ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
Bentley Speed: บทสรุปตำนาน W12 สู่ยุคใหม่แห่งยนตรกรรมหรูสมรรถนะสูง
ในโลกที่ความหรูหราและความเร็วถูกหลอมรวมเป็นหนึ่ง ยนตรกรรมจาก Bentley ได้ยืนหยัดเป็นสัญลักษณ์แห่งความสง่างามเหนือกาลเวลามาโดยตลอด และเมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2025 นี้ เราได้เห็นการปิดฉากลงของบทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบทหนึ่งในประวัติศาสตร์วิศวกรรมยานยนต์ นั่นคือยุคสมัยของเครื่องยนต์ W12 อันเป็นหัวใจหลักของรถยนต์ Bentley หลายรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตระกูล “Speed” ที่เป็นตัวแทนแห่งสมรรถนะสูงสุดและเทคโนโลยีล้ำสมัย ผมในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการยานยนต์หรูมานานกว่าทศวรรษ ขอนำทุกท่านย้อนรอยและร่วมสดุดีแด่ Bentley Speed อัครยนตรกรรมแห่งความเร็วที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง W12 ซึ่งได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ ก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้กับยุคแห่งพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
เครื่องยนต์ W12: หัวใจอันเร้าใจของปรมาจารย์วิศวกรรม
ตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2546 เครื่องยนต์ W12 ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ซับซ้อน ทรงพลัง และได้รับการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่องที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ การที่ Bentley เลือกใช้รูปแบบ W12 อันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อเพิ่มพละกำลัง แต่ยังเพื่อมอบความราบรื่นไร้ที่ติ และความกะทัดรัดที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ V12 ทั่วไป การออกแบบให้มีกระบอกสูบ 12 สูบวางเรียงกันในลักษณะตัว “W” เป็นความชาญฉลาดทางวิศวกรรมที่ทำให้สามารถบรรจุพลังมหาศาลไว้ในพื้นที่จำกัดได้อย่างน่าทึ่ง
สำหรับรุ่น Bentley Speed วิศวกรของ Bentley ได้ผลักดันขีดจำกัดของเครื่องยนต์ W12 ไปอีกขั้น ด้วยการปรับจูนที่ละเอียดอ่อนและเทคโนโลยีที่ได้รับการยกระดับ ทำให้เครื่องยนต์ขนาด 6.0 ลิตร ทวินเทอร์โบตัวนี้ สามารถผลิตพละกำลังที่เหนือกว่ารุ่นมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะใน Continental GT Speed ที่เร่งแรงม้าได้ถึง 650 ตัว พร้อมแรงบิดมหาศาล 900 นิวตันเมตร ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นการขับเคลื่อนที่มอบประสบการณ์อันดื่มด่ำ ตั้งแต่การเร่งแซงที่ฉับไวไปจนถึงการเดินทางระยะไกลที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
จากจุดเริ่มต้นในปี 2546 จนกระทั่งการประกาศยุติการผลิตในเดือนเมษายน 2567 (ซึ่งเมื่อเราพูดถึงปี 2568 นี้ ก็ถือเป็นตำนานที่เพิ่งผ่านพ้นไป) เครื่องยนต์ W12 ได้ถูกผลิตออกมามากกว่า 100,000 เครื่อง ณ โรงงานครูว์ ประเทศอังกฤษ และตลอดเส้นทางนี้ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องยนต์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนานวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยการเพิ่มกำลังขึ้นกว่า 37% และแรงบิด 54% พร้อมทั้งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 25% แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Bentley ในการสร้างสรรค์ ยนตรกรรมหรูสมรรถนะสูง ที่ยังคงใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม นี่คือบทสรุปของเครื่องยนต์ที่ผสานพลัง ความประณีต และความรับผิดชอบได้อย่างลงตัว
