ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
ตำนานบทสุดท้ายของ Bentley W12 Speed: มรดกแห่งวิศวกรรมที่ไร้กาลเวลา สู่ยุคใหม่ 2025
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในแวดวงยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลกมาอย่างใกล้ชิด และปี 2025 นี้เป็นช่วงเวลาที่เรามองย้อนกลับไปถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งจุดหนึ่ง นั่นคือการอำลาเครื่องยนต์ W12 อันเป็นเอกลักษณ์ของ Bentley ซึ่งปิดฉากสายการผลิตไปเมื่อเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา การยุติบทบาทของขุมพลังระดับตำนานนี้ ไม่ใช่เพียงการสิ้นสุดของเครื่องยนต์ หากแต่เป็นการปิดฉากหน้าประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอัครยนตรกรรมสมรรถนะสูง มันคือมรดกที่ Bentley Speed ทิ้งไว้ให้กับโลกยานยนต์ ก่อนที่แบรนด์จะก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานไฟฟ้าเต็มตัว ภายใต้กลยุทธ์ Beyond100 อันทะเยอทะยาน
Bentley Speed ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งสมรรถนะและความหรูหราที่ Bentley มอบให้กับลูกค้ามานานกว่าสองทศวรรษ นับตั้งแต่ปี 2546 โดยรวบรวมรุ่นเรือธงอย่าง Continental GT Speed, Continental GT Convertible Speed, Flying Spur Speed และ Bentayga Speed เข้าไว้ด้วยกัน แต่ละรุ่นได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Bentley ในการสร้างสรรค์รถยนต์ที่ไม่เพียงแต่รวดเร็ว แต่ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นและประณีตไร้ที่ติ ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของ Bentley Speed W12 จากมุมมองของผู้ที่เข้าใจถึงคุณค่าและวิศวกรรมอันล้ำเลิศนี้อย่างแท้จริง พร้อมสำรวจว่าทำไมมันถึงกลายเป็นตำนานที่ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึงในปัจจุบันและอนาคตของตลาดรถยนต์หรู
W12: หัวใจอันเร้าใจที่ขับเคลื่อนตำนานกว่าสองทศวรรษ
หากจะพูดถึง Bentley Speed คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหัวใจหลักที่ทำให้มันเป็นที่จดจำคือเครื่องยนต์ W12 TSI ขนาด 6.0 ลิตรแบบทวินเทอร์โบ ซึ่งเป็นผลงานวิศวกรรมอันปราดเปรื่องที่ Bentley ได้พัฒนาและปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่องตลอด 20 ปี เครื่องยนต์ W12 ไม่ใช่แค่การนำกระบอกสูบมารวมกัน แต่เป็นการจัดเรียงที่ซับซ้อนและชาญฉลาด ทำให้ได้กำลังมหาศาลในขนาดที่กะทัดรัดกว่าเครื่องยนต์ V12 ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงชีวิตการผลิตของมัน พละกำลังได้เพิ่มขึ้นกว่า 37% และแรงบิดเพิ่มขึ้น 54% ในขณะที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 25% ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความอัจฉริยะในการออกแบบและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
เครื่องยนต์ W12 ที่ติดตั้งในรุ่น Speed ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อมอบสมรรถนะสูงสุด ยกตัวอย่างเช่น ใน Continental GT Speed พละกำลังจากเครื่องยนต์ W12 ได้รับการรีดเค้นสูงสุดถึง 650 แรงม้า พร้อมแรงบิดมหาศาล 900 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับรถยนต์ Grand Tourer ที่ยังคงให้ความสะดวกสบายและความหรูหราอย่างเต็มเปี่ยม เครื่องยนต์นี้คือขีดสุดของเทคโนโลยีสันดาปภายในของ Bentley ที่ผสมผสานระบบการปิดการทำงานของกระบอกสูบ (Cylinder Deactivation) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเชื้อเพลิง ระบบฉีดเชื้อเพลิงแบบ Direct และ Port Injection เพื่อการเผาไหม้ที่สมบูรณ์แบบ และเทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ที่ให้การตอบสนองที่ฉับไวและต่อเนื่อง
ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคที่พลังงานไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทสำคัญ เครื่องยนต์ W12 จะยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคทองของวิศวกรรมเครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันขีดจำกัดของสมรรถนะและความน่าเชื่อถือ นี่คือเครื่องยนต์ที่ไม่ได้เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของรถ แต่เป็นจิตวิญญาณที่มอบประสบการณ์การขับขี่อันเร้าใจและไม่อาจลืมเลือนให้กับผู้ที่ได้สัมผัส
ปรัชญา “Speed”: นิยามใหม่ของสมรรถนะอันหรูหรา
