ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
เบื้องหลังความเร็วสุดขีด: เจาะลึก Bentley Speed และบทส่งท้ายตำนานเครื่องยนต์ W12 ในปี 2025
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีในวงการยานยนต์หรูระดับโลกมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของแบรนด์ต่างๆ มากมาย แต่มีไม่กี่แบรนด์ที่จะสามารถสร้างความผูกพันทางอารมณ์และแรงบันดาลใจได้เทียบเท่า Bentley และในปี 2025 นี้ เรากำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าจดจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการกล่าวอำลาเครื่องยนต์ W12 อันเป็นสัญลักษณ์แห่งสมรรถนะที่เคยขับเคลื่อนอัครยานยนต์ตระกูล “Speed” ให้โลดแล่นอย่างสง่างามบนท้องถนนทั่วโลก
การเดินทางของเครื่องยนต์ W12 ที่ Bentley ใช้มาตั้งแต่ปี 2003 ได้สิ้นสุดลงแล้วในปี 2024 อย่างเป็นทางการ ทำให้ Bentley Speed รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ W12 กลายเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ เป็นบทส่งท้ายของยุคสมัยแห่งพลังงานสันดาปที่บริสุทธิ์และทรงพลังที่สุดของแบรนด์ ซึ่งในบทความนี้ ผมจะพาคุณเจาะลึกถึงแก่นแท้ของ Bentley Speed ในมุมมองของปี 2025 ทั้งในด้านสมรรถนะ การออกแบบ และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่ทำให้มันยังคงเป็นที่ต้องการของนักสะสมและผู้ที่หลงใหลในความเร็วและประวัติศาสตร์
W12: หัวใจแห่งสมรรถนะที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์
ก่อนที่เราจะดำดิ่งสู่รายละเอียดของแต่ละรุ่น “Speed” เราต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมเครื่องยนต์ W12 จึงมีความสำคัญและเป็นที่จดจำ เครื่องยนต์ W12 ของ Bentley ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์ทั่วไป แต่เป็นผลงานวิศวกรรมที่ซับซ้อนและเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ จากการเปิดตัวครั้งแรกในปี 2003 ด้วย Continental GT จนถึงเวอร์ชันที่ทรงพลังที่สุดในรุ่น Speed เครื่องยนต์บล็อกนี้ได้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ด้วยความมุ่งมั่นที่จะมอบพละกำลังที่เหนือชั้น แรงบิดมหาศาล และความราบรื่นในการทำงานที่ไม่มีใครเทียบได้
การสิ้นสุดสายการผลิต W12 ในโรงงาน Crewe ประเทศอังกฤษ เป็นการปิดฉากยุคทองของเครื่องยนต์ 12 สูบในโลกยานยนต์ แต่ก่อนที่ Bentley จะก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานไฟฟ้าเต็มตัว ภายใต้กลยุทธ์ Beyond100 ทางแบรนด์ได้มอบของขวัญชิ้นสุดท้ายให้กับโลก นั่นคือ Bentley Speed ในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นบทสรุปของขีดสุดแห่งวิศวกรรม W12 ที่พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพที่เพิ่มขึ้นถึง 37% ในด้านพละกำลัง และ 54% ในด้านแรงบิด ตลอดระยะเวลาสองทศวรรษ โดยยังคงรักษาระดับการปล่อย CO2 ให้ลดลงถึง 25% ด้วยเทคโนโลยีการปรับแต่งและการจัดการที่ก้าวหน้า
การขับขี่ Bentley Speed ที่ขับเคลื่อนด้วย W12 นั้น มอบประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ความเร็วที่พุ่งทะยาน แต่ยังรวมถึงเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ที่ทำงานผสานกันอย่างลงตัวกับระบบส่งกำลัง และความรู้สึกของการควบคุมพลังอันมหาศาลภายใต้ปลายนิ้วสัมผัส สำหรับผู้ที่เคยสัมผัสประสบการณ์นี้มาแล้ว จะเข้าใจดีว่าทำไมมันถึงกลายเป็นตำนานที่ถูกยกย่อง และในปี 2025 นี้ เครื่องยนต์ W12 จึงไม่ใช่เพียงแค่ชิ้นส่วนกลไก แต่เป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยที่กำลังจะผ่านพ้นไป เป็นมรดกที่ Bentley ฝากไว้ให้โลกยานยนต์
ทำความรู้จักกับ Bentley Speed: อัครยานยนต์ที่ผสานความเร็วและความหรูหราอย่างลงตัว
คำว่า “Speed” ในชื่อรุ่นของ Bentley ไม่ได้เป็นเพียงแค่การบ่งบอกถึงความเร็วสูงสุดเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงปรัชญาการออกแบบที่มุ่งเน้นสมรรถนะสูงสุดและประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ โดยยังคงไว้ซึ่งความหรูหราและประณีตตามแบบฉบับของ Bentley ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่า Bentley Speed แต่ละรุ่นถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการ “ที่สุด” ของทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ที่ดุดันหรือความสบายในการเดินทางไกล