Bentley Speed: นิยามแห่งสมรรถนะสูงสุดในคราบความหรูหรา
ในขณะที่เครื่องยนต์ W12 เป็นหัวใจที่เต้นรัว ตระกูล Bentley Speed ทั้งสามรุ่น – Continental GT Speed, Flying Spur Speed, และ Bentayga Speed – คือร่างกายที่สง่างามซึ่งห่อหุ้มและขับเคลื่อนพลังนั้นออกมาให้สัมผัสได้อย่างเต็มที่ แต่ละรุ่นล้วนได้รับการออกแบบและปรับแต่งเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร โดยยังคงเอกลักษณ์ความหรูหราและความประณีตในแบบ Bentley ไว้ได้อย่างครบถ้วน
Continental GT Speed: คือหัวใจหลักของตระกูล Speed ในรูปแบบคูเป้และเปิดประทุน ด้วยพละกำลัง 650 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำให้สามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 335 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.6 วินาที ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่สถิติ แต่เป็นคำสัญญาของความตื่นเต้นที่สัมผัสได้ทุกครั้งที่กดคันเร่ง Continental GT Speed มอบการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างรถสปอร์ตสมรรถนะสูงและความสะดวกสบายของรถแกรนด์ทัวเรอร์ (Grand Tourer)
Flying Spur Speed: ในฐานะซีดานสี่ประตูที่เร็วที่สุดในโลก ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ W12 ที่ให้กำลัง 626 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.8 วินาที และความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Flying Spur Speed ไม่ได้เป็นเพียงรถซีดานหรูทั่วไป แต่เป็นการนำเสนอประสบการณ์การเดินทางที่รวดเร็ว ฉับไว และสะดวกสบายอย่างเหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร เบาะหลังที่กว้างขวางและห้องโดยสารที่ประณีต ทำให้ทุกการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข นี่คือการตอกย้ำว่าความเร็วไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยความสะดวกสบายเสมอไป
Bentayga Speed: SUV สุดหรูที่เร็วที่สุดในโลก เครื่องยนต์ W12 ขนาด 6.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ให้กำลัง 626 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.9 วินาที Bentayga Speed คือการพลิกโฉมวงการ SUV ด้วยการผสานความสามารถในการเดินทางบนทุกสภาพถนนเข้ากับสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนทางหลวงด้วยความเร็วสูง หรือการผจญภัยในเส้นทางที่ท้าทาย Bentayga Speed ก็พร้อมตอบสนองด้วยความมั่นใจและสะดวกสบายอย่างไม่เคยมีมาก่อน นี่คือ สุดยอดยนตรกรรม ที่สามารถพาคุณไปได้ทุกที่ด้วยสไตล์และความเร็ว
การออกแบบที่สะท้อนสมรรถนะและความหรูหราอย่างเหนือชั้น
เอกลักษณ์ของ Bentley Speed ไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ขุมพลังและสมรรถนะ แต่ยังรวมไปถึงการออกแบบทั้งภายนอกและภายในที่ได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถัน เพื่อสะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งความเร็วและความเป็นที่สุด
ภายนอกที่สง่างามและดุดัน:
ชุดแต่ง Styling Specification รอบคัน ผลิตจากวัสดุคาร์บอนมันวาวสีดำน้ำหนักเบา ไม่เพียงเพิ่มความโฉบเฉี่ยวตามหลักอากาศพลศาสตร์ แต่ยังบ่งบอกถึงความพิเศษของรุ่น Speed กระจังหน้าและกระจังกันชนด้านล่างในเฉดสีเข้มแบบ Dark Tint รวมถึงกาบประตูห้องโดยสารและช่องระบายอากาศสีเข้ม พร้อมโลโก้ ‘Speed’ แบบโครเมียมบนบังโคลนหน้า ล้วนเป็นรายละเอียดที่เสริมสร้างความรู้สึกสปอร์ตได้อย่างลงตัว
