ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
Bentley Speed W12: บทสุดท้ายของขุมพลังระดับตำนาน สู่มิติใหม่แห่งความหรูหราและสมรรถนะแห่งปี 2025
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์หรูมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของแบรนด์ต่างๆ มากมาย แต่มีเพียงไม่กี่ชื่อที่สามารถสร้างผลกระทบและคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ได้อย่าง Bentley และในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว การสิ้นสุดของยุคเครื่องยนต์ W12 อันเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อน Bentley Speed อัครยนตรกรรมสมรรถนะสูงสุดของแบรนด์ คือหมุดหมายสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ การประกาศยุติสายการผลิต W12 ในช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมา ถือเป็นการปิดฉากตำนานที่ยาวนานกว่าสองทศวรรษ และเป็นการเปิดประตูสู่บทใหม่ของ Bentley ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม
AAS Auto Service ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ Bentley อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ได้พาเราย้อนรำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของ Bentley Speed ซึ่งเป็นตัวแทนของความสมบูรณ์แบบทั้งในด้านพละกำลัง ความหรูหรา และนวัตกรรมทางวิศวกรรม อัครยนตรกรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น Continental GT Speed, Flying Spur Speed หรือ Bentayga Speed ล้วนเป็นดั่งอนุสรณ์สถานแห่งความสำเร็จของเครื่องยนต์ W12 ก่อนที่เราจะก้าวเข้าสู่ยุคที่ Bentley มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศด้านพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบในปี 2025 และปีต่อๆ ไป
หัวใจแห่งวิศวกรรม: ตำนานเครื่องยนต์ W12 ที่จะถูกจารึก
เครื่องยนต์ W12 ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์ แต่คือหัวใจที่เต้นแรงและส่งมอบจิตวิญญาณแห่ง Bentley มาตั้งแต่ปี 2003 ความโดดเด่นของมันอยู่ที่การจัดวางกระบอกสูบในรูปแบบ ‘W’ ที่กะทัดรัด แต่ยังคงสามารถสร้างพละกำลังมหาศาลได้อย่างน่าทึ่ง นี่คือหนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมทางวิศวกรรมยานยนต์ที่หาตัวจับยาก เป็นการผสมผสานความซับซ้อนเข้ากับประสิทธิภาพได้อย่างลงตัวที่สุด ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ทีมวิศวกรของ Bentley ได้ทุ่มเทพัฒนาเครื่องยนต์ W12 อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้มันเป็นขุมพลังที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง
ลองนึกภาพถึงการเพิ่มพละกำลังได้ถึง 37% และแรงบิดเพิ่มขึ้น 54% ในขณะที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 25% นี่คือความสำเร็จที่ไม่ธรรมดา ซึ่งเกิดจากการปรับปรุงระบบควบคุม การออกแบบระบบเชื้อเพลิงและระบายความร้อนใหม่ทั้งหมด การนำเทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์ ระบบหัวฉีด และการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2015 เมื่อ Bentayga เปิดตัว เครื่องยนต์ W12 ได้รับการยกเครื่องใหม่ทั้งหมด พร้อมระบบการปิดกระบอกสูบเมื่อไม่จำเป็น ระบบไดเรคอินเจคชั่นและพอร์ตอินเจคชั่น ตลอดจนระบบทวินเทอร์โบที่ก้าวล้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Bentley ในการผลักดันขีดจำกัดของเครื่องยนต์สันดาปภายในให้ไปไกลที่สุด
การออกแบบอันชาญฉลาดของเครื่องยนต์ W12 ได้มอบสมรรถนะที่เหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งที่รวดเร็วดุจสายฟ้า หรือการส่งกำลังที่ราบรื่นไร้รอยต่อในทุกย่านความเร็ว ความรู้สึกของการก้าวเท้าลงบนคันเร่งและสัมผัสได้ถึงแรงผลักมหาศาลที่พาตัวรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและสง่างาม นั่นคือประสบการณ์ที่เครื่องยนต์ W12 มอบให้ และเป็นเหตุผลที่ทำให้นักขับผู้หลงใหลในความแรงต่างยกย่องให้เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนโลกใบนี้