ปัจจุบัน (ในมุมมองของปี 2025) Bentley Speed ที่ใช้เครื่องยนต์ W12 ถือเป็นอัครยานยนต์ที่หาได้ยากและมีมูลค่าทางประวัติศาสตร์สูง ซึ่งประกอบไปด้วย:
Continental GT Speed และ Continental GT Convertible Speed: สุดยอด Grand Tourer ที่ไม่มีใครเทียบได้
Flying Spur Speed: อัครยานยนต์ซีดานสุดหรูที่มาพร้อมสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์
Bentayga Speed: SUV สุดหรูที่ท้าทายทุกขีดจำกัดของสมรรถนะ
ผมจะพาทุกท่านไปเจาะลึกรายละเอียดของแต่ละรุ่น เพื่อทำความเข้าใจถึงความพิเศษและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Continental GT Speed: นิยามใหม่ของ Grand Touring Performance
สำหรับผมแล้ว Continental GT Speed คือหัวใจของปรัชญา “Speed” ของ Bentley อย่างแท้จริง มันคือสุดยอด Grand Tourer ที่ผสานความสง่างามเข้ากับพละกำลังอันน่าทึ่ง เครื่องยนต์ W12 TSI ขนาด 6.0 ลิตร ที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษสำหรับรุ่น Speed ให้พละกำลังสูงสุดถึง 650 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 4% จากรุ่น W12 มาตรฐาน) และแรงบิดมหาศาลถึง 900 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 3.6 วินาที และความเร็วสูงสุด 335 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นประสบการณ์ที่แท้จริงเมื่อคุณกดคันเร่งลงไป
ในรุ่น Continental GT Speed ผมประทับใจกับความสามารถในการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์หรูหราที่ขับขี่สบาย ไปสู่รถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่พร้อมจะตะลุยโค้งได้อย่างมั่นใจ ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Active All-Wheel Drive, ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ (Electronic All-Wheel Steer) และระบบ Bentley Dynamic Ride (ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้งด้วยไฟฟ้า 48V) ทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันเพื่อมอบการควบคุมที่แม่นยำและเสถียรภาพที่เหนือกว่า ไม่ว่าคุณจะขับขี่ด้วยความเร็วสูงบน Autobahn หรือลัดเลาะไปตามถนนภูเขาคดเคี้ยว Continental GT Speed ก็พร้อมมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ
สำหรับรุ่นเปิดประทุน Continental GT Convertible Speed นั้น มอบมิติใหม่ของการขับขี่ Grand Tourer ด้วยอิสระในการสัมผัสสายลมและแสงแดด พร้อมเสียงคำรามอันไพเราะของเครื่องยนต์ W12 ที่ก้องกังวานยิ่งขึ้น เป็นการรวมกันของความหรูหราแบบเปิดโล่งและสมรรถนะที่ไม่ประนีประนอม ซึ่งหาได้ยากยิ่งในรถยนต์ประเภทเดียวกัน
Flying Spur Speed: ความหรูหราที่มาพร้อมความเร็วระดับซูเปอร์คาร์
Flying Spur Speed ได้ทำลายกำแพงความคิดที่ว่ารถซีดานหรูขนาดใหญ่ไม่สามารถเป็นรถสปอร์ตที่แท้จริงได้ ด้วยเครื่องยนต์ W12 ที่ให้พละกำลัง 626 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำให้ซีดานคันนี้เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.8 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวเลขเหล่านี้เป็นของรถซูเปอร์คาร์ ไม่ใช่รถซีดาน 4 ประตูขนาดใหญ่
ในฐานะผู้ขับขี่ ผมสัมผัสได้ถึงความพยายามของ Bentley ในการรักษาสมดุลระหว่างความสะดวกสบายระดับผู้บริหารและความตื่นเต้นในการขับขี่ ระบบ Dynamic Ride และ 4-Wheel Steer มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ Flying Spur Speed รู้สึกว่องไวและควบคุมได้ง่ายกว่าที่คิดสำหรับรถขนาดนี้ การเปลี่ยนเลนด้วยความเร็วสูงเป็นไปอย่างมั่นใจ และการเข้าโค้งก็ทำได้อย่างราบรื่นอย่างน่าประหลาดใจ
Flying Spur Speed ยังคงความเป็นรถซีดานที่เหมาะสำหรับการเดินทางทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ไม่ว่าคุณจะนั่งอยู่เบาะหลังเพื่อเดินทางไปประชุมสำคัญ หรือสลับมาขับเองเพื่อปลดปล่อยอะดรีนาลีนบนถนนโล่งๆ Flying Spur Speed ก็พร้อมตอบสนองทุกความต้องการได้อย่างไร้ที่ติ และในปี 2025 นี้ Flying Spur Speed W12 ถือเป็นหนึ่งในอัครยานยนต์ซีดานที่หายากและเป็นที่ต้องการของผู้ที่ชื่นชมความสมดุลระหว่างความหรูหราและสมรรถนะสูงสุด
Bentayga Speed: SUV ที่ไร้ขีดจำกัด
เมื่อ Bentley เปิดตัว Bentayga ในปี 2016 มันได้สร้างความตกตะลึงให้กับวงการ SUV ทั่วโลก และ Bentayga Speed คือเวอร์ชันที่ก้าวข้ามทุกขีดจำกัดไปอีกขั้น มันคือ SUV ที่เร็วที่สุดในโลกในขณะที่เปิดตัว และยังคงเป็นหนึ่งใน SUV ที่ทรงพลังและหรูหราที่สุดในปี 2025 นี้