ล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้ว ออกแบบเฉพาะรุ่น Speed มีให้เลือกทั้งเฉดสีเงินสว่าง โทนสีเข้ม หรือสีดำเงาที่ดุดัน สอดรับกับฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ ‘Jewel’ ที่หรูหรา และปลายท่อไอเสียรูปทรงรีที่สื่อถึงพลังของเครื่องยนต์ W12 โดยเฉพาะรุ่น Bentayga Speed ยังโดดเด่นด้วยสปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่ที่เสริมลุคสปอร์ตอย่างชัดเจน
สำหรับ Flying Spur Speed นั้น มาพร้อมกับ Blackline Specification ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบภายนอกหลายจุดให้เป็นสีดำ ไม่ว่าจะเป็น Flying ‘B’ มาสคอต กระจังหน้า กรอบหน้าต่าง กรอบประตู กันชนหลัง ไปจนถึงกรอบไฟหน้า-ท้าย และมือจับประตู สร้างความแตกต่างที่สุขุมแต่แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม
นอกจากนี้ การปรับแต่งสีภายนอกยังไร้ขีดจำกัด ด้วย 17 เฉดสีมาตรฐาน และ 47 เฉดสีพิเศษจาก Mulliner รวมถึงตัวเลือกแบบดูโอโทนอีก 24 เฉดสี หรือแม้กระทั่งการรังสรรค์เฉดสีใหม่ตามความต้องการของลูกค้า นี่คือการยืนยันถึงปรัชญาของ Bentley ในการมอบ การปรับแต่งรถพรีเมียม ที่ไร้ขีดจำกัดให้กับลูกค้าทุกคน
ภายในที่สปอร์ตหรูหราและประณีต:
ก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารของ Bentley Speed คุณจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของรถแข่งที่ผสมผสานกับความหรูหราแบบอังกฤษได้อย่างลงตัว วัสดุหนัง Alcantara® ที่ใช้กับเบาะรองนั่ง แผงพนักพิงหลัง คันเกียร์ พวงมาลัย และแผงบุหลังคา พร้อมงานปักคำว่า ‘Speed’ บนเบาะที่นั่ง คือการบ่งบอกถึงความพิเศษของรุ่น
การออกแบบการเย็บแบบตัดกันผ่านงานควิลท์ลวดลายเพชรในแบบ Mulliner Driving Specification ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น Speed คืออีกหนึ่งความประณีตที่น่าทึ่ง โดยเส้นเย็บแต่ละเส้นจะถูกแยกออกเป็นสองสี สีหนึ่งเพื่อให้เข้ากับหนัง และอีกสีหนึ่งเป็นสีที่ตัดกัน สร้างมิติและความโดดเด่นให้กับห้องโดยสาร พร้อมด้วยโลโก้ ‘Speed’ บริเวณคอนโซลหน้า และกาบบันไดห้องโดยสารแบบเรืองแสง
การปรับแต่งภายในยังคงความหลากหลาย ด้วยตัวเลือกเฉดสีหลัก 15 เฉดสีและเฉดสีรอง 11 เฉดสี รวมถึงตัวเลือกวัสดุวีเนียร์หลากหลายรูปแบบ อาทิ Piano Black, Crown Cut Walnut, Dark Burr Walnut, Dark Fiddleback Eucalyptus และ Koa เพื่อให้ลูกค้าสามารถรังสรรค์ห้องโดยสารในฝันได้อย่างแท้จริง นี่คือมรดกทางด้าน งานฝีมือ และการออกแบบที่ทำให้ Bentley แตกต่างจากแบรนด์อื่นอย่างแท้จริง
ที่สุดแห่งประสบการณ์การขับขี่: เทคโนโลยีควบคุมอันชาญฉลาด
นอกเหนือจากพละกำลังมหาศาล Bentley Speed ยังมอบความมั่นใจและความแม่นยำในการขับขี่ที่เหนือชั้น ด้วยระบบควบคุมที่ล้ำสมัย เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสถึงขีดสุดของสมรรถนะได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟขั้นสูง (Advanced Active All-Wheel Drive):
ระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อกระจายกำลังไปยังล้อทั้งสี่อย่างเหมาะสมตามสภาพการขับขี่ ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงหรือการขับขี่บนพื้นผิวที่ลื่น ทำให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างมั่นใจและปลอดภัยในทุกสถานการณ์
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ (Four-Wheel Steering):
