ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
เปิดขีดสุดความเร็ว: ยนตรกรรมที่เร็วที่สุดในโลกปี 2025 – ความเร็วสูงสุด, อัตราเร่ง และเวลาต่อรอบในตำนาน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการยานยนต์สมรรถนะสูงมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของคำว่า “เร็วที่สุด” อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ปี 2025 นี้ นิยามของความเร็วได้แตกแขนงออกไปอย่างชัดเจน รถยนต์ที่ทำความเร็วสูงสุดบนทางตรงได้อย่างน่าทึ่ง อาจไม่ใช่รถที่ออกตัวจากจุดหยุดนิ่งได้เร็วที่สุด หรือรถที่ทำเวลาต่อรอบในสนามแข่งได้ดีที่สุดอีกต่อไป
นี่คือยุคที่ผู้ผลิตต่างมุ่งเน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อผลักดันขีดจำกัดของเทคโนโลยีไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการทะยานสู่ตัวเลข Vmax (ความเร็วสูงสุด) ที่เกินจินตนาการ การปลดปล่อยพละกำลังในพริบตาเพื่ออัตราเร่งที่สะเทือนโลก หรือการยึดเกาะถนนและเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำไร้ที่ติเพื่อเวลาต่อรอบที่ไร้เทียมทาน การที่จะครอบครองตำแหน่งสูงสุดในทุกๆ ด้านนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในยุคสมัยนี้
อย่างไรก็ตาม ความเร็วสูงสุดยังคงเป็นตัวเลขที่เย้ายวนและเป็นแหล่งรวมสิทธิ์ในการโอ้อวดในโลกของไฮเปอร์คาร์ การทะลุผ่านกำแพง 200 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 320 กม./ชม.) ยังคงเป็นความสำเร็จที่น่าเคารพเช่นเดียวกับเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว ในทางกลับกัน รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ทำให้ประสิทธิภาพการเร่งความเร็วระดับไฮเปอร์คาร์เป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้แต่รถ SUV หรือรถซีดานสำหรับครอบครัวบางรุ่นก็สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาไม่ถึง 3 วินาที
ในทำนองเดียวกัน การก้าวกระโดดอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีแรงกดอากาศ แชสซี และยางรถยนต์สมรรถนะสูง ได้ทำให้เวลาต่อรอบในสนามแข่งลดลงอย่างฮวบฮาบในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จนถึงจุดที่รถยนต์ Porsche 911 GT3 RS ที่ใช้งานบนท้องถนน สามารถเอาชนะรุ่นแข่งของตัวเองได้ด้วยยางประเภทเดียวกัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า “ความเร็ว” ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขเดียวอีกต่อไป แต่เป็นมิติที่หลากหลายและซับซ้อนยิ่งขึ้นในโลกยานยนต์ปี 2025
มุ่งสู่ขีดจำกัด: ยนตรกรรมความเร็วสูงสุดแห่งปี 2025
การพิชิตความเร็วสูงสุดระดับโลกไม่ใช่แค่เรื่องของพละกำลังเครื่องยนต์อีกต่อไป ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามตลาดรถยนต์พรีเมียมและไฮเปอร์คาร์มาอย่างใกล้ชิด ผมสามารถยืนยันได้ว่ามันคือการบรรจบกันของเทคโนโลยีล้ำสมัย ทั้งในด้านอากาศพลศาสตร์ที่ลดแรงต้าน เพิ่มแรงกด ระบบการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และที่สำคัญไม่แพ้กันคือเทคโนโลยีของยางรถยนต์สมรรถนะสูงที่ต้องรับมือกับความเร็วอันมหาศาล
ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อพูดถึงสถิติความเร็วสูงสุดคือ:
เป็นค่าเฉลี่ยสองทางหรือความเร็วสูงสุด (Vmax) เพียงครั้งเดียว? การบันทึกสถิติโลกอย่างเป็นทางการมักจะใช้ค่าเฉลี่ยจากความเร็วที่ทำได้ทั้งสองทิศทาง เพื่อชดเชยปัจจัยเรื่องลมและความลาดเอียงของพื้นผิว
รถที่ทำสถิติเป็นรุ่นที่ลูกค้าสามารถซื้อได้หรือไม่? บ่อยครั้งที่สถิติถูกทำโดยรถต้นแบบหรือรถที่มีการปรับแต่งพิเศษเพื่อการทำสถิติโดยเฉพาะ
การอ้างสิทธิ์เป็นการประมาณค่าหรือได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ? การทดสอบต้องได้รับการบันทึกด้วยอุปกรณ์วัดข้อมูลที่แม่นยำและได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ
ต่อไปนี้คือสุดยอดรถยนต์ที่ทำความเร็วสูงสุดได้อย่างแท้จริง โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับเงื่อนไขการทำสถิติ:
BYD Yangwang U9 Xtreme – 308.3 ไมล์/ชม. (496.22 กม./ชม.)
Yangwang แบรนด์ย่อยของ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนยอดนิยม เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2023 แต่กลับสร้างปรากฏการณ์เหนือความคาดหมาย ด้วยการเอาชนะ Bugatti ในเกมของตัวเอง ด้วยการนำซูเปอร์คาร์ U9 เป็นพื้นฐาน รุ่น “Xtreme” ที่ผลิตจำกัดเพียง 30 คัน ได้ยกระดับสมรรถนะไปอีกขั้น ด้วยพละกำลังกว่า 3,000 แรงม้า (เป็นสองเท่าของ Chiron W16) ยางกึ่งสลิก และระบบช่วงล่าง DiSus-X ที่ได้รับการอัพเกรดเพื่อรองรับแรงมหาศาล
เช่นเดียวกับรถหลายคันในรายการนี้ รถที่ทำสถิติได้ติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ไม่ใช่สเปคการผลิต เช่น โรลเคจเต็มรูปแบบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือความสำเร็จทางวิศวกรรมที่น่าประทับใจ ที่สนามทดสอบ Automotive Testing Papenburg ในเยอรมนี มาร์ค บาสเซนก์ นักแข่งชาวเยอรมัน ได้พารถ U9 ทำความเร็วสูงสุด 496.22 กม./ชม. ซึ่งสูงกว่าสถิติของรถยนต์ EV และ ICE ที่ผลิตจำนวนมาก นับเป็นการทำลายขีดจำกัดใหม่ให้กับโลกยานยนต์ไฟฟ้า แม้จะบันทึกจากการวิ่งเพียงครั้งเดียว ซึ่งต่างจากสถิติโลกอย่างเป็นทางการที่ต้องการค่าเฉลี่ยสองทาง
การวิ่งทางเดียว
Bugatti Chiron Super Sport 300+ – 304.7 ไมล์/ชม. (490.48 กม./ชม.)
Bugatti เป็นผู้ผลิตรายแรกที่ทะลุผ่านกำแพง 300 ไมล์ต่อชั่วโมงด้วย Chiron Super Sport 300+ ในปี 2019 สถานการณ์ของการทำสถิตินั้นไม่เหมือนใคร การวิ่งทำสถิติเสร็จสมบูรณ์ด้วยรถต้นแบบ Chiron ที่สนามทดสอบ Ehra-Lessien และถึงแม้จะทำความเร็วได้ถึง 304.7 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่ Bugatti ก็ทำความเร็วสูงสุดของรถได้เพียงทิศทางเดียว อย่างไรก็ตาม นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นได้ด้วยอากาศพลศาสตร์ที่ได้รับการปรับแต่ง เครื่องยนต์ W16 ขนาด 1,578 แรงม้า และทักษะของแอนดี้ วอลเลซ นักขับทดสอบอย่างเป็นทางการของ Bugatti
หลังจากทำลายกำแพง 300 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ Bugatti ได้ผลิต Super Sport 300+ จำนวน 30 คันออกจำหน่ายให้กับลูกค้า แต่จำกัดความเร็วไว้ที่ 273 ไมล์ต่อชั่วโมง ถึงกระนั้น รถรุ่นเหล่านี้ก็มีพละกำลังเท่ากับรถที่ทำสถิติ และมีส่วนท้ายแบบ longtail ที่ยาวขึ้นเพื่อแหวกอากาศได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น รวมถึงดิฟฟิวเซอร์ด้านล่างที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ การปรับแต่งระบบบังคับเลี้ยวและช่วงล่างก็ได้รับการแก้ไขเพื่อให้มีความเสถียรและการควบคุมที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในรถยนต์ที่สามารถทำอัตราเร่ง 0-300 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 12.1 วินาที!