คำว่า “Speed” ในบริบทของ Bentley ไม่ได้หมายถึงความเร็วสูงสุดเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการผสมผสานระหว่างสมรรถนะอันร้อนแรงเข้ากับความประณีตหรูหราที่ไม่อาจหาใครเทียบได้ ปรัชญา Speed คือการสร้างสรรค์รถยนต์ที่สามารถมอบความเร้าใจในสนามแข่ง และยังคงให้ความสะดวกสบายเหนือระดับสำหรับการเดินทางระยะไกล หรือแม้แต่การขับขี่ในชีวิตประจำวันอย่างมีสไตล์ นี่คือการตีความใหม่ของคำว่า “สมรรถนะ” ซึ่งรวมถึงการควบคุมที่เฉียบคม การตอบสนองที่รวดเร็ว และความมั่นใจในทุกสภาวะการขับขี่
Bentley Speed แต่ละรุ่นถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยความใส่ใจในรายละเอียดอย่างสูงสุด ทั้งภายนอกและภายใน ล้วนสะท้อนถึงความสปอร์ตและความโฉบเฉี่ยวที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งด้วยโลโก้และงานปักคำว่า ‘Speed’ บนเบาะนั่ง หรือการออกแบบการเย็บตะเข็บแบบเฉพาะรุ่น ที่เน้นย้ำถึงความพิเศษไม่เหมือนใคร นี่คือการยืนยันว่า Bentley Speed ไม่ได้เป็นเพียงรถยนต์สมรรถนะสูงทั่วไป แต่เป็นอัครยนตรกรรมที่ได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่มองหาสิ่งที่ดีที่สุดในทุกมิติ
Continental GT Speed: อัครยนตรกรรม Grand Tourer ที่เร็วและสง่างามที่สุด
Continental GT Speed คือหัวใจสำคัญของปรัชญา Speed ของ Bentley โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดรถยนต์หรูสมรรถนะสูง นี่คือรถ Grand Tourer ที่ผสมผสานความสง่างามเข้ากับขุมพลังอันน่าทึ่งได้อย่างลงตัว ด้วยเครื่องยนต์ W12 ที่ได้รับการปรับแต่งให้มอบพละกำลังสูงสุดถึง 650 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำให้ Continental GT Speed สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 3.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุดถึง 335 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงความเร็วเปล่า ๆ แต่ยังหมายถึงการส่งกำลังที่ราบรื่นและต่อเนื่อง ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นแต่ยังคงความประณีต
รูปลักษณ์ภายนอกของ Continental GT Speed โดดเด่นด้วยชุดแต่ง Styling Specification รอบคันที่ผลิตจากคาร์บอนมันวาวสีดำ น้ำหนักเบา และออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด กระจังหน้าและกระจังกันชนด้านล่างเฉดสีเข้มแบบ Dark Tint รวมถึงกาบประตูห้องโดยสารแบบ ‘Speed’ และปลายท่อไอเสียรูปทรงรี ล้วนตอกย้ำถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวและขีดความสามารถด้านสมรรถนะ ล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้ว ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษและมีให้เลือกหลายเฉดสี ทั้งสีเงินสว่างหรือสีดำเงาดุดัน ก็ยิ่งเสริมความสมบูรณ์แบบให้กับรูปลักษณ์ภายนอกที่ทั้งโฉบเฉี่ยวและหรูหรา
ภายในห้องโดยสารคืออาณาจักรแห่งความสปอร์ตและความหรูหราที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว การนำวัสดุหนัง Alcantara® ซึ่งนิยมใช้ในรถแข่ง มาใช้ในการตกแต่ง ทั้งเบาะรองนั่ง แผงพนักพิงหลัง คันเกียร์ พวงมาลัย และแผงบุหลังคา พร้อมงานปักคำว่า ‘Speed’ บนเบาะโดยสาร และการออกแบบการเย็บแบบตัดกันในรูปแบบ Mulliner Driving Specification ลายเพชร ล้วนเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน การตกแต่งภายในยังสามารถปรับแต่งได้หลากหลาย ทั้งเฉดสีหลักและรอง รวมถึงวัสดุวีเนียร์คุณภาพสูงอย่าง Piano Black, Crown Cut Walnut หรือ Dark Fiddleback Eucalyptus เพื่อให้เจ้าของได้รังสรรค์พื้นที่ส่วนตัวที่สะท้อนถึงรสนิยมอย่างแท้จริง
Flying Spur Speed: สุดยอดซีดานสมรรถนะสูงที่มาพร้อมความหรูหราเหนือระดับ
สำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหราในรูปแบบซีดาน 4 ประตู พร้อมด้วยสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ Flying Spur Speed คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ มันคืออัครยนตรกรรมที่พิสูจน์ว่าความเร็วและความสะดวกสบายระดับเฟิร์สคลาสสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างไร้ที่ติ ด้วยขุมพลัง W12 ที่มอบพละกำลัง 626 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำให้ซีดานคันยักษ์นี้สามารถทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับรถซีดานขนาดใหญ่
การออกแบบภายนอกของ Flying Spur Speed เน้นย้ำถึงความสปอร์ตและความสง่างาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่นที่มาพร้อมกับ Blackline Specification ซึ่งเปลี่ยนชิ้นส่วนโครเมียมภายนอกทั้งหมดให้เป็นเฉดสีดำ ไม่ว่าจะเป็น Flying ‘B’ มาสคอตอันโด่งดัง กระจังหน้าเมทริกซ์ กรอบหน้าต่าง กรอบประตู และกันชนหลัง รวมถึงกรอบไฟหน้า ไฟท้าย มือจับประตู และช่องระบายอากาศ ล้วนเป็นสีดำเข้ม ทำให้ Flying Spur Speed มีรูปลักษณ์ที่ดุดันและลึกลับยิ่งขึ้น นี่คือการผสมผสานระหว่างความหรูหราแบบคลาสสิกกับความทันสมัยที่สะท้อนถึงพลังภายใน
ภายในห้องโดยสารของ Flying Spur Speed ยังคงรักษามาตรฐานความหรูหราและความสะดวกสบายสูงสุดของ Bentley ไว้ได้อย่างครบถ้วน พร้อมการตกแต่งที่สอดรับกับความสปอร์ตของรุ่น Speed ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Alcantara ในบางส่วน หรือการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงอื่นๆ ผนวกกับการปรับแต่งส่วนบุคคลที่ไร้ขีดจำกัด ผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลังจะได้รับประสบการณ์การเดินทางที่เหนือระดับอย่างแท้จริง ซึ่ง Flying Spur Speed ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสมรรถนะอันยอดเยี่ยมไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถสปอร์ต 2 ประตูเท่านั้น
Bentayga Speed: การยกระดับ SUV สู่จุดสูงสุดแห่งความเร็วและศักดิ์ศรี
เมื่อ Bentley ก้าวเข้าสู่ตลาด SUV ด้วย Bentayga มันก็ยกระดับมาตรฐานของรถยนต์ในเซกเมนต์นี้ไปอีกขั้น และ Bentayga Speed คือสุดยอดแห่ง SUV สมรรถนะสูงที่มาพร้อมกับขุมพลัง W12 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ขนาด 6.0 ลิตร มอบพละกำลังสูงสุด 626 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำให้ Bentayga Speed สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.9 วินาทีเท่านั้น นี่คือ SUV ที่เร็วที่สุดรุ่นหนึ่งในโลก และยังคงรักษาความสะดวกสบายและความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ของ Bentley ไว้ได้อย่างครบถ้วน
ความโดดเด่นของ Bentayga Speed ไม่ได้มีแค่เรื่องความเร็ว แต่ยังรวมถึงการออกแบบที่เน้นย้ำถึงความสปอร์ตและความแข็งแกร่ง ด้วยสปอยเลอร์ท้ายที่โดดเด่น และการตกแต่งที่สื่อถึงสมรรถนะอันเหนือชั้น ตัวถังที่สง่างามผสานกับการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว ทำให้ Bentayga Speed เป็น SUV ที่ดูน่าเกรงขามและหรูหราไปพร้อมกัน ภายในห้องโดยสารยังคงเป็นอาณาจักรแห่งความประณีตบรรจง พร้อมตัวเลือกวัสดุและการตกแต่งที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มองหา SUV ที่ไม่เหมือนใคร
Bentayga Speed ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของวิศวกรรม Bentley ในการนำขุมพลัง W12 มาปรับใช้กับรถยนต์ SUV ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ลดทอนคุณลักษณะเด่นด้านการขับขี่และความสะดวกสบายลงเลย มันเป็นรถที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะสำหรับการเดินทางในเมือง การผจญภัยในเส้นทางออฟโรดเบาๆ หรือการขับขี่บนทางหลวงด้วยความเร็วสูงอย่างมั่นใจ นี่คือ SUV ที่เป็นมากกว่าแค่รถยนต์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและรสนิยม
เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะ: ควบคุมทุกพลังอย่างแม่นยำ
พลังอันมหาศาลของเครื่องยนต์ W12 ในรุ่น Speed จะไร้ความหมายหากปราศจากระบบควบคุมที่ชาญฉลาดและแม่นยำ Bentley จึงได้ติดตั้งเทคโนโลยีขับเคลื่อนขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนกำลังดิบให้เป็นประสบการณ์การขับขี่ที่มั่นคง ปลอดภัย และเร้าใจในทุกสถานการณ์
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟ (Advanced Active All-Wheel Drive): ระบบนี้จะปรับการกระจายแรงบิดไปยังล้อทั้งสี่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รถมีเสถียรภาพสูงสุดและยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือการขับขี่บนพื้นผิวที่ลื่น
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic All-Wheel Steering): นี่คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุด ที่ช่วยเพิ่มทั้งความคล่องตัวและความเสถียร ในขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ล้อหลังจะบังคับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ทำให้ระยะฐานล้อสั้นลง วงเลี้ยวแคบลง การจอดรถในพื้นที่จำกัดจึงทำได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ล้อหลังจะบังคับไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า เพื่อเพิ่มความเสถียรในการเปลี่ยนเลนหรือแซง ทำให้ผู้ขับขี่มั่นใจยิ่งขึ้น
