ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
เบนท์ลีย์ สปีด: ตำนานบทสุดท้ายของขุมพลัง W12 ก่อนยุคยานยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว
ในห้วงเวลาที่โลกยานยนต์กำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ชื่อของ “เบนท์ลีย์ สปีด” (Bentley Speed) กลับยิ่งฉายชัดในฐานะสัญลักษณ์แห่งวิศวกรรมยานยนต์อันยิ่งใหญ่ เป็นบทสรุปแห่งความเร้าใจจากขุมพลังเครื่องยนต์ W12 ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะเหนือระดับ ซึ่งกำลังจะปิดฉากตำนานการผลิตอันยาวนานกว่าสองทศวรรษลงในไม่ช้า นี่ไม่ใช่เพียงการส่งท้ายสายการผลิตเครื่องยนต์ แต่คือการเฉลิมฉลองมรดกแห่งความแรง ความหรูหรา และความแม่นยำที่เบนท์ลีย์ได้รังสรรค์มาโดยตลอด ก่อนจะพลิกโฉมสู่ยุคใหม่ภายใต้วิสัยทัศน์ “Beyond100” ที่มุ่งเน้นยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
สำหรับปี 2025 ตลาดรถยนต์พรีเมียมยังคงมองหาความพิเศษที่เหนือกว่าแค่การเดินทาง เบนท์ลีย์ สปีด ตอบโจทย์นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการนำเสนออัครยนตรกรรมที่ผสานความสปอร์ตขั้นสูงสุดเข้ากับความประณีตดุจงานศิลป์ ไม่ว่าจะเป็น Continental GT Speed, Continental GT Convertible Speed, Flying Spur Speed และ Bentayga Speed ล้วนเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณแห่งความเร็วและความหรูหราที่ไม่อาจหาใดเทียบได้ ทั้งหมดนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยหัวใจหลักอย่างเครื่องยนต์ W12 TSI ขนาด 6.0 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงขีดสุด สร้างปรากฏการณ์ที่ยากจะลืมเลือนให้แก่นักขับที่แท้จริง
บทสรุปแห่งตำนาน: วิศวกรรมเครื่องยนต์ W12 อันเหนือชั้น
การประกาศยุติการผลิตเครื่องยนต์ W12 ในช่วงปลายปี 2567 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของเบนท์ลีย์ และเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ นับตั้งแต่ปี 2546 ที่เครื่องยนต์ W12 ได้ถือกำเนิดขึ้น ณ โรงงานครูว์ ประเทศอังกฤษ มันได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ซับซ้อน ทรงพลัง และประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งยุค ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขแรงม้า แต่คือปรัชญาการออกแบบที่ผสานกำลังมหาศาลเข้ากับความราบรื่นไร้ที่ติ
ตลอดระยะเวลา 20 ปี ทีมวิศวกรของเบนท์ลีย์ได้ทุ่มเทพัฒนาเครื่องยนต์ W12 อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ทั้งในด้านพละกำลัง แรงบิด การลดการปล่อยมลพิษ และการปรับแต่งเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ จากจุดเริ่มต้นสู่จุดสูงสุด แรงม้าเพิ่มขึ้นถึง 37% และแรงบิดเพิ่มขึ้น 54% ในขณะเดียวกัน การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับลดลงถึง 25% ซึ่งเป็นผลมาจากนวัตกรรมขั้นสูงในการออกแบบระบบควบคุม ระบบเชื้อเพลิง ระบบระบายความร้อน เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์ ระบบหัวฉีด และกระบวนการเผาไหม้ที่แม่นยำยิ่งขึ้น
เครื่องยนต์ W12 รุ่นล่าสุดที่อยู่ในสายการผลิตปัจจุบัน ซึ่งได้รับการพัฒนาใหม่ทั้งหมดในปี 2558 พร้อมการเปิดตัว Bentayga ได้รวมเอาเทคโนโลยีล้ำสมัยไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบปิดการทำงานของกระบอกสูบ (Cylinder Deactivation) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดเชื้อเพลิงเมื่อไม่ต้องการใช้กำลังสูงสุด ระบบไดเรคท์และพอร์ตอินเจคชั่น (Direct and Port Injection) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ในทุกรอบเครื่องยนต์ และระบบเทอร์โบคู่ (Twin-Turbo) ที่มอบการตอบสนองที่ฉับไวและกำลังสำรองที่ไร้ขีดจำกัด นี่คือ “หัวใจ” ที่ทำให้ Bentley Speed เป็นอัครยานยนต์สมรรถนะสูงที่หาตัวจับยากบนท้องถนน และเป็นหนึ่งใน “เครื่องยนต์ W12 สุดท้าย” ที่จะถูกผลิตขึ้นมา เป็นความปรารถนาของนักสะสมและผู้หลงใหลในยานยนต์อย่างแท้จริง
