ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2025: เจาะลึกสถิติความเร็วสูงสุด อัตราเร่งสะท้านโลก และเวลาต่อรอบเนือร์บูร์กริง
ในโลกยานยนต์ยุค 2025 ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง คำถามที่ว่า “รถยนต์คันไหนเร็วที่สุดในโลก?” ได้กลายเป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและน่าหลงใหลกว่าเมื่อสามทศวรรษที่แล้วอย่างมาก ในอดีต รถยนต์ที่ทำความเร็วปลายได้สูงสุดมักจะเป็นคันเดียวกันที่ออกตัวได้เร็วที่สุดและทำเวลาต่อรอบสนามได้ดีที่สุด ทว่าในปัจจุบัน ด้วยขีดจำกัดทางวิศวกรรมที่ถูกผลักดันไปไกลเกินจินตนาการ รถยนต์ที่เน้นความเร็วสูงสุด (Vmax) มักจะไม่ใช่คันที่เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้เร็วที่สุดเสมอไป และก็ไม่ใช่รถยนต์ที่ทำเวลาต่อรอบในสนามแข่งได้ดีที่สุดเช่นกัน นี่เป็นเพราะการแสวงหาความเป็นเลิศในแต่ละด้าน ทั้งความเร็วสูงสุด อัตราเร่ง และประสิทธิภาพในสนามนั้นสุดโต่งถึงขนาดที่การจะครองความเป็นหนึ่งได้ในทุกมิติพร้อมกันนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในยุคสมัยนี้
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ซับซ้อน สู่ยุคของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลัง ความเร็วไม่ใช่แค่ตัวเลขอีกต่อไป แต่มันคือการแสดงออกถึงขีดสุดของวิทยาศาสตร์วิศวกรรม การออกแบบที่ล้ำยุค และความกล้าหาญในการท้าทายขีดจำกัดของฟิสิกส์ รถยนต์ที่ได้ชื่อว่า “เร็วที่สุด” ในปี 2025 จึงเป็นมากกว่าแค่พาหนะที่พาเราไปข้างหน้า แต่เป็นผลงานชิ้นเอกที่ผสมผสานระหว่างศิลปะและเทคโนโลยี
แม้ว่าอัตราเร่งจะถูกทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นด้วยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งทำให้แม้แต่ SUV หรือรถยนต์ซีดานสำหรับครอบครัวก็สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึงสามวินาที แต่ความเร็วสูงสุดยังคงเป็นตัวเลขที่ลึกลับและเป็นแหล่งความภาคภูมิใจสูงสุดสำหรับไฮเปอร์คาร์ระดับท็อป การทำความเร็วเกิน 320 กม./ชม. (200 ไมล์/ชม.) ยังคงเป็นที่นับถืออย่างมากเฉกเช่นเดียวกับเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว ในทางกลับกัน รถยนต์ “ฮอตแฮทช์” รุ่นใหม่บางคันยังสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้เร็วกว่าไฮเปอร์คาร์ในยุค 2000s เสียอีก
ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดในด้านดาวน์ฟอร์ซ (downforce) แชสซี และเทคโนโลยียางรถยนต์ได้ทำให้เวลาต่อรอบสนามลดลงอย่างน่าตกใจตลอด 20 ปีที่ผ่านมา จนถึงจุดที่ Porsche 911 GT3 RS ที่ถูกกฎหมายสามารถเอาชนะรถแข่งสายพันธุ์เดียวกันด้วยยางประเภทเดียวกันในสนามได้ ทว่า มีรถยนต์เพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาที่สามารถผลักดันขีดจำกัดในเรื่องความเร็วสูงสุดอย่างแท้จริง รถยนต์อย่าง McLaren F1 เคยยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยวในฐานะรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกโดยไม่มีใครท้าทายมานานเจ็ดปี ด้วยความเร็วเฉลี่ยสองทิศทางและสถิติไร้ขีดจำกัด 391.0 กม./ชม. (242.9 ไมล์/ชม.) เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว สโมสรรถยนต์ที่สามารถทำความเร็วระดับนี้ได้ยังคงเป็นกลุ่มที่พิเศษอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ด้วยวิศวกรรมที่จำเป็นในการสร้างรถยนต์ที่เปี่ยมประสิทธิภาพเช่นนี้ แต่ยังรวมถึงพื้นที่ที่ต้องใช้ในการทดสอบมันด้วย
มาดูกันว่าในปี 2025 นี้ รถยนต์คันไหนบ้างที่ได้ชื่อว่าเป็น “ที่สุด” ในแต่ละมิติแห่งความเร็ว
ขีดสุดแห่งความเร็ว: รถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกปี 2025
ความเร็วสูงสุดเป็นเหมือนบททดสอบขั้นสูงสุดของวิศวกรรมยานยนต์ เป็นการผสมผสานระหว่างพลังมหาศาล อากาศพลศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบ และความสามารถในการทนทานต่อแรงเค้นที่รุนแรง ในปี 2025 การแข่งขันเพื่อทำลายสถิติความเร็ว 500 กม./ชม. กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โดยมีผู้ท้าชิงรายใหม่ที่เข้ามาสร้างความประหลาดใจให้กับวงการ
BYD Yangwang U9 Xtreme – 496.22 กม./ชม. (308.3 ไมล์/ชม.)
Yangwang แบรนด์ย่อยของ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากจีน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2023 ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ไม่คาดคิด ด้วยการแซงหน้า Bugatti ในเกมของตัวเอง รถยนต์รุ่น U9 Xtreme ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจากซูเปอร์คาร์ U9 และผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 30 คัน ได้ยกระดับสมรรถนะไปอีกขั้นอย่างสิ้นเชิง ด้วยพละกำลังกว่า 3,000 แรงม้า (ซึ่งเป็นสองเท่าของ Chiron W16 ที่เป็นรุ่นท็อป) มาพร้อมยางเซมิสลิกและช่วงล่าง “DiSus-X” ที่ได้รับการอัปเกรดเพื่อรองรับแรงมหาศาลที่เกิดขึ้น
เช่นเดียวกับรถยนต์หลายคันในรายการนี้ รถคันที่ทำสถิติได้นั้นติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ไม่ใช่สเปกการผลิตจริง เช่น โรลเคจเต็มรูปแบบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือความสำเร็จทางวิศวกรรมที่น่าทึ่ง ที่สนามทดสอบ Automotive Testing Papenburg ในเยอรมนี มาร์ค บาสเซนก์ นักแข่งชาวเยอรมัน ได้พารถ U9 ทำลายสถิติการผลิตทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์สันดาปภายใน ด้วยความเร็วสูงสุด 496.22 กม./ชม. สถิตินี้ถูกบันทึกจากการวิ่งเพียงเที่ยวเดียว ซึ่งต่างจากการบันทึกสถิติโลกอย่างเป็นทางการที่ต้องวิ่งสองทิศทาง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ผลิตหลายรายก็ไม่ได้ยึดตามกฎนี้มาหลายปีแล้ว
การวิ่งเที่ยวเดียว
Bugatti Chiron Super Sport 300+ – 490.48 กม./ชม. (304.7 ไมล์/ชม.)