Bentley Speed: นิยามแห่งความหรูหราและสมรรถนะขั้นสูงสุด
คำว่า “Speed” สำหรับ Bentley ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ความเร็วสูงสุดที่ตัวรถทำได้เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของจุดสูงสุดแห่งความสมบูรณ์แบบในการขับขี่ การผสานรวมกันอย่างลงตัวระหว่างพละกำลังอันเหลือล้น ความปราดเปรียวในการควบคุม และความหรูหราอันประณีต Bentley Speed คืออัครยนตรกรรมที่ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อผู้ที่ต้องการประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ ต้องการความเร้าใจในทุกเส้นทาง โดยที่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายและสุนทรียภาพแห่งการเดินทาง
อัครยนตรกรรมในตระกูล Speed ประกอบด้วยรุ่นเรือธงที่ครอบคลุมทุกความต้องการ:
Continental GT Speed: สุดยอด Grand Tourer ที่ผสานความสง่างามเข้ากับความสปอร์ตได้อย่างไร้ที่ติ เหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกลที่ต้องการทั้งความเร็วและความสะดวกสบาย
Flying Spur Speed: อัครยนตรกรรมซีดานที่เร็วที่สุดและทรงพลังที่สุดเท่าที่ Bentley เคยสร้างมา มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจสำหรับผู้ขับ และความหรูหราโอ่อ่าสำหรับผู้โดยสาร
Bentayga Speed: รถยนต์ SUV ที่เร็วที่สุดในโลกเมื่อเปิดตัวครั้งแรก พลิกโฉมวงการ SUV ด้วยการผสานสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์เข้ากับความอเนกประสงค์และความหรูหราในแบบฉบับ Bentley
แต่ละรุ่น Speed ล้วนได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อสะท้อนถึง DNA แห่งความเร็วและความสง่างาม ด้วยองค์ประกอบการออกแบบทั้งภายนอกและภายในที่เน้นความสปอร์ตและความปราดเปรียว พร้อมประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงสุด
รูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยวสง่างาม: ศิลปะแห่งการออกแบบที่สื่อถึงสมรรถนะ
ความพิเศษของรุ่น Speed เริ่มต้นจากภายนอกที่โดดเด่นด้วยชุดแต่ง Styling Specification รอบคัน ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสวยงาม แต่ยังถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทุกรายละเอียดถูกคิดค้นมาอย่างพิถีพิถัน วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มันวาวสีดำน้ำหนักเบา พร้อมลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ถูกนำมาใช้ในการตกแต่งอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นสปอยเลอร์หน้า สเกิร์ตข้าง และดิฟฟิวเซอร์ท้าย ซึ่งไม่เพียงแต่ลดน้ำหนักและเพิ่มแรงกด แต่ยังเสริมภาพลักษณ์ให้ดุดันและทันสมัยยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การตกแต่งด้วยกระจังหน้าและกระจังกันชนด้านล่างเฉดสีเข้มแบบ Dark Tint รวมถึงกาบประตูห้องโดยสารแบบ ‘Speed’ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ช่องระบายอากาศสีเข้ม และโลโก้ ‘Speed’ แบบโครเมียมบนบังโคลนหน้า ล้วนเป็นองค์ประกอบที่บ่งบอกถึงความพิเศษของรุ่นนี้ได้อย่างชัดเจน ล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้วที่ออกแบบเฉพาะรุ่น พร้อมตัวเลือกเฉดสีเงินสว่าง โทนสีเข้ม หรือสีดำเงาที่ดุดัน ยิ่งเสริมให้ตัวรถมีภาพลักษณ์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ ‘Jewel’ และปลายท่อไอเสียรูปทรงรีขนาดใหญ่ ล้วนเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่รวมกันเป็นความสมบูรณ์แบบ สำหรับ Bentayga Speed ยังเสริมด้วยสปอยเลอร์ท้ายที่โดดเด่น ซึ่งไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังช่วยเพิ่มแรงกดในความเร็วสูงอีกด้วย