ด้วยเครื่องยนต์ W12 เทอร์โบคู่ขนาด 6.0 ลิตร ให้พละกำลัง 626 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำให้ Bentayga Speed เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 3.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับ SUV ขนาดใหญ่ ผมเคยขับ Bentayga Speed บนเส้นทางที่หลากหลาย และสิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือความสามารถในการรักษาสมดุลระหว่างความสะดวกสบายในการขับขี่ประจำวันและความสามารถในการโลดแล่นบนทางวิบากเบาๆ หรือการขับขี่ด้วยความเร็วสูงบนไฮเวย์
สปอยเลอร์ท้ายที่โดดเด่นและชุดแต่งสปอร์ตบ่งบอกถึง DNA ของ Speed ได้อย่างชัดเจน แต่ภายในห้องโดยสารยังคงเป็นอาณาจักรแห่งความหรูหราและเทคโนโลยีที่ทันสมัย การขับขี่ Bentayga Speed ให้ความรู้สึกมั่นคงและควบคุมได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับรถที่มีน้ำหนักมาก ด้วยระบบ Bentley Dynamic Ride และ 4-Wheel Steer ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ ทำให้ Bentayga Speed เป็น SUV ที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการความสามารถรอบด้านที่มาพร้อมกับสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์
สุนทรียะแห่งการออกแบบ: ความสปอร์ตที่สง่างาม
เอกลักษณ์ของ Bentley Speed ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงเครื่องยนต์ W12 หรือพละกำลังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการออกแบบทั้งภายนอกและภายในที่สะท้อนถึงความเร็วและความสปอร์ตอย่างมีรสนิยม ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่าการตกแต่งในรุ่น Speed มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้มันแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ อย่างชัดเจน
ภายนอก: ความโฉบเฉี่ยวที่สะท้อนอากาศพลศาสตร์
ชุดแต่ง Styling Specification: รุ่น Speed โดดเด่นด้วยชุดแต่งรอบคันที่ผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มันวาวสีดำ น้ำหนักเบา ซึ่งไม่เพียงเพิ่มความโฉบเฉี่ยว แต่ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ได้อย่างดีเยี่ยม ผมมักจะชื่นชมกับความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ลวดลายคาร์บอนไฟเบอร์ที่สวยงามและประณีต
โทนสีเข้มและโลโก้ “Speed”: กระจังหน้าและกระจังกันชนด้านล่างในเฉดสีเข้มแบบ Dark Tint พร้อมช่องระบายอากาศสีเข้ม และโลโก้ “Speed” แบบโครเมียมบนบังโคลนหน้า ล้วนเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความพิเศษของรุ่นนี้ นอกจากนี้ กาบประตูห้องโดยสาร “Speed” ยังเป็นอีกหนึ่งรายละเอียดที่เพิ่มความเฉพาะตัว
ล้ออัลลอยด์ 22 นิ้ว: ล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้วที่ออกแบบเฉพาะสำหรับรุ่น Speed ในเฉดสีเงินสว่าง พร้อมตัวเลือกโทนสีเข้มหรือสีดำเงาที่ดูดุดัน เป็นส่วนสำคัญที่เสริมภาพลักษณ์ของความทรงพลังและหรูหรา ฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ ‘Jewel’ และปลายท่อไอเสียรูปทรงรีก็เป็นรายละเอียดที่บ่งบอกถึงขุมพลัง W12 ได้อย่างชัดเจน
Blackline Specification (สำหรับ Flying Spur Speed): ใน Flying Spur Speed ชุดแต่งภายนอกจะมาในรูปแบบ Blackline Specification ที่เน้นสีดำ ไม่ว่าจะเป็น Flying ‘B’ มาสคอต กระจังหน้า กรอบหน้าต่าง กรอบประตู กันชนหลัง ไปจนถึงกรอบไฟหน้า-ท้าย และมือจับประตู สิ่งนี้ทำให้ Flying Spur Speed มีภาพลักษณ์ที่ดุดันและทันสมัยยิ่งขึ้น
การปรับแต่งสีภายนอก: ความเป็น Bentley คือการปรับแต่งที่ไร้ขีดจำกัด ลูกค้าสามารถเลือกเฉดสีภายนอกได้ถึง 17 สีมาตรฐาน และอีก 47 เฉดสีพิเศษหรือจาก Mulliner รวมถึงตัวเลือกแบบ Duo-tone อีก 24 เฉดสี หรือแม้กระทั่งรังสรรค์สีใหม่ตามความต้องการส่วนตัว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหรูหราและความพิเศษเฉพาะตัวอย่างแท้จริง
ภายใน: ห้องโดยสารสไตล์สปอร์ตที่หรูหราและประณีต
Alcantara® และ “Speed” Embroidery: ภายในห้องโดยสารของรุ่น Speed มีการนำวัสดุหนัง Alcantara® ซึ่งนิยมใช้ในรถแข่ง มาใช้ในการตกแต่งส่วนสำคัญต่างๆ เช่น เบาะรองนั่ง แผงพนักพิงหลัง คันเกียร์ พวงมาลัย และแผงบุหลังคา ผมชื่นชอบงานปักคำว่า ‘Speed’ บนเบาะโดยสาร ซึ่งเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่สร้างความรู้สึกพิเศษ