สมรรถนะเหนือจินตนาการ: อัครยนตรกรรมตระกูลสปีดในปี 2025
แต่ละรุ่นในตระกูล Bentley Speed ล้วนถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่าง แต่ยังคงไว้ซึ่งปรัชญาแห่งความเร็วและความประณีตในแบบฉบับเบนท์ลีย์
Continental GT Speed: คือนิยามของ “รถสปอร์ตพรีเมียม” แบบแกรนด์ทัวเรอร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ด้วยพละกำลัง 650 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 4% จากรุ่น W12 มาตรฐาน) และแรงบิดมหาศาล 900 นิวตันเมตร สามารถทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 335 กม./ชม. ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่คือการควบคุมที่แม่นยำไร้ที่ติ ด้วย “เทคโนโลยีขับขี่ Bentley” ขั้นสูงที่ผสานการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟ ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ และระบบ Bentley Dynamic Ride เข้าไว้ด้วยกัน มอบความมั่นใจในทุกโค้ง และการขับขี่ที่เร้าใจในทุกเส้นทาง
Flying Spur Speed: คือการบรรจบกันอย่างลงตัวระหว่างความหรูหราสง่างามของรถซีดานกับ “สมรรถนะรถหรู” ระดับซูเปอร์คาร์ ด้วยกำลัง 626 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที และความเร็วสูงสุด 333 กม./ชม. Flying Spur Speed ไม่เพียงพาคุณไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว แต่ยังมอบความสะดวกสบายและความโอ่อ่าสง่างามตลอดการเดินทาง มาพร้อมชุดแต่ง Blackline Specification ที่เน้นความเข้มขรึมและลึกลับ น่าค้นหา เหมาะสำหรับผู้บริหารที่ต้องการทั้งความโดดเด่นและสมรรถนะที่เร้าใจ
Bentayga Speed: ในฐานะ “รถ SUV หรู” ที่เร็วที่สุดในโลก Bentayga Speed ก้าวข้ามขีดจำกัดของยานยนต์อเนกประสงค์ ด้วยขุมพลัง 626 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุด 306 กม./ชม. และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.9 วินาที ผสานความสามารถในการขับขี่ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางบนไฮเวย์ที่ความเร็วสูง หรือการผจญภัยในเส้นทางที่ท้าทาย Bentayga Speed ก็ยังคงมอบความสะดวกสบายและ “ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ” ได้อย่างไม่เป็นรองใคร พร้อมสปอยเลอร์ท้ายอันโดดเด่นที่บ่งบอกถึงจิตวิญญาณแห่งความเร็วอย่างชัดเจน
ดีไซน์อันวิจิตร: ผสานความสปอร์ตเข้ากับความหรูหราอย่างลงตัว
“ดีไซน์ Bentley Speed” คือการผสมผสานงานศิลปะและหลักอากาศพลศาสตร์เข้าด้วยกันอย่างแยบยล ทุกรายละเอียดถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อสะท้อนถึงประสิทธิภาพและความเร็ว ขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ของเบนท์ลีย์
ภายนอกที่สง่างามและโฉบเฉี่ยว:
ชุดแต่ง Styling Specification: ผลิตจาก “ชุดแต่งคาร์บอนไฟเบอร์ Bentley” สีดำมันวาวน้ำหนักเบา พร้อมลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อความสวยงาม แต่เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดตามหลักอากาศพลศาสตร์
รายละเอียดสีเข้ม: กระจังหน้าและกระจังกันชนล่างเฉดสี Dark Tint, ช่องระบายอากาศสีเข้ม และโลโก้ ‘Speed’ แบบโครเมียมบนบังโคลนหน้า ล้วนเสริมบุคลิกความสปอร์ตที่ดุดัน
“ล้ออัลลอยด์ 22 นิ้ว” เฉพาะรุ่น: ดีไซน์เฉพาะตัวในเฉดสีเงินสว่าง พร้อมตัวเลือกสีเข้มหรือสีดำเงาที่ดุดันและหรูหรา
ลูกเล่นพิเศษ: ฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ ‘Jewel’, กาบบันไดประตูห้องโดยสารแบบเรืองแสงประดับคำว่า ‘Speed’ และปลายท่อไอเสียทรงรีอันเป็นสัญลักษณ์ของขุมพลัง W12