Bugatti เป็นผู้บุกเบิกรายแรกที่ทำลายกำแพงความเร็ว 300 ไมล์/ชม. (ประมาณ 482 กม./ชม.) ด้วย Chiron Super Sport 300+ ในปี 2019 สถานการณ์ในการวิ่งครั้งนั้นค่อนข้างพิเศษ รถยนต์ที่ใช้เป็นรุ่นต้นแบบ Chiron ที่สนามทดสอบ Ehra-Lessien แม้จะทำความเร็วได้ถึง 490.48 กม./ชม. แต่ Bugatti ก็ทำความเร็วสูงสุดของรถได้เพียงทิศทางเดียว อย่างไรก็ตาม นี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นไปได้ด้วยอากาศพลศาสตร์ที่ปรับปรุงใหม่ของ 300+, เครื่องยนต์ W16 ขนาด 1,578 แรงม้า และทักษะของแอนดี้ วอลเลซ นักทดสอบอย่างเป็นทางการของ Bugatti
หลังจากทำลายกำแพง 300 ไมล์/ชม. ได้ Bugatti ได้ผลิต Super Sport 300+ จำนวน 30 คันออกจำหน่ายให้กับลูกค้า โดยจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 440 กม./ชม. (273 ไมล์/ชม.) ถึงกระนั้น รถยนต์เหล่านี้ก็ยังคงมีพละกำลังเท่ากับรถคันที่ทำสถิติ และส่วนท้ายที่ยาวขึ้นเพื่อแหวกอากาศได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น รวมถึงดิฟฟิวเซอร์ด้านล่างที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ การปรับแต่งระบบบังคับเลี้ยวและช่วงล่างก็ได้รับการแก้ไขเพื่อเพิ่มความมั่นคงและการควบคุม ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในรถยนต์ที่สามารถเร่งจากหยุดนิ่งถึง 300 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 12.1 วินาทีอย่างไม่น่าเชื่อ
การวิ่งเที่ยวเดียว ไม่ใช่สเปกการผลิตจริง
SSC Tuatara – 474.7 กม./ชม. (295 ไมล์/ชม.) (การวิ่งเที่ยวเดียว)
SSC Tuatara เผชิญกับความขัดแย้งเมื่อผู้ผลิตอ้างว่าทำความเร็วได้ถึง 532 กม./ชม. (331 ไมล์/ชม.) ในปี 2020 เพื่ออ้างสิทธิ์ในตำแหน่งรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก ซึ่งต่อมาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง บริษัทจึงต้องถอยกลับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะจากคู่แข่งอย่าง Bugatti และ Koenigsegg อย่างไรก็ตาม Tuatara ยังคงผลักดันขีดจำกัดของรถยนต์โปรดักชั่นที่ถูกกฎหมาย และได้ทำความเร็วที่ได้รับการยืนยันแล้ว 474.7 กม./ชม. (295 ไมล์/ชม.) ในการวิ่งเที่ยวเดียว
ความเร็วระดับนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเมื่อคุณได้อ่านข้อมูลจำเพาะ ด้วยเชื้อเพลิง E85 Tuatara ให้พละกำลังมหาศาลถึง 1,750 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ รอบเครื่องยนต์สูงสุด 8,800 รอบต่อนาที มีน้ำหนักแห้งเพียง 1,247 กก. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.279 ซึ่งน่าประทับใจสำหรับรถยนต์ที่ต้องการระบายความร้อนเครื่องยนต์ขนาดมหึมาและสร้างดาวน์ฟอร์ซให้เพียงพอที่จะยึดเกาะถนนที่ความเร็วเกือบ 480 กม./ชม. แม้จะมีการเปิดตัวที่ค่อนข้างทุลักทุเลในวงการไฮเปอร์คาร์ แต่ในด้านความเร็วล้วนๆ แล้ว มันอยู่ในลีกใหญ่ได้อย่างมั่นคง
Bugatti Mistral – 453.5 กม./ชม. (281.8 ไมล์/ชม.)
นอกจากจะทำความเร็วได้เกิน 450 กม./ชม. แล้ว Bugatti Mistral ยังได้รับรางวัลเป็นรถยนต์เปิดประทุนที่เร็วที่สุดในโลก เอาชนะเจ้าของสถิติเดิมอย่าง Hennessey Venom GT Spyder ไปถึง 26 กม./ชม. นับเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการปิดฉากตำนานเครื่องยนต์ W16 ของ Bugatti ก่อนที่ Tourbillon จะมาถึง (ที่น่าสนใจคือไฮเปอร์คาร์ V16 รุ่นใหม่ของ Bugatti นั้นช้ากว่า Mistral เล็กน้อยบนกระดาษ ด้วยความเร็วสูงสุดที่ระบุไว้ 444 กม./ชม.)
Mistral ยืมกลไกมาจาก Chiron Super Sport ด้วยเครื่องยนต์ W16 Quad-Turbo ขนาด 8 ลิตร ที่ให้พละกำลัง 1,578 แรงม้า และการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก La Voiture Noire ที่มีเพียงคันเดียวในโลก นี่ไม่ใช่แค่ Chiron ที่เปลี่ยนหน้าตาและตัดหลังคาออกเท่านั้น แต่แชสซีคาร์บอนไฟเบอร์ของ Mistral ได้รับการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างเรือนกระจกรูปทรงคล้ายกระบังหน้า และช่องรับอากาศด้านข้างของรุ่นคูเป้ถูกแทนที่ด้วยช่องรับอากาศสไตล์ Veyron ที่อยู่ด้านหลังคนขับและผู้โดยสาร
Koenigsegg Agera RS – 447.2 กม./ชม. (277.8 ไมล์/ชม.)
จนกว่า Koenigsegg จะพยายามให้ Jesko Absolut ทำความเร็วถึง 300 ไมล์/ชม. Agera RS ยังคงเป็นรุ่นที่ทำความเร็วสูงสุดได้สูงที่สุดในตระกูล Koenigsegg มันเปิดตัวในปี 2015 ในฐานะรถยนต์ที่ใช้งานได้ทั้งบนถนนและสนามแข่ง ผสมผสานความสามารถของ One:1 เข้ากับบุคลิกที่นุ่มนวลกว่าของ Agera รุ่นอื่นๆ (คำเหล่านี้เป็นเพียงการเปรียบเทียบแน่นอน)
ตัวเลขสำคัญคือ 1,360 แรงม้า (เมื่อใช้เชื้อเพลิง E85) จากเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ 5 ลิตร และแรงบิด 944 ปอนด์-ฟุต (1,280 นิวตันเมตร) โดยมีน้ำหนักรถเปล่าเพียง 1,395 กก. แฟลปอากาศพลศาสตร์แบบแอคทีฟและปีกหลังที่ปรับได้ช่วยสร้างแรงกดถึง 485 กก. ที่ความเร็ว 250 กม./ชม. โดย RS สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 457 กม./ชม. (284 ไมล์/ชม.) (และค่าเฉลี่ยสองทิศทาง 447.2 กม./ชม. ซึ่งน่าประทับใจยิ่งกว่า) หาก Koenigsegg สามารถทำได้ขนาดนี้กับรถยนต์ที่มีอายุสิบปี Jesko ที่มีพละกำลัง 1,600 แรงม้าก็ย่อมมีศักยภาพที่จะทำลายทุกสถิติ และอาจจะทำลายกำแพง 300 ไมล์/ชม. ได้อย่างแน่นอน
นวัตกรรมสำคัญในเกมความเร็วสูงสุด:
ความเข้าใจด้านอากาศพลศาสตร์และเทคโนโลยีอุโมงค์ลม: การออกแบบตัวถังให้แหวกอากาศได้ดีที่สุด ลดแรงต้านให้น้อยที่สุด
เทคโนโลยียางรถยนต์: ยางที่สามารถทนทานต่อความร้อนและแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางที่ความเร็วสูงมากได้
อากาศพลศาสตร์แบบแอคทีฟ (Active Aero): ระบบปีกและแฟลปที่ปรับเปลี่ยนได้อัตโนมัติเพื่อสมดุลระหว่างแรงต้านและแรงกด
ระบบระบายความร้อน: เครื่องยนต์ที่ทรงพลังต้องมีการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อป้องกันความเสียหายจากความร้อน
ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อพูดถึงความเร็วสูงสุด:
เป็นการวิ่งเฉลี่ยสองทิศทาง หรือ Vmax แค่ทิศทางเดียว?