การเย็บตะเข็บแบบ Mulliner Driving Specification: การออกแบบการเย็บตะเข็บแบบตัดกันผ่านงานควิลท์ลวดลายเพชรในสไตล์ Mulliner Driving Specification ถือเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น Speed เส้นเย็บแต่ละเส้นที่ลากผ่านลวดลายเพชรจะถูกแยกออก โดยเส้นหนึ่งให้เข้ากับสีหนังหลัก และอีกเส้นหนึ่งเป็นสีที่ตัดกัน สร้างมิติและความโดดเด่นให้กับภายในห้องโดยสาร
โลโก้ “Speed” และกาบบันไดเรืองแสง: โลโก้ ‘Speed’ บริเวณคอนโซลหน้า และกาบบันไดห้องโดยสารแบบเรืองแสง ล้วนเป็นรายละเอียดที่เสริมสร้างบรรยากาศแห่งความสปอร์ตและความหรูหรา
การปรับแต่งภายในที่เหนือชั้น: เช่นเดียวกับภายนอก ภายในห้องโดยสารสามารถปรับแต่งได้อย่างเต็มที่ ด้วยตัวเลือกเฉดสีหลัก 15 เฉดสี และเฉดสีรอง 11 เฉดสี รวมถึงการใช้หนัง Alcantara ในส่วนอื่นๆ และตัวเลือกวัสดุวีเนียร์ที่หลากหลาย เช่น Piano Black (มาตรฐาน), Crown Cut Walnut, Dark Burr Walnut, Dark Fiddleback Eucalyptus และ Koa ซึ่งแต่ละแบบล้วนสะท้อนรสนิยมอันประณีตของเจ้าของ
ระบบและเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ: ควบคุมพลัง W12 ได้ดั่งใจ
พลังอันมหาศาลของเครื่องยนต์ W12 จำเป็นต้องมาพร้อมกับระบบควบคุมที่เฉียบคมและแม่นยำ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสถึงขีดสุดของสมรรถนะได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่ได้ทดลองขับขี่รถยนต์สมรรถนะสูงมามากมาย ผมสามารถยืนยันได้ว่า Bentley Speed ได้รวมเอาเทคโนโลยีการขับขี่ที่ล้ำสมัยที่สุดมาไว้ด้วยกันอย่างชาญฉลาด
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟ (Advanced Active All-Wheel Drive): ระบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่เท่านั้น แต่ยังสามารถปรับการกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและหลังได้อย่างชาญฉลาดตามสภาพการขับขี่ เพื่อให้ยางมีแรงยึดเกาะสูงสุดตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการออกตัวอย่างรวดเร็ว การเข้าโค้งด้วยความเร็ว หรือการขับขี่บนพื้นผิวที่ลื่น ทำให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างแม่นยำและมั่นใจในทุกสถานการณ์
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ (Electronic All-Wheel Steer): นี่คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ เพราะมันช่วยยกระดับทั้งความคล่องตัวและความเสถียรได้อย่างน่าทึ่ง:
ที่ความเร็วต่ำ: ระบบจะบังคับล้อหลังในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ส่งผลให้ระยะฐานล้อสั้นลงโดยปริยาย ลดวงเลี้ยว ทำให้การกลับรถในที่แคบ การเลี้ยวในเมือง หรือการจอดรถเป็นไปได้อย่างง่ายดายและคล่องตัวอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับรถขนาดใหญ่
ที่ความเร็วสูง: ระบบจะบังคับล้อหลังไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า เพิ่มระยะฐานล้อเสมือน ทำให้รถมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นเมื่อเปลี่ยนเลนด้วยความเร็วสูง หรือแซงรถคันอื่น การตอบสนองของพวงมาลัยจะคมชัดและมั่นคง มอบความมั่นใจให้ผู้ขับขี่อย่างเต็มเปี่ยม
ระบบ Bentley Dynamic Ride System: นี่คืออีกหนึ่งนวัตกรรมระดับโลกจาก Bentley เป็นระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้า (Active Anti-Roll Bar) ที่ใช้ระบบไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและความสะดวกสบายในการขับขี่:
ลดอาการโคลงของตัวรถ: ระบบจะโต้ตอบแรงหมุนด้านข้างทันทีเมื่อเข้าโค้ง ปรับความแข็งของเหล็กกันโคลงให้เหมาะสม เพื่อรักษาระดับการทรงตัวของห้องโดยสารให้ราบเรียบที่สุด
เพิ่มการยึดเกาะ: การรักษาระดับห้องโดยสารให้มั่นคง ทำให้ยางสามารถยึดเกาะพื้นผิวถนนได้เต็มที่ เพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าโค้ง และลดการโยนตัวของผู้โดยสาร
ความสะดวกสบาย: บนทางตรง ระบบสามารถคลายการทำงานของเหล็กกันโคลง ทำให้รถสามารถตอบสนองต่อพื้นผิวที่ไม่เรียบได้อย่างนุ่มนวล มอบความสะดวกสบายในการเดินทางระยะไกลได้อย่างยอดเยี่ยม
ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (Torque Vectoring by Brake): นอกจากนี้ ยังมีระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้งที่ช่วยควบคุมแรงบิดให้ล้อสัมพันธ์กับความเร็ว เพื่อให้รถทรงตัวบนถนนได้อย่างสมดุลและตอบสนองต่อการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น
เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกเล่น แต่เป็นแกนหลักที่ทำให้ Bentley Speed สามารถปลดปล่อยศักยภาพของเครื่องยนต์ W12 ออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยยังคงมอบความปลอดภัย ความมั่นใจ และความสะดวกสบายที่หาได้ยากในรถยนต์สมรรถนะสูงคันอื่นๆ
บทส่งท้ายตำนาน W12 และการก้าวสู่ยุคใหม่ของ Bentley
การประกาศยุติการผลิตเครื่องยนต์ W12 ในเดือนเมษายน 2567 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Bentley และอุตสาหกรรมยานยนต์หรูโดยรวม สำหรับนักสะสมและผู้ที่หลงใหลในเสียงคำรามของเครื่องยนต์สันดาป นี่คือการจากลาที่น่าเสียดาย แต่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคสมัยที่เรากำลังก้าวเข้าสู่
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เครื่องยนต์ W12 ของ Bentley ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับโลกยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นในด้านพละกำลัง ความประณีตในการทำงาน หรือความทนทาน ผมได้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของทีมวิศวกรที่ Crewe ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ W12 ได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งในด้านพละกำลัง (เพิ่มขึ้น 37%) แรงบิด (เพิ่มขึ้น 54%) และที่สำคัญคือการลดการปล่อยมลพิษ (ลดลง 25%) ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงระบบควบคุม การพัฒนาการออกแบบระบบน้ำมันเชื้อเพลิงและการระบายความร้อน เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์ ระบบหัวฉีด และการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในปี 2025 นี้ Bentley ได้ประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนในการก้าวไปสู่การเป็นผู้ผลิตอัครยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายใต้กลยุทธ์ Beyond100 โดยมีแผนจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบรุ่นแรกในปี 2026 และจะเปลี่ยนไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2030
ดังนั้น Bentley Speed ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ W12 จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่รถยนต์สมรรถนะสูงเท่านั้น แต่ยังเป็น “บทสุดท้าย” ของมรดกที่ยิ่งใหญ่ เป็นสัญลักษณ์แห่งการจากลาที่สง่างาม เป็นการรำลึกถึงยุคสมัยที่พลังงานสันดาปเป็นราชา และเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ครอบครองส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ยานยนต์ที่ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก
บทสรุปและคำเชิญชวน
Bentley Speed ที่มาพร้อมขุมพลัง W12 คือจุดสูงสุดของวิศวกรรมยานยนต์ที่ผสานความเร็ว ความหรูหรา และความประณีตเข้าไว้ด้วยกันอย่างไม่มีใครเทียบเคียง ในปี 2025 นี้ อัครยานยนต์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นพาหนะ แต่ยังเป็นชิ้นงานศิลปะที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นมรดกที่น่าภาคภูมิใจที่ Bentley ได้ทิ้งไว้ให้โลกยานยนต์ ก่อนจะก้าวสู่ยุคใหม่แห่งพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
หากคุณคือผู้ที่มองหาความพิเศษ ความเร้าใจ และต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการจารึกประวัติศาสตร์ ผมขอเชิญชวนให้คุณได้สัมผัสและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Bentley Speed W12 รุ่นสุดท้ายเหล่านี้ ที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของปรัชญา “Speed” และความมุ่งมั่นของ Bentley ในการสร้างสรรค์ยานยนต์ที่ไร้ที่ติ
อย่ารอช้าที่จะได้สัมผัสตำนานที่ยังมีชีวิต หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการใหม่!
หากคุณสนใจที่จะสัมผัสประสบการณ์ความหรูหราและสมรรถนะอันเป็นเอกลักษณ์ของ Bentley หรือต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอนาคตที่น่าตื่นเต้นของ Bentley กับยนตรกรรมไฟฟ้า กรุณาติดต่อ บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เพื่อรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญและค้นพบอัครยานยนต์ที่ตรงใจคุณที่สุด เพราะบางตำนาน…รอไม่ได้!