ความพิเศษสำหรับ Flying Spur Speed: มาพร้อมชุดแต่ง Blackline Specification สีดำสนิท ไม่ว่าจะเป็น Flying ‘B’ มาสคอต, กระจังหน้าเมทริกซ์, กรอบหน้าต่าง, กรอบประตู, กันชนหลัง รวมถึงกรอบไฟหน้า-ท้าย และมือจับประตู ที่เปลี่ยนเป็นเฉดสีเข้ม มอบลุคที่ลึกลับและทรงพลัง
การปรับแต่งสีภายนอก: ลูกค้าสามารถเลือกเฉดสีมาตรฐาน 17 สี, 47 สีพิเศษจาก Mulliner และ 24 เฉดสีแบบดูโอโทน หรือแม้กระทั่งรังสรรค์สีใหม่ตามความต้องการเฉพาะตัว แสดงให้เห็นถึงขีดจำกัดที่ไร้ขีดจำกัดของ “การปรับแต่งรถยนต์พิเศษ”
สัมผัสแห่งความสปอร์ตภายในห้องโดยสาร:
“ภายใน Bentley หรูหรา” ที่ผสาน Alcantara®: เบาะรองนั่งและพนักพิง, คันเกียร์, พวงมาลัย และแผงบุหลังคา ล้วนตกแต่งด้วยวัสดุ Alcantara® คุณภาพสูงแบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง มอบสัมผัสที่พิเศษและยึดเกาะร่างกายได้ดีเยี่ยม
งานปัก ‘Speed’ และลายควิลท์ Mulliner Driving Specification: โลโก้ ‘Speed’ ถูกปักอย่างประณีตบนเบาะโดยสาร พร้อมการเย็บตะเข็บแบบตัดกันในรูปแบบเพชรของ Mulliner Driving Specification ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเส้นเย็บหนึ่งเส้นจะกลมกลืนกับสีหนัง และอีกเส้นจะเป็นสีที่ตัดกัน สร้างมิติและความหรูหราที่ไม่เหมือนใคร
รายละเอียดพิเศษภายใน: โลโก้ ‘Speed’ บนคอนโซลหน้า และกาบบันไดห้องโดยสารแบบเรืองแสง เสริมบรรยากาศความพิเศษยามก้าวเข้าสู่ห้องโดยสาร
การปรับแต่งภายในที่ไร้ขีดจำกัด: เลือกเฉดสีหลัก 15 สีและเฉดสีรอง 11 สี รวมถึงการใช้วัสดุหนัง Alcantara ในส่วนอื่นๆ และวัสดุวีเนียร์หลากหลายรูปแบบ อาทิ Piano Black (มาตรฐาน), Crown Cut Walnut, Dark Burr Walnut, Dark Fiddleback Eucalyptus และ Koa เพื่อสร้างสรรค์ “ดีไซน์ภายในรถหรู” ที่สะท้อนตัวตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ระบบขับขี่อันล้ำสมัย: ความแม่นยำและความมั่นใจสูงสุด
เบนท์ลีย์ สปีด ไม่ได้มีดีแค่ความแรง แต่ยังมาพร้อม “เทคโนโลยีช่วงล่าง Bentley” และระบบขับขี่อัจฉริยะที่ทำให้การควบคุมเป็นไปอย่างง่ายดาย แม่นยำ และเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วสูงหรือต่ำ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟขั้นสูง (Advanced Active All-Wheel Drive): ระบบจะกระจายกำลังไปยังล้อที่เหมาะสมอย่างชาญฉลาด เพื่อให้รถมีการยึดเกาะถนนที่ดีที่สุดในทุกสภาพการขับขี่ มอบความมั่นคงและเสถียรภาพที่เหนือกว่า
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic All-Wheel Steer): คือ “นวัตกรรมยานยนต์” ที่ช่วยเพิ่มทั้งเสถียรภาพในการขับขี่ที่ความเร็วสูง และความคล่องตัวที่ความเร็วต่ำ
ที่ความเร็วต่ำ: ล้อหลังจะบังคับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ทำให้ระยะฐานล้อสั้นลง ลดวงเลี้ยว เพิ่มความคล่องตัวในการเลี้ยวกลับรถหรือจอดรถในพื้นที่จำกัด
ที่ความเร็วสูง: ล้อหลังจะบังคับไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า เพื่อเพิ่มเสถียรภาพ ลดการโยนตัวของรถ และทำให้การแซงหรือเปลี่ยนเลนทำได้อย่างมั่นใจและราบรื่นยิ่งขึ้น
ระบบ Bentley Dynamic Ride (48V Active Anti-Roll System): “เทคโนโลยีควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟ” ด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ ระบบนี้จะตอบสนองต่อแรงเหวี่ยงด้านข้างทันทีเมื่อเข้าโค้ง เพื่อให้ยางยึดเกาะถนนได้มากที่สุด ลดอาการโคลงเคลงของตัวรถ รักษาความราบเรียบในห้องโดยสาร เพิ่มความสบายในการขับขี่ และควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (Torque Vectoring by Electronic Differential): ทำงานร่วมกับระบบอื่นๆ เพื่อควบคุมแรงบิดที่ส่งไปยังแต่ละล้อให้สัมพันธ์กับความเร็วและมุมเลี้ยว ช่วยให้รถทรงตัวได้อย่างสมดุล ตอบสนองต่อการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น และมอบ “ความปลอดภัย Bentley” ในระดับสูงสุด