รถยนต์ที่ลูกค้าซื้อสามารถทำความเร็วได้เท่ากันหรือไม่?
การอ้างสิทธิ์เป็นเพียงการประมาณการณ์หรือได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ?
ผู้ผลิตไฮเปอร์คาร์ระดับสุดยอดทุ่มเทวิศวกรรมขั้นสูงสุดและเดิมพันทุกสิ่งเพื่อความเร็วสูงสุด ในแง่หนึ่งมันคือการวัดประสิทธิภาพของรถยนต์ที่ดั้งเดิมที่สุด — ไปได้เร็วแค่ไหน? — แต่เบื้องหลังวิทยาศาสตร์ในการสร้างรถยนต์ที่ใช้งานได้จริง ได้รับการรับรองตามกฎหมาย และสามารถทำความเร็ว 480 กม./ชม. หรือมากกว่านั้นได้นั้นซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ Bugatti เป็นรายแรกที่ทำความเร็วระดับ 300 ไมล์/ชม. ได้ด้วย Chiron Super Sport 300+ แม้ว่าจะไม่ใช่รถยนต์สเปกลูกค้าก็ตาม ประตูเปิดกว้างสำหรับ Hennessey Venom F5 Evolution, Koenigsegg Jesko Absolut และ SSC Tuatara ที่จะนำความสามารถในการทำความเร็ว 300 ไมล์/ชม. ไปอยู่ในมือของผู้ที่สามารถหาซื้อได้ — เป็นอนาคตที่น่ากลัวแต่น่าตื่นเต้น
ความก้าวหน้าในด้านอากาศพลศาสตร์, CFD (Computational Fluid Dynamics), เทคโนโลยียาง และแน่นอนว่าพละกำลังเครื่องยนต์ ได้ทำให้เป้าหมายที่เคยจินตนาการไม่ได้เหล่านี้อยู่ในระยะเอื้อมของไฮเปอร์คาร์ยุคใหม่ แต่ผู้ผลิตไม่สามารถอ้างอิงเพียงแค่ตัวเลขจากการจำลองหรือการวิ่งทดสอบส่วนตัวเพื่ออ้างสิทธิ์ในตำแหน่งรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกได้ สำหรับการบันทึกสถิติที่ถูกต้อง จะต้องวิ่งสองทิศทาง (เพื่อหักล้างผลกระทบจากความเร็วลมและสภาพภูมิประเทศของถนน เป็นต้น) โดยใช้ค่าเฉลี่ยของการวิ่งทั้งสองครั้งเป็นความเร็วสูงสุดอย่างเป็นทางการ ความเร็วต้องถูกวัดโดยอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่แม่นยำและได้รับการยืนยันจากหน่วยงานอิสระด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่รถยนต์ทุกคันที่ได้รับการทดสอบอย่างถูกต้อง Koenigsegg อ้างว่า Jesko Absolut สามารถทำความเร็วได้เกิน 500 กม./ชม. ในทางทฤษฎี แต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เช่นเดียวกับ Hennessey Venom F5 Evolution ที่ตั้งเป้าจะทำความเร็ว 500 กม./ชม. ในการวิ่งเที่ยวเดียว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ รายการด้านล่างนี้ประกอบด้วยรถยนต์ที่ได้โพสต์ความเร็วสูงสุดที่แท้จริง โดยมีข้อควรระวังสำหรับการวิ่งเที่ยวเดียวหรือสเปกที่ไม่ใช่ลูกค้าตามที่ระบุไว้
การระเบิดของพลังงาน: รถยนต์ที่มีอัตราเร่งเร็วที่สุดในโลกปี 2025
เกมการเป็นรถยนต์ที่มีอัตราเร่งเร็วที่สุดนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงในปี 2025 เมื่อเทียบกับเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ย้อนกลับไปในปี 2005 Bugatti Veyron ที่มีกำลัง 986 แรงม้า พร้อมยางขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดใหญ่ และที่สำคัญที่สุดคือเกียร์คลัตช์คู่ กลายเป็นไม่เพียงแต่รถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกในแง่ของความเร็วสูงสุด แต่ยังเร็วที่สุดในการออกตัว โดยเป็นรถยนต์โปรดักชั่นคันแรกที่ทำลายกำแพง 3 วินาทีสำหรับการเร่งจาก 0-100 กม./ชม. โดยทำได้ใน 2.5 วินาที
นอกเหนือจากพละกำลังมหาศาลแล้ว เกียร์ DSG และระบบ Launch Control ที่มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จนี้ Veyron สามารถสร้างรอบเครื่องยนต์ พลังงาน และแรงบิดที่เหมาะสมที่สุดตั้งแต่หยุดนิ่ง ก่อนที่จะออกตัวและเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีการหยุดชะงักเหมือนการเปลี่ยนเกียร์ในรถยนต์เกียร์ธรรมดาหรือเกียร์คลัตช์เดี่ยวแบบอัตโนมัติ สิ่งนี้ได้เปิดประตูสู่ยุคของรถยนต์อย่าง Nissan GT-R และในที่สุดก็คือ Porsche 911 Turbo S (997.2) ซึ่งล้วนใช้พละกำลังเทอร์โบชาร์จ, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ, เกียร์คลัตช์คู่ และ Launch Control เพื่อทำเวลา 0-100 กม./ชม. ได้ต่ำกว่า 3 วินาที จากนั้นรถยนต์อย่าง Tesla Model S ก็ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่มอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่สามารถทำได้
Rimac Nevera R – 0-100 กม./ชม. ใน 1.81 วินาที
สถานการณ์ของ Rimac ในตอนนี้ค่อนข้างมุ่งเน้นไปที่ Bugatti รุ่นต่อไปเป็นส่วนใหญ่ แต่ก่อนที่ Tourbillon จะมาถึง Nevera คือรถยนต์ที่ทำให้ Mate Rimac ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาบริหารกิจการของ Molsheim Nevera R เป็นรุ่นที่เอ็กซ์ตรีมที่สุด ด้วยการเพิ่มกำลังอีกครั้ง ทำให้มีพละกำลังถึง 2,078 แรงม้า และยังคงทำเวลา 0-100 กม./ชม. ได้ใน 1.81 วินาที