Bentley Speed W12: ตำนานบทสุดท้ายแห่งสมรรถนะเหนือระดับ พร้อมทะยานสู่ยุค 2025 ก่อนมรดกเครื่องยนต์ W12 จะปิดฉากลง
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์หรูมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลกมาอย่างมากมาย แต่มีบางสิ่งที่ยังคงยืนหยัดและสร้างความประทับใจไม่เสื่อมคลาย นั่นคือจิตวิญญาณแห่งสมรรถนะและงานฝีมืออันประณีตของ Bentley โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตระกูล “Speed” ซึ่งเป็นดั่งเรือธงที่ผสานความหรูหราเข้ากับพละกำลังอันมหาศาล และ ณ ปี 2025 นี้ เรากำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญที่ประวัติศาสตร์กำลังจะจารึกบทสุดท้ายของขุมพลังที่ไร้เทียมทานอย่างเครื่องยนต์ W12 ที่เคยขับเคลื่อนอัครยานยนต์เหล่านี้มายาวนานกว่าสองทศวรรษ
AAS Auto Service ผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ Bentley อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เข้าใจถึงความสำคัญของช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้ดี จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมทำความรู้จักกับ Bentley Speed อัครยนตรกรรมแห่งยุค ที่เป็นตัวแทนของจุดสูงสุดแห่งวิศวกรรมเครื่องยนต์สันดาป ก่อนที่ Bentley จะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้าเต็มตัวตามวิสัยทัศน์ Beyond100 ด้วยการส่งท้ายสายการผลิตเครื่องยนต์ W12 ที่ทรงพลังและประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งยุค สร้างอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ความสำเร็จด้านวิศวกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ของเบนท์ลีย์ มอเตอร์สที่สืบทอดมายาวนาน
Bentley Speed: นิยามใหม่แห่งสมรรถนะและความสง่างาม
ตระกูล Bentley Speed ได้รับการรังสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองผู้ที่ปรารถนาความเร็ว ความเร้าใจ และประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น โดยไม่ลดทอนความสะดวกสบายและความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ของ Bentley ไม่ว่าจะเป็น Continental GT Speed ที่เป็นที่สุดแห่ง Grand Tourer, Flying Spur Speed ที่หลอมรวมความหรูหราของลีมูซีนเข้ากับพละกำลังสปอร์ต หรือ Bentayga Speed ที่นิยามใหม่ของ SUV สมรรถนะสูง อัครยานยนต์เหล่านี้ล้วนติดตั้งเครื่องยนต์ W12 ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ ให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าและมอบความรู้สึกในการขับขี่ที่ยากจะหาใดเทียบได้ในตลาดรถยนต์หรู
W12: ขุมพลังแห่งตำนานที่กำลังจะปิดฉาก
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Bentley Speed เป็นที่ยอมรับทั่วโลกคือเครื่องยนต์ W12 TSI ขนาด 6.0 ลิตร อันเป็นผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรมที่ Bentley พัฒนามาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2546 เครื่องยนต์บล็อกนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการยานยนต์หรู ด้วยการผสมผสานพละกำลังที่มหาศาลเข้ากับความนุ่มนวลในการทำงานได้อย่างลงตัว
ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ทีมวิศวกรของ Bentley ได้ทุ่มเทพัฒนาเครื่องยนต์ W12 ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง จากพละกำลังตั้งต้นที่น่าประทับใจ สู่การเพิ่มขึ้นกว่า 37% และแรงบิดที่เพิ่มขึ้นถึง 54% ในขณะที่ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ถึง 25% ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการปรับปรุงระบบควบคุม การออกแบบระบบเชื้อเพลิงและระบายความร้อนใหม่ เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ รวมถึงระบบฉีดเชื้อเพลิงทั้งแบบ Direct และ Port Injection ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในรุ่น Speed เครื่องยนต์ W12 ได้รับการปรับจูนเป็นพิเศษเพื่อปลดล็อกศักยภาพสูงสุด ตัวอย่างเช่นใน Continental GT Speed ให้พละกำลังสูงสุดถึง 650 แรงม้า แรงบิดมหาศาล 900 นิวตันเมตร สามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 335 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขที่น่าประทับใจบนหน้ากระดาษ แต่คือประสบการณ์จริงที่สัมผัสได้ถึงแรงบิดอันมหาศาลที่พร้อมจะผลักดันคุณไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ สร้างความเร้าใจในทุกครั้งที่กดคันเร่ง
แต่ ณ ปี 2025 นี้ เราทราบกันดีว่าสายการผลิตเครื่องยนต์ W12 ได้ยุติลงอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2567 ซึ่งหมายความว่าอัครยานยนต์ Bentley Speed ที่ยังคงใช้ขุมพลัง W12 เหล่านี้ เป็นเสมือน “ของสะสม” ที่หายากและเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยแห่งเครื่องยนต์สันดาปที่กำลังจะผ่านไป การเป็นเจ้าของ Bentley Speed W12 ในปีนี้ จึงไม่ใช่แค่การซื้อรถยนต์หรู แต่คือการได้ครอบครองชิ้นส่วนแห่งประวัติศาสตร์ยานยนต์ที่ไม่อาจย้อนคืนได้อีก