การวิ่งทางเดียว ไม่ใช่สเปคการผลิต
SSC Tuatara – 295 ไมล์/ชม. (474.76 กม./ชม.) (การวิ่งทางเดียว)
SSC Tuatara เคยตกเป็นข่าวด้วยความขัดแย้งเมื่อผู้ผลิตอ้างว่าทำความเร็วได้ 331 ไมล์ต่อชั่วโมงในปี 2020 เพื่ออ้างสิทธิ์เป็นรถที่เร็วที่สุดในโลก ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เรื่องราวกลับกลายเป็นความอับอายของบริษัท อย่างไรก็ตาม Tuatara ยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่น่าทึ่งของรถยนต์โปรดักชั่นที่วิ่งบนถนน และได้ทำความเร็วสูงสุดที่ได้รับการยืนยันแล้วที่ 295 ไมล์ต่อชั่วโมงในการวิ่งทางเดียว
ความเร็วระดับนี้ไม่น่าแปลกใจเมื่อคุณได้อ่านสเปคของมัน ด้วยเชื้อเพลิง E85 Tuatara ให้กำลังมหาศาลถึง 1,750 แรงม้าจากเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ รอบเครื่องสูงสุด 8,800 รอบต่อนาที มีน้ำหนักตัวรถแห้งเพียง 1,247 กก. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่ 0.279 ซึ่งน่าประทับใจสำหรับรถที่ต้องระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์อันทรงพลังและสร้างแรงกดอากาศให้เพียงพอเพื่อยึดเกาะถนนที่ความเร็วเกือบ 300 ไมล์ต่อชั่วโมง แม้จะมีจุดเริ่มต้นที่ยากลำบากในเวทีไฮเปอร์คาร์ แต่ในแง่ของความเร็วบริสุทธิ์แล้ว มันคือผู้เล่นตัวจริงในลีกใหญ่
Bugatti Mistral – 281.8 ไมล์/ชม. (453.5 กม./ชม.)
ราวกับว่าการทำความเร็วเกิน 280 ไมล์ต่อชั่วโมงยังไม่พอ Bugatti Mistral ยังครองตำแหน่งรถเปิดประทุนที่เร็วที่สุดในโลก เอาชนะสถิติเดิมของ Hennessey Venom GT Spyder ไปถึง 16 ไมล์ต่อชั่วโมง นับเป็นการอำลา Bugatti ที่ใช้เครื่องยนต์ W16 ได้อย่างน่าประทับใจ ก่อนการมาถึงของ Tourbillon (ที่น่าสนใจคือไฮเปอร์คาร์ V16 รุ่นใหม่ของ Bugatti มีความเร็วสูงสุดที่ระบุไว้ 276 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งช้ากว่า Mistral เล็กน้อย)
Mistral ยืมกลไกมาจาก Chiron Super Sport ด้วยเครื่องยนต์ W16 แบบควอดเทอร์โบ 8 ลิตร ให้กำลัง 1,578 แรงม้า พร้อมการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก La Voiture Noire ที่ผลิตเพียงคันเดียว นี่ไม่ใช่แค่ Chiron ที่เปลี่ยนหน้าตาและตัดหลังคาออกเท่านั้น แต่แชสซีคาร์บอนไฟเบอร์ของ Mistral ได้รับการปรับเปลี่ยนรูปร่างเพื่อสร้างห้องโดยสารคล้ายกระบังหน้า และช่องรับอากาศด้านข้างของรุ่นคูเป้ถูกแทนที่ด้วยช่องรับอากาศแบบ Veyron ที่อยู่ด้านหลังคนขับและผู้โดยสาร
Koenigsegg Agera RS – 277.8 ไมล์/ชม. (447.19 กม./ชม.)
จนกว่า Koenigsegg จะให้โอกาส Jesko Absolut ในการพิชิตความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง Agera RS ก็ยังคงเป็นรุ่นที่ทำความเร็วสูงสุดได้สูงที่สุดของแบรนด์ มันเปิดตัวในปี 2015 ในฐานะรถยนต์อเนกประสงค์สำหรับทั้งถนนและสนามแข่ง โดยผสมผสานความสามารถของ One:1 เข้ากับความนุ่มนวลของ Agera รุ่นอื่นๆ (แน่นอนว่าคำเหล่านี้เป็นเรื่องสัมพัทธ์)
ตัวเลขที่โดดเด่นคือ 1,360 แรงม้า (เมื่อใช้เชื้อเพลิง E85) จากเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ 5 ลิตร และแรงบิด 944 ปอนด์ฟุต พร้อมน้ำหนักรถเปล่าเพียง 1,395 กก. แฟลปแอโรไดนามิกแบบแอคทีฟและปีกหลังที่ปรับได้ช่วยสร้างแรงกดอากาศ 485 กก. ที่ความเร็ว 250 กม./ชม. โดย Agera RS สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 284 ไมล์ต่อชั่วโมง (และค่าเฉลี่ยสองทางที่ 277.8 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งน่าประทับใจยิ่งกว่า) หาก Koenigsegg สามารถทำได้ด้วยรถอายุสิบปีเช่นนี้ Jesko ที่มีกำลัง 1,600 แรงม้าก็มีศักยภาพที่จะทำลายทุกสถิติ และอาจจะทะลุผ่านกำแพง 300 ไมล์ต่อชั่วโมงได้
ทะยานเหนือจินตนาการ: รถยนต์ที่มีอัตราเร่งสูงสุดแห่งปี 2025
การแข่งขันเพื่อเป็นรถที่มีอัตราเร่งเร็วที่สุดในโลกนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงในปี 2025 เมื่อเทียบกับเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ย้อนกลับไปในปี 2005 Bugatti Veyron ขนาด 986 แรงม้า ที่มาพร้อมยางขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดใหญ่ และที่สำคัญคือเกียร์ดูอัลคลัตช์ (DCT) ได้กลายเป็นรถยนต์ที่ไม่เพียงแต่เร็วที่สุดในโลกในแง่ของความเร็วสูงสุด แต่ยังเป็นรถที่ออกตัวได้เร็วที่สุด โดยเป็นรถโปรดักชั่นคันแรกที่ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาต่ำกว่า 3 วินาที (2.5 วินาที)
นอกเหนือจากพละกำลังอันมหาศาลแล้ว เกียร์ DSG และระบบ Launch Control ที่ช่วยให้สามารถสร้างรอบเครื่องยนต์ แรงม้า และแรงบิดที่เหมาะสมที่สุดตั้งแต่จุดหยุดนิ่ง ก่อนที่จะพุ่งตัวออกไปและเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีการสะดุดเหมือนเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์คลัตช์เดี่ยวอัตโนมัติ มันได้เปิดประตูให้กับรถยนต์อย่าง Nissan GT-R และต่อมาคือ Porsche 911 Turbo S (997.2) ซึ่งใช้ประโยชน์จากพละกำลังเทอร์โบ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์คลัตช์คู่ และ Launch Control เพื่อทำเวลา 0-100 กม./ชม. ได้ต่ำกว่า 3 วินาที จากนั้นรถยนต์อย่าง Tesla Model S ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เหนือกว่าของมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่
Rimac Nevera R – 0-100 กม./ชม. ใน 1.81 วินาที
สถานการณ์ปัจจุบันของ Rimac ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ Bugatti รุ่นต่อไป แต่ก่อนที่ Tourbillon จะมา Nevera คือรถที่ทำให้ Maté ได้รับความไว้วางใจให้คุมบังเหียนบริษัทไฮเปอร์คาร์ระดับโลกอย่าง Molsheim Nevera R คือเวอร์ชันที่ขีดสุด ด้วยพละกำลังที่เพิ่มขึ้นเป็น 2,078 แรงม้า แต่ยังคงทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 1.81 วินาที