Nevera คือตำนานแห่งการทำลายสถิติ มันสร้างสถิติถึง 23 รายการในวันเดียวในปี 2023 โดยกลายเป็นรถยนต์ที่เร็วที่สุดในการเร่งจาก 0-407 กม./ชม. และกลับมาหยุดนิ่ง, จาก 0-100 กม./ชม., จาก 0-200 กม./ชม., จาก 0-300 กม./ชม., จาก 0-407 กม./ชม. และอีกมากมาย มันคือรถยนต์ที่ถูกนิยามด้วยความสามารถอันน่าทึ่ง แต่ไม่ใช่แค่รถแข่งทางตรงเท่านั้น มันคือไฮเปอร์คาร์ที่ครบครัน น่าหลงใหล และสร้างสรรค์อย่างงดงาม รวมถึงเป็นรถยนต์สำหรับนักขับตัวจริง ด้วยการใช้เทคโนโลยี Torque Vectoring เดียวกันกับ Pininfarina ทำให้มันมีความคล่องตัว ตอบสนองได้ดี และมีส่วนร่วมในการขับขี่
Pininfarina Battista – 0-100 กม./ชม. ใน 1.86 วินาที
ผลงานของ Pininfarina อาจจะดูเรียบง่ายกว่าเล็กน้อย Pininfarina Battista แม้จะสง่างามและงดงาม แต่ก็ไม่ใช่รถเก๋งหรูหราที่เก็บตัว นี่คือซูเปอร์คาร์สัญชาติอิตาลีที่ชัดเจน แม้จะมีส่วนประกอบภายในจากโครเอเชียก็ตาม ใช่ Battista ยืมเทคโนโลยีจาก Rimac โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งอยู่ที่ล้อแต่ละข้าง และมีพละกำลังเต็มพิกัด 1,874 แรงม้า
ด้วยอุปกรณ์ที่ครบครัน ทำให้ Battista เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่เร่งความเร็วได้เร็วที่สุดในโลก สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 1.86 วินาทีที่น่าตื่นเต้น ณ จุดนี้ การเร่ง 0-100 กม./ชม. กลายเป็นเพียงแค่ตัวเลขทางทฤษฎี เหมือนกับเครื่องบิน Blackbird ที่พุ่งทะยานสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบน ตัวเลขอย่าง 0-200 กม./ชม., 0-300 กม./ชม. จะมีประโยชน์สำหรับการเปรียบเทียบมากขึ้น ซึ่ง Battista สามารถจัดการกับอย่างหลังได้ในเวลาเพียง 10.49 วินาที ซึ่งเป็นเวลาที่ใช้ในการเร่ง 0-100 กม./ชม. ของรถยนต์ดีเซลทั่วไป
สิ่งอื่นที่ Battista ทำได้และน่าสนใจคือการควบคุมแรงบิด (Torque Vectoring) ระหว่างล้อขับเคลื่อนทั้งสี่ล้อ “สรุปด้วยคำเดียวคือ ‘เวทมนตร์’ แต่คุณสามารถเขียนหนังสือได้เกี่ยวกับความรู้สึกของรถคันนี้” ริชาร์ด มี้ดเดน บรรณาธิการบริหารของ evo เขียนไว้ในรีวิวของเขา “ผลกระทบของการควบคุมแรงบิดต่อการตอบสนองและขีดความสามารถของ Battista นั้นมากเสียจนคุณจะสาบานได้ว่าพวงมาลัยจะต้องมีอัตราส่วนที่ปรับเปลี่ยนได้”
Lucid Air Sapphire – 0-100 กม./ชม. ใน 2.0 วินาที
เช่นเดียวกับที่ Horacio Pagani แยกตัวออกจาก Lamborghini เพื่อสร้างสรรค์แนวคิดของเขาให้เป็นจริง ผู้เล่นคนสำคัญจากจุดเริ่มต้นของเรื่องราว Tesla ก็แยกตัวออกไปสร้าง Lucid ซึ่งเป็นคำตอบที่ล้ำสมัยและหรูหราสำหรับยักษ์ใหญ่ EV ของ Musk แม้จะไม่ได้รับการยกย่องในด้านความแข็งแกร่งทางการเงินเท่ากับที่ Tesla ได้รับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่รถยนต์ของ Lucid ก็สร้างความประทับใจอย่างมากในด้านสไตล์ วิศวกรรม พลวัต และความเร็วที่น่าทึ่ง
ทั้งหมดนี้แสดงออกอย่างโดดเด่นที่สุดใน Lucid Air Sapphire ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ให้กำลัง 1,234 แรงม้า และเวลา 0-100 กม./ชม. ที่ 2.0 วินาทีพอดี รถคันนี้น่าทึ่งในด้านสมรรถนะ แต่ยังคงเป็นรถซีดานที่ละเอียดอ่อน สง่างาม และหรูหรา นี่คือวิถีของรถยนต์ EV ที่สามารถนำสมรรถนะระดับไฮเปอร์คาร์มาบรรจุเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจในรถยนต์ที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
Tesla Model S Plaid – 0-100 กม./ชม. ใน 2.1 วินาที
“แต่ Plaid เร็วกว่า!” เหล่า Teslarati (หรือที่เหลืออยู่หลังจากการกระทำล่าสุดของ Elon Musk) มักจะยืนกราน และแน่นอนว่ามันเป็นเช่นนั้น แม้จะคำนึงถึงการเร่ง 0-100 กม./ชม. ของเรา (ไม่ใช่ 0-96 กม./ชม. แบบสหรัฐฯ) โดยไม่มี rollout Plaid ก็ยังอ้างว่าทำได้ใน 2.1 วินาที แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะทำซ้ำ แต่ก็มีวิดีโอหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่า Tesla เร็วกว่า Porsche
การจัดวางทางเทคนิคแตกต่างจาก Taycan เล็กน้อย โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวที่ด้านหลังและหนึ่งตัวที่ด้านหน้า ทำให้มีกำลังรวม 1,020 แรงม้า Tesla ยังไม่ได้ใช้เกียร์สองสปีดที่เพลาหลังเหมือน Porsche ซึ่งการเปลี่ยนเกียร์กลายเป็นปัจจัยหนึ่งในการแข่งทางตรงระหว่างรถยนต์สองคัน จุดที่ Tesla ยังไม่ดีพอคือในสนามแข่ง Nürburgring ซึ่งทำเวลาได้เพียง 7 นาที 25.231 วินาที ช้ากว่า Taycan ถึง 18 วินาที แต่จากการออกตัวไฟแดงในโลกแห่งความเป็นจริง Model S Plaid มักจะเร็วกว่าเสมอ
Porsche Taycan Turbo GT – 0-100 กม./ชม. ใน 2.2 วินาที
Porsche Taycan Turbo GT ที่รวดเร็วดุจจรวดคือผลลัพธ์เมื่อชาว Stuttgart รับคำท้าจาก Tesla รถยนต์ 1,020 แรงม้าคันนี้มุ่งเป้าไปที่การเป็น Taycan ที่สุดยอดที่สุดในด้านความสามารถในสนามแข่ง โดยเมื่อไม่ได้อยู่ในโหมด Launch Control จะมีกำลัง 778 แรงม้า การเพิ่มพลังงานที่ก้าวกระโดดไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขที่สวยงาม แต่การเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.2 วินาทีเป็นเหมือนผลพลอยได้อันน่ายินดี นี่คือความง่ายดายในการสร้างความสามารถในการเร่งที่น่าทึ่งในยุค EV