รูปลักษณ์ที่สง่างาม โฉบเฉี่ยว และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Bentley Speed ไม่ได้มีดีแค่เรื่องพละกำลัง แต่ยังโดดเด่นด้วยการออกแบบที่สะท้อนถึงความสปอร์ตและความหรูหราได้อย่างลงตัว รูปลักษณ์ภายนอกถูกรังสรรค์ให้มีความโฉบเฉี่ยวและมีประสิทธิภาพสูงสุดตามหลักอากาศพลศาสตร์ ชุดแต่ง Styling Specification รอบคันที่ผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มันวาวสีดำน้ำหนักเบา พร้อมลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เพียงเสริมความงาม แต่ยังช่วยเพิ่มแรงกดและลดแรงต้านอากาศ ทำให้การขับขี่ที่ความเร็วสูงเป็นไปอย่างมั่นคงและแม่นยำ
นอกจากนี้ รายละเอียดต่างๆ เช่น กระจังหน้าและกระจังกันชนด้านล่างเฉดสีเข้มแบบ Dark Tint กาบประตูห้องโดยสารพร้อมโลโก้ ‘Speed’ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ช่องระบายอากาศสีเข้ม และโลโก้ ‘Speed’ โครเมียมที่บังโคลนหน้า ล้วนเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความพิเศษของรุ่น Speed
หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของรุ่น Speed คือล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้วที่ออกแบบเฉพาะรุ่น มีให้เลือกทั้งเฉดสีเงินสว่างคลาสสิก หรือตัวเลือกโทนสีเข้มและสีดำเงาที่ดูดุดัน หรูหราด้วยฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ ‘Jewel’ และกาบบันไดประตูห้องโดยสารแบบเรืองแสงประดับด้วยคำว่า ‘Speed’ ปลายท่อไอเสียรูปทรงรีขนาดใหญ่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงพละกำลังอันมหาศาลของเครื่องยนต์ W12 ที่ซ่อนอยู่ภายใน สำหรับ Bentayga Speed ยังเสริมความสปอร์ตด้วยสปอยเลอร์ท้ายที่โดดเด่น ยิ่งตอกย้ำถึงคุณลักษณะด้านสมรรถนะที่ไม่มีใครเทียบได้
ในรุ่น Flying Spur Speed ชุดแต่งภายนอกจะมาในรูปแบบ Blackline Specification เฉดสีดำสนิท ซึ่งครอบคลุมถึง Flying ‘B’ มาสคอตอันโด่งดัง กระจังหน้าแบบเมทริกซ์ กรอบหน้าต่างห้องโดยสาร กรอบประตูด้านล่างและกันชนหลัง เช่นเดียวกับกรอบไฟหน้าและไฟท้าย มือจับประตู และช่องระบายอากาศที่ล้วนเป็นโทนสีเข้ม ทำให้ Flying Spur Speed ดูลึกลับและทรงพลังยิ่งขึ้น
การปรับแต่งภายนอกยังเปิดโอกาสให้เจ้าของสามารถรังสรรค์อัครยานยนต์ในฝันได้ด้วยเฉดสีภายนอกถึง 17 เฉดสีมาตรฐาน และอีก 47 เฉดสีพิเศษจาก Mulliner รวมถึงตัวเลือกเฉดสีแบบดูโอโทนอีก 24 เฉดสี หรือแม้แต่การรังสรรค์เฉดสีใหม่ด้วยการเทียบงานสีเข้ากับเฉดสีของวัสดุอื่นๆ ที่ต้องการ นี่คืออิสระแห่งการปรับแต่งที่ Bentley มอบให้ เพื่อให้รถยนต์ของคุณเป็นหนึ่งเดียวในโลกอย่างแท้จริง
สัมผัสแห่งความสปอร์ตและความประณีตภายในห้องโดยสาร
ก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารของ Bentley Speed คุณจะพบกับการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความหรูหราสูงสุดและกลิ่นอายของรถแข่ง วัสดุหนัง Alcantara® แบบที่ใช้ในรถแข่งถูกนำมาใช้ในการตกแต่งห้องโดยสารในส่วนที่สำคัญ เช่น เบาะรองนั่งและแผงพนักพิงหลัง คันเกียร์ พวงมาลัย และแผงบุหลังคา มอบสัมผัสที่กระชับมือและให้ความรู้สึกสปอร์ตอย่างแท้จริง
งานปักคำว่า ‘Speed’ บนเบาะโดยสารร่วมกับการออกแบบการเย็บแบบตัดกันใหม่ผ่านงานควิลท์ลวดลายเพชรในแบบ Mulliner Driving Specification ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น Speed โดยเส้นเย็บแต่ละเส้นที่ลากผ่านงานควิลท์จะถูกแยกออก โดยเส้นหนึ่งเพื่อให้เข้ากับหนัง และอีกเส้นหนึ่งเป็นสีที่ตัดกัน สร้างมิติและความหรูหราที่ไม่เหมือนใคร การตกแต่งด้วยโลโก้ ‘Speed’ บริเวณคอนโซลหน้าและกาบบันไดห้องโดยสารแบบเรืองแสงยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความพิเศษของอัครยานยนต์คันนี้
การปรับแต่งภายในยังคงเป็นจุดแข็งของ Bentley ด้วยตัวเลือกเฉดสีหลัก 15 เฉดสีและเฉดสีรอง 11 เฉดสี รวมถึงการใช้หนังแบบ Alcantara ในการตกแต่งส่วนอื่นๆ พร้อมกับตัวเลือกวัสดุวีเนียร์ที่มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ อาทิ Piano Black เป็นตัวเลือกมาตรฐาน Crown Cut Walnut, Dark Burr Walnut, Dark Fiddleback Eucalyptus และ Koa เป็นต้น ทั้งหมดนี้เพื่อให้ห้องโดยสารของคุณสะท้อนรสนิยมและความเป็นตัวคุณได้อย่างไร้ที่ติ