ก้าวต่อไปของเบนท์ลีย์: สู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว
ในขณะที่เราเฉลิมฉลองความสำเร็จและสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของ Bentley Speed ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ W12 เราก็ตระหนักดีว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ “อนาคต Bentley” คือทิศทางที่ชัดเจนสู่ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ภายใต้ยุทธศาสตร์ “Beyond100” ที่เบนท์ลีย์มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ผลิตอัครยนตรกรรมหรูที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2030
การยุติการผลิตเครื่องยนต์ W12 จึงไม่ใช่การสิ้นสุด แต่เป็นการเปิดบทใหม่ที่น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น เบนท์ลีย์ สปีด ในรุ่นปัจจุบัน จึงเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างมรดกอันรุ่งโรจน์ของวิศวกรรมเครื่องยนต์สันดาป เข้ากับอนาคตที่ยั่งยืนของ “อนาคตยานยนต์ไฟฟ้า Bentley” เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ครอบครองส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ยานยนต์ที่ไม่เพียงเป็นอัครยนตรกรรมที่ทรงพลังที่สุด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญทางวิศวกรรม ที่กำลังจะกลายเป็นตำนานบทหนึ่งไปตลอดกาล
บทส่งท้าย: สัมผัสตำนานความเร็ว ก่อนที่จะสายเกินไป
เบนท์ลีย์ สปีด ไม่ได้เป็นเพียงแค่รถยนต์ แต่คือผลงานชิ้นเอกที่หลอมรวมความหลงใหลในความเร็ว ความหรูหราไร้ที่ติ และนวัตกรรมทางวิศวกรรมขั้นสูงสุดเข้าไว้ด้วยกัน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่คลุกคลีอยู่ในวงการยานยนต์มากว่าสิบปี ผมยืนยันได้ว่านี่คือโอกาสอันหาได้ยากยิ่งที่จะได้เป็นเจ้าของอัครยานยนต์ที่ทรงคุณค่าและเป็นประวัติศาสตร์สำคัญของเบนท์ลีย์
อย่าพลาดโอกาสในการสัมผัสประสบการณ์ขับขี่อันเร้าใจและเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของตำนาน “เครื่องยนต์ W12 สุดท้าย” ที่กำลังจะปิดฉากลงในอีกไม่นาน เชิญมา “สัมผัส Bentley Speed” ด้วยตัวคุณเอง และค้นพบว่าอะไรที่ทำให้ยานยนต์เหล่านี้แตกต่างและโดดเด่นเหนือใครในตลาดอัครยนตรกรรมหรู
เยี่ยมชมโชว์รูมเบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการ เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กำหนดตาราง “ทดลองขับ Bentley” และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตำนานบทสุดท้ายนี้ ก่อนที่โอกาสจะผ่านพ้นไป
Bentley Speed: บทส่งท้ายตำนานขุมพลัง W12 แห่งยุค 2025
ในโลกแห่งยนตรกรรมหรูหราสมรรถนะสูง ชื่อของ Bentley ได้ยืนหยัดเป็นสัญลักษณ์แห่งความประณีต วิศวกรรมอันล้ำเลิศ และความเร็วที่เหนือชั้นมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “Speed” ซึ่งเป็นตัวแทนของประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้แบรนด์ วันนี้ เราจะพาทุกท่านดำดิ่งสู่ห้วงเวลาแห่งความทรงจำและอนาคต ด้วยการทำความรู้จักกับ Bentley Speed อัครยนตรกรรมเรือธงผู้ทรงอิทธิพลจากขุมพลังเครื่องยนต์ W12 ก่อนที่ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของเครื่องยนต์บล็อกนี้จะถึงคราวปิดฉากลงอย่างเป็นทางการในปี 2025 นับเป็นประวัติศาสตร์สำคัญที่ไม่เพียงแค่แฟนเบนท์ลีย์เท่านั้นที่ควรจับตา แต่ยังรวมถึงผู้ที่หลงใหลในวิศวกรรมยานยนต์ และ รถยนต์สมรรถนะสูง ทั่วโลก
สำหรับผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมสามารถยืนยันได้ว่าเครื่องยนต์ W12 ของ Bentley นั้นไม่ใช่แค่เครื่องยนต์ทั่วไป แต่มันคือผลงานศิลปะเชิงกลไกที่หลอมรวมพลัง ความนุ่มนวล และความน่าเชื่อถือเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ มันเป็นหัวใจที่ขับเคลื่อนอัครยนตรกรรมระดับเรือธงของ Bentley มาตั้งแต่ปี 2003 จวบจนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Continental GT Convertible Speed, Continental GT Speed, Flying Spur Speed และ Bentayga Speed ซึ่งแต่ละรุ่นล้วนเป็นตัวแทนของความเร็ว ความหรูหรา และประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ การประกาศยุติการผลิตเครื่องยนต์ W12 จึงเปรียบเสมือนการปิดฉากบทสุดท้ายของตำนานบทหนึ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งอนาคตยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
ความสง่างามที่หลอมรวมเข้ากับความสปอร์ตขั้นสุด
สิ่งที่ทำให้ Bentley Speed โดดเด่นกว่าใคร ไม่ใช่เพียงแค่พละกำลังมหาศาลภายใต้ฝากระโปรง แต่ยังรวมถึงการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนปรัชญา “Speed” ออกมาได้อย่างชัดเจน ทั้งภายนอกและภายใน รถในตระกูล Speed ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อผู้ที่ต้องการทั้งความหรูหรา ความสง่างาม และความโฉบเฉี่ยวเร้าใจในคันเดียว
เริ่มจากรูปลักษณ์ภายนอก รุ่น Speed มาพร้อมกับชุดแต่ง Styling Specification รอบคัน ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่การตกแต่งเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนและลดแรงต้านอากาศขณะทำความเร็วสูง วัสดุที่ใช้คือคาร์บอนมันวาวสีดำ ซึ่งไม่เพียงให้น้ำหนักที่เบาเป็นพิเศษ แต่ยังมอบลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผสมผสานกับการตกแต่งด้วยกระจังหน้าและกระจังกันชนด้านล่างในเฉดสีเข้มแบบ Dark Tint ที่เพิ่มความดุดันและลึกลับ กาบประตูห้องโดยสารพร้อมโลโก้ ‘Speed’ ที่ประดับอยู่บนบังโคลนหน้า และช่องระบายอากาศสีเข้ม ล้วนเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่รวมกันสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ของ รถยนต์พรีเมียม ที่พร้อมจะพุ่งทะยานไปข้างหน้า
ส่วนหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้คือล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้ว ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรุ่น Speed โดยเฉพาะ มีให้เลือกทั้งเฉดสีเงินสว่างคลาสสิก หรือตัวเลือกในโทนสีเข้มและสีดำเงาที่ดูดุดัน ฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ ‘Jewel’ ที่ประณีตงดงาม กาบบันไดประตูห้องโดยสารแบบเรืองแสงประดับคำว่า ‘Speed’ และปลายท่อไอเสียรูปทรงรีอันเป็นเอกลักษณ์ ล้วนบ่งบอกถึงความพิเศษของเครื่องยนต์ W12 ที่ซ่อนอยู่ภายใน สำหรับ Bentayga Speed ยังเสริมความสปอร์ตด้วยสปอยเลอร์ท้ายที่โดดเด่น ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการสร้างแรงกดท้าย (downforce) ช่วยให้รถทรงตัวได้ดีเยี่ยมยิ่งขึ้นที่ความเร็วสูง
ในรุ่น Flying Spur Speed นั้น Bentley เลือกใช้ชุดแต่ง Blackline Specification ซึ่งแปลงโฉมองค์ประกอบโครเมียมภายนอกให้กลายเป็นสีดำสนิท ไม่ว่าจะเป็นมาสคอต Flying ‘B’ อันเลื่องชื่อ กระจังหน้าแบบเมทริกซ์ กรอบหน้าต่างห้องโดยสาร กรอบประตูด้านล่าง กันชนหลัง ไปจนถึงกรอบไฟหน้าและไฟท้าย รวมถึงมือจับประตูและช่องระบายอากาศ การเปลี่ยนมาใช้สีดำนี้ไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกสปอร์ตและทันสมัยมากขึ้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในรายละเอียดและการปรับแต่งที่เหนือระดับ
การปรับแต่งรูปลักษณ์ภายนอกยังเปิดโอกาสให้เจ้าของรถได้แสดงออกถึงรสนิยมส่วนตัวอย่างเต็มที่ ด้วยตัวเลือกสีภายนอกกว่า 17 เฉดสีมาตรฐาน และอีก 47 เฉดสีพิเศษจาก Mulliner รวมถึงเฉดสีแบบทูโทนอีก 24 เฉดสี หรือแม้แต่การรังสรรค์เฉดสีใหม่ที่เข้ากับวัสดุที่ต้องการได้อย่างไร้ขีดจำกัด นี่คือการนำเสนอ การปรับแต่งเฉพาะบุคคล ที่แท้จริง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ Bentley เสมอมา