นี่คือเทคโนโลยีที่พลิกโฉมไดนามิกการขับขี่อย่างสิ้นเชิง ในย่านความเร็วต่ำ ระบบจะบังคับล้อหลังในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ทำให้ระยะฐานล้อสั้นลง ลดวงเลี้ยว และเพิ่มความคล่องตัวในการเข้าโค้งหรือการจอดรถในพื้นที่จำกัด ราวกับว่าคุณกำลังขับรถที่มีขนาดเล็กกว่าความเป็นจริง แต่เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ระบบจะบังคับล้อหลังไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า เพื่อเพิ่มเสถียรภาพและทำให้การเปลี่ยนเลนหรือการเข้าโค้งด้วยความเร็วเป็นไปอย่างราบรื่นและมั่นคงยิ่งขึ้น ระบบนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Bentley Speed มอบทั้งความคล่องตัวในเมืองและความมั่นใจบนทางหลวง
ระบบ Bentley Dynamic Ride (48V Active Roll Control):
นี่คือระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้า 48 โวลต์ ระบบแรกของโลก และเป็นหนึ่งใน เทคโนโลยีช่วงล่างรถหรู ที่ล้ำสมัยที่สุด ระบบนี้จะตอบสนองต่อแรงเหวี่ยงด้านข้างทันทีเมื่อรถเข้าโค้ง โดยจะปรับความแข็งของเหล็กกันโคลง (anti-roll bar) เพื่อรักษาระดับการทรงตัวของห้องโดยสารให้ราบเรียบที่สุด ผลลัพธ์คือการยึดเกาะถนนสูงสุด ความสะดวกสบายในการขับขี่ที่เหนือชั้น และการควบคุมที่เฉียบคมราวกับรถกำลังวิ่งอยู่บนราง การควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (Torque Vectoring by Brake) ยังช่วยเสริมสมดุลและการตอบสนองของรถ ทำให้ Bentley Speed สามารถเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำและมั่นใจในทุกสภาวะ
ระบบเหล่านี้ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน ทำให้ Bentley Speed ไม่ใช่แค่รถยนต์ที่เร็วที่สุด แต่ยังเป็นรถยนต์ที่ควบคุมได้ดีที่สุด มอบ ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ ที่ผสมผสานความเร็ว ความสบาย และความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้า: มรดก W12 สู่ Bentley Beyond100
การสิ้นสุดการผลิตเครื่องยนต์ W12 ในปี 2567 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ Bentley มุ่งมั่นสู่ยุคใหม่แห่งยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ภายใต้วิสัยทัศน์ “Beyond100” โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าสุดหรูภายในปี 2573 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หมายถึงการทอดทิ้งมรดกแห่งสมรรถนะและความหรูหรา แต่เป็นการต่อยอดและนำพาจิตวิญญาณเหล่านั้นไปสู่รูปแบบใหม่ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่หลงใหลในความสมบูรณ์แบบทางวิศวกรรม ผู้ที่ปรารถนาความเร็วที่มาพร้อมกับความหรูหราที่ไร้ที่ติ และผู้ที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ยานยนต์ Bentley Speed ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ W12 ถือเป็นบทสรุปของยุคทองที่น่าจดจำ แม้ว่าการผลิตเครื่องยนต์ W12 จะยุติลงแล้ว แต่ตำนานของมันจะยังคงอยู่และเป็นแรงบันดาลใจให้กับการพัฒนายานยนต์ Bentley ในอนาคตต่อไป
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่ยุคใหม่กับ Bentley
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการ ผมเชื่อมั่นว่าไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนผ่านไปอย่างไร จิตวิญญาณแห่งความเป็นเลิศของ Bentley จะยังคงอยู่ และสำหรับผู้ที่มองหาความเป็นที่สุดของยานยนต์หรูสมรรถนะสูง Bentley Speed ได้ทิ้งมรดกอันล้ำค่าไว้ให้เราได้ชื่นชมและสัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของวิศวกรรมยานยนต์
หากท่านคือผู้ที่ปรารถนาประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ และต้องการเป็นเจ้าของตำนานบทสุดท้ายของเครื่องยนต์ W12 หรือกำลังมองหาอนาคตของยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าจาก Bentley ที่กำลังจะเข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่ บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ในฐานะผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะมอบประสบการณ์สุดพิเศษและนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่ตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของท่าน