สำหรับ Flying Spur Speed การนำ Blackline Specification มาใช้กับองค์ประกอบภายนอกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Flying ‘B’ มาสคอตอันโด่งดัง กระจังหน้าแบบเมทริกซ์ กรอบหน้าต่าง กรอบประตูด้านล่าง และกันชนหลัง รวมถึงกรอบไฟหน้าและไฟท้าย มือจับประตู และช่องระบายอากาศในโทนสีเข้ม ล้วนเป็นการยกระดับความหรูหราให้เหนือระดับไปอีกขั้น พร้อมกับการเลือกเฉดสีภายนอกกว่า 17 สีมาตรฐาน และอีก 47 สีพิเศษจาก Mulliner รวมถึงเฉดสีแบบดูโอโทนอีก 24 แบบ หรือแม้กระทั่งการรังสรรค์เฉดสีใหม่ที่เข้ากับความต้องการเฉพาะบุคคล สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและการปรับแต่งที่ไร้ขีดจำกัดของ Bentley
ภายในห้องโดยสาร: สัมผัสแห่งความสปอร์ตที่หรูหราเหนือจินตนาการ
ก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารของ Bentley Speed คุณจะสัมผัสได้ถึงความหรูหราที่ผสานความสปอร์ตได้อย่างลงตัว วัสดุหนัง Alcantara® คุณภาพสูง ซึ่งมักพบในรถแข่งสมรรถนะสูง ถูกนำมาใช้ในการตกแต่งเบาะรองนั่ง พนักพิงหลัง คันเกียร์ พวงมาลัย และแผงบุหลังคา เพื่อมอบสัมผัสที่นุ่มนวล แต่ยังคงความกระชับและเพิ่มความรู้สึกสปอร์ตให้กับผู้ขับขี่ โลโก้ ‘Speed’ ที่ปักอย่างประณีตบนเบาะโดยสาร พร้อมกับการออกแบบการเย็บแบบตัดกันใหม่ในรูปแบบเพชรของ Mulliner Driving Specification คือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรุ่น Speed ที่ยากจะเลียนแบบ
ทุกเส้นตะเข็บที่ลากผ่านงานควิลท์ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน โดยเส้นหนึ่งใช้สีที่กลมกลืนกับหนัง ในขณะที่อีกเส้นหนึ่งใช้สีตัดกันอย่างมีศิลปะ ทำให้เกิดมิติและความหรูหราที่แตกต่าง โลโก้ ‘Speed’ ที่ประดับบนคอนโซลหน้าและกาบบันไดห้องโดยสารแบบเรืองแสง ยิ่งตอกย้ำถึงความพิเศษของอัครยนตรกรรมคันนี้ การตกแต่งภายในที่หรูหรายังเปิดโอกาสให้ปรับแต่งในแบบเฉพาะตัวได้ด้วยตัวเลือกเฉดสีหลัก 15 เฉดสี และเฉดสีรอง 11 เฉดสี รวมถึงการใช้ Alcantara® ในส่วนอื่นๆ และตัวเลือกวัสดุวีเนียร์หลากหลายรูปแบบ อาทิ Piano Black, Crown Cut Walnut, Dark Burr Walnut, Dark Fiddleback Eucalyptus และ Koa ซึ่งล้วนแต่เป็นวัสดุชั้นเลิศที่สะท้อนถึงงานฝีมืออันประณีตของช่างหัตถศิลป์ Bentley
ขีดสุดของสมรรถนะและเทคโนโลยีการขับขี่
เครื่องยนต์ W12 TSI ขนาด 6.0 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นสำหรับรุ่น Speed โดยเฉพาะ มอบพละกำลังที่น่าทึ่ง Continental GT Speed พุ่งทะยานด้วยขุมพลังกว่า 650 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 4% จาก W12 มาตรฐาน) พร้อมแรงบิดมหาศาล 900 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 335 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.6 วินาที ซึ่งเร็วกว่ารุ่นปกติถึง 0.1 วินาที
Flying Spur Speed ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยพละกำลัง 626 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร สามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นซีดานที่เร็วที่สุดและทรงพลังที่สุดของ Bentley อย่างแท้จริง
สำหรับ Bentayga Speed พลังจากเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ W12 ขนาด 6.0 ลิตร มอบพละกำลังสูงสุด 626 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำให้ SUV คันนี้สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.9 วินาทีเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับรถยนต์ในกลุ่ม SUV
แต่ Bentley Speed ไม่ได้มีดีแค่ความเร็วและพละกำลัง มันยังมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนอันชาญฉลาดที่มอบความมั่นใจและแม่นยำในการควบคุมสูงสุด:
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟขั้นสูง (Advanced Active All-Wheel Drive): ช่วยกระจายแรงบิดไปยังล้อที่เหมาะสมที่สุด เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนและความเสถียรในทุกสภาพการขับขี่ ไม่ว่าจะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงหรือเผชิญกับสภาพถนนที่ท้าทาย