ความหรูหราที่โอบล้อมด้วยจิตวิญญาณแห่งสนามแข่ง
ก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารของ Bentley Speed คุณจะสัมผัสได้ถึงการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความหรูหราขั้นสูงสุดและความรู้สึกสปอร์ตแบบรถแข่ง วัสดุหนัง Alcantara® ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในวงการมอเตอร์สปอร์ต ถูกนำมาใช้ในการตกแต่งอย่างพิถีพิถัน ทั้งบนเบาะรองนั่ง แผงพนักพิงหลัง คันเกียร์ พวงมาลัย และแผงบุหลังคา ไม่เพียงแต่ให้สัมผัสที่นุ่มนวลและกระชับ แต่ยังช่วยลดน้ำหนักและเพิ่มความรู้สึกสปอร์ตได้อย่างแท้จริง โลโก้ ‘Speed’ ที่ถูกปักอย่างประณีตบนเบาะโดยสาร เป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันถึงความพิเศษของรุ่นนี้
หัวใจสำคัญของการตกแต่งภายในคือการออกแบบการเย็บแบบตัดกันในรูปแบบเพชรของ Mulliner Driving Specification ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น Speed โดยเฉพาะ การเย็บแต่ละเส้นที่ลากผ่านลวดลายควิลท์ถูกแยกออกอย่างชาญฉลาด เส้นหนึ่งใช้ด้ายสีเดียวกับหนังเพื่อความกลมกลืน อีกเส้นหนึ่งใช้ด้ายสีตัดกันเพื่อสร้างมิติและความโดดเด่น นี่คือผลงานแห่งศิลปะการเย็บปักที่ต้องอาศัยช่างฝีมือผู้ชำนาญการ และแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดที่ Bentley มีให้กับลูกค้าในทุกมิติ
นอกจากนี้ การตกแต่งด้วยโลโก้ ‘Speed’ บริเวณคอนโซลหน้าและกาบบันไดห้องโดยสารแบบเรืองแสง ยังช่วยเสริมความรู้สึกพิเศษและเป็นส่วนตัวให้กับผู้โดยสาร การปรับแต่งภายในยังคงความเป็น Bentley ด้วยตัวเลือกเฉดสีหลัก 15 เฉดสีและเฉดสีรอง 11 เฉดสี พร้อมตัวเลือกวัสดุวีเนียร์หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Piano Black, Crown Cut Walnut, Dark Burr Walnut, Dark Fiddleback Eucalyptus และ Koa ที่มอบบรรยากาศความหรูหราและอบอุ่นที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าคุณจะเลือกแบบใด ทุกรายละเอียดล้วนสะท้อนถึงรสนิยมอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของ และความมุ่งมั่นของ Bentley ในการสร้างสรรค์ยานยนต์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด
อัครยนตรกรรมที่ทรงสมรรถนะที่สุด: ปิดฉากด้วยความสำเร็จสูงสุด
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Bentley Speed เป็นที่จดจำอย่างแท้จริงคือ ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ ที่มาพร้อมกับพละกำลังอันมหาศาลจากเครื่องยนต์ W12 TSI ขนาด 6.0 ลิตร ซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดสองทศวรรษให้เป็นขุมพลังที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดของ Bentley
Continental GT Speed: คือนิยามของรถสปอร์ตคูเป้แกรนด์ทัวริ่งที่ผสานความหรูหราเข้ากับความเร็วได้อย่างไร้รอยต่อ เครื่องยนต์ W12 ที่ได้รับการปรับจูนเป็นพิเศษสำหรับรุ่น Speed มอบพละกำลังสูงสุดถึง 650 แรงม้า เพิ่มขึ้นจากรุ่น W12 มาตรฐานถึง 4% ในขณะที่ยังคงรักษากำลังแรงบิดมหาศาลที่ 900 นิวตันเมตร แรงบิดมหาศาลนี้เองที่ทำให้ Continental GT Speed สามารถทำความเร็วสูงสุด 335 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะเวลาเพียง 3.6 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับ รถหรู ที่มีน้ำหนักตัวมากขนาดนี้