Nevera คือเจ้าแห่งการทำลายสถิติ ที่น่าจดจำคือการสร้างสถิติ 23 รายการในวันเดียวเมื่อปี 2023 กลายเป็นรถที่เร็วที่สุดในด้าน 0-407-0 กม./ชม., 0-100 กม./ชม., 0-200 กม./ชม., 0-300 กม./ชม., 0-407 กม./ชม. และอื่นๆ อีกมากมาย นี่คือรถที่ถูกกำหนดด้วยความสามารถอันน่าทึ่ง แต่ไม่ใช่แค่รถแดร็กเท่านั้น Nevera คือไฮเปอร์คาร์ที่สมบูรณ์แบบ มีความสามารถรอบด้าน ดึงดูดทุกสัมผัส และได้รับการสร้างสรรค์มาอย่างสวยงามพร้อมเป็นรถสำหรับนักขับตัวจริง ด้วยเทคโนโลยี Torque Vectoring แบบเดียวกับ Pininfarina ทำให้มันมีความคล่องตัว ตอบสนองได้ดี และดึงดูดใจในการขับขี่
Pininfarina Battista – 0-100 กม./ชม. ใน 1.86 วินาที
ผลงานของ Pininfarina อาจดูไม่โอ้อวดเท่า แต่ Battista ที่สง่างามและสวยงามนั้นไม่ใช่รถซีดานหรูที่เก็บตัวเงียบ นี่คือซูเปอร์คาร์อิตาลีที่ไม่ผิดเพี้ยน แม้จะมีหัวใจเป็นเทคโนโลยีจากโครเอเชียก็ตาม Battista ยืมเทคโนโลยีจาก Rimac โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าประจำแต่ละล้อ และให้พละกำลังรวม 1,874 แรงม้า
ด้วยอุปกรณ์เหล่านี้ ทำให้ Battista เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่เร่งความเร็วได้เร็วที่สุดในโลก สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 1.86 วินาทีที่น่าเวียนหัว ณ จุดนี้ การทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. กลายเป็นเรื่องทางทฤษฎีไปแล้ว ตัวเลขอย่าง 0-200 กม./ชม. หรือ 0-300 กม./ชม. จะมีประโยชน์ในการให้บริบทมากกว่า ซึ่ง Battista สามารถทำได้ในเวลา 10.49 วินาที หรือเพียงแค่เวลาที่รถ Golf ดีเซลใช้ในการทำความเร็ว 0-100 กม./ชม.
แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ Battista คือความสามารถในการกระจายแรงบิด (Torque Vectoring) ระหว่างล้อขับเคลื่อนทั้งสี่ล้อ “คำสรุปสั้นๆ คือ ‘มนต์ดำ’ แต่คุณสามารถเขียนหนังสือได้เกี่ยวกับความรู้สึกของรถคันนี้” Richard Meaden บรรณาธิการของ evo กล่าวไว้ในการรีวิว “ผลกระทบของ Torque Vectoring ต่อการตอบสนองในการหมุนและความสามารถของ Battista นั้นมากจนคุณจะสาบานได้เลยว่าระบบบังคับเลี้ยวต้องมีอัตราทดที่แปรผันได้”
Lucid Air Sapphire – 0-100 กม./ชม. ใน 2 วินาที
เช่นเดียวกับ Horacio Pagani ที่แยกตัวจาก Lamborghini เพื่อสร้างสรรค์ความคิดของเขาให้เป็นจริง ผู้เล่นคนสำคัญจากจุดเริ่มต้นของเรื่องราว Tesla ก็แยกตัวออกมาเพื่อสร้าง Lucid ซึ่งเป็นคู่แข่งที่ทันสมัย ไฮเทค และระดับไฮเอนด์ต่อรถยนต์ไฟฟ้าของ Musk แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งทางการเงินเหมือน Tesla ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่รถยนต์ของ Lucid ก็สร้างความประทับใจอย่างมากในด้านสไตล์ วิศวกรรมศาสตร์ พลวัต และความเร็วอันน่าทึ่ง
ทั้งหมดนี้แสดงออกให้เห็นชัดเจนที่สุดใน Lucid Air Sapphire ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ให้กำลัง 1,234 แรงม้า และสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2 วินาที รถคันนี้มีสมรรถนะที่น่าทึ่ง แต่ยังคงเป็นรถซีดานที่ละเอียดอ่อน สง่างาม และหรูหรา นี่คือวิธีที่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถรวมสมรรถนะระดับไฮเปอร์คาร์เข้ากับรถยนต์ที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันได้อย่างน่าสนใจ
Tesla Model S Plaid – 0-100 กม./ชม. ใน 2.1 วินาที
“แต่ Plaid เร็วกว่า!” บรรดาแฟน Tesla จะยืนยัน และใช่ มันเร็วกว่า แม้จะรวมการทดสอบ 0-100 กม./ชม. ในสหราชอาณาจักรโดยไม่ใช้ rollout ก็ตาม Plaid ถูกอ้างว่าสามารถทำได้ใน 2.1 วินาที แม้ว่าตัวเลขนี้จะทำซ้ำได้ยากในสถานการณ์จริง แต่ก็มีหลักฐานวิดีโอมากมายที่แสดงให้เห็นว่า Tesla เร็วกว่า Porsche
การติดตั้งทางเทคนิคแตกต่างจาก Taycan เล็กน้อย โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวที่ด้านหลังและหนึ่งตัวที่ด้านหน้า ให้กำลังรวม 1,020 แรงม้า Tesla ยังไม่ได้ใช้เกียร์สองสปีดที่เพลาล้อหลังเหมือน Porsche ซึ่งการเปลี่ยนเกียร์เป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันแดร็กระหว่างรถทั้งสองคัน สิ่งที่ Tesla ยังไม่ถึงระดับคือบนสนามแข่ง Nürburgring ซึ่งทำเวลาได้เพียง 7 นาที 25.231 วินาที ซึ่งช้ากว่า Taycan ประมาณ 18 วินาที แต่ในการออกตัวจากไฟจราจรในโลกแห่งความเป็นจริง? Model S Plaid มักจะเร็วกว่าเสมอ
Porsche Taycan Turbo GT – 0-100 กม./ชม. ใน 2.2 วินาที
Porsche Taycan Turbo GT ที่รวดเร็วปานจรวดคือผลลัพธ์เมื่อชาวสตุ๊ตการ์ทตอบโต้ Tesla ด้วยพละกำลัง 1,020 แรงม้า สัตว์ประหลาดคันนี้มุ่งเป้าไปที่การเป็น Taycan ที่สุดยอดในแง่ของความสามารถในสนามแข่ง โดยเมื่อไม่อยู่ในโหมด launch มันจะทำงานด้วยกำลัง 778 แรงม้า การเพิ่มพละกำลังนี้แทบจะเป็นผลพลอยได้จากความตั้งใจในการสร้างรถสนาม และการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.2 วินาที ก็แสดงให้เห็นถึงความง่ายดายในการสร้างความสามารถในการเร่งความเร็วที่น่าทึ่งในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า
พละกำลังนั้นมาจากมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ตัวละหนึ่งที่เพลาล้อหน้าและหลัง ด้วยสถาปัตยกรรม 800 โวลต์ของรถยนต์และการมุ่งเน้นทางวิศวกรรมที่กว้างขึ้น มีเป้าหมายเพื่อสมรรถนะที่ทำซ้ำได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Tesla ไม่ได้โดดเด่นนัก มีการตั้งค่าแชสซีที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ยาง Trofeo RS ที่เป็นอุปกรณ์เสริม และในรุ่น Weissach Pack จะมีปีกคาร์บอนไฟเบอร์ที่สร้างแรงกดอากาศได้ 220 กก. สถิติที่น่าประทับใจที่สุดเกี่ยวกับ Taycan Turbo GT (ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดกับหัวข้อที่เรากำลังพูดถึง) คือเวลา Nürburgring ของมัน Turbo GT ทำเวลา Nürburgring ได้ 7:07.55 ซึ่งช้ากว่า Rimac Nevera 1,888 แรงม้าเพียง 2.25 วินาที ซึ่งเป็นผู้ทำสถิติในขณะนั้น แน่นอนว่า Nevera ในสเปค Nevera R ได้ลดเวลาลงอีก 5 วินาที แต่เวลาของ Porsche ก็ยังคงน่าประทับใจอยู่ดี
เกียรติยศสำหรับเครื่องยนต์สันดาปและไฮบริด:
รายการนี้เต็มไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้า แต่ไม่ต้องกังวล: Ferrari F80, Bugatti Tourbillon และ Koenigsegg Gemera กำลังจะเข้าร่วมวงด้วยพลังงานไฮบริด ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่อ้างว่าอยู่ระหว่าง 2.15 ถึง 1.9 วินาที เพื่อนำเครื่องยนต์สันดาปกลับมาสู่การแข่งขันอีกครั้ง
มองไปที่สนามแดร็ก คุณจะพบกับรถ muscle car สัญชาติอเมริกันที่มีโครงสร้างจาก Mercedes E-Class เก่า ที่อยู่บนสุดของตาราง หากคุณต้องการเห็นรถยนต์ที่ใช้งานบนถนนได้ตามกฎหมายที่เร่งความเร็วได้เร็วที่สุดในโลก (0-96 กม./ชม. ใน 1.66 วินาที) นั่นคือ Dodge Challenger SRT Demon 170 มันแค่ต้องการพื้นผิวที่เตรียมไว้และยางแดร็กสลิกเพื่อทำเช่นนั้น
ยังมีรถยนต์เครื่องยนต์ลูกสูบอื่นๆ ที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่ออีกด้วย แม้จะยังไม่เร็วเท่ารถยนต์ไฟฟ้าข้างต้น หรือ Demon บนพื้นผิวที่เตรียมไว้ Bugatti Chiron Super Sport สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.4 วินาที ในขณะที่ Lamborghini Revuelto, Aston Martin Valhalla และ Ferrari SF90 ล้วนอยู่ในคลับ 2.5 วินาที หากคุณต้องการความสุดขีด Ariel Atom 500 และ Ultima RS LT5 สามารถทำอัตราเร่งได้ใน 2.3 วินาที
นอกจากนี้ยังมีการอ้างสิทธิ์ความเร็วในการเร่งที่ไม่ได้ใช้งานบนท้องถนนหลายรายการ McMurtry’s Spéirling Pure จะพุ่งทะยานสู่ 96 กม./ชม. ในเวลา 1.55 วินาทีที่น่าตื่นเต้น Bugatti’s Bolide รถแข่งสนามแข่งได้ปลดปล่อยศักยภาพเต็มที่ของเครื่องยนต์ W16 ขนาด 1,578 แรงม้า เพื่อทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.17 วินาที Aspark Owl ซึ่งเป็นไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าของญี่ปุ่น ก็ถูกอ้างว่าสามารถทำ 0-96 กม./ชม. ได้ใน 1.72 วินาที แม้ว่ารถคันนี้จะหาซื้อได้ยากก็ตาม นอกจากนี้ยังมี Xiaomi SU7 Ultra ซึ่งเป็นคำตอบของจีนสำหรับ Porsche Taycan Turbo GT ที่ถูกอ้างว่าสามารถทำ 0-100 กม./ชม. ได้ใน 1.97 วินาที และมีราคาถูกกว่า Taycan รุ่นพื้นฐานอย่างน้อยก็ในตลาดบ้านเกิด
ทำไมรถยนต์ไฟฟ้าถึงเร็วจัด?
Tesla ได้เปลี่ยนเกมการเร่งความเร็วไปตลอดกาลด้วย Model S อย่างไรน่ะหรือ? มันเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงกระแสหลักคันแรกที่ปูทางไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงอื่นๆ อีกมากมาย มอเตอร์ไฟฟ้าของมัน เช่นเดียวกับมอเตอร์ทั้งหมดที่ตามมา ตอบสนองได้ทันทีและไม่จำเป็นต้องเร่งรอบเครื่องยนต์ หรือรอเทอร์โบทำงาน เพื่อสร้างกำลังเหมือนเครื่องยนต์สันดาป กำลังอยู่ที่นั่นและพร้อมใช้งานทันทีที่เหยียบแป้นคันเร่ง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีเกียร์ให้สะดุด แม้ว่าเกียร์ดูอัลคลัตช์จะเปลี่ยนเกียร์ได้เร็วแค่ไหน ก็ยังมีการหยุดชะงักของสมรรถนะที่สังเกตเห็นได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้คุณอยู่ในช่วงกำลังเครื่องยนต์ที่แตกต่างกันไปในรถยนต์ ICE แต่ไม่ใช่ในรถยนต์ไฟฟ้า — ไม่มีเกียร์ ไม่มี ‘ช่วงกำลัง’
บททดสอบขั้นสุดยอด: เวลาต่อรอบในสนามแข่งในตำนาน
เมื่อพูดถึงการประเมินความสามารถที่แท้จริงของรถยนต์ ความเร็วสูงสุดและอัตราเร่งเป็นเพียงสองส่วนของสมการที่ซับซ้อน รถที่เร็วไม่จำเป็นต้องเป็นรถที่ใช้ประโยชน์จากสมรรถนะสูงสุดในสนามแข่ง และนี่คือจุดที่มิติอื่นๆ เช่น ความเสถียร การยึดเกาะถนน สมดุล ประสิทธิภาพการเบรก และการตอบสนองเข้ามามีบทบาท การทำเวลาต่อรอบที่รวดเร็วนั้นมีความละเอียดอ่อนมากกว่าการทำความเร็วบนทางตรง และมักจะเป็นตัวบ่งชี้ความสามารถโดยรวมของรถยนต์ได้ดีกว่า
ในแง่นี้ ไม่มีสนามทดสอบใดจะดีไปกว่า Nürburgring Nordschleife ด้วยกระแสโค้งที่ต่อเนื่องและลงโทษอย่างไม่หยุดหย่อน และการขึ้นลงของพื้นผิวที่ท้าทายทุกแง่มุมของพฤติกรรมไดนามิกของรถยนต์ตลอดระยะทาง 20.8 กิโลเมตร นี่คือที่ที่ผู้ผลิตทดสอบโมเดลของตนถึงขีดสุด และบางครั้งก็เผยแพร่เวลาต่อรอบ อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังบางประการ ผู้ขับขี่ที่แตกต่างกัน สภาพอากาศ และยางรถยนต์ส่งผลต่อเวลาอย่างมาก และผู้ผลิตบางรายก็มีชื่อเสียงในการทำให้ข้อมูลคลุมเครือด้วยการใช้สเปคที่ไม่ใช่มาตรฐานสำหรับรถทดสอบของพวกเขา ดังนั้น เวลาที่ได้จึงควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง แต่ก็เป็นตัวบ่งชี้ระดับสมรรถนะโดยรวมของรถยนต์ได้ดี รายการด้านล่างนี้คือรถยนต์โปรดักชั่นที่ทำเวลาต่อรอบได้เร็วที่สุด:
Mercedes-AMG One – 6:29.090
ไฮเปอร์คาร์คันนี้คือการนำเทคโนโลยี Formula 1 มาสู่ท้องถนนอย่างแท้จริง ด้วยเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบชาร์จขนาด 1.6 ลิตร ที่มาจากรถแข่ง F1 พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าสี่ตัว ทำให้ได้พละกำลังรวม 1,063 แรงม้า การออกแบบที่เน้นอากาศพลศาสตร์ขั้นสุดยอด และระบบช่วงล่างแบบ push-rod ช่วยให้ AMG One มีการยึดเกาะถนนและการควบคุมที่เหนือชั้น ทำลายสถิติ Nürburgring ของรถยนต์โปรดักชั่นได้อย่างเด็ดขาด มันคือบทพิสูจน์ถึงวิศวกรรมที่ไร้ขีดจำกัดของเยอรมนี
Porsche 911 GT2 RS MR – 6:43.30
Porsche 911 GT2 RS ที่ได้รับการปรับแต่งโดย Manthey Racing (MR) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการปรับแต่งที่ละเอียดอ่อนสามารถยกระดับประสิทธิภาพได้อย่างไร มันไม่ใช่แค่การเพิ่มพละกำลัง (ซึ่งก็มี 700 แรงม้าจากเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ทวินเทอร์โบ 3.8 ลิตร) แต่เป็นการปรับปรุงทุกส่วนประกอบ ตั้งแต่ช่วงล่างแอโรไดนามิก และเบรก เพื่อให้สามารถรับมือกับโค้งที่ท้าทายที่สุดของ Nordschleife ได้อย่างมั่นใจและรวดเร็ว สถิตินี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Porsche ในการสร้างรถยนต์ที่สมดุลและมีประสิทธิภาพสูงสุดในสนามแข่ง
McLaren P1 XP1 LM Prototype – 6:43.22
McLaren P1 XP1 LM เป็นรุ่นต้นแบบที่พัฒนามาจาก P1 GTR โดย Lanzante Motorsport ซึ่งได้รับอนุญาตให้วิ่งบนถนนได้ มันมาพร้อมขุมพลังไฮบริด 1,000 แรงม้า การลดน้ำหนักตัวรถ และการเพิ่มประสิทธิภาพแอโรไดนามิกแบบสุดขีด ทำให้มันสามารถทำเวลาต่อรอบได้ใกล้เคียงกับรถแข่งแท้ๆ สถิตินี้ตอกย้ำถึงศักยภาพของเทคโนโลยีไฮบริดในการผสานพลังและประสิทธิภาพเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