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic All-Wheel Steering): คือกุญแจสำคัญที่เพิ่มทั้งความคล่องตัวในย่านความเร็วต่ำ และความเสถียรในย่านความเร็วสูง เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ล้อหลังจะบังคับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ทำให้ระยะฐานล้อสั้นลง ลดวงเลี้ยว และเพิ่มความคล่องตัวในการเลี้ยวหรือจอดรถได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ล้อหลังจะบังคับไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการเปลี่ยนเลนหรือแซง ให้ความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยเหนือกว่า
ระบบ Bentley Dynamic Ride System: นี่คือเทคโนโลยีควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ตัวแรกของโลกที่ Bentley พัฒนาขึ้น ระบบนี้จะตอบสนองต่อแรงเหวี่ยงด้านข้างในทันทีเมื่อเข้าโค้ง เพื่อให้ยางยึดเกาะพื้นถนนให้มากที่สุด ลดอาการโคลงเคลงของตัวรถ รักษาความราบเรียบในห้องโดยสาร และมอบความสะดวกสบายในการขับขี่สูงสุด พร้อมระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (Torque Vectoring) ที่ช่วยควบคุมแรงบิดให้เหมาะสมกับความเร็วของแต่ละล้อ เพื่อให้รถทรงตัวบนถนนได้อย่างสมดุลและตอบสนองต่อการขับขี่ได้อย่างดียิ่งขึ้น
จากตำนาน W12 สู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า: อนาคตของ Bentley ในปี 2025 และ Beyond
การยุติการผลิตเครื่องยนต์ W12 ที่โรงงานในเมืองครูว์ สหราชอาณาจักร ในช่วงต้นปี 2024 เป็นการปิดฉากบทบาทของเครื่องยนต์กว่า 100,000 เครื่องที่สร้างความภาคภูมิใจและขับเคลื่อน Bentley มายาวนานกว่าสองทศวรรษ นี่คือก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Bentley ภายใต้กลยุทธ์ “Beyond100” ที่จะก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตอัครยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายในปี 2030
ในขณะที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน Bentley ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการสร้างสรรค์ “ความหรูหราอย่างยั่งยืน” การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนขุมพลัง แต่เป็นการยกระดับประสบการณ์ Bentley สู่มิติใหม่ ที่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหรา งานฝีมือ และสมรรถนะอันเป็นเอกลักษณ์ แต่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และตอบสนองความต้องการของตลาดในปี 2025 ที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
เครื่องยนต์ W12 อาจจะยุติบทบาทลง แต่ตำนานและความสำเร็จทางวิศวกรรมที่มันได้สร้างไว้จะยังคงอยู่ตลอดไป Bentley Speed ที่ขับเคลื่อนด้วย W12 จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่รถยนต์ แต่เป็นชิ้นงานศิลปะทางวิศวกรรมที่สะท้อนถึงจุดสูงสุดของยุคหนึ่ง และเป็นสะพานเชื่อมไปสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและพลังงานสะอาดที่ Bentley กำลังจะพาเราไปสัมผัส
เชิญสัมผัสตำนานและอนาคตแห่ง Bentley
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่า Bentley Speed รุ่น W12 จะกลายเป็นหนึ่งในอัครยนตรกรรมคลาสสิกที่ทรงคุณค่าและเป็นที่ต้องการอย่างสูงในอนาคตอันใกล้ หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่หลงใหลในความสมบูรณ์แบบของวิศวกรรมยานยนต์และงานหัตถศิลป์ระดับโลก นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้ยลโฉมและสัมผัสกับมรดกอันยิ่งใหญ่ชิ้นนี้ ก่อนที่มันจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์
อย่าพลาดโอกาสในการสัมผัสกับตำนานของ Bentley Speed และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของ Bentley ในการสร้างสรรค์ยานยนต์แห่งอนาคต AAS Auto Service ในฐานะตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการพร้อมที่จะมอบประสบการณ์เหนือระดับและข้อมูลเชิงลึกแก่คุณ เชิญเยี่ยมชมและสัมผัสโลกแห่ง Bentley ได้แล้ววันนี้.