ติดต่อเราวันนี้ เพื่อร่วมสัมผัสประวัติศาสตร์และอนาคตของ Bentley ยนตรกรรมที่สมบูรณ์แบบที่สุด
เบนท์ลีย์ สปีด: ตำนานบทสุดท้ายแห่ง W12 ในปี 2025 – บทวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ
ในโลกยานยนต์ปี 2025 ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้ง การหวนรำลึกถึงยุคทองของเครื่องยนต์สันดาปภายในย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรากล่าวถึงขุมพลัง W12 อันเป็นหัวใจหลักของแบรนด์เบนท์ลีย์มายาวนานกว่าสองทศวรรษ การตัดสินใจยุติการผลิตเครื่องยนต์ W12 ในช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมา ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ยานยนต์ และเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงอัครยนตรกรรมตระกูล “เบนท์ลีย์ สปีด” (Bentley Speed) ซึ่งเปรียบเสมือนบทสรุปที่สมบูรณ์แบบที่สุดของขุมพลัง W12 ก่อนที่เราจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้าเต็มตัว โดยได้รับมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์หรูที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี
ตำนาน W12: หัวใจแห่งเบนท์ลีย์ที่ไม่มีวันตาย
เครื่องยนต์ W12 ไม่ใช่แค่เพียงเครื่องยนต์ธรรมดา แต่คือสัญลักษณ์แห่งวิศวกรรมยานยนต์ขั้นสุดยอดของเบนท์ลีย์ ด้วยโครงสร้างรูปตัว ‘W’ ที่เป็นเอกลักษณ์ ประกอบด้วย 12 กระบอกสูบ ขนาด 6.0 ลิตร ทวินเทอร์โบชาร์จ ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2546 มันคือหัวใจที่ขับเคลื่อนอัครยนตรกรรมระดับเรือธงของเบนท์ลีย์สู่ความเป็นเลิศ เครื่องยนต์ W12 แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างพละกำลังอันมหาศาลและความประณีตในการทำงาน แรงบิดมหาศาลที่ 900 นิวตันเมตร ซึ่งสามารถคงอยู่ได้ตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้การตอบสนองเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น ในขณะที่พละกำลังสูงสุดที่สูงถึง 650 แรงม้าในรุ่น Continental GT Speed แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของมัน
ตลอดระยะเวลา 20 ปี เครื่องยนต์ W12 ได้รับการปรับปรุงอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการปล่อยมลพิษ และเสริมความทนทาน จากข้อมูลทางวิศวกรรม เราเห็นพัฒนาการที่โดดเด่น: กำลังเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นกว่า 37% แรงบิดเพิ่มขึ้น 54% แต่ขณะเดียวกัน การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับลดลงถึง 25% ซึ่งเป็นผลจากการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ อาทิ ระบบการปิดการทำงานของกระบอกสูบ (Cylinder Deactivation) ระบบหัวฉีดคู่ทั้งแบบ Direct และ Port Injection รวมถึงการปรับปรุงระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์และการจัดการความร้อน นี่คือบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเบนท์ลีย์ในการผลักดันขีดจำกัดทางวิศวกรรม และเครื่องยนต์ W12 ได้กลายเป็นบรรทัดฐานของเครื่องยนต์สันดาปภายในระดับอัลตร้าลักชัวรีอย่างแท้จริง
Bentley Speed: นิยามใหม่แห่งสมรรถนะและความหรูหรา