กำลังนี้มาจากมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ตัวหนึ่งที่แต่ละเพลา ด้วยสถาปัตยกรรม 800 โวลต์ของรถยนต์และการมุ่งเน้นด้านวิศวกรรมที่กว้างขึ้น มีเป้าหมายเพื่อประสิทธิภาพที่ทำซ้ำได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Tesla ไม่ได้อวดอ้างเสมอไป มันมีการตั้งค่าแชสซีที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ยาง Trofeo RS เป็นอุปกรณ์เสริม และในสเปก Weissach Pack มีปีกคาร์บอนไฟเบอร์ที่สามารถสร้างแรงกดได้ 220 กก. สถิติที่น่าประทับใจที่สุดเกี่ยวกับ Taycan Turbo GT ( ironic เมื่อพิจารณาจากหัวข้อในตอนนี้) คือเวลาที่ Nürburgring Taycan Turbo GT ทำเวลาต่อรอบ Nürburgring ได้ 7:07.55 ซึ่งห่างจาก Rimac Nevera 1,888 แรงม้า เพียง 2.25 วินาที ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติในขณะนั้น แน่นอนว่า Nevera ในสเปก Nevera R ได้ลดเวลาลงอีก 5 วินาที แต่เวลาของ Porsche ก็ยังคงน่าประทับใจเช่นเคย
เกียรติยศพิเศษ:
รายการนี้เต็มไปด้วยรถยนต์ EV แต่ไม่ต้องกังวล: Ferrari F80, Bugatti Tourbillon และ Koenigsegg Gemera กำลังจะเข้าร่วมงานด้วยพลังงานไฮบริด, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และเวลา 0-100 กม./ชม. ที่อ้างว่าอยู่ระหว่าง 2.15 ถึง 1.9 วินาที เพื่อนำเครื่องยนต์สันดาปภายในกลับเข้าสู่เกม
มองไปที่สนามแข่งทางตรง คุณจะพบรถยนต์อเมริกัน Muscle Car ที่มีโครงสร้างพื้นฐานของ Mercedes E-Class รุ่นเก่าอยู่ด้านบนสุด หากคุณต้องการเห็นรถยนต์ที่ถูกกฎหมายและเร่งความเร็วได้เร็วที่สุดในโลก (0-96 กม./ชม. ใน 1.66 วินาที) นั่นคือ Dodge Challenger SRT Demon 170 ซึ่งต้องการเพียงพื้นผิวที่เตรียมไว้และยาง drag slicks เพื่อทำสิ่งนั้น
ยังมีรถยนต์เครื่องยนต์ลูกสูบที่รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่ออีกมากมาย แม้ว่ามันจะยังไม่เร็วเท่ารถยนต์ EV ข้างต้น หรือ Demon บนพื้นผิวที่เตรียมไว้ Bugatti Chiron Super Sport ทำ 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.4 วินาที ในขณะที่ Lamborghini Revuelto, Aston Martin Valhalla และ Ferrari SF90 ล้วนอยู่ในคลับ 2.5 วินาที หากต้องการความสุดขีด? มี Ariel Atom 500 และ Ultima RS LT5 ซึ่งจะเร่งได้ใน 2.3 วินาที
มีการอ้างสิทธิ์ความเร็วที่ไม่ถูกกฎหมายบนท้องถนนมากมาย – McMurtry’s Spéirling Pure จะพุ่งจาก 0-96 กม./ชม. ในเวลา 1.55 วินาทีที่น่าตื่นตาตื่นใจ ในขณะที่ Bugatti Bolide รถแข่งสนามของ Bugatti ปลดปล่อยศักยภาพเต็มที่ของเครื่องยนต์ W16 1,578 แรงม้า เพื่อทำ 0-100 กม./ชม. ใน 2.17 วินาที Aspark Owl ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าจากญี่ปุ่น ก็อ้างว่าทำ 0-96 กม./ชม. ได้ใน 1.72 วินาที แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่ารถคันนี้จะหาซื้อได้จริงแค่ไหน นอกจากนี้ยังมี Xiaomi SU7 Ultra ซึ่งเป็นคำตอบของจีนสำหรับ Porsche Taycan Turbo GT ที่อ้างว่าทำ 0-100 กม./ชม. ได้ใน 1.97 วินาที และมีราคาถูกกว่าราคาเริ่มต้นของ Taycan พื้นฐานอย่างน้อยในตลาดบ้านเกิด
ทำไมรถยนต์ไฟฟ้าถึงเร็วมาก?
Tesla ได้เปลี่ยนเกมอัตราเร่งไปตลอดกาลด้วย Model S ทำได้อย่างไร? มันเป็นรถยนต์ EV สมรรถนะสูงกระแสหลักคันแรก ที่ปูทางไปสู่รถยนต์อื่นๆ อีกมากมาย มอเตอร์ไฟฟ้าของมัน เช่นเดียวกับมอเตอร์อื่นๆ ที่ตามมา ล้วนตอบสนองได้ทันที และไม่จำเป็นต้องเร่งรอบเครื่องยนต์ หรือรอเทอร์โบทำงาน เพื่อสร้างพลังงานเหมือนเครื่องยนต์สันดาปภายใน พลังงานพร้อมใช้งานทันทีที่กดคันเร่ง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีเกียร์ให้ต้องติดขัด แม้จะรวดเร็ว แต่ก็ยังมีการหยุดชะงักที่สังเกตเห็นได้เมื่อเกียร์ DCT เปลี่ยนเกียร์ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้พลังงานของรถยนต์สันดาปภายในลดลงชั่วขณะ ไม่ใช่เช่นนั้นในรถยนต์ EV – ไม่มีเกียร์ ไม่มี “ช่วงกำลัง” ที่ต้องกังวล
นวัตกรรมสำคัญในเกมอัตราเร่ง:
เกียร์คลัตช์คู่ (Dual-clutch transmissions): การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและราบรื่น
ระบบ Launch Control: การควบคุมการออกตัวให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ลดการล้อหมุนฟรี
มอเตอร์ไฟฟ้า: ให้แรงบิดทันทีตั้งแต่รอบเครื่องยนต์เป็นศูนย์
เทคโนโลยียางรถยนต์: ยางที่ออกแบบมาเพื่อการยึดเกาะสูงสุดในการออกตัว
ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในเรื่องเวลาอัตราเร่ง:
0-96 กม./ชม. (0-60 ไมล์/ชม.) หรือ 0-100 กม./ชม. (0-62 ไมล์/ชม.)?