Bentley Speed W12: ปิดฉากตำนานเครื่องยนต์แห่งยุค สู่มิติใหม่แห่งอนาคตยานยนต์หรู 2025
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์หรูมานับทศวรรษ ผมขอยืนยันว่าช่วงเวลาปัจจุบันเป็นห้วงยามที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Bentley การตัดสินใจยุติบทบาทของเครื่องยนต์ W12 อันเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนอัครยานยนต์ Bentley Speed มายาวนานกว่าสองทศวรรษ ไม่ใช่เพียงแค่การปิดฉากเทคโนโลยียอดเยี่ยม แต่คือการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่ความยั่งยืนอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ยุทธศาสตร์ “Beyond100” ที่ Bentley Motors วางเป้าหมายสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายในปี 2030
ในบริบทของปี 2025 ซึ่งเป็นปีที่เครื่องยนต์ W12 ได้ยุติการผลิตไปแล้ว ความหมายของ Bentley Speed W12 จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่รุ่นที่ทรงสมรรถนะสูงสุดอีกต่อไป แต่กลายเป็น “บทสุดท้าย” ของยุคทองแห่งขุมพลังสันดาปภายในอันเป็นเอกลักษณ์ ที่หลอมรวมความสง่างามเข้ากับความเร้าใจในการขับขี่ได้อย่างไร้ที่ติ การได้สัมผัสและเป็นเจ้าของ Bentley Speed W12 ในวันนี้ จึงเปรียบเสมือนการครอบครองชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ยานยนต์ ที่สะท้อนถึงวิศวกรรมอันล้ำเลิศและความกล้าหาญในการท้าทายขีดจำกัดแห่งสมรรถนะ
ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี เครื่องยนต์ W12 ได้พิสูจน์ตัวเองในฐานะสัญลักษณ์ของพลังและความประณีต มันคือหัวใจที่เต้นอยู่ใน Continental GT Speed, Flying Spur Speed และ Bentayga Speed ทำให้แต่ละรุ่นไม่เป็นเพียงแค่พาหนะ แต่คือประสบการณ์เหนือระดับที่ยากจะลืมเลือน บทความนี้จะพาทุกท่านดำดิ่งสู่โลกของ Bentley Speed W12 ทำความเข้าใจถึงปรัชญาเบื้องหลังสมรรถนะ การออกแบบที่ประณีต และเทคโนโลยีอันชาญฉลาด ที่ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในอัครยานยนต์ที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นการรำลึกถึงความยิ่งใหญ่ก่อนการก้าวไปสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
W12: ขุมพลังแห่งตำนานที่ไร้คู่เปรียบ
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Bentley Speed โดดเด่นเหนือใครคือเครื่องยนต์ W12 TSI ขนาด 6.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ซับซ้อนและทรงพลังที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ด้วยโครงสร้างแบบ ‘W’ ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นการนำเครื่องยนต์ VR6 สองบล็อกมาเชื่อมต่อกัน ทำให้ได้เครื่องยนต์ 12 สูบที่กะทัดรัดกว่า V12 ทั่วไปอย่างมาก วิศวกรของ Bentley ได้ทุ่มเทพัฒนาเครื่องยนต์บล็อกนี้อย่างไม่หยุดยั้งมาตั้งแต่ปี 2003 จนถึงการยุติสายการผลิตในเดือนเมษายน 2024 โดยตลอดระยะเวลาสองทศวรรษ พละกำลังของเครื่องยนต์ W12 เพิ่มขึ้นกว่า 37% และแรงบิดเพิ่มขึ้น 54% ในขณะที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 25% ซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงระบบควบคุม การออกแบบระบบเชื้อเพลิงและระบายความร้อน เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ก้าวหน้า และระบบหัวฉีดและการเผาไหม้ที่แม่นยำยิ่งขึ้น