Mercedes-AMG GT Black Series – 6:43.616
AMG GT Black Series คือสุดยอดปรารถนาสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ AMG ที่มีสมรรถนะสูงสุดในสนามแข่ง ด้วยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ “Flat-Plane Crank” ขนาด 4.0 ลิตร ที่ให้พละกำลัง 730 แรงม้า พร้อมระบบอากาศพลศาสตร์ที่ก้าวร้าว รวมถึงปีกหลังขนาดใหญ่และสปอยเลอร์หน้าที่ปรับได้ ทำให้มันสร้างแรงกดอากาศได้มหาศาล ระบบช่วงล่างที่ปรับแต่งมาอย่างละเอียดและการลดน้ำหนักตัวรถ ช่วยให้ Black Series สามารถทะยานผ่าน Nürburgring ด้วยความเร็วและความแม่นยำที่น่าทึ่ง
Lamborghini Aventador SVJ – 6:44.97
Lamborghini Aventador SVJ โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ V12 ไร้ระบบอัดอากาศ 770 แรงม้า และที่สำคัญคือเทคโนโลยี Aerodinamica Lamborghini Attiva (ALA) ซึ่งเป็นระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอคทีฟที่สามารถปรับการไหลเวียนของอากาศรอบตัวรถได้อย่างอิสระ ทำให้สามารถลดแรงต้านบนทางตรงและเพิ่มแรงกดในขณะเข้าโค้งได้อย่างชาญฉลาด เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ SVJ มีการยึดเกาะถนนและการทรงตัวที่ยอดเยี่ยม ทำให้มันเป็นหนึ่งในกระทิงดุที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน Nürburgring
บทสรุปและคำเชิญชวน
จากการวิเคราะห์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่าปี 2025 เป็นปีแห่งความหลากหลายและเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในโลกของยานยนต์สมรรถนะสูงอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการไล่ล่าความเร็วสูงสุดด้วยนวัตกรรม EV หรือการรักษาความโดดเด่นของเครื่องยนต์สันดาป การปลดปล่อยอัตราเร่งที่รุนแรงเกินจินตนาการ หรือการพิสูจน์ความสามารถรอบด้านบนสนามแข่ง รถยนต์เหล่านี้เป็นมากกว่าพาหนะ พวกมันคือผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรมที่ผลักดันขีดจำกัดของสิ่งที่มนุษย์สามารถสร้างสรรค์ได้
อนาคตของยนตรกรรมความเร็วสูงยังคงน่าตื่นเต้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ระบบขับเคลื่อนไฮบริด และวัสดุขั้นสูง เราจะได้เห็นสถิติใหม่ๆ ถูกทำลาย และนิยามของ “ความเร็ว” จะถูกท้าทายและเขียนขึ้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
คุณคิดอย่างไรกับอนาคตของรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก? และรถยนต์รุ่นใดที่คุณประทับใจมากที่สุด? มาร่วมแบ่งปันความคิดเห็นของคุณ หรือค้นพบยนตรกรรมในฝันของคุณได้ที่เว็บไซต์ของเรา เพื่ออัปเดตข่าวสารและบทความเชิงลึกเกี่ยวกับโลกยานยนต์สมรรถนะสูงที่ไม่ควรพลาด!
สุดยอดรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก 2025: ปลดล็อกขีดจำกัดแห่งความเร็ว อัตราเร่ง และการทำเวลาต่อรอบ
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์สมรรถนะสูงมานับทศวรรษ ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าปี 2025 นี้ ถือเป็นยุคทองของวิศวกรรมยานยนต์ที่ผลักดันขีดจำกัดทุกด้านให้ก้าวไปไกลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คำถามที่ว่า “รถยนต์คันไหนเร็วที่สุดในโลก?” ไม่ได้ง่ายดายเหมือนเมื่อ 30 ปีที่แล้วอีกต่อไป ยิ่งเมื่อเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้ามามีบทบาทสำคัญ ยิ่งทำให้คำตอบซับซับซ้อนขึ้นอย่างน่าทึ่ง
เมื่อก่อน รถที่ทำความเร็วสูงสุดได้ก็มักจะเป็นรถที่ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ดีที่สุด และทำเวลาต่อรอบในสนามแข่งได้เร็วที่สุดด้วย แต่ปัจจุบันนี้ รถที่ครองสถิติความเร็วปลายสูงสุดมักจะไม่ใช่รถที่พุ่งทะยานจากจุดหยุดนิ่งได้เร็วที่สุด และอาจจะไม่ใช่รถที่ทำเวลาต่อรอบในสนามได้ดีที่สุดเช่นกัน นั่นเป็นเพราะการมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพสูงสุดในแต่ละด้านนั้นได้แยกแขนงออกไปจนแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะครอบครองความเป็นเลิศทั้งสามด้านพร้อมกันในรถคันเดียว
อย่างไรก็ตาม “ความเร็วสูงสุด” ยังคงเป็นตัวเลขที่เย้ายวนใจและเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับไฮเปอร์คาร์ระดับแนวหน้า การทะลุผ่านความเร็ว 320 กม./ชม. (200 ไมล์ต่อชั่วโมง) ยังคงเป็นความสำเร็จอันน่าตื่นตาตื่นใจไม่ต่างจากเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว ในทางกลับกัน รถยนต์ไฟฟ้าได้ทำให้ “อัตราเร่ง” กลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่รถ SUV หรือรถซีดานสำหรับครอบครัวบางรุ่นยังสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาไม่ถึง 3 วินาที ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรของไฮเปอร์คาร์เท่านั้น
ในทำนองเดียวกัน ความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดในด้านดาวน์ฟอร์ซ (แรงกด), แชสซี และเทคโนโลยียางรถยนต์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ได้ทำให้เวลาต่อรอบในสนามแข่งลดลงอย่างฮวบฮาบ จนกระทั่งรถอย่าง Porsche 911 GT3 RS ที่ใช้งานบนถนนสาธารณะสามารถแซงหน้ารุ่นที่ใช้ในการแข่งขันได้ หากใช้ยางชนิดเดียวกันบนสนามเดียวกัน แต่มีรถยนต์เพียงไม่กี่คันเท่านั้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาที่สามารถผลักดันขีดจำกัดในเรื่องความเร็วสูงสุดได้อย่างแท้จริง McLaren F1 เคยครองตำแหน่งรถที่เร็วที่สุดในโลกเป็นเวลาถึงเจ็ดปีโดยไม่มีใครท้าทาย โดยทำความเร็วเฉลี่ยสองทิศทางได้ถึง 390.9 กม./ชม. (242.9 ไมล์ต่อชั่วโมง) เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว สโมสรของรถที่สามารถทำความเร็วได้ขนาดนั้นยังคงเป็นกลุ่มที่จำกัดอย่างเหลือเชื่อ ไม่ใช่แค่ด้วยวิศวกรรมที่จำเป็นในการสร้างรถที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ยังรวมถึงพื้นที่ที่จำเป็นในการทดสอบมันด้วย