มีการใช้ “rollout” หรือไม่? (การวัดระยะทางเริ่มต้นที่รถยนต์เคลื่อนที่ไปแล้วเล็กน้อย)
นี่คือรถยนต์ที่ถูกกฎหมายและเร่งความเร็วได้เร็วที่สุดห้าอันดับแรกในโลก ซึ่งจะทำตัวเลขจากไฟจราจรได้ดีกว่ารถ F1 ในช่วงออกตัวของการแข่งขัน Grand Prix เสียอีก
ศิลปะแห่งความแม่นยำ: เวลาต่อรอบสนามเนือร์บูร์กริงปี 2025
เมื่อพูดถึงการประเมินความสามารถที่แท้จริงของรถยนต์ ความเร็วสูงสุดและอัตราเร่งเป็นเพียงสองส่วนของสมการที่ซับซ้อนมากเท่านั้น รถยนต์ที่เร็วไม่จำเป็นต้องเป็นคันที่ใช้ประสิทธิภาพในสนามแข่งได้อย่างเต็มที่ และนี่คือจุดที่มิติอื่นๆ เช่น ความมั่นคง, การยึดเกาะ, สมดุล, ประสิทธิภาพการเบรก และการตอบสนอง เข้ามามีบทบาท การทำเวลาต่อรอบที่รวดเร็วนั้นละเอียดอ่อนกว่าการวิ่งตรงไปข้างหน้า และโดยปกติแล้วจะเป็นตัวบ่งชี้ความสามารถโดยรวมของรถยนต์ได้ดีกว่า
ในแง่นี้ ไม่มีสนามทดสอบใดจะดีไปกว่า Nürburgring Nordschleife ด้วยโค้งและเนินเขาที่โหดหินและต่อเนื่องตลอดเส้นทาง ซึ่งทดสอบทุกแง่มุมของพฤติกรรมพลวัตของรถยนต์ตลอดระยะทาง 20.8 กิโลเมตร (12.9 ไมล์) เป็นที่ที่ผู้ผลิตทดสอบโมเดลของตนอย่างสุดขีด และบางครั้งก็เผยแพร่เวลาต่อรอบออกมา อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังอยู่บ้าง นักขับที่แตกต่างกัน, สภาพอากาศ, และยางรถยนต์ล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อเวลาที่ได้ และผู้ผลิตบางรายก็เป็นที่รู้กันว่าทำให้ข้อมูลคลุมเครือด้วยการใช้สเปกที่ไม่ใช่มาตรฐานสำหรับรถทดสอบของตน ดังนั้น เวลาที่ได้จึงควรรับฟังไว้เพียงเล็กน้อย แต่ก็เป็นตัวบ่งชี้ระดับประสิทธิภาพโดยรวมของรถยนต์ได้ดี รายชื่อด้านล่างนี้คือรถยนต์โปรดักชั่นที่ทำเวลาต่อรอบได้เร็วที่สุด:
Mercedes-AMG One – 6:29.090
ไฮเปอร์คาร์ที่ถอดเทคโนโลยีมาจากรถแข่ง F1 อย่างแท้จริง ด้วยเครื่องยนต์ไฮบริดที่ซับซ้อนและระบบอากาศพลศาสตร์แอคทีฟที่เหนือชั้น ทำให้ AMG One กลายเป็นเจ้าแห่ง Nordschleife ด้วยเวลาที่น่าตกตะลึง
Porsche 911 GT2 RS MR – 6:43.30
รถยนต์จาก Porsche ที่ได้รับการปรับแต่งโดย Manthey-Racing แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของแพลตฟอร์ม 911 ในการเป็นเครื่องจักรในสนามแข่ง ด้วยการปรับปรุงแชสซีและอากาศพลศาสตร์อย่างละเอียด
McLaren P1 XP1 LM Prototype – 6:43.22
McLaren P1 รุ่นพิเศษสำหรับสนามแข่ง ที่สร้างขึ้นโดย Lanzante เพื่อรำลึกถึง F1 LM แม้จะเป็นโปรโตไทป์ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่งของ McLaren ในการสร้างรถยนต์ที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา
Mercedes-AMG GT Black Series – 6:43.616
รถยนต์ Black Series ของ AMG เป็นสัญลักษณ์ของความสุดขีดในการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและการปรับแต่งแชสซีที่มุ่งเน้นสนามแข่งโดยเฉพาะ ทำให้มันเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่เร็วที่สุดรอบสนาม
Lamborghini Aventador SVJ – 6:44.97
Lamborghini คันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ V12 ที่ทรงพลัง อากาศพลศาสตร์ที่ซับซ้อน (ALA – Aerodinamica Lamborghini Attiva) และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ สามารถสร้างประสิทธิภาพในสนามแข่งที่น่าทึ่งได้อย่างไร
นวัตกรรมสำคัญในเกมเวลาต่อรอบ:
แชสซีและระบบช่วงล่างขั้นสูง: การปรับแต่งที่แม่นยำเพื่อการยึดเกาะและการควบคุมสูงสุด
ระบบดาวน์ฟอร์ซอัจฉริยะ: สร้างแรงกดที่เหมาะสมในแต่ละส่วนของสนามเพื่อเพิ่มความเร็วในการเข้าโค้ง
เทคโนโลยียางสำหรับสนามแข่ง: ยางที่มีส่วนผสมพิเศษเพื่อการยึดเกาะในสภาวะการขับขี่สุดขีด
ระบบเบรกคาร์บอนเซรามิก: ประสิทธิภาพการเบรกที่เหนือกว่าและทนทานต่อความร้อนสูง
สรุปและก้าวสู่อนาคต
ปี 2025 เป็นพยานถึงยุคทองแห่งความเร็วและนวัตกรรมยานยนต์อย่างแท้จริง ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกยังคงผลักดันขีดจำกัดของสิ่งที่เป็นไปได้ เพื่อสร้างสรรค์รถยนต์ที่ไม่เพียงแต่รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ยังรวมถึงรถยนต์ที่ชาญฉลาด มีประสิทธิภาพ และเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นความเร็วสูงสุดที่ทะลุกำแพง 500 กม./ชม. อัตราเร่งที่ทำให้ซูเปอร์ฮีโร่ยังต้องอิจฉา หรือเวลาต่อรอบสนามที่ท้าทายจินตนาการ รถยนต์เหล่านี้เป็นมากกว่าแค่เครื่องจักร พวกมันคือสัญลักษณ์ของความหลงใหล ความมุ่งมั่น และความปรารถนาอันไม่สิ้นสุดของมนุษย์ที่จะพิชิตความเร็ว
ในฐานะผู้ชื่นชอบและผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้ ผมเชื่อว่าอนาคตจะนำมาซึ่งความประหลาดใจและการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะยังคง redefine คำว่า “เร็วที่สุด” ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่ยุคใหม่แห่งความเร็วและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้! หากคุณมีความคิดเห็นหรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับไฮเปอร์คาร์ที่คุณชื่นชอบในปี 2025 อย่าลังเลที่จะแบ่งปันกับเรา เรายินดีเสมอที่จะพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตที่น่าตื่นเต้นของยานยนต์สมรรถนะสูงเหล่านี้!