Flying Spur Speed: คือการยกระดับประสบการณ์ซีดานสี่ประตูให้ไปอีกขั้น ด้วยพละกำลัง 626 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร Flying Spur Speed สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่มันคือการยืนยันถึงความสามารถของ Bentley ในการสร้างสรรค์ซีดานที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ยานพาหนะสำหรับผู้บริหาร แต่ยังเป็น รถยนต์สมรรถนะสูง ที่มอบความตื่นเต้นเร้าใจในการขับขี่ให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างเต็มที่
Bentayga Speed: ก้าวข้ามขีดจำกัดของ SUV หรู ด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบคู่รุ่น W12 ขนาด 6.0 ลิตร ที่ให้พละกำลังสูงสุด 626 แรงม้า และแรงบิด 900 นิวตันเมตร Bentayga Speed ไม่เพียงแต่มอบความสะดวกสบายและความหรูหรา แต่ยังมาพร้อมสมรรถนะที่น่าตกใจ ด้วยความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.9 วินาทีเท่านั้น นี่คือ SUV ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าสมรรถนะขั้นสุดยอดสามารถอยู่ร่วมกับความอเนกประสงค์และความหรูหราได้อย่างลงตัว ทำให้เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในตลาด รถยนต์พรีเมียม สำหรับผู้ที่รักการผจญภัยและแสวงหาความเร็ว
หัวใจสำคัญที่ทำให้รถตระกูล Speed สามารถควบคุมพละกำลังมหาศาลเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจและแม่นยำ คือเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนอันล้ำสมัยของ Bentley:
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟขั้นสูง (Advanced Active All-Wheel Drive): ระบบนี้จะกระจายแรงบิดไปยังล้อทั้งสี่ได้อย่างชาญฉลาดและรวดเร็ว ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนและเสถียรภาพในการเข้าโค้ง ไม่ว่าสภาพถนนจะเป็นอย่างไร ผู้ขับขี่ก็ยังคงรู้สึกมั่นใจในทุกการควบคุม
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic All-Wheel Steering): ระบบอัจฉริยะนี้ช่วยเพิ่มทั้งเสถียรภาพในการขับขี่ที่ความเร็วสูงและความคล่องตัวในย่านความเร็วต่ำ ขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ล้อหลังจะบังคับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ซึ่งช่วยลดระยะฐานล้อและวงเลี้ยว ทำให้การกลับรถหรือจอดรถในพื้นที่แคบเป็นเรื่องง่ายขึ้นอย่างน่าทึ่ง แต่เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ระบบจะบังคับล้อหลังไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า เพื่อเพิ่มความเสถียรในการเปลี่ยนเลนหรือเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่นและมั่นใจ ระบบนี้คือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้ Bentley Speed เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงที่ยังคงมอบความสบายในการขับขี่ได้ในทุกสภาวะ
Bentley Dynamic Ride System: นี่คือระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้า 48 โวลต์ตัวแรกของโลกที่ Bentley พัฒนาขึ้น ระบบนี้จะตอบสนองต่อแรงหมุนด้านข้างของตัวรถทันทีเมื่อเข้าโค้ง เพื่อให้ยางทุกเส้นยึดเกาะพื้นถนนได้มากที่สุด ช่วยลดอาการโคลงของตัวถังได้อย่างเห็นได้ชัด เพิ่มความเสถียรในห้องโดยสาร ความสบายในการขับขี่ และช่วงล่างอัจฉริยะที่ตอบสนองต่อการควบคุมได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (Torque Vectoring by Brake) ที่ช่วยปรับแรงบิดของแต่ละล้อให้สัมพันธ์กับความเร็ว ทำให้รถทรงตัวได้อย่างสมดุลและตอบสนองต่อการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น
ปิดฉากสุดยอดขุมพลังเครื่องยนต์ W12: ตำนานบทสุดท้าย