บทความนี้ ผมในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ จะพาคุณดำดิ่งสู่โลกของยานยนต์สมรรถนะสูงแห่งปี 2025 โดยเจาะลึกไปที่สามมิติหลัก ได้แก่ ความเร็วสูงสุด อัตราเร่ง และเวลาต่อรอบสนาม พร้อมวิเคราะห์นวัตกรรมและปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความสำเร็จเหล่านี้
มิติแห่งความเร็ว: การไล่ล่าความเร็วสูงสุดเหนือจินตนาการ
การบรรลุความเร็วสูงสุดที่เหนือกว่า 400 กม./ชม. (250 ไมล์ต่อชั่วโมง) ถือเป็นความท้าทายทางวิศวกรรมที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่การมีพละกำลังมหาศาล แต่ยังต้องอาศัยการออกแบบอากาศพลศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบ ระบบระบายความร้อนที่ไร้ที่ติ ยางรถยนต์ที่สามารถทนทานต่อแรงมหาศาล และช่วงล่างที่มั่นคงราวกับกาวที่ยึดรถไว้กับพื้นถนน
ในวงการไฮเปอร์คาร์ยุคใหม่ การพิชิตความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 480 กม./ชม.) ได้กลายเป็นเป้าหมายสูงสุด และการยืนยันความเร็วก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่แค่การวิ่งทางเดียว แต่ต้องวิ่งสองทิศทางเพื่อหาสถิติเฉลี่ย เพื่อหักล้างปัจจัยด้านลมและความเอียงของถนน และต้องมีการตรวจสอบโดยอิสระด้วยอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่แม่นยำ
ผู้นำแห่งความเร็วสูงสุดในปี 2025:
BYD Yangwang U9 Xtreme – 496.22 กม./ชม. (308.3 ไมล์ต่อชั่วโมง)\
โลกของไฮเปอร์คาร์กำลังเผชิญกับคลื่นลูกใหม่จากฝั่งตะวันออก และ BYD Yangwang U9 Xtreme คือผู้สร้างปรากฏการณ์ การที่แบรนด์ย่อยของ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2023 สามารถโค่นสถิติจาก Bugatti ได้ ถือเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง U9 Xtreme รุ่นจำกัด (ผลิตเพียง 30 คัน) ยกระดับประสิทธิภาพไปอีกขั้นด้วยกำลังกว่า 3,000 แรงม้า (เกือบสองเท่าของ Bugatti Chiron W16) ยางกึ่งสลิค และระบบช่วงล่าง DiSus-X ที่อัปเกรดเพื่อรับมือกับแรงมหาศาลที่เกิดขึ้น แม้ว่ารถที่ใช้ทำสถิติจะมีอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ไม่ได้อยู่ในสเปกการผลิตปกติ เช่น โรลบาร์เต็มคัน แต่ความสำเร็จที่สนามทดสอบ Automotive Testing Papenburg ในเยอรมนี ด้วยความเร็วสูงสุด 496.22 กม./ชม. ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงวิศวกรรมอันน่าทึ่ง (วิ่งทางเดียว)
Bugatti Chiron Super Sport 300+ – 490.48 กม./ชม. (304.7 ไมล์ต่อชั่วโมง)\
Bugatti คือผู้บุกเบิกที่ฝ่ากำแพง 300 ไมล์ต่อชั่วโมงเป็นรายแรกด้วย Chiron Super Sport 300+ ในปี 2019 สถิตินี้ถูกทำลายด้วยรถต้นแบบที่สนามทดสอบ Ehra-Lessien ด้วยความเร็ว 304.7 ไมล์ต่อชั่วโมง แม้จะวิ่งเพียงทิศทางเดียว แต่ก็ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่เกิดจากการออกแบบอากาศพลศาสตร์ที่ได้รับการปรับปรุง เครื่องยนต์ W16 ขนาด 1,578 แรงม้า และฝีมือของนักทดสอบ Andy Wallace หลังจากนั้น Bugatti ได้ผลิต Chiron Super Sport 300+ จำนวน 30 คันสำหรับลูกค้า โดยจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 440 กม./ชม. แต่ยังคงรักษาพละกำลังเท่าเดิม และมาพร้อมดีไซน์ Longtail ที่ช่วยแหวกอากาศได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น รวมถึงดิฟฟิวเซอร์ด้านล่างที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ (วิ่งทางเดียว, ไม่ใช่สเปกรถที่ผลิตจริง)
SSC Tuatara – 474.7 กม./ชม. (295 ไมล์ต่อชั่วโมง) (วิ่งทางเดียว)
SSC Tuatara เคยตกเป็นข่าวจากความไม่ชอบมาพากลในการอ้างสถิติ 331 ไมล์ต่อชั่วโมงในปี 2020 ซึ่งภายหลังถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นเท็จ อย่างไรก็ตาม Tuatara ยังคงเป็นรถที่ผลักดันขีดจำกัดของรถยนต์ที่ใช้งานบนถนนได้อย่างน่าทึ่ง และได้บันทึกสถิติที่ได้รับการยืนยันแล้วที่ 295 ไมล์ต่อชั่วโมงในการวิ่งทางเดียว ความเร็วนี้ไม่น่าแปลกใจเมื่อพิจารณาจากสเปก: พละกำลัง 1,750 แรงม้าจากเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ รอบเครื่องสูงสุด 8,800 รอบต่อนาที เมื่อใช้เชื้อเพลิง E85, น้ำหนักแห้งเพียง 1,247 กก. และค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.279 ซึ่งน่าประทับใจสำหรับรถที่ต้องระบายความร้อนเครื่องยนต์ขนาดมหึมาและสร้างแรงกดเพื่อให้เกาะถนนที่ความเร็วเกือบ 300 ไมล์ต่อชั่วโมง
Bugatti Mistral – 453.5 กม./ชม. (281.8 ไมล์ต่อชั่วโมง)
นอกจากจะทำความเร็วได้เกิน 450 กม./ชม. แล้ว Bugatti Mistral ยังครองตำแหน่งรถเปิดประทุนที่เร็วที่สุดในโลก เอาชนะสถิติเดิมของ Hennessey Venom GT Spyder ไปได้ถึง 25 กม./ชม. เป็นการอำลาเครื่องยนต์ W16 อันเป็นตำนานของ Bugatti ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ก่อนที่ Tourbillon จะมาถึง (แม้ว่า Tourbillon ซึ่งเป็นไฮเปอร์คาร์ V16 รุ่นใหม่ของ Bugatti จะช้ากว่า Mistral เล็กน้อยบนกระดาษ ด้วยความเร็วสูงสุดที่ระบุไว้ 444 กม./ชม.) Mistral ใช้กลไกพื้นฐานจาก Chiron Super Sport มาพร้อมเครื่องยนต์ W16 สี่เทอร์โบ 8 ลิตร 1,578 แรงม้า และการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก La Voiture Noire ที่เป็นเอกลักษณ์
Koenigsegg Agera RS – 447.4 กม./ชม. (277.8 ไมล์ต่อชั่วโมง)
จนกว่า Koenigsegg จะให้ Jesko Absolut ได้ลองทำลายกำแพง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง Agera RS ยังคงเป็นโมเดลที่ครองตำแหน่งสูงสุดในแง่ของความเร็วสูงสุด เปิดตัวในปี 2015 ในฐานะรถที่ใช้งานได้ทั้งบนถนนและในสนามแข่ง ผสมผสานความสามารถของ One:1 เข้ากับบุคลิกที่อ่อนโยนกว่าของ Agera รุ่นอื่นๆ Agera RS สร้างพละกำลัง 1,360 แรงม้า (เมื่อใช้เชื้อเพลิง E85) จากเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ 5 ลิตร และแรงบิด 1,288 นิวตันเมตร ด้วยน้ำหนักรถเปล่าเพียง 1,395 กก. ระบบแอโรไดนามิกส์แบบแอคทีฟและปีกหลังที่ปรับได้ช่วยสร้างแรงกด 485 กก. ที่ความเร็ว 250 กม./ชม. โดย Agera RS สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 457 กม./ชม. และความเร็วเฉลี่ยสองทิศทางที่ 447.4 กม./ชม. ทำให้เป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