สำหรับผู้ที่คลุกคลีในวงการยานยนต์หรูจะทราบดีว่า “Speed” ในตระกูลเบนท์ลีย์ไม่ได้หมายถึงเพียงความเร็วสูงสุดเท่านั้น แต่คือการรวบรวมเอาสุดยอดแห่งสมรรถนะการขับขี่ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และงานฝีมืออันประณีตเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว อัครยนตรกรรมในตระกูล Speed เป็นการแสดงออกถึงดีเอ็นเอของเบนท์ลีย์ที่มุ่งเน้นทั้งความหรูหราและความเร้าใจไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น Continental GT Speed ที่เป็นสปอร์ตคูเป้สุดหรู Flying Spur Speed ที่เป็นซีดานสมรรถนะสูง หรือ Bentayga Speed ที่เป็นเอสยูวีหรูทรงพลัง ทุกรุ่นต่างถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นและแตกต่าง
ดีไซน์ภายนอก: ความสง่างามที่แฝงไว้ด้วยความดุดัน
รูปลักษณ์ภายนอกของ Bentley Speed ได้รับการออกแบบให้สะท้อนถึงบุคลิกที่สปอร์ตและโฉบเฉี่ยว โดยไม่ทิ้งความสง่างามตามแบบฉบับของเบนท์ลีย์ ชุดแต่ง Styling Specification รอบคัน ไม่ว่าจะเป็นสปอยเลอร์หน้า สเกิร์ตข้าง หรือดิฟฟิวเซอร์ท้าย ล้วนผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์สีดำมันวาวน้ำหนักเบา พร้อมลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงาม แต่ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม การตกแต่งด้วยกระจังหน้าและกระจังกันชนด้านล่างเฉดสีเข้มแบบ Dark Tint รวมถึงกาบประตูห้องโดยสารแบบ ‘Speed’ ช่องระบายอากาศสีเข้ม และโลโก้ ‘Speed’ แบบโครเมียมที่บังโคลนหน้า ล้วนเป็นรายละเอียดที่บ่งบอกถึงความพิเศษของรุ่นนี้
จุดเด่นอีกประการหนึ่งคือล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้ว ที่ออกแบบมาเฉพาะรุ่น Speed มีให้เลือกทั้งเฉดสีเงินสว่างคลาสสิก หรือโทนสีเข้มและสีดำเงาที่ดูดุดัน ฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ ‘Jewel’ ที่มีความหรูหราประดุจงานอัญมณี รวมถึงกาบบันไดประตูห้องโดยสารแบบเรืองแสงประดับด้วยคำว่า ‘Speed’ และปลายท่อไอเสียรูปทรงรีที่สื่อถึงขุมพลัง W12 อันทรงพลัง สำหรับ Bentayga Speed ยังโดดเด่นด้วยสปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่ที่สะดุดตา เสริมความสปอร์ตและบ่งบอกถึงสมรรถนะได้อย่างชัดเจน
สำหรับรุ่น Flying Spur Speed นั้นจะมาพร้อมชุดแต่ง Blackline Specification สีดำสนิท ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ Flying ‘B’ มาสคอตอันเลื่องชื่อ กระจังหน้าแบบเมทริกซ์ กรอบหน้าต่าง กรอบประตูด้านล่าง กันชนหลัง ไปจนถึงกรอบไฟหน้าและไฟท้าย มือจับประตู และช่องระบายอากาศ ทุกรายละเอียดล้วนถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ที่แตกต่างและโดดเด่น ลูกค้ายังสามารถเลือกปรับแต่งสีภายนอกได้อย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยเฉดสีมาตรฐาน 17 สี เฉดสีพิเศษอีก 47 สีจาก Mulliner รวมถึงตัวเลือกแบบดูโอโทน 24 เฉดสี หรือแม้แต่การรังสรรค์สีใหม่ตามความต้องการเฉพาะตัว นี่คือการสะท้อนถึงปรัชญาของเบนท์ลีย์ในการนำเสนอความหรูหราแบบเฉพาะบุคคล
ภายในห้องโดยสาร: สัมผัสแห่งความสปอร์ตที่หรูหรา
เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในห้องโดยสารของ Bentley Speed คุณจะสัมผัสได้ถึงการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความหรูหราสูงสุดและกลิ่นอายของรถแข่ง วัสดุหนัง Alcantara® ที่ใช้กันในรถแข่งสมรรถนะสูง ถูกนำมาใช้ในการตกแต่งอย่างประณีต ทั้งบนเบาะรองนั่ง แผงพนักพิงหลัง คันเกียร์ พวงมาลัย และแผงบุหลังคา เสริมด้วยงานปักคำว่า ‘Speed’ บนเบาะโดยสาร และการออกแบบการเย็บแบบตัดกันใหม่ผ่านงานควิลท์ลายเพชรตามแบบ Mulliner Driving Specification ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น Speed โดยเฉพาะ ลายเย็บแต่ละเส้นที่ลากผ่านงานควิลท์จะถูกแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเพื่อให้เข้ากับหนัง และอีกส่วนหนึ่งเป็นสีที่ตัดกันอย่างมีศิลปะ พร้อมการตกแต่งด้วยโลโก้ ‘Speed’ บริเวณคอนโซลหน้าและกาบบันไดห้องโดยสารแบบเรืองแสง