สุดยอดความเร็ว: รถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกปี 2025 – ความเร็วสูงสุด, อัตราเร่ง, และเวลาต่อรอบสนาม
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าโลกของ รถยนต์สมรรถนะเหนือระดับ ในปี 2025 นั้นซับซ้อนและน่าตื่นเต้นกว่าที่เราเคยจินตนาการไว้มากนัก คำว่า “รถยนต์ที่เร็วที่สุด” ไม่ได้มีความหมายเพียงมิติเดียวอีกต่อไป มันแตกแขนงออกเป็นสามเสาหลักที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้แก่ ความเร็วสูงสุด ที่ท้าทายขีดจำกัดของฟิสิกส์, อัตราเร่ง ที่บดขยี้ทุกความคาดหวัง และ เวลาต่อรอบสนาม ที่พิสูจน์ถึงความสมดุลและความแม่นยำของวิศวกรรม
ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบปีก่อน รถคันที่เร็วที่สุดมักจะเป็นคันที่ทำเวลา 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ไวที่สุด และยังคงครองสถิติรอบสนามได้อย่างเหนือชั้น แต่วันนี้ ด้วยนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีมอเตอร์ไฟฟ้า, วัสดุศาสตร์ขั้นสูง, และการออกแบบอากาศพลศาสตร์ที่ซับซ้อน รถที่ออกแบบมาเพื่อความเร็วสูงสุดโดยเฉพาะ อาจไม่ใช่รถที่ออกตัวได้เร็วที่สุด หรือแม้กระทั่งรถที่เร็วที่สุดในสนามแข่ง ด้วยการมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพสูงสุดในแต่ละด้าน ทำให้การเป็น “ที่สุด” ในทุกมิติแทบจะเป็นไปไม่ได้ในยุคปัจจุบัน
สิ่งที่ยังคงเป็นจุดสนใจและเป็นสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรีสำหรับ ไฮเปอร์คาร์ ยุคใหม่ คือ ความเร็วสูงสุด การทะลุผ่านกำแพง 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (200 ไมล์ต่อชั่วโมง) ยังคงเป็นความสำเร็จที่น่าเกรงขามไม่แพ้เมื่อสองทศวรรษก่อน แต่ในทางกลับกัน รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ได้เข้ามาพลิกโฉมโลกของ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อย่างสิ้นเชิง จนแม้กระทั่งรถยนต์ SUV และซีดานสำหรับครอบครัวบางรุ่นก็สามารถทำเวลาได้ต่ำกว่าสามวินาที ทำให้ประสบการณ์การออกตัวแบบซุปเปอร์คาร์เข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
เช่นเดียวกัน การก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในเรื่องของแรงกด (downforce), แชสซีส์, และเทคโนโลยียางรถยนต์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ได้ทำให้ สถิติเวลาต่อรอบ ลดลงอย่างน่าทึ่ง จนปัจจุบัน Porsche 911 GT3 RS ที่ถูกกฎหมายบนท้องถนนก็สามารถเอาชนะรถแข่ง GT3 รุ่นลูกพี่ลูกน้องได้บนยางที่เท่ากัน อย่างไรก็ตาม มีรถยนต์เพียงไม่กี่คันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเท่านั้นที่ได้ผลักดันขีดจำกัดของความเร็วสูงสุดอย่างแท้จริง การสร้างรถยนต์ที่สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสุดขีดเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงความท้าทายทางวิศวกรรม แต่ยังรวมถึงการค้นหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการทดสอบ เรามาดูกันว่าในปี 2025 นี้ ใครคือผู้ครอบครองตำแหน่ง “ที่สุด” ในแต่ละมิติกันบ้าง
ความเร็วสูงสุดแห่งอนาคต: รถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกปี 2025
เสน่ห์ของความเร็วสูงสุดนั้นไม่เคยจางหายไป มันคือการทดสอบขั้นสุดยอดของวิศวกรรมยานยนต์ การที่จะสร้างรถยนต์ที่สามารถทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วเกิน 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และยังคงความมั่นคง ปลอดภัย และสามารถขับขี่ได้บนท้องถนนนั้น ต้องอาศัยความอัจฉริยะในการออกแบบอากาศพลศาสตร์ การระบายความร้อน และความแข็งแกร่งของโครงสร้าง นี่คือบรรดาสุดยอดรถยนต์ที่กำลังจะสร้างหรือได้สร้างสถิติความเร็วสูงสุดอันน่าทึ่งในปี 2025
BYD Yangwang U9 Xtreme – 496.22 กม./ชม. (308.3 ไมล์/ชม.)
Yangwang แบรนด์ย่อยสุดหรูจากผู้ผลิตจีนชื่อดัง BYD เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานตั้งแต่ปี 2023 แต่กลับสร้างความฮือฮาด้วยการโค่นแชมป์ Bugatti ในเกมของตัวเอง ด้วยการนำซูเปอร์คาร์ U9 ที่มีอยู่มาเป็นพื้นฐาน รุ่น ‘Xtreme’ ที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 30 คัน ได้ยกระดับประสิทธิภาพขึ้นไปอีกขั้น ด้วยพละกำลังมหาศาลกว่า 3000 แรงม้า (เกือบสองเท่าของ Bugatti Chiron W16) ยางกึ่งสลิก และระบบช่วงล่าง DiSus-X ที่อัปเกรดมาเพื่อรับมือกับแรงมหาศาลที่เกิดขึ้น
รถคันที่สร้างสถิตินี้ถูกติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ไม่ใช่สเปกการผลิต เช่น โรลเคจเต็มรูปแบบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความสำเร็จทางวิศวกรรมที่น่าประทับใจ ที่สนามทดสอบ Automotive Testing Papenburg ในเยอรมนี มาร์ค บาสเซง นักแข่งชาวเยอรมัน ได้พารถ U9 ทะลุผ่านสถิติการผลิตทั้งรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ด้วยความเร็วสูงสุด 496.22 กม./ชม. (308.3 ไมล์/ชม.) เช่นเดียวกับ Bugatti ความเร็วนี้นับเป็นการวิ่งทางเดียว ไม่ใช่ค่าเฉลี่ยสองทิศทางตามที่บันทึกสถิติโลกอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎนี้มาหลายปีแล้ว นี่จึงถือเป็นหมุดหมายสำคัญของ เทคโนโลยียานยนต์ 2025 ที่จีนกำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในเวทีโลก
\การวิ่งทางเดียว
Bugatti Chiron Super Sport 300+ – 490.48 กม./ชม. (304.7 ไมล์/ชม.)
Bugatti เป็นผู้ผลิตรายแรกที่ทำลายกำแพง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วย Chiron Super Sport 300+ ในปี 2019 สถานการณ์ของการวิ่งครั้งนั้นเป็นไปอย่างไม่ปกติ การวิ่งเสร็จสมบูรณ์ด้วยรถต้นแบบ Chiron ที่สนามทดสอบ Ehra-Lessien และแม้ว่าจะทำความเร็วได้ถึง 304.7 ไมล์ต่อชั่วโมง Bugatti ก็ทำความเร็วสูงสุดของรถได้เพียงทิศทางเดียว อย่างไรก็ตาม นี่คือความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นได้ด้วยหลักอากาศพลศาสตร์ที่ได้รับการดัดแปลง พละกำลัง 1578 แรงม้าจากเครื่องยนต์ W16 และทักษะของแอนดี้ วอลเลซ นักขับทดสอบอย่างเป็นทางการของ Bugatti
หลังจากการทำลายกำแพง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง Bugatti ได้ผลิต Super Sport 300+ จำนวน 30 คันสำหรับลูกค้า แต่จำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 273 ไมล์ต่อชั่วโมง ถึงกระนั้น รถเหล่านี้ก็มีกำลังเครื่องยนต์เท่ากับรถคันที่ทำสถิติ และส่วนท้ายที่ยาวขึ้นเพื่อแหวกอากาศได้อย่างราบรื่นขึ้น รวมถึงดิฟฟิวเซอร์ล่างที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ การปรับแต่งระบบบังคับเลี้ยวและช่วงล่างยังได้รับการปรับปรุงเพื่อให้มีความมั่นคงและการควบคุมที่ดีขึ้น ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในรถยนต์ที่สามารถทำความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 300 กม./ชม. (186 ไมล์/ชม.) ได้ในเวลาเพียง 12.1 วินาที อันเหลือเชื่อ นี่คือหนึ่งใน ไฮเปอร์คาร์ที่ดีที่สุด ในประวัติศาสตร์
\การวิ่งทางเดียว, ไม่ใช่สเปกการผลิต
SSC Tuatara – 474.7 กม./ชม. (295 ไมล์/ชม.) (การวิ่งทางเดียว)
ความขัดแย้งเกิดขึ้นกับ SSC Tuatara เมื่อผู้ผลิตอ้างว่าทำความเร็วได้ถึง 331 ไมล์ต่อชั่วโมงในปี 2020 เพื่ออ้างสิทธิ์ว่าเป็นรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก ซึ่งต่อมากลับกลายเป็นความเท็จ ทำให้บริษัทต้องออกมาขอโทษ และเสียงหัวเราะดังมาจากมอลส์ไฮม์และแองเกิลโฮล์ม ซึ่งเป็นที่ตั้งของคู่แข่งไฮเปอร์คาร์ระดับท็อปอย่าง Bugatti และ Koenigsegg ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น Tuatara ยังคงผลักดันสิ่งที่รถยนต์ผลิตบนท้องถนนสามารถทำได้ และได้สร้างสถิติการวิ่งทางเดียวที่ได้รับการยืนยันแล้วที่ 295 ไมล์ต่อชั่วโมง
ความเร็วนั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเมื่อคุณได้อ่านสเปก ด้วยเชื้อเพลิง E85 Tuatara ให้กำลังมหาศาลถึง 1750 แรงม้าจากเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ รอบเครื่องยนต์ 8800 รอบต่อนาที มีน้ำหนักแห้งเพียง 1247 กิโลกรัม และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.279 ซึ่งน่าประทับใจสำหรับรถยนต์ที่ต้องระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์มหาศาล และสร้างแรงกดมากพอที่จะยึดเกาะถนนที่ความเร็วเกือบ 300 ไมล์ต่อชั่วโมง แม้จะมีการเปิดตัวที่ยากลำบากในเวทีไฮเปอร์คาร์ แต่ในแง่ของความเร็วบริสุทธิ์แล้ว มันอยู่ในลีกสูงสุดอย่างแน่นอน
Bugatti Mistral – 453.5 กม./ชม. (281.8 ไมล์/ชม.)