นวัตกรรมหลักในเกมความเร็วสูงสุด:
ความเข้าใจด้านอากาศพลศาสตร์และเทคโนโลยีอุโมงค์ลม: การออกแบบตัวถังที่ช่วยลดแรงต้านอากาศและสร้างแรงกดที่เหมาะสม
เทคโนโลยียางรถยนต์: ยางที่สามารถทนทานต่ออุณหภูมิและแรง G มหาศาลที่ความเร็วสูง
ระบบแอโรไดนามิกส์แบบแอคทีฟ: ปีกและแฟลปที่ปรับเปลี่ยนได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกช่วงความเร็ว
ระบบระบายความร้อน: การจัดการความร้อนจากเครื่องยนต์และเบรกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
มิติแห่งการพุ่งทะยาน: การปฏิวัติอัตราเร่ง
การแข่งขันเพื่อเป็นรถที่มีอัตราเร่งเร็วที่สุดนั้นแตกต่างไปจากเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ในปี 2005 Bugatti Veyron ขนาด 986 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและเกียร์คลัตช์คู่ (DCT) ถือเป็นรถโปรดักชั่นคันแรกที่ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ต่ำกว่า 3 วินาที (2.5 วินาที) ซึ่งเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ เกียร์ DSG และระบบ Launch Control ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ Veyron สามารถสร้างรอบเครื่องยนต์ พลังงาน และแรงบิดที่เหมาะสมที่สุดตั้งแต่หยุดนิ่ง และเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีการสะดุดเหมือนเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติคลัตช์เดี่ยว นี่เปิดประตูให้รถอย่าง Nissan GT-R และ Porsche 911 Turbo S (997.2) ที่ใช้ประโยชน์จากเทอร์โบชาร์จ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์คลัตช์คู่ และ Launch Control เพื่อทำเวลา 0-100 กม./ชม. ได้ต่ำกว่า 3 วินาที จากนั้น Tesla Model S ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่
ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าได้พลิกโฉมการแข่งขันนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยแรงบิดที่มาทันที ไม่มีรอบเครื่องยนต์ให้ต้องรอ และไม่ต้องผ่านการเปลี่ยนเกียร์ ทำให้พวกมันสามารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ
ผู้นำแห่งอัตราเร่งในปี 2025:
Rimac Nevera R – 0-100 กม./ชม. ใน 1.81 วินาที
Rimac Nevera R คือราชาแห่งการทำลายสถิติอย่างแท้จริง ด้วยพละกำลังที่เพิ่มขึ้นเป็น 2,078 แรงม้า ยังคงทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 1.81 วินาที Nevera สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการทำลายสถิติถึง 23 รายการในวันเดียวเมื่อปี 2023 รวมถึงสถิติ 0-400 กม./ชม.-0, 0-100 กม./ชม., 0-200 กม./ชม., 0-300 กม./ชม. และ 0-407 กม./ชม. มันไม่ได้เป็นเพียงรถแดร็กเรเซอร์เท่านั้น แต่ยังเป็นไฮเปอร์คาร์ที่ครบครัน มีความสามารถรอบด้าน และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าหลงใหล ด้วยเทคโนโลยี Torque Vectoring เดียวกับ Pininfarina ทำให้ Nevera มีความคล่องตัว ตอบสนองได้ดี และมีส่วนร่วมกับผู้ขับขี่อย่างลึกซึ้ง
Pininfarina Battista – 0-100 กม./ชม. ใน 1.86 วินาที
Pininfarina Battista คือผลงานที่ผสมผสานความสง่างามและความสวยงามของดีไซน์อิตาลีเข้ากับ “หัวใจ” เทคโนโลยีจากโครเอเชีย (Rimac) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าประจำล้อแต่ละข้าง สร้างพละกำลังรวม 1,874 แรงม้า ทำให้ Battista เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ทำอัตราเร่งได้เร็วที่สุดในโลก สามารถพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 1.86 วินาทีที่น่าทึ่ง การทำความเร็ว 0-200 กม./ชม. และ 0-300 กม./ชม. ที่ 4.75 วินาทีและ 10.49 วินาทีตามลำดับนั้น เป็นตัวเลขที่ให้บริบทถึงขีดความสามารถที่แท้จริงของมัน
Lucid Air Sapphire – 0-100 กม./ชม. ใน 2.0 วินาที
Lucid Air Sapphire คือบทพิสูจน์ว่ารถซีดานหรูหราก็สามารถมีสมรรถนะระดับไฮเปอร์คาร์ได้ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ให้กำลัง 1,234 แรงม้า ทำให้ Air Sapphire ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.0 วินาทีถ้วน มันคือรถที่มาพร้อมประสิทธิภาพอันน่าทึ่ง แต่ยังคงความสุขุม สง่างาม และหรูหราในแบบซีดาน นั่นคือวิถีของรถยนต์ไฟฟ้า ที่สามารถบรรจุสมรรถนะระดับไฮเปอร์คาร์ลงในรถยนต์ที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว
Tesla Model S Plaid – 0-100 กม./ชม. ใน 2.1 วินาที
แม้จะมีการถกเถียงกันในเรื่องตัวเลข 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงของ Plaid แต่ด้วยการทดสอบ 0-100 กม./ชม. ในสหราชอาณาจักรโดยไม่มี “rollout” Model S Plaid ยังคงถูกอ้างว่าทำได้ใน 2.1 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่ท้าทายการทำซ้ำในการใช้งานจริง แต่มีหลักฐานวิดีโอมากมายที่แสดงให้เห็นว่า Tesla เร็วกว่า Porsche ในการออกตัว Plaid ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวที่ด้านหลังและหนึ่งตัวที่ด้านหน้า ให้กำลังรวม 1,020 แรงม้า แม้ Tesla จะยังตามหลังในสนามแข่ง Nürburgring ด้วยเวลา 7 นาที 25.231 วินาที ซึ่งช้ากว่า Taycan ถึง 18 วินาที แต่ในการออกตัวจริงบนถนน Model S Plaid แทบจะเร็วกว่าเสมอ
Porsche Taycan Turbo GT – 0-100 กม./ชม. ใน 2.2 วินาที
Porsche Taycan Turbo GT คือผลลัพธ์ของการที่ Porsche รับคำท้าจาก Tesla รถพลังงาน 1,020 แรงม้าคันนี้ มุ่งเน้นไปที่ความสามารถในสนามแข่งสูงสุด เมื่อไม่ได้อยู่ในโหมด Launch Control มันจะทำงานที่ 778 แรงม้า การก้าวกระโดดของพละกำลังนี้ทำให้การทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.2 วินาที กลายเป็นผลพลอยได้ที่น่ายินดี พละกำลังมาจากมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ตัวละหนึ่งเพลา พร้อมสถาปัตยกรรม 800 โวลต์ของรถ และเน้นที่สมรรถนะที่สามารถทำซ้ำได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Tesla อาจจะยังไม่โดดเด่นนัก