ในรุ่น Speed พละกำลังจากเครื่องยนต์ W12 ถูกยกระดับไปอีกขั้น เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจถึงขีดสุด ไม่ว่าจะเป็น Continental GT Speed ที่ให้พละกำลัง 650 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 4% จากรุ่นมาตรฐาน) และแรงบิดมหาศาล 900 นิวตันเมตร สามารถทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 3.6 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 335 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่คือการสะท้อนถึงวิศวกรรมที่ละเอียดอ่อนและการปรับจูนที่พิถีพิถัน เพื่อให้ได้มาซึ่งอัตราเร่งที่รุนแรง แต่ยังคงรักษาความนุ่มนวลและควบคุมได้ง่ายในทุกย่านความเร็ว ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะของ Bentley
สำหรับ Flying Spur Speed อัครยานยนต์สี่ประตูที่หรูหราที่สุด ก็ไม่น้อยหน้าในด้านสมรรถนะ ด้วยพละกำลัง 626 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 3.8 วินาที และความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตร/ชั่วโมง พิสูจน์ให้เห็นว่าความหรูหราสง่างามไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความเร็วแต่อย่างใด ส่วน Bentayga Speed พรีเมียม SUV ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ก็ยกระดับประสบการณ์การขับขี่แบบออฟโรดและออนโรดไปอีกขั้น ด้วยเครื่องยนต์ W12 ให้กำลัง 626 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร สามารถทำความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตร/ชั่วโมง และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.9 วินาที การผสานสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์เข้ากับความอเนกประสงค์ของ SUV ทำให้ Bentayga Speed เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการความเร็ว ความสะดวกสบาย และความสามารถในการไปได้ทุกที่
รูปลักษณ์ที่สง่างาม โฉบเฉี่ยว และเต็มเปี่ยมด้วยสมรรถนะ
ปรัชญา “Speed” ไม่ได้หยุดอยู่แค่ใต้ฝากระโปรงรถ แต่ยังแผ่ขยายไปสู่การออกแบบภายนอกที่สะท้อนถึงความเร็วและประสิทธิภาพสูงสุด Bentley Speed ทุกรุ่นมาพร้อมชุดแต่ง Styling Specification รอบคันที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มันวาวสีดำน้ำหนักเบา ผสมผสานกับลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ชุดแต่งนี้ไม่ได้มีเพียงเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพื่อเพิ่มแรงกด (downforce) และลดแรงต้านอากาศ ช่วยให้รถทรงตัวได้ดีขึ้นที่ความเร็วสูง นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสมผสานระหว่าง “Form” และ “Function” ที่ Bentley เชี่ยวชาญ
รายละเอียดภายนอกที่สะท้อนเอกลักษณ์ของ Speed ยังรวมถึงกระจังหน้าและกระจังกันชนด้านล่างเฉดสีเข้มแบบ Dark Tint ที่ให้ความรู้สึกดุดันและสปอร์ต กาบประตูห้องโดยสารและช่องระบายอากาศสีเข้ม พร้อมโลโก้ ‘Speed’ โครเมียมที่ประดับอยู่บริเวณบังโคลนหน้า ล้วนเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงสายเลือดแห่งความเร็วที่ไหลเวียนอยู่ในอัครยานยนต์เหล่านี้
ล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้วที่ออกแบบเฉพาะรุ่น Speed เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ไม่อาจมองข้าม ด้วยการออกแบบที่ประณีตในเฉดสีเงินสว่าง พร้อมตัวเลือกโทนสีเข้มหรือสีดำเงาที่ดูดุดัน ฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ ‘Jewel’ ที่ส่องประกายคล้ายอัญมณี และปลายท่อไอเสียรูปทรงรีที่สื่อถึงพลังของเครื่องยนต์ W12 ล้วนเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่รวมกันสร้างความสมบูรณ์แบบ