เหนือกว่าความเร็ว: ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอยืนยันว่า Bentley Speed ไม่ได้เป็นเพียงรถที่เร็ว แต่เป็นรถที่ให้ “ความมั่นใจ” ในการควบคุมในทุกย่านความเร็ว หัวใจสำคัญคือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟขั้นสูง ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ และระบบ Bentley Dynamic Ride ที่ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic All-Wheel Steering): นี่คือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเกมอย่างแท้จริงในรถขนาดใหญ่อย่าง Bentley ในระหว่างการขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ระบบจะบังคับล้อหลังในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ซึ่งส่งผลให้ระยะฐานล้อสั้นลงอย่างมีประสิทธิภาพ ลดวงเลี้ยว ทำให้การกลับรถในที่แคบหรือการจอดรถเป็นเรื่องง่ายดายราวกับขับรถขนาดเล็ก แต่เมื่อคุณเร่งความเร็วสูงขึ้น ระบบจะปรับเปลี่ยนให้ล้อหลังบังคับไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า เพื่อเพิ่มเสถียรภาพสูงสุด ช่วยให้การแซงหรือการเปลี่ยนเลนทำได้อย่างมั่นใจและนุ่มนวลอย่างเหลือเชื่อ
Bentley Dynamic Ride System: ระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้าตัวแรกของโลกที่ใช้ระบบไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ ระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและความสะดวกสบายในการขับขี่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยระบบจะโต้ตอบกับแรงเหวี่ยงด้านข้างในทันทีเมื่อรถเข้าโค้ง ทำให้ยางยึดเกาะพื้นถนนได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผลลัพธ์ที่ได้คือห้องโดยสารที่คงความราบรื่น แทบไม่มีอาการโคลงเคลง ไม่ว่าคุณจะหักเลี้ยวด้วยความเร็วแค่ไหนก็ตาม ผนวกกับระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (Torque Vectoring by Brake) ที่ช่วยปรับสมดุลแรงบิดของล้อให้สัมพันธ์กับความเร็ว ทำให้รถทรงตัวบนถนนได้อย่างสมดุลและตอบสนองต่อการขับขี่ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น นี่คือเทคโนโลยีที่ทำให้ Bentley Speed สามารถผสานสมรรถนะระดับรถสปอร์ตเข้ากับความนุ่มนวลของรถยนต์นั่งได้อย่างไร้รอยต่อ
Bentley Speed ในตลาดปี 2025: ของสะสมแห่งยุค
ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2025 และพิจารณาถึงภูมิทัศน์ของตลาดรถยนต์หรูในปัจจุบัน อัครยานยนต์ Bentley Speed ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ W12 ได้กลายเป็นมากกว่าแค่ยานพาหนะสมรรถนะสูง พวกมันได้กลายเป็นของสะสมที่หายากและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง การยุติการผลิตเครื่องยนต์ W12 ที่โรงงาน Crewe ประเทศอังกฤษ เป็นการสิ้นสุดยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของหนึ่งในเครื่องยนต์สันดาปที่โดดเด่นที่สุดในโลก
สำหรับนักสะสมและผู้หลงใหลในยานยนต์ สมรรถนะอันเป็นเอกลักษณ์ของ W12 ที่พัฒนามาตลอด 20 ปี ทั้งด้านพละกำลัง แรงบิด และประสิทธิภาพ ล้วนเป็นคุณค่าที่ประเมินมิได้ การเป็นเจ้าของ Bentley Speed W12 ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ ไม่ใช่แค่การได้สัมผัสสุดยอดวิศวกรรมยานยนต์ แต่คือการได้ถือครองชิ้นส่วนสำคัญของมรดกทางอุตสาหกรรมที่กำลังจะกลายเป็นตำนาน Bentley กำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้ผลิตอัครยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบตามกลยุทธ์ Beyond100 ซึ่งเป็นการยืนยันว่า W12 คือบทสุดท้ายของยุคสมัยอันยิ่งใหญ่ และรถยนต์เหล่านี้จะถูกจดจำในฐานะตัวแทนแห่งยุคทองของเครื่องยนต์สันดาป
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่า Bentley Speed W12 ในปี 2025 ไม่ใช่แค่การซื้อรถยนต์ แต่เป็นการลงทุนในประวัติศาสตร์ การลงทุนในสมรรถนะที่บริสุทธิ์ และการลงทุนในความประณีตที่ไร้กาลเวลา อัครยานยนต์เหล่านี้จะยังคงมอบประสบการณ์การขับขี่ที่หาใดเทียบได้ และจะยังคงเป็นที่ต้องการของนักสะสมทั่วโลก
บทสรุปและคำเชิญ
Bentley Speed W12 คือจุดสูงสุดแห่งวิศวกรรมยานยนต์ที่ผสมผสานความหรูหรา ความเร็ว และเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว และในยุคที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว อัครยานยนต์เหล่านี้คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้สัมผัสและเป็นเจ้าของขุมพลัง W12 อันเป็นตำนาน ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความมุ่งมั่นและความเชี่ยวชาญอันยาวนานของ Bentley
อย่าพลาดโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ยานยนต์นี้ สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ และเป็นเจ้าของอัครยานยนต์ที่สะท้อนถึงรสนิยมอันโดดเด่นของคุณ
หากคุณพร้อมที่จะสัมผัสกับตำนานบทสุดท้ายแห่งสมรรถนะและงานฝีมืออันประณีตของ Bentley Speed W12 ก่อนที่มรดกนี้จะกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าในอดีต โปรดติดต่อ AAS Auto Service เพื่อขอรับคำปรึกษาส่วนตัวและค้นพบ Bentley Speed W12 รุ่นสุดท้ายที่มีอยู่ในตลาดวันนี้ ประสบการณ์อันล้ำค่ากำลังรอคุณอยู่ ณ จุดสูงสุดของยานยนต์หรู