ราวกับว่าการทำความเร็วเกิน 280 ไมล์ต่อชั่วโมงยังไม่เพียงพอ Bugatti Mistral ยังได้รับเกียรติให้เป็นรถยนต์เปิดประทุนที่เร็วที่สุดในโลก เอาชนะเจ้าของสถิติเดิมอย่าง Hennessey Venom GT Spyder ไปได้ถึง 16 ไมล์ต่อชั่วโมง เป็นการปิดฉากที่ยอดเยี่ยมสำหรับ Bugatti เครื่องยนต์ W16 รุ่นสุดท้าย ก่อนที่ Tourbillon จะมาถึง (ที่น่าสนใจคือไฮเปอร์คาร์ V16 รุ่นใหม่ของ Bugatti นั้นช้ากว่า Mistral เล็กน้อยบนกระดาษ โดยมีรายงานความเร็วสูงสุดที่ 276 ไมล์ต่อชั่วโมง)
Mistral ยืมกลไกมาจาก Chiron Super Sport ด้วยพละกำลัง 1578 แรงม้าจากเครื่องยนต์ W16 8 ลิตร ควอดเทอร์โบ พร้อมการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก La Voiture Noire ที่มีเพียงคันเดียว นี่ไม่ใช่แค่ Chiron ที่มีหน้าตาใหม่และหลังคาที่ถูกตัดออกไป แต่แชสซีคาร์บอนไฟเบอร์ของ Mistral ได้รับการปรับรูปทรงให้เป็นรูปทรงหน้ากาก และช่องอากาศด้านข้างของคูเป้ถูกแทนที่ด้วยช่องอากาศสไตล์ Veyron ด้านหลังคนขับและผู้โดยสาร แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมการออกแบบที่เหนือชั้นใน รถซุปเปอร์คาร์
Koenigsegg Agera RS – 447.4 กม./ชม. (277.8 ไมล์/ชม.)
จนกว่า Koenigsegg จะให้ Jesko Absolut ได้ลองทำความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง Agera RS ยังคงเป็นรุ่นที่ทำความเร็วสูงสุดได้สูงที่สุด เปิดตัวครั้งแรกในปี 2015 ในฐานะรถยนต์ที่ใช้งานได้ทั้งบนถนนและสนามแข่ง ผสมผสานความสามารถของ One:1 เข้ากับความนุ่มนวลของ Ageras รุ่นอื่นๆ (แน่นอนว่าคำเหล่านี้เป็นเรื่องสัมพัทธ์)
ตัวเลขสำคัญคือ 1360 แรงม้า (บนเชื้อเพลิง E85) จากเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ 5 ลิตร และแรงบิด 944 ปอนด์ฟุต พร้อมน้ำหนักรถเปล่าเพียง 1395 กิโลกรัม แฟลบอากาศพลศาสตร์แบบแอคทีฟและปีกหลังที่ปรับได้ช่วยสร้างแรงกดได้ 485 กิโลกรัมที่ความเร็ว 250 กม./ชม. (155 ไมล์/ชม.) โดย RS ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 457.1 กม./ชม. (284 ไมล์/ชม.) (และค่าเฉลี่ยสองทิศทาง 277.8 ไมล์ต่อชั่วโมง ทำให้มันน่าประทับใจยิ่งขึ้น) หาก Koenigsegg สามารถทำได้ด้วยรถยนต์อายุสิบปี Jesko ที่มี 1600 แรงม้าก็มีศักยภาพที่จะทำลายทุกสถิติ และอาจทะลุผ่านกำแพง 300 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ นี่คือการเดิมพันครั้งสำคัญใน อุตสาหกรรมยานยนต์
อัตราเร่งสุดขีด: พลิกโฉมการออกตัวของโลกในปี 2025
เกมของการเป็นรถยนต์ที่มีอัตราเร่งเร็วที่สุดนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในปี 2025 เมื่อเทียบกับเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ย้อนกลับไปในปี 2005 Bugatti Veyron 986 แรงม้า ที่ใช้ยางขับเคลื่อนสี่เส้นขนาดใหญ่และที่สำคัญที่สุดคือระบบเกียร์คลัตช์คู่ กลายเป็นไม่เพียงแค่รถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกในแง่ของความเร็วสูงสุด แต่ยังเร็วที่สุด โดยเป็นรถยนต์ผลิตคันแรกที่ทำลายกำแพง 3 วินาทีสำหรับการเร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม. โดยทำได้ใน 2.5 วินาที
นอกเหนือจากพละกำลังมหาศาลแล้ว ระบบ DSG และระบบควบคุมการออกตัว (launch control) ที่ช่วยให้ Veyron สามารถสร้างรอบเครื่องยนต์ กำลัง และแรงบิดที่เหมาะสมที่สุดตั้งแต่หยุดนิ่ง ก่อนที่จะออกตัวและเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างราบรื่น ไม่มีการหยุดชะงักเหมือนการเปลี่ยนเกียร์ในระบบเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์คลัตช์เดี่ยวอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการเปิดประตูสู่ยุคของรถยนต์อย่าง Nissan GT-R และ Porsche 911 Turbo S รุ่น 997.2 ซึ่งต่างก็ใช้ประโยชน์จากขุมพลังเทอร์โบชาร์จ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์คลัตช์คู่ และระบบควบคุมการออกตัว เพื่อทำเวลา 0-100 กม./ชม. ได้ต่ำกว่า 3 วินาที จากนั้น Tesla Model S ก็แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่มอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่สามารถทำได้ นี่คือยุคที่ รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง เข้ามาครองเวทีอัตราเร่ง
Rimac Nevera R – 0-100 กม./ชม. ใน 1.81 วินาที
สถานะของ Rