยู่ในสภาพถนนแบบใด หัวใจสำคัญของการก้าวกระโดดด้านพลวัตของ RS3 เจเนอเรชันนี้คือเฟืองท้ายหลังแบบ ‘torque splitter’ ของ Audi ซึ่งสามารถกระจายแรงบิดไปทั่วเพลาหลังตามล้อที่ต้องการและสามารถรับมือกับมันได้ แรงบิดของเครื่องยนต์สูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์สามารถส่งไปยังด้านหลังได้ แต่ทั้งหมดนั้นสามารถส่งไปยังล้อหลังเพียงล้อเดียวได้ ไม่ว่าจะเป็นล้อด้านนอกเพื่อลดอาการอันเดอร์สเตียร์ (หรือทำให้รถสไลด์) หรือล้อด้านในเพื่อเพิ่มเสถียรภาพเมื่อจำเป็น

หัวใจของ RS3 คือเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จห้าสูบอันยอดเยี่ยม ซึ่งน่าประทับใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก ด้วยเสียงคำรามของเครื่องยนต์ห้าสูบที่คล้ายกับ R8 V8 ในสถานการณ์ที่เหมาะสม มันอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกของการมีส่วนร่วมในระดับเดียวกับ GR Yaris หรือ Civic Type R แต่ก็ใกล้เคียงอย่างมาก และเมื่อคุณไม่ได้เข้าโค้งอย่างรุนแรง แต่ต้องการขับขี่แบบสบายๆ มันก็ยังคงให้ความรู้สึกสบายและนุ่มนวล

จากประสบการณ์ของผม RS3 น่าตื่นเต้นอย่างมาก แม้จะไม่มีความสมดุลและการตอบสนองแบบ Civic Type R แต่ความดิบและระดับการปรับแต่งที่หลากหลายทำให้มันมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อปิดระบบช่วยเหลือทั้งหมด ตัวแยกแรงบิดจะเริ่มให้ตัวเลือกที่มากขึ้น และความสามารถในการควบคุมการสไลด์ในโหมด Torque Rear มันเป็นรถที่แสดงออกถึงความสามารถและใช้งานได้จริงมากกว่าที่หลายคนคาดคิด สำหรับปี 2025 คู่แข่งหลักของ Audi RS3 ในแง่ของราคา สมรรถนะ และตำแหน่งทางการตลาดคือ Mercedes-AMG A45 S ซึ่งเป็นรถแฮทช์แบ็กพรีเมียมขับเคลื่อนสี่ล้อจากเยอรมนีที่มีพละกำลังประมาณ 400 แรงม้า ที่ต่อสู้กันมาตลอดหลายปีเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความเร็วและความสนุก หากคุณต้องการการมีส่วนร่วมและการตอบสนองที่มากกว่า โดยไม่ต้องการความปลอดภัยและความสามารถของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Honda Civic Type R คือรถที่ไร้คู่แข่ง

Porsche 911 Carrera 4 GTS

ราคาเริ่มต้นประมาณ 6.6 ล้านบาท

Porsche 911 Carrera 4 GTS รุ่นล่าสุด คือแนวคิดที่แปลกใหม่สำหรับ Porsche ในแง่หนึ่ง มันคือ 911 รุ่นแรกที่มาพร้อมระบบไฮบริด (แม้เพียงเล็กน้อย) แต่อีกแง่หนึ่ง มันคือรุ่นล่าสุดในสายเลือดของรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ยาวนาน ซึ่งเริ่มต้นด้วย Carrera 4s ของ 911 เจเนอเรชัน 964 ในยุค 1980s Porsche เป็นผู้บุกเบิกรถสปอร์ตขับเคลื่อนสี่ล้อ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่รุ่นล่าสุดนี้เป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งสร้างขึ้นจากประสบการณ์และการพัฒนาต่อเนื่องยาวนานหลายปี

GTS รุ่นล่าสุดนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 3.6 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์และกระปุกเกียร์ และในเทอร์โบชาร์จเดี่ยวใหม่ ผลลัพธ์คือสามารถส่งกำลังที่มากมายถึง 534 แรงม้า และแรงบิด 610 นิวตันเมตร ไปยังยางด้วยการตอบสนองที่ฉับไวเกือบจะทันทีที่คุณสั่งการ

เมื่อคุณเรียกใช้พละกำลังเป็นครั้งแรก คุณจะรู้สึกได้ว่ามอเตอร์นั้นมีลักษณะคล้ายเครื่องยนต์ที่เบา ความจุเล็ก ไร้ระบบอัดอากาศ และในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องยนต์ลูกใหญ่แบบหลายสูบที่มีพละกำลังมหาศาล มันมีความอเนกประสงค์อย่างเหลือเชื่อ แรงผลักดันมหาศาลและวิธีการที่มันส่งกำลังมาถึงอย่างกระตือรือร้น ทำให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมาใน Carrera มอบการยึดเกาะที่มีค่าเมื่อการยึดเกาะถนนมีจำกัด แต่ยังคงรักษาคุณลักษณะการขับเคลื่อนล้อหลังของ 911 ไว้ได้ คุณสมบัติของ GT3 และ 911 Turbo ได้ผสมผสานกันใน Carrera 4 GTS T-Hybrid อย่างลงตัวและยอดเยี่ยม

จากประสบการณ์ของผม แม้ว่า 911 จะมีการยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ด้วยการกระจายน้ำหนักไปทางด้านหลังที่มีชื่อเสียง แต่ C4 ก็มีการยึดเกาะที่เพิ่มขึ้นไปอีกขั้น เป็นความรู้สึกที่น่าติดตามเมื่อสัมผัสได้ถึงท้ายรถที่ย่อตัวลงขณะออกจากโค้งความเร็วต่ำและปานกลาง ในขณะที่เพลาหน้าก็ได้รับการยึดเกาะไปพร้อมกัน และ GTS ก็พุ่งทะยานลงสู่สนามด้วยเทอร์โบไฟฟ้าที่พร้อมจะบูสต์อยู่เสมอ สำหรับปี 2025 ไม่มีรถคันไหนเทียบได้กับความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ 911 ดังนั้นจึงมีคู่แข่งโดยตรงไม่มากนักที่สามารถเทียบเคียงความสามารถของ Carrera 4 GTS ได้ ยกเว้น Mercedes-AMG GT63 ซึ่งก็มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมกับขุมพลังเทอร์โบชาร์จที่ทรงพลังและมีแรงม้าเพิ่มอีก 50 แรงม้า ถ้า AWD ไม่จำเป็น คุณอาจจะลองดู Carrera GTS มาตรฐาน หรือ Aston Martin Vantage

Aston Martin DBX707

ราคาเริ่มต้นประมาณ 9.5 ล้านบาท

การพัฒนาระบบแพลตฟอร์มอลูมิเนียมแบบเฉพาะตัว แทนที่จะนำโครงสร้างจาก Mercedes มาใช้ เป็นวิธีที่ดีในการทำให้ผู้สงสัยในความเป็น Aston Martin ของ SUV คันแรกของแบรนด์นี้ต้องหันกลับมาคิดใหม่ และหลังได้สัมผัส DBX707 รุ่นล่าสุดแล้ว ผมกล้าเดิมพันว่าแม้แต่ผู้ที่ยึดติดกับประเพณีมากที่สุดก็จะต้องหลงใหล

นี่คือรถครอบครัวที่สูงโปร่ง พร้อมรูปทรง ตัวถัง และความหรูหราภายในห้องโดยสารที่คุณคาดหวังจาก Aston Martin นอกจากนี้ยังมีความประณีต สมรรถนะ และพลวัตที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ด้วยการตกแต่งภายในที่ได้รับการอัปเดต ทำให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นและใช้งานง่ายขึ้นในปี 2025

เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร ที่มาจาก AMG ได้รับการติดตั้งเทอร์โบชาร์จเฉพาะของ Aston Martin เพื่อให้ได้กำลัง 697 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร เพื่อผลักดันมวลน้ำหนัก 2.2 ตัน ให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่โช้คอัพ Bilstein DTX ล่าสุดช่วยให้รถยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นคงในขณะเข้าโค้ง ระบบบังคับเลี้ยว การหน่วง และเฟืองท้ายแบบจำกัดการลื่นไถล ล้วนให้ความรู้สึกที่ตอบสนองเป็นเส้นตรงคล้ายกับ Lotus ซึ่งทำให้ 707 มีความน่าเชื่อถือที่ไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับเครื่องจักรขนาดมหึมาเช่นนี้

คุณสามารถวางรถบนถนนและสำรวจขีดจำกัดสูงสุดของสมรรถนะได้อย่างมั่นใจ ซึ่งสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติเมื่ออยู่หลังพวงมาลัย จากนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องผ่อนคลาย มันก็กลายเป็นรถที่นุ่มนวลอย่างแท้จริง DBX707 ให้ความรู้สึกที่แท้จริง ไม่เหมือนกับคู่แข่งหลายรายที่ให้ความรู้สึกเหมือนรถบรรทุกที่ติดตั้งฮาร์ดแวร์สมรรถนะสูงที่รวมเข้าด้วยกันอย่างไม่ลงตัว ซึ่งเป็นเพราะมันถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ใช่การนำมาประกอบกัน

จากการทดสอบบนถนนที่ท้าทายหลายเส้นทาง DBX707 สามารถรับมือกับภูมิประเทศที่ท้าทายได้อย่างสมดุล การสื่อสาร และการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ซึ่ง DBX แสดงให้เห็นมาโดยตลอด มันยังคงเป็นรถที่ดีที่สุดในประเภทนี้สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ และตอนนี้ก็มีภายในที่สวยงามยิ่งขึ้นเพื่อเพลิดเพลินกับประสบการณ์นั้น สำหรับปี 2025 คู่แข่งที่แท้จริงของ Aston Martin DBX707 มีน้อยมาก แม้ว่าตลาด Super SUV จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม มีเพียง Ferrari Purosangue ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะอีกคันในกลุ่มนี้เท่านั้น ที่ให้ความรู้สึกสมบูรณ์และความควบคุมได้ในระดับเดียวกัน Porsche Cayenne Turbo e-Hybrid ก็ทำผลงานได้ดีเยี่ยมเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับแพ็คเกจ GT ที่เน้นสมรรถนะ

Lamborghini Revuelto

ราคาเริ่มต้นประมาณ 21 ล้านบาท

Lamborghini Revuelto คือหนึ่งในรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ซับซ้อนที่สุดในตลาดปี 2025 มีความโดดเด่นในการผสมผสานพลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์ที่ล้อหน้าและพลังงานจากการเผาไหม้ภายในที่ล้อหลัง โดยทั้งสองระบบเชื่อมต่อกันด้วยสมองอิเล็กทรอนิกส์ที่ชาญฉลาดอย่างเหลือเชื่อ รถคันนี้คือรุ่นล่าสุดในสายเลือดของเรือธงเครื่องยนต์ V12 อันยิ่งใหญ่ของ Lamborghini ซึ่งย้อนกลับไปตั้งแต่ Miura Revuelto จึงท้าทายธรรมเนียมปฏิบัติด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าอย่างยิ่ง และจากการทดสอบของเรา พบว่ามันถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตอย่างน่าทึ่ง เมื่อเทียบกับบรรพบุรุษที่อาจจะค่อนข้างดิบกว่าเล็กน้อย

สิ่งที่สำคัญพอๆ กับการขับขี่คือรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตา แต่การออกแบบที่น่าทึ่งนั้นไม่ได้โอ้อวดเกินจริงไปกว่าตัวเลขสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่ ด้วยพละกำลังรวม 1001 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่สามารถลากรอบได้ถึง 9500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ทำให้มันพุ่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.5 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.