ระบบ Bentley Dynamic Ride (Bentley Dynamic Ride System): ระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้า 48 โวลต์นี้ เป็นเทคโนโลยีแรกของโลกที่ใช้ไฟฟ้า ระบบจะตอบสนองต่อแรงเหวี่ยงด้านข้างทันทีที่เข้าโค้ง เพื่อให้ยางยึดเกาะพื้นถนนได้มากที่สุด ลดอาการโคลงเคลงของตัวรถ เพิ่มความเสถียรและความสบายในห้องโดยสารอย่างเห็นได้ชัด
ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (Torque Vectoring by Brake): ระบบนี้จะช่วยควบคุมแรงบิดให้ล้อสัมพันธ์กับความเร็ว ทำให้รถทรงตัวบนถนนได้อย่างสมดุลและตอบสนองต่อการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเข้าโค้ง ช่วยให้รถเลี้ยวได้อย่างเฉียบคมและแม่นยำ
เทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน ทำให้ Bentley Speed ไม่ใช่แค่รถที่เร็ว แต่ยังเป็นรถที่ฉลาดและเข้าใจในความต้องการของผู้ขับขี่อย่างลึกซึ้ง มอบความสมดุลระหว่างสมรรถนะและความสะดวกสบายที่หาตัวจับยาก
งานฝีมือและการปรับแต่ง: การรังสรรค์เอกลักษณ์เฉพาะคุณ
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Bentley แตกต่างจากแบรนด์รถยนต์หรูอื่นๆ คือความสามารถในการปรับแต่งส่วนบุคคลอย่างไม่จำกัด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของประสบการณ์ Bentley Speed ลูกค้าสามารถรังสรรค์อัครยนตรกรรมในฝันได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเฉดสีภายนอกที่มีให้เลือกมากถึง 17 เฉดสีมาตรฐาน และอีก 47 เฉดสีพิเศษ รวมถึงเฉดสีจาก Mulliner ซึ่งเป็นแผนกผลิตรถยนต์สั่งทำพิเศษของ Bentley นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกเฉดสีแบบดูโอโทนอีก 24 เฉดสี หรือแม้แต่การรังสรรค์เฉดสีใหม่ด้วยการเทียบงานสีเข้ากับเฉดสีของวัสดุอื่นๆ ที่ลูกค้าต้องการ นี่คืออิสระในการแสดงออกถึงรสนิยมและความเป็นตัวเองอย่างแท้จริง
ภายในห้องโดยสาร การปรับแต่งยิ่งมีความละเอียดอ่อนและหลากหลาย ด้วยตัวเลือกเฉดสีหนังหลัก 15 เฉดสี และเฉดสีรอง 11 เฉดสี รวมถึงการใช้หนัง Alcantara ในการตกแต่งส่วนต่างๆ พร้อมกับตัวเลือกวัสดุวีเนียร์ที่มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น Piano Black ซึ่งเป็นตัวเลือกมาตรฐาน หรือจะเป็น Crown Cut Walnut, Dark Burr Walnut, Dark Fiddleback Eucalyptus และ Koa ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งหายาก ล้วนถูกคัดสรรมาอย่างดีเพื่อสร้างบรรยากาศที่หรูหราและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล ช่างฝีมือของ Bentley จะใช้ความประณีตและความใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกรายละเอียดตรงตามความต้องการของลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
การบริการปรับแต่งเฉพาะบุคคลโดย Mulliner ยังคงเป็นจุดสูงสุดของการรังสรรค์อัครยนตรกรรม Bentley การทำงานร่วมกับช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ ทำให้ลูกค้าสามารถสร้างสรรค์รถยนต์ที่ไม่ซ้ำใคร สะท้อนถึงบุคลิกและไลฟ์สไตล์ของตนเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด นี่คือสิ่งที่ทำให้การเป็นเจ้าของ Bentley Speed เป็นมากกว่าการซื้อรถยนต์ แต่มันคือการเป็นเจ้าของผลงานศิลปะเคลื่อนที่ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ
มรดกและอนาคต: ก้าวต่อไปของ Bentley สู่ยุค Beyond100
การสิ้นสุดการผลิตเครื่องยนต์ W12 ในเดือนเมษายน 2567 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Bentley แต่มันไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดของนวัตกรรมหรือสมรรถนะ หากแต่เป็นการประกาศจุดเริ่มต้นของบทใหม่ที่น่าตื่นเต้นภายใต้กลยุทธ์ Beyond100 ของ Bentley ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้ผลิตอัครยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายในปี 2030
เครื่องยนต์ W12 ได้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมที่สำคัญ ระหว่างมรดกอันยาวนานของ Bentley กับอนาคตที่ยั่งยืน มันได้พิสูจน์ถึงความสามารถในการสร้างสรรค์ขุมพลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของยุค และในขณะเดียวกันก็ผลักดันขีดจำกัดด้านประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงอย่างต่อเนื่อง บทเรียนและนวัตกรรมที่ได้จากเครื่องยนต์ W12 จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจและเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของ Bentley ในอนาคต
อนาคตของ Bentley Speed จะยังคงยึดมั่นในปรัชญาเดิม นั่นคือการมอบสมรรถนะที่เหนือชั้นควบคู่ไปกับความหรูหราและประณีต เพียงแต่ขุมพลังจะเปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า Bentley มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์รถยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงรักษาสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ อัตราเร่งที่ฉับไว และความประณีตในการควบคุมอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้อย่างครบถ้วน โดยผสานเข้ากับเทคโนโลยีแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัย เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่คือการก้าวสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย แต่ Bentley ก็พร้อมที่จะพิสูจน์ให้โลกเห็นอีกครั้งว่าพวกเขาสามารถนิยามคำว่า “หรูหรา” และ “สมรรถนะ” ในยุคพลังงานไฟฟ้าได้อย่างไร
บทสรุป: ความทรงจำที่ไม่เลือนหายของสุดยอดขุมพลัง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอยืนยันว่า Bentley Speed W12 คือตำนานที่คู่ควรแก่การจดจำ มันเป็นสัญลักษณ์ของวิศวกรรมยานยนต์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของยุค สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Bentley ในการสร้างสรรค์อัครยนตรกรรมที่เหนือกว่าความคาดหมายในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ที่สง่างาม สมรรถนะที่เร้าใจ หรือการตกแต่งภายในที่ประณีตไร้ที่ติ
แม้ว่าการผลิตเครื่องยนต์ W12 จะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่จิตวิญญาณแห่ง Speed และมรดกแห่งนวัตกรรมยังคงอยู่ และจะถูกส่งต่อไปยัง Bentley ในยุคใหม่ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอประสบการณ์การขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ของ Bentley ให้กับคนรุ่นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ W12 ในอดีต หรือขุมพลังไฟฟ้าในอนาคต แก่นแท้ของ Bentley คือการแสวงหาความเป็นเลิศอย่างไม่หยุดยั้ง
หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่หลงใหลในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของยานยนต์ หรือกำลังมองหาอัครยนตรกรรมที่จะนำคุณไปสู่อนาคตที่น่าตื่นเต้น ผมขอเชิญชวนให้คุณได้สัมผัสกับมรดกของ Bentley Speed W12 และเตรียมพร้อมสำหรับบทต่อไปของ Bentley ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางอันน่าทึ่งนี้ และค้นพบว่าทำไม Bentley จึงยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์หรูสมรรถนะสูงเสมอมา
Bentley Speed และมรดก W12: บทสุดท้ายของขุมพลังระดับตำนาน ก่อนการพลิกโฉมสู่ยุคไฟฟ้า 2025
ในโลกแห่งยนตรกรรมหรูที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง มีเพียงไม่กี่แบรนด์ที่สามารถสร้างสรรค์ตำนานอันเป็นที่จดจำ และ Bentley คือหนึ่งในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตระกูล “Speed” ซึ่งเป็นตัวแทนของสมรรถนะสูงสุดผสานความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ขับเคลื่อนด้วยหัวใจสำคัญอย่างเครื่องยนต์ W12 อันทรงพลัง ที่วันนี้กำลังจะปิดฉากบทบาทของตัวเองลง นับเป็นการส่งท้ายยุคทองของเครื่องยนต์สันดาป ก่อนที่ Bentley จะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวในปี 2025 และปีต่อๆ ไป
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์หรูมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของ Bentley และการเดินทางของเครื่องยนต์ W12 ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบทสรุป การทำความรู้จักกับ Bentley Speed ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่การชื่นชมความสำเร็จทางวิศวกรรม แต่เป็นการทำความเข้าใจถึงมรดกอันล้ำค่าและทิศทางในอนาคตของอัครยนตรกรรมระดับโลกนี้
หัวใจแห่งขุมพลัง W12: วิศวกรรมระดับตำนาน
เครื่องยนต์ W12 ขนาด 6.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่หล่อเลี้ยงตระกูล Speed มาตั้งแต่ปี 2546 หรือกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยการออกแบบที่ซับซ้อนแต่เปี่ยมประสิทธิภาพ เครื่องยนต์ W12 ไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งพลังงาน แต่คือสัญลักษณ์ของความเหนือชั้นทางวิศวกรรมของ Bentley มันมอบทั้งพละกำลังอันมหาศาล แรงบิดที่เหลือเฟือ และการทำงานที่นุ่มนวลอย่างน่าทึ่ง ยากที่จะหาเครื่องยนต์ใดมาเทียบเคียง
ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ทีมวิศวกรของ Bentley ได้ทุ่มเทพัฒนาเครื่องยนต์ W12 อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังที่เพิ่มขึ้นกว่า 37% และแรงบิดที่เพิ่มขึ้น 54% ในขณะที่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 25% ด้วยนวัตกรรมระบบควบคุม การออกแบบระบบเชื้อเพลิงและระบายความร้อนที่ล้ำสมัย รวมถึงเทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์และระบบหัวฉีดที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ “สุดยอดยนตรกรรม” ที่ไม่เพียงแค่เร็วและแรง แต่ยังคำนึงถึงประสิทธิภาพและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเท่าที่จะทำได้ในยุคเครื่องยนต์สันดาป
เครื่องยนต์ W12 มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการจัดวางกระบอกสูบแบบ ‘W’ ที่กะทัดรัดกว่าเครื่องยนต์ V12 ทั่วไป ทำให้สามารถติดตั้งในแพลตฟอร์มรถยนต์ได้อย่างลงตัว โดยไม่ลดทอนพื้นที่ภายในห้องโดยสาร และยังคงให้การกระจายน้ำหนักที่ดีเยี่ยม สิ่งนี้ส่งผลโดยตรงต่อสมรรถนะการขับขี่ที่มั่นคงและคล่องตัวในทุกย่านความเร็ว ความพิเศษของเสียงเครื่องยนต์ W12 ที่กระหึ่มอย่างมีพลังแต่ยังคงความประณีต ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เครื่องยนต์นี้กลายเป็นที่ปรารถนาของผู้หลงใหลในยานยนต์ระดับพรีเมียม
Bentley Speed: สุนทรียภาพแห่งความเร็วในทุกมิติ
ตระกูล Bentley Speed ได้รับการรังสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองผู้ที่แสวงหาที่สุดแห่งสมรรถนะในการขับขี่ โดยไม่ทิ้งซึ่งความหรูหราและงานฝีมืออันประณีตที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Continental GT Speed, Flying Spur Speed หรือ Bentayga Speed ล้วนเป็นบทสรุปของปรัชญา “Speed” ที่ Bentley ยึดมั่นมาโดยตลอด
Continental GT Speed: สปอร์ตคูเป้ผู้สง่างาม
Continental GT Speed คือที่สุดของ Grand Tourer ที่ผสานสมรรถนะรถสปอร์ตเข้ากับความหรูหราได้อย่างลงตัว ด้วยขุมพลัง W12 TSI ที่ได้รับการปรับแต่งพิเศษ ให้พละกำลังสูงสุด 650 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร สามารถทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 335 กม./ชม. ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้บอกเล่าแค่ความเร็ว แต่ยังสะท้อนถึงวิศวกรรมอันชาญฉลาดที่ทำให้รถคูเป้สุดหรูคันนี้สามารถส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจอย่างแท้จริง
การออกแบบภายนอกของ Continental GT Speed สื่อถึงความสปอร์ตและความโฉบเฉี่ยวอย่างชัดเจน ด้วยชุดแต่ง Styling Specification ที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์มันวาว น้ำหนักเบา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ กระจังหน้าและกระจังกันชนด้านล่างสีเข้ม Dark Tint รวมถึงล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้วดีไซน์เฉพาะรุ่น ที่มีให้เลือกทั้งสีเงิน สีเข้ม หรือสีดำเงา ฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ ‘Jewel’ และปลายท่อไอเสียรูปทรงรี ล้วนเป็นรายละเอียดที่บ่งบอกถึง “ความพิเศษเฉพาะตัว” ของรุ่น Speed
ภายในห้องโดยสารคืออาณาจักรแห่งความหรูหราที่ผสานกลิ่นอายรถแข่งอย่างลงตัว ด้วยการเลือกใช้วัสดุ Alcantara® ในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเบาะรองนั่ง แผงพนักพิงหลัง คันเกียร์ พวงมาลัย และแผงบุหลังคา พร้อมงานปักคำว่า ‘Speed’ บนเบาะ และการเย็บตะเข็บแบบตัดกันในลวดลายเพชร Mulliner Driving Specification อันเป็นเอกลักษณ์ ไม่เพียงแค่ความสวยงาม แต่ยังมอบสัมผัสที่พิเศษและแตกต่างอย่างแท้จริง
Flying Spur Speed: ลีมูซีนสมรรถนะสูง
Flying Spur Speed คือบทพิสูจน์ว่ารถลีมูซีนก็สามารถเป็นรถสมรรถนะสูงได้ ด้วยพละกำลัง 626 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำให้ Flying Spur Speed สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 333 กม./ชม. มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้รถสปอร์ต โดยยังคงรักษาความสะดวกสบายและความหรูหราขั้นสูงสุดสำหรับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ภายนอกโดดเด่นด้วยชุดแต่ง Blackline Specification ที่มาพร้อมกับโทนสีดำสนิท ไม่ว่าจะเป็นมาสคอต Flying ‘B’ อันเลื่องชื่อ กระจังหน้าแบบเมทริกซ์ กรอบหน้าต่าง กรอบประตู และกันชนหลัง ไปจนถึงกรอบไฟหน้า ไฟท้าย และมือจับประตู ล้วนเป็นสีดำเข้ม ทำให้ Flying Spur Speed ดูดุดันและลึกลับยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นความงามที่ซ่อนเร้นสมรรถนะอันทรงพลังไว้ภายใน
ภายในห้องโดยสารของ Flying Spur Speed ก็ยังคงรังสรรค์ด้วยวัสดุ Alcantara และหนังแท้คุณภาพสูง การตกแต่งที่พิถีพิถัน และตัวเลือกในการปรับแต่งเฉพาะบุคคลที่หลากหลาย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Bentley ในการสร้างสรรค์ยนตรกรรมที่ไม่เป็นรองใคร ทั้งในด้านความเร็ว ความสง่างาม และความสะดวกสบาย
Bentayga Speed: SUV หรูที่เร็วที่สุดในโลก
Bentayga Speed ได้ยกระดับมาตรฐานของรถ SUV หรูไปอีกขั้น ด้วยเครื่องยนต์ W12 เทอร์โบคู่ขนาด 6.0 ลิตร ที่มอบพละกำลังสูงสุด 626 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำให้ Bentayga Speed สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 306 กม./ชม. สถิตินี้ทำให้ Bentayga Speed เป็น SUV ที่เร็วที่สุดในโลก ณ เวลาที่เปิดตัว สะท้อนถึงประสิทธิภาพที่ไม่ธรรมดา
การออกแบบของ Bentayga Speed ถูกเติมเต็มด้วยความสปอร์ตที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยสปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่ที่โดดเด่น ช่องระบายอากาศสีเข้ม และโลโก้ ‘Speed’ แบบโครเมียมบนบังโคลนหน้า ล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้วดีไซน์เฉพาะรุ่น ก็ช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดูทรงพลังและดุดันยิ่งขึ้น
ภายในห้องโดยสารยังคงรักษาความหรูหราและฟังก์ชันการใช้งานของ SUV ไว้ครบถ้วน แต่เพิ่มความพิเศษด้วยรายละเอียดเฉพาะรุ่น Speed เช่น การใช้ Alcantara ในส่วนต่างๆ และงานปัก ‘Speed’ บนเบาะ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ พร้อมความสะดวกสบายและความอเนกประสงค์สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
การปรับแต่งเฉพาะบุคคล: เอกสิทธิ์แห่งความหรูหรา
หนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ Bentley โดดเด่นในตลาด “รถยนต์พรีเมียม” คือความสามารถในการปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Bespoke Customization) ลูกค้าสามารถเลือกเฉดสีภายนอกได้จาก 17 เฉดสีมาตรฐาน และอีก 47 เฉดสีพิเศษหรือจาก Mulliner รวมถึงตัวเลือกแบบดูโอโทนอีก 24 เฉดสี หรือแม้กระทั่งการเทียบเฉดสีตามความต้องการจากวัสดุอื่น ๆ ที่ลูกค้านำมาเอง
ภายในห้องโดยสารก็ไม่ต่างกัน ด้วยตัวเลือกเฉดสีหลัก 15 เฉดสี และเฉดสีรองอีก 11 เฉดสี รวมถึงการเลือกใช้วัสดุวีเนียร์หลากหลายรูปแบบ อาทิ Piano Black, Crown Cut Walnut, Dark Burr Walnut, Dark Fiddleback Eucalyptus และ Koa ทุกรายละเอียดสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามรสนิยมและความปรารถนาของเจ้าของ แสดงให้เห็นถึง “งานฝีมือเบนท์ลีย์” ที่พิถีพิถันและการสร้างสรรค์ “ดีไซน์รถยนต์หรู” ที่สะท้อนตัวตนได้อย่างแท้จริง
ระบบขับขี่อัจฉริยะ: ควบคุมได้อย่างแม่นยำ มั่นคงทุกย่านความเร็ว
เพื่อให้สมรรถนะอันมหาศาลของเครื่องยนต์ W12 สามารถถ่ายทอดสู่ท้องถนนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย Bentley Speed ได้รับการติดตั้งด้วยระบบช่วงล่างและระบบขับขี่อัจฉริยะที่ล้ำสมัยที่สุดในอุตสาหกรรม “เทคโนโลยีรถยนต์ขั้นสูง” เหล่านี้ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัส “การควบคุมที่แม่นยำ” และ “ความเสถียรสูงสุด” ในทุกสถานการณ์
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟขั้นสูง (Advanced Active All-Wheel Drive): ระบบนี้จะกระจายกำลังไปยังล้อทั้งสี่ได้อย่างชาญฉลาดและรวดเร็ว เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนสูงสุดในทุกสภาพการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางโค้ง ระบบจะปรับอัตราส่วนการส่งกำลังหน้า-หลังตามความเหมาะสมแบบเรียลไทม์ ทำให้รถทรงตัวได้ดีเยี่ยม
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic All-Wheel Steering): นี่คือนวัตกรรมที่เพิ่มทั้งความคล่องตัวในความเร็วต่ำ และความมั่นคงในความเร็วสูง ในขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ล้อหลังจะบังคับเลี้ยวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ทำให้วงเลี้ยวแคบลง การกลับรถหรือจอดรถในพื้นที่จำกัดเป็นเรื่องง่ายขึ้น แต่เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ล้อหลังจะบังคับเลี้ยวไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า เพิ่มความเสถียรในการเปลี่ยนเลน หรือการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกมั่นใจและปลอดภัย