การประกาศของ Bentley Motors ที่จะยุติการผลิตเครื่องยนต์ W12 ในเดือนเมษายน 2024 (สำหรับการส่งมอบในปี 2025) นับเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของแบรนด์และอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2003 เครื่องยนต์ W12 ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในตำนานเครื่องยนต์ที่ซับซ้อนและทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ทีมวิศวกรของ Bentley ได้ทุ่มเทพัฒนาเครื่องยนต์บล็อกนี้อย่างไม่หยุดยั้ง จากจุดเริ่มต้นสู่จุดสูงสุดของประสิทธิภาพ ด้วยจำนวนการผลิตกว่า 100,000 เครื่องที่โรงงานครูว์ ประเทศอังกฤษ W12 ได้เห็นการเพิ่มขึ้นของพละกำลังถึง 37% และแรงบิดเพิ่มขึ้น 54% ในขณะที่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 25% นี่คือความสำเร็จที่น่าทึ่งในด้านวิศวกรรมยานยนต์ ซึ่งเกิดจากการปรับปรุงระบบควบคุม การออกแบบระบบเชื้อเพลิงและระบบระบายความร้อน เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์ ระบบหัวฉีด และการเผาไหม้ที่แม่นยำยิ่งขึ้น
การมาถึงของ Bentayga ในปี 2015 ถือเป็นการพลิกโฉมครั้งใหญ่ของเครื่องยนต์ W12 โดยได้รับการพัฒนาใหม่ทั้งหมด เพื่อให้รองรับกับความต้องการด้านสมรรถนะและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การนำระบบปิดการทำงานของกระบอกสูบ (Cylinder Deactivation) มาใช้ ทำให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้เพียง 6 กระบอกสูบเมื่อไม่ต้องการพละกำลังสูงสุด ซึ่งช่วยประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษ นอกจากนี้ ระบบไดเรกต์อินเจกชันและพอร์ตอินเจกชัน (Direct and Port Injection) ร่วมกับระบบเทอร์โบคู่ (Twin-Turbo) ยังคงเป็นหัวใจหลักที่ส่งมอบพลังและประสิทธิภาพได้อย่างไร้ที่ติ
การที่ Bentley ตัดสินใจยุติการผลิต W12 ถือเป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนในการก้าวสู่ยุคแห่งยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ “Beyond100” ของแบรนด์ที่มุ่งมั่นจะเป็นผู้ผลิตอัครยนตรกรรมไฟฟ้า 100% ภายในปี 2030 ในปี 2025 นี้ ขณะที่เราเห็นการปิดฉากของ W12 เราก็กำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ของนวัตกรรม ซึ่งแม้จะแตกต่าง แต่ก็ยังคงสานต่อจิตวิญญาณแห่งความเป็นเลิศของ Bentley ไว้
บทส่งท้าย: โอกาสสุดท้ายในการเป็นเจ้าของตำนาน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในแวดวงยานยนต์ ผมกล้าพูดได้ว่า Bentley Speed ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ W12 ไม่ใช่แค่รถยนต์คันหนึ่ง แต่มันคือผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรมที่หาใดเทียบได้ เป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยที่พละกำลังดิบและความหรูหราประณีตสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันคือบทสรุปของความเป็นที่สุดในโลกแห่งเครื่องยนต์สันดาป ก่อนที่อุตสาหกรรมจะหันไปให้ความสำคัญกับอนาคตยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
สำหรับผู้ที่หลงใหลในเสียงคำรามของเครื่องยนต์อันทรงพลัง สัมผัสแห่งความเร็วที่มาพร้อมความนุ่มนวล และงานฝีมือระดับปรมาจารย์ Bentley Speed W12 คือโอกาสสุดท้ายในการเป็นเจ้าของชิ้นส่วนแห่งประวัติศาสตร์ยานยนต์ นี่ไม่ใช่แค่การซื้อรถยนต์ แต่คือการลงทุนใน รถยนต์คลาสสิก แห่งอนาคต การเป็นเจ้าของ Bentley Speed W12 ในปี 2025 นี้ คือการจับจองตำนานที่กำลังจะถูกจารึก เป็นเครื่องยืนยันถึงรสนิยมอันโดดเด่นและความเข้าใจในคุณค่าที่แท้จริงของยนตรกรรมชั้นเลิศ
ก่อนที่บทสุดท้ายของตำนานบทนี้จะถูกปิดลงอย่างสมบูรณ์แบบ อย่าปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไป หากคุณปรารถนาที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ และเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของ Bentley เราขอเรียนเชิญท่านสัมผัสและเป็นเจ้าของ Bentley Speed W12 ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะอันเหนือชั้นและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ได้ที่ผู้แทนจำหน่าย Bentley อย่างเป็นทางการวันนี้ โอกาสสุดท้ายนี้ อาจไม่หวนกลับมาอีกครั้ง!