การปรับแต่งภายในยังคงเป็นจุดแข็งของเบนท์ลีย์ โดยลูกค้าสามารถเลือกเฉดสีหลักได้ถึง 15 เฉดสี และเฉดสีรองอีก 11 เฉดสี รวมถึงการใช้หนัง Alcantara ในส่วนอื่นๆ ของห้องโดยสาร เพื่อสร้างบรรยากาศที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกวัสดุวีเนียร์หลากหลายรูปแบบให้เลือกสรร ตั้งแต่ Piano Black ที่เป็นมาตรฐาน ไปจนถึง Crown Cut Walnut, Dark Burr Walnut, Dark Fiddleback Eucalyptus และ Koa ซึ่งแต่ละชิ้นล้วนเป็นงานฝีมือที่สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียดสูงสุด การตกแต่งภายในจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสวยงาม แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สะท้อนรสนิยมและตัวตนของผู้ครอบครองได้อย่างชัดเจน
สมรรถนะการขับขี่: พลังและความแม่นยำที่เหนือชั้น
Bentley Speed แต่ละรุ่นถูกออกแบบมาเพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างกัน แต่มีจุดร่วมคือประสิทธิภาพและความแม่นยำที่ไม่มีใครเทียบได้
Continental GT Speed: คือตัวอย่างที่ชัดเจนของความสมดุลระหว่างพละกำลังอันมหาศาลและความคล่องตัว เครื่องยนต์ W12 TSI ขนาด 6.0 ลิตร พัฒนาขึ้นมาเพื่อรุ่น Speed โดยเฉพาะ ให้กำลังสูงสุด 650 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 4% จากรุ่น W12 มาตรฐาน) แรงบิด 900 นิวตันเมตร สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 335 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 3.6 วินาที ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรถสปอร์ตคูเป้ที่เร็วและทรงพลังที่สุดในตลาด
Flying Spur Speed: ในฐานะซีดานสมรรถนะสูง Flying Spur Speed ไม่ได้ด้อยกว่าในเรื่องพละกำลัง ด้วยเครื่องยนต์ W12 ให้กำลัง 626 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร สามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายใน 3.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันคือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความหรูหราแบบรถลีมูซีนและความเร้าใจแบบรถสปอร์ต
Bentayga Speed: ยกระดับมาตรฐานของเอสยูวีอัลตร้าลักชัวรีไปอีกขั้น ด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ W12 ขนาด 6.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 626 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร สามารถทำความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ใน 3.9 วินาที ซึ่งทำให้เป็นหนึ่งในเอสยูวีที่เร็วที่สุดในโลก โดยยังคงรักษาไว้ซึ่งความสะดวกสบายและการควบคุมที่เป็นเลิศ
นอกเหนือจากพละกำลังเครื่องยนต์แล้ว Bentley Speed ยังโดดเด่นด้วยระบบควบคุมและช่วงล่างที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบความมั่นใจและความแม่นยำในการขับขี่สูงสุด
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟขั้นสูง (Advanced Active All-Wheel Drive): ช่วยกระจายแรงขับเคลื่อนไปยังล้อแต่ละข้างอย่างเหมาะสมตามสภาพการขับขี่ ทำให้รถมีเสถียรภาพสูงสุด ไม่ว่าจะบนถนนเปียกหรือแห้ง