Bentley Dynamic Ride System: นี่คือระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้า 48 โวลต์ ระบบแรกของโลก ระบบนี้จะตอบสนองต่อแรงเหวี่ยงด้านข้างในทันทีเมื่อรถเข้าโค้ง โดยจะปรับความแข็งของเหล็กกันโคลงเพื่อรักษาให้ยางยึดเกาะถนนให้มากที่สุด ลดอาการโคลงตัวของรถอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ภายในห้องโดยสารมีความเสถียรสูงสุด ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบาย และผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (Torque Vectoring by Brake): ช่วยควบคุมแรงบิดที่ส่งไปยังล้อแต่ละข้างให้สัมพันธ์กับความเร็วและการเลี้ยว เพื่อให้รถทรงตัวบนถนนได้อย่างสมดุลและตอบสนองต่อการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น
การผสมผสานของ “ระบบขับขี่อัจฉริยะ” เหล่านี้ ทำให้ Bentley Speed มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ ไม่ใช่แค่ความเร็วที่พุ่งทะยาน แต่ยังรวมถึงความมั่นใจ ความปลอดภัย และความสบายที่ไม่มีใครเทียบได้
อนาคตแห่ง Bentley: ก้าวสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบในปี 2025
การสิ้นสุดการผลิตเครื่องยนต์ W12 ในเดือนเมษายน 2567 (ซึ่งในบริบทของปี 2025 คือการสิ้นสุดไปแล้ว) เป็นหมุดหมายสำคัญที่ Bentley Motors ได้ประกาศไว้ภายใต้กลยุทธ์ “Beyond100” ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นในการก้าวสู่การเป็นผู้ผลิต “รถยนต์พลังงานสะอาด” และ “รถยนต์ไฟฟ้า Bentley” เต็มรูปแบบภายในปี 2030
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแหล่งพลังงาน แต่เป็นการพลิกโฉมปรัชญาการสร้างสรรค์ยนตรกรรมทั้งหมด Bentley ตั้งเป้าที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบรุ่นแรกในปี 2025 ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการกำหนดทิศทางของ “แบรนด์รถหรูแห่งอนาคต” คำถามสำคัญคือ Bentley จะรักษาสาระสำคัญของแบรนด์ ซึ่งก็คือความหรูหรา สมรรถนะ และงานฝีมืออันประณีต ให้คงอยู่ได้อย่างไรในยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า?
คำตอบคือ Bentley จะยังคงยึดมั่นใน DNA ของแบรนด์ แต่จะนำเสนอในรูปแบบใหม่ผ่านเทคโนโลยีไฟฟ้า ประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้แรงบิดทันที มอบ “อัตราเร่งสูงสุด” ที่เหนือกว่าเครื่องยนต์สันดาปได้ง่ายดายกว่าเดิม ความเงียบสงบของห้องโดยสารที่ไร้เสียงเครื่องยนต์จะยกระดับความหรูหราขึ้นไปอีกขั้น และการออกแบบที่ได้รับอิสระมากขึ้นจากข้อจำกัดของเครื่องยนต์สันดาป จะนำมาซึ่งสุนทรียภาพใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์ “ดีไซน์รถยนต์หรู” แห่งอนาคต
บทส่งท้าย: มรดกที่คงอยู่และการเดินทางครั้งใหม่
Bentley Speed ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ W12 ถือเป็นบทสรุปอันงดงามของยุคสมัยหนึ่งในประวัติศาสตร์ยานยนต์ มันคือผลงานชิ้นเอกที่ผสมผสานความหรูหราอันประณีตเข้ากับสมรรถนะอันดุดันได้อย่างไร้ที่ติ และเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จด้านวิศวกรรมที่หาใดเทียบเทียม ก่อนที่ Bentley จะมุ่งหน้าสู่ “ยุคยานยนต์ไฟฟ้า” และสร้างสรรค์ “นวัตกรรมยานยนต์” บทใหม่
ในฐานะที่เป็น “รถยนต์หายาก” และเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ W12 ที่กำลังจะกลายเป็นตำนาน Bentley Speed จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ยานพาหนะ แต่คือการลงทุนในงานศิลปะและวิศวกรรมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความหลงใหลอย่างแท้จริง
สำหรับผู้ที่ปรารถนาสัมผัสประสบการณ์ความหรูหราและสมรรถนะระดับตำนานของ Bentley Speed อันเป็นเครื่องยนต์ W12 ที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการขับขี่ หรือต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบทต่อไปในประวัติศาสตร์ยานยนต์กับ “Bentley electrification era” ที่กำลังจะมาถึงในปี 2025 และปีต่อๆ ไป AAS Auto Service ในฐานะผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่าย Bentley อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ยินดีต้อนรับท่านสู่โลกแห่งเอกสิทธิ์เฉพาะบุคคลและพาชมยนตรกรรมระดับโลกที่ท่านคู่ควร มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้กับเรา.