สำหรับ Flying Spur Speed ชุดแต่งภายนอกมาในรูปแบบ Blackline Specification เฉดสีดำล้วน ตั้งแต่ Flying ‘B’ มาสคอตอันโด่งดัง กระจังหน้าแบบเมทริกซ์ กรอบหน้าต่าง กรอบประตู และกันชนหลัง ไปจนถึงกรอบไฟหน้าและไฟท้าย มือจับประตู และช่องระบายอากาศในโทนสีเข้ม การตกแต่งแบบนี้สร้างความรู้สึกที่ลึกลับและทรงพลัง ให้ความแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ อย่างชัดเจน และแน่นอนว่าลูกค้ายังสามารถปรับแต่งเฉดสีภายนอกได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น 17 เฉดสีมาตรฐาน, 47 เฉดสีพิเศษจาก Mulliner หรือแม้แต่ตัวเลือกเฉดสีแบบทูโทน 24 เฉดสี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการปรับแต่งเพื่อสะท้อนรสนิยมเฉพาะตัวของเจ้าของ
ภายในห้องโดยสาร: สปอร์ต หรูหรา และปรับแต่งได้ดั่งใจ
ก้าวเข้าสู่ภายในห้องโดยสารของ Bentley Speed คุณจะสัมผัสได้ถึงการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความสปอร์ตและความหรูหราในแบบฉบับอังกฤษแท้ๆ วัสดุหนัง Alcantara® ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในวงการมอเตอร์สปอร์ต ถูกนำมาใช้ในการตกแต่งอย่างพิถีพิถัน ทั้งบนเบาะรองนั่ง แผงพนักพิงหลัง คันเกียร์ พวงมาลัย และแผงบุหลังคา ให้สัมผัสที่นุ่มนวล แต่ยังคงให้ความรู้สึกยึดเกาะ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง
งานปักคำว่า ‘Speed’ บนเบาะโดยสารร่วมกับการออกแบบการเย็บแบบตัดกันใหม่ในรูปแบบควิลท์เพชรของ Mulliner Driving Specification ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของรุ่น Speed การเย็บแต่ละเส้นที่ลากผ่านงานควิลท์ถูกแยกออกอย่างปราณีต โดยเส้นหนึ่งใช้สีที่กลมกลืนกับหนัง และอีกเส้นหนึ่งใช้สีที่ตัดกัน สร้างมิติและความโดดเด่นให้กับเบาะนั่ง โลโก้ ‘Speed’ ที่ประดับอยู่บนคอนโซลหน้าและกาบบันไดห้องโดยสารแบบเรืองแสง ยิ่งตอกย้ำถึงความพิเศษของรุ่นนี้
Bentley เข้าใจดีว่าความหรูหราที่แท้จริงคือการสะท้อนตัวตนของเจ้าของได้มากที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ภายในห้องโดยสารของ Speed มีตัวเลือกการปรับแต่งที่หลากหลายอย่างน่าทึ่ง ด้วยเฉดสีหลัก 15 เฉดสีและเฉดสีรอง 11 เฉดสี รวมถึงการเลือกใช้วัสดุหนัง Alcantara ในส่วนอื่นๆ และตัวเลือกวัสดุวีเนียร์ (veneers) หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ Piano Black ที่เป็นมาตรฐาน ไปจนถึง Crown Cut Walnut, Dark Burr Walnut, Dark Fiddleback Eucalyptus และ Koa ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งหายาก การเลือกสรรวัสดุและการตกแต่งที่พิถีพิถันนี้ ทำให้แต่ละคันของ Bentley Speed เป็นผลงานศิลปะที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก
สุดยอดเทคโนโลยีเพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น
Bentley Speed ไม่ได้เป็นเพียงแค่รถที่เร็วเท่านั้น แต่ยังเป็นรถที่ “ขับสนุก” และ “ควบคุมได้ง่าย” อย่างไม่น่าเชื่อ ที่ความเร็วระดับซูเปอร์คาร์ เบื้องหลังความมั่นใจนี้คือเทคโนโลยีด้านแชสซีและระบบขับเคลื่อนที่ล้ำสมัย วิศวกรของ Bentley ได้ผสานรวมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟขั้นสูง ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ (All-Wheel Steering) และระบบ Bentley Dynamic Ride เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic All-Wheel Steering) คือกุญแจสำคัญที่เพิ่มทั้งเสถียรภาพในการขับขี่ที่ความเร็วสูงและความคล่องตัวในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ:
ที่ความเร็วต่ำ: ล้อหลังจะบังคับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ซึ่งช่วยลดระยะฐานล้อเสมือน ทำให้วงเลี้ยวแคบลงอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มความคล่องตัวในการจอดรถ หรือการขับขี่ในพื้นที่แคบๆ ให้ง่ายดายยิ่งขึ้น เปรียบได้กับการขับขี่รถขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวสูง
ที่ความเร็วสูง: ล้อหลังจะบังคับไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความเสถียรของรถอย่างมาก ทำให้การเปลี่ยนเลน การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือการแซงทำได้อย่างมั่นใจและแม่นยำยิ่งขึ้น ผู้ขับขี่จะรู้สึกราวกับว่ารถมีเสถียรภาพและยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยม
Bentley Dynamic Ride System คืออีกหนึ่งเทคโนโลยีพลิกโลกที่ Bentley ภูมิใจนำเสนอ เป็นระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้า 48 โวลต์ระบบแรกของโลก ระบบนี้ทำงานโดยตอบสนองต่อแรงเหวี่ยงด้านข้างที่เกิดขึ้นขณะเข้าโค้งในทันที เพื่อรักษายางให้สัมผัสกับพื้นถนนให้มากที่สุด ลดการเอียงของตัวถัง (body roll) อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ได้คือความมั่นคงภายในห้องโดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้โดยสารจะสัมผัสได้ถึงความสบายที่เหนือกว่า แม้ในขณะที่รถกำลังเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ ระบบยังทำงานร่วมกับระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (Torque Vectoring by Brake) เพื่อควบคุมแรงบิดให้สัมพันธ์กับความเร็วของแต่ละล้อ ทำให้รถทรงตัวบนถนนได้อย่างสมดุลและตอบสนองต่อการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น
บทสรุปแห่งตำนาน: สู่มิติใหม่ของ Bentley ในปี 2025 และอนาคต
การยุติการผลิตเครื่องยนต์ W12 ในเดือนเมษายน 2024 โดยมีขุมพลังรวมกว่า 100,000 เครื่องที่สิ้นสุด ณ โรงงานเมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Bentley Motors มันไม่ใช่แค่การบอกลาเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดบล็อกหนึ่งของโลก แต่เป็นการประกาศความมุ่งมั่นของ Bentley ในการก้าวสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ภายใต้ยุทธศาสตร์ “Beyond100” ที่ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นแบรนด์ยานยนต์หรูไฟฟ้า 100% ภายในปี 2030
สำหรับปี 2025 และปีต่อๆ ไป เราจะได้เห็น Bentley ก้าวเข้าสู่โลกของรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว พร้อมกับการนำเสนอ “Bentley of the future” ที่ยังคงรักษา DNA แห่งความหรูหรา สมรรถนะ และงานฝีมืออันประณีตไว้อย่างครบถ้วน แต่อยู่บนพื้นฐานของขุมพลังไฟฟ้าที่เงียบสงบ ไร้มลพิษ และเปี่ยมด้วยแรงบิดมหาศาล Bentley Speed W12 จึงกลายเป็นตัวแทนของ “บทสุดท้าย” ที่ยิ่งใหญ่ เป็นอนุสรณ์แห่งวิศวกรรมที่ไร้คู่เปรียบ และเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของมนุษย์ในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอยืนยันว่า Bentley Speed W12 คืออัครยานยนต์ที่ควรค่าแก่การครอบครอง ไม่ใช่เพียงเพราะสมรรถนะอันเร้าใจและงานฝีมืออันประณีต แต่เพราะมันคือการลงทุนในชิ้นส่วนแห่งประวัติศาสตร์ยานยนต์ ที่จะถูกจดจำไปตลอดกาลว่าเป็นตัวแทนของยุคสมัยที่ขีดจำกัดของเครื่องยนต์สันดาปถูกท้าทายและพิชิตได้อย่างสง่างาม
คำเชิญชวน
ในขณะที่เรามองไปข้างหน้าสู่ยุคแห่งนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงที่ Bentley กำลังนำเสนอ ผมขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมสัมผัสตำนานบทสุดท้ายของ Bentley Speed W12 และเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวสู่มิติใหม่แห่งอนาคตยานยนต์หรูไฟฟ้ากับ Bentley ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางอันน่าทึ่งนี้ และค้นพบว่าความหรูหราที่แท้จริงจะยังคงอยู่คู่กับสมรรถนะอันไร้ที่ติได้อย่างไรในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