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic All-Wheel Steering): เป็นหัวใจสำคัญที่เพิ่มทั้งเสถียรภาพในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง และมอบความคล่องตัวในการขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ในช่วงความเร็วต่ำ ล้อหลังจะเลี้ยวในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ทำให้ระยะฐานล้อสั้นลง ลดวงเลี้ยว เพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ในเมืองและจอดรถได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ความเร็วสูง ล้อหลังจะเลี้ยวไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า เพื่อเพิ่มเสถียรภาพและความมั่นใจในการเปลี่ยนเลนหรือเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
ระบบ Bentley Dynamic Ride (BDR): นี่คือเทคโนโลยีควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้า 48 โวลต์ตัวแรกของโลก BDR จะตอบสนองต่อแรงหมุนด้านข้างทันทีเมื่อเข้าโค้ง เพื่อให้ยางยึดเกาะพื้นผิวถนนให้ได้มากที่สุด ลดอาการโคลงของตัวรถ เพิ่มความเสถียรภายในห้องโดยสาร ความสะดวกสบายในการขับขี่ และการควบคุมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (Torque Vectoring by Brake) ซึ่งจะช่วยควบคุมแรงบิดของล้อให้สัมพันธ์กับความเร็ว ทำให้รถทรงตัวได้อย่างสมดุลและตอบสนองต่อการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น
บทสรุปของตำนาน W12 และก้าวต่อไปของเบนท์ลีย์
การยุติการผลิตเครื่องยนต์ W12 ในช่วงปลายปี 2024 ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัยอันรุ่งโรจน์และเป็นช่วงเวลาที่เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส กำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้ผลิตอัครยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายใต้กลยุทธ์ Beyond100 ที่ประกาศไว้ อย่างไรก็ตาม มรดกของเครื่องยนต์ W12 จะยังคงเป็นส่วนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Bentley Speed ในฐานะรุ่นที่ทรงสมรรถนะที่สุดของยุค W12 จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ยานยนต์ที่รวดเร็ว แต่เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นที่ไม่หยุดยั้งในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ความประณีต และประสิทธิภาพสูงสุด มันคือการผสมผสานศิลปะและวิศวกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ และจะถูกจดจำในฐานะหนึ่งในอัญมณีล้ำค่าที่สุดของโลกยานยนต์
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าอัครยนตรกรรมตระกูล Bentley Speed ที่มาพร้อมขุมพลัง W12 เหล่านี้จะกลายเป็น “ของสะสม” อันล้ำค่าในอนาคตอันใกล้ มูลค่าของมันจะเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ไม่ใช่เพียงเพราะสมรรถนะที่น่าทึ่ง แต่ยังเพราะสถานะของการเป็น “รุ่นสุดท้าย” ของเครื่องยนต์ในตำนาน เป็นเสมือนงานศิลปะชิ้นสุดท้ายจากยุคทองของวิศวกรรมเครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งยากที่จะหาคู่แข่งเทียบเคียงได้
เชิญสัมผัสตำนานบทสุดท้ายแห่ง W12
สำหรับผู้ที่หลงใหลในความสมบูรณ์แบบ ความหรูหราที่มาพร้อมสมรรถนะอันไร้ขีดจำกัด และต้องการเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ยานยนต์ที่ไม่เหมือนใคร อัครยนตรกรรม Bentley Speed คือคำตอบ หากคุณกำลังมองหาสุดยอดแห่งประสบการณ์การขับขี่ที่ผสมผสานระหว่างความเร็ว ความสง่างาม และเทคโนโลยีล้ำยุค นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้ครอบครองตำนานที่ยังคงโลดแล่นอยู่บนท้องถนน สัมผัสถึงจิตวิญญาณแห่งวิศวกรรมอันล้ำเลิศและงานฝีมือที่ประณีตของเบนท์ลีย์ด้วยตัวคุณเอง อย่าพลาดโอกาสในการเป็นเจ้าของหนึ่งในอัครยนตรกรรมที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ยานยนต์โลก และเป็นส่วนหนึ่งของบทสรุปอันยิ่งใหญ่ของเครื่องยนต์ W12 ก่อนที่ยุคใหม่จะเข้ามาแทนที่อย่างสมบูรณ์แบบ