นวัตกรรมหลักในเกมอัตราเร่ง:
เกียร์คลัตช์คู่ (DCT): การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและต่อเนื่อง
ระบบ Launch Control: การจัดการพละกำลังและการยึดเกาะเพื่อการออกตัวที่สมบูรณ์แบบ
มอเตอร์ไฟฟ้า: แรงบิดที่มาทันทีและต่อเนื่อง
เทคโนโลยียางรถยนต์: การยึดเกาะถนนสูงสุดในการส่งกำลังลงพื้น
มิติแห่งการควบคุม: การพิชิตสนามแข่งด้วยเวลาต่อรอบ
เมื่อพูดถึงการประเมินความสามารถที่แท้จริงของรถยนต์ ความเร็วสูงสุดและอัตราเร่งเป็นเพียงสองส่วนของสมการที่ซับซ้อน รถที่เร็วไม่จำเป็นต้องเป็นรถที่ใช้ประโยชน์จากสมรรถนะสูงสุดในสนามแข่ง และนี่คือจุดที่มิติอื่นๆ เช่น เสถียรภาพ การยึดเกาะ ความสมดุล ประสิทธิภาพการเบรก และการตอบสนองเข้ามามีบทบาท การทำเวลาต่อรอบที่รวดเร็วนั้นละเอียดอ่อนกว่าการวิ่งทางตรงด้วยความเร็วสูงมาก และมักเป็นตัวบ่งชี้ความสามารถโดยรวมของรถได้ดีกว่า
ในแง่นี้ ไม่มีสนามทดสอบใดที่จะดีไปกว่า Nürburgring Nordschleife ด้วยโค้งและเนินที่โหดร้ายและต่อเนื่องกันตลอดระยะทาง 20.8 กิโลเมตร ที่ทดสอบทุกแง่มุมของพฤติกรรมไดนามิกของรถอย่างถึงขีดสุด เป็นที่ที่ผู้ผลิตนำรถของตนมาทดสอบอย่างหนัก และบางครั้งก็เผยแพร่เวลาต่อรอบ อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังอยู่หลายประการ เช่น นักขับที่แตกต่างกัน สภาพอากาศ และชนิดยางที่ส่งผลต่อเวลาอย่างมาก และผู้ผลิตบางรายก็ใช้รถทดสอบที่มีสเปกไม่เหมือนรถที่ผลิตจริง เวลาที่ได้จึงควรรับฟังอย่างมีวิจารณญาณ แต่ก็ยังเป็นตัวบ่งชี้ระดับสมรรถนะโดยรวมของรถได้ดี
ผู้นำแห่งเวลาต่อรอบสนาม (รถโปรดักชั่น) ในปี 2025:
Mercedes-AMG One – 6:29.090 นาที
Mercedes-AMG One คือสุดยอดแห่งวิศวกรรมยานยนต์ที่นำเทคโนโลยีจากรถแข่ง Formula 1 มาสู่ถนนอย่างแท้จริง ด้วยเครื่องยนต์ไฮบริด V6 ขนาด 1.6 ลิตร พร้อมระบบ MGU-K และ MGU-H ทำให้รถคันนี้ไม่ใช่แค่ทรงพลัง แต่ยังถูกออกแบบมาเพื่อสร้างแรงกดอากาศมหาศาล และควบคุมได้อย่างแม่นยำดุจรถแข่ง การทำเวลา 6 นาที 29.090 วินาทีที่ Nürburgring Nordschleife นั้นเป็นข้อพิสูจน์ถึงความสามารถในการควบคุมและสมดุลที่ยอดเยี่ยม ทำให้มันเป็นรถโปรดักชั่นที่เร็วที่สุดบนสนามแห่งนี้ และเป็นมาตรฐานใหม่ของรถถนนที่ทำเวลาต่อรอบได้เร็วที่สุดในโลก
Porsche 911 GT2 RS MR – 6:43.30 นาที
Porsche 911 GT2 RS ที่ได้รับการปรับแต่งโดย Manthey Racing (MR) แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของ Porsche ในการสร้างรถสนามแข่งที่ยังคงเป็นรถที่ใช้งานบนถนนได้ MR ได้ปรับปรุงระบบอากาศพลศาสตร์ ช่วงล่าง และเบรก ทำให้ GT2 RS MR มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่ารุ่นมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด เวลา 6 นาที 43.30 วินาทีนั้น แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำในการควบคุม และการยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมในทุกโค้งของ Nürburgring
McLaren P1 XP1 LM Prototype – 6:43.22 นาที
McLaren P1 XP1 LM Prototype คือรถที่สร้างขึ้นโดย Lanzante ซึ่งเป็นผู้นำเข้า McLaren F1 GTR ของทีม และปรับปรุงโดยใช้พื้นฐานของ P1 GTR เพื่อให้ใช้งานบนถนนได้ รถไฮบริดคันนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 1,000 แรงม้า พร้อมการลดน้ำหนักและการปรับปรุงอากาศพลศาสตร์อย่างเข้มข้น เวลา 6 นาที 43.22 วินาที เป็นเครื่องยืนยันถึงมรดกอันยิ่งใหญ่ของ McLaren ในการสร้างรถสมรรถนะสูง
Mercedes-AMG GT Black Series – 6:43.616 นาที
Mercedes-AMG GT Black Series คือการแสดงพลังของ AMG ด้วยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ “flat-plane” cranks ที่ให้เสียงอันดุดันและพละกำลัง 720 แรงม้า การออกแบบอากาศพลศาสตร์ที่โดดเด่นด้วยปีกหลังขนาดใหญ่และส่วนหน้าที่ปรับได้ ทำให้ Black Series สร้างแรงกดอากาศได้อย่างมหาศาล และให้การยึดเกาะที่ยอดเยี่ยม เวลา 6 นาที 43.616 วินาที คือผลลัพธ์ของการผสมผสานระหว่างพละกำลังดิบและการควบคุมที่แม่นยำ
Lamborghini Aventador SVJ – 6:44.97 นาที
Lamborghini Aventador SVJ เป็นตัวแทนของพลังเครื่องยนต์ V12 ที่หายากขึ้นในปัจจุบัน ด้วยกำลัง 770 แรงม้า และเทคโนโลยี Aerodinamica Lamborghini Attiva (ALA) ซึ่งเป็นระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอคทีฟที่สามารถปรับเปลี่ยนการไหลเวียนของอากาศรอบคันรถเพื่อเพิ่มแรงกดหรือลดแรงต้านได้ทันที SVJ ยังคงแสดงให้เห็นว่ารถที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในยังคงมีศักยภาพในการทำเวลาต่อรอบที่น่าประทับใจ ด้วยเวลา 6 นาที 44.97 วินาที
อนาคตที่น่าตื่นเต้น
ปี 2025 ได้แสดงให้เห็นถึงการก้าวกระโดดที่ไม่ธรรมดาในโลกของยานยนต์สมรรถนะสูง จากการแข่งขันเพื่อความเร็วสูงสุดที่เกินจินตนาการ ไปจนถึงอัตราเร่งที่น่าทึ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า และเวลาต่อรอบที่บ่งบอกถึงวิศวกรรมการควบคุมขั้นสูงสุด รถยนต์ในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะอีกต่อไป แต่เป็นผลงานศิลปะทางวิศวกรรมที่ผลักดันขีดจำกัดของสิ่งที่เป็นไปได้
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าอนาคตของยานยนต์ยังคงเต็มไปด้วยนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้น ทั้งจากรถยนต์ไฮบริดปลั๊กอินรุ่นใหม่ที่จะมาผสมผสานพลังงานเชื้อเพลิงเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า และรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่จะยังคงพัฒนาต่อไปในทุกด้าน ทั้งด้านแบตเตอรี่ มอเตอร์ และการจัดการพลังงาน การแข่งขันเพื่อเป็น “รถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก” จะยังคงดำเนินต่อไป และเราก็พร้อมที่จะเป็นสักขีพยานในการทำลายสถิติครั้งใหม่ๆ
แล้วสำหรับคุณล่ะ? รถยนต์คันไหนคือที่สุดในใจของคุณ หรือคุณคิดว่าเทคโนโลยีใดที่จะพลิกโฉมโลกยานยนต์ในอนาคตอันใกล้นี้? มาร่วมแบ่งปันมุมมองและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้เลย!