กระนั้น แม้จะมีน้ำหนัก (แห้ง) 1772 กก. แต่ Revuelto กลับให้พลวัตที่สง่างามราวกับบัลเลต์ ด้วยระบบไฟฟ้าและกลไกที่ทำงานประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังช่วยเพิ่มความคล่องตัว การกระจายแรงบิดแบบ in-axle ได้รับการปรับเทียบอย่างดีเยี่ยม และอินเทอร์เฟซผู้ขับขี่ก็ได้รับการออกแบบมาอย่างประณีต นี่คือรถที่มีพละกำลังและภาพลักษณ์บนท้องถนนที่เหนือกว่า Bugatti Veyron แต่กลับเต้นรำได้อย่างคล่องแคล่วราวกับ Audi R8 รุ่นแรก

จากประสบการณ์ของผม ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่สร้างขึ้นรอบเทคโนโลยีไฮบริดได้พลิกโฉมเรือธงของ Lamborghini ทำให้ Aventador ที่เคยมีบุคลิกที่ควบคุมยากและน่าเกรงขาม ถูกแทนที่ด้วยความคล่องตัวและการใช้งานที่เหนือชั้น เมื่อรวมกับสมรรถนะที่ระเบิดออกมาและเสียงเครื่องยนต์ที่ไพเราะ มันยากที่จะไม่ประกาศให้ Revuelto เป็นสุดยอดซูเปอร์คาร์แห่งยุคสมัยใหม่ สำหรับปี 2025 Lamborghini Revuelto ยืนอยู่บนจุดสูงสุดที่ Ferrari SF90 (และไฮเปอร์คาร์ “Holy Trinity” ก่อนหน้านั้น) เคยสร้างไว้ แม้ว่า Aston Martin Valhalla ใหม่จะกำลังแย่งชิงตำแหน่งอยู่ก็ตาม สำหรับซูเปอร์คาร์ที่เน้นความเร็วดิบๆ McLaren 750S ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แม้จะขาดความตื่นเต้นของ V12 ไป

Mercedes-AMG A45 S

ราคาเริ่มต้นประมาณ 3 ล้านบาท

Mercedes-AMG A45 เริ่มต้นชีวิตโดยไม่มีเสียง fanfare มากนัก ในฐานะรถที่ค่อนข้างเฉยเมยและไม่น่าดึงดูดใจในการขับขี่แบบจุดต่อจุด มากกว่าที่จะเป็นรถแฮทช์แบ็กที่น่าตื่นเต้น Mercedes-AMG ได้นำข้อเรียกร้องเหล่านี้มาปรับปรุงอย่างจริงจัง โดยอัปเดตรถรุ่นแรกและปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมาก ก่อนที่จะเปิดตัวรถเจเนอเรชันที่สอง (และปัจจุบัน) ที่ยอดเยี่ยม มันผสานความรู้สึกที่แพงและพัฒนาแล้วในการควบคุม พร้อมสมรรถนะที่มหาศาล และความสามารถในการปรับแต่งแชสซีส์ที่แท้จริง ความขี้เล่น และความกระตือรือร้น นี่คือรถที่ดูเหมือนจะสนุกกับการถูกขับด้วยความเร็ว ไม่ใช่แค่ความเร็วสูงสุดเท่านั้น

สิ่งนี้น่าประทับใจเมื่อพิจารณาถึงคลังเทคโนโลยีที่กว้างขวางของ A45 ระบบกันสะเทือนแบบปรับได้ AMG Ride Control, การปรับแต่งผู้ขับขี่ Dynamic Select, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic+ และเกียร์ Speedshift 8 จังหวะ ล้วนสามารถแยกผู้ขับออกจากประสบการณ์การขับขี่ได้ง่ายๆ แต่ด้วยการปรับเทียบและปรับแต่งที่ยอดเยี่ยม ทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและความกลมกลืน เครื่องยนต์ก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่องในความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์สันดาปของ AMG ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สี่สูบ 2 ลิตร เทอร์โบชาร์จที่สามารถสร้างกำลัง 415 แรงม้า ได้อย่างน่าเชื่อถือในปี 2025

จากประสบการณ์ของผม A45 S ยืนอยู่ตรงข้าม Audi RS3 โดยตรงในฐานะคู่แข่งหลัก ทั้งคู่เป็นรถแฮทช์แบ็กพรีเมียมขับเคลื่อนสี่ล้อจากเยอรมนีที่มีพละกำลังประมาณ 400 แรงม้า ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีการแข่งขันกันอย่างต่อเนื่อง และพยายามที่จะสร้างความสมดุลที่ลงตัวระหว่างความเร็วและความสนุก แต่ยังมีทางเลือกอื่นๆ อีกด้วย Honda Civic Type R คือสุดยอดรถฮอตแฮทช์ที่เน้นความดิบ และ Toyota GR Yaris ก็คือรถซูเปอร์แฮทช์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีรสชาติแตกต่างกันไป

บทสรุปและคำเชิญชวน

จากประสบการณ์กว่า 10 ปีในวงการยานยนต์ ผมกล้ากล่าวได้ว่าปี 2025 คือจุดสูงสุดของเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ผสานเข้ากับสมรรถนะได้อย่างไร้รอยต่อ รถยนต์ที่เราได้กล่าวถึงไปข้างต้น ไม่ใช่แค่เครื่องจักรที่รวดเร็ว แต่คือผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรมที่ redefine ขีดจำกัดของสิ่งที่เป็นไปได้บนท้องถนน พวกมันพิสูจน์ให้เห็นว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ไม่ได้เป็นเพียงตัวช่วยในการยึดเกาะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอที่ทำให้รถยนต์เหล่านี้มีบุคลิกเฉพาะตัว มอบทั้งความปลอดภัย ความตื่นเต้น และความสามารถในการรับมือกับทุกสภาพเส้นทาง

แต่ละคันในรายชื่อนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าคุณจะหลงใหลในความหรูหราที่มาพร้อมพละกำลังดิบของ Ferrari Purosangue ความแม่นยำทางวิศวกรรมของ Porsche 911 Carrera 4 GTS หรือความคลั่งไคล้ในการเข้าโค้งของ Toyota GR Yaris รถยนต์เหล่านี้คือตัวแทนของนวัตกรรมยานยนต์ที่แท้จริง

เราขอเชิญชวนให้คุณสัมผัสอนาคตของการขับขี่สมรรถนะสูงด้วยตัวคุณเอง หรือร่วมแบ่งปันความคิดเห็นว่ารถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อคันไหนที่ครองใจคุณมากที่สุดในปี 2025 เราเชื่อว่าการได้สัมผัสและทดลองขับจะเป็นประสบการณ์ที่เปิดโลกทัศน์ของคุณ และอาจนำคุณไปสู่การค้นพบ “รถคันต่อไป” ที่สมบูรณ์แบบสำหรับจิตวิญญาณแห่งการขับขี่ของคุณ

Previous Post

N1712153 แฟนข เหน ยวแบบน ทำไง part 2

Next Post

N1712152 เร องว นวาย เก ดข นภายในร านชำ part 2

Next Post
N1712152 เร องว นวาย เก ดข นภายในร านชำ part 2

N1712152 เร องว นวาย เก ดข นภายในร านชำ part 2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N1712162 แม วแบบน งจะอย ไหม part 2
  • N1712160 อย าแต งนะ part 2
  • N1912006 ไม ยอมให ใครหน าไหนมาร งแก #ตอนแรก part 2
  • N1912001 สาม ดไม องทำการร อให นซาก part 2
  • N1912003 หน าตาด ทำไม ไม หาผ ชายเปย part 2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • July 2025
  • June 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.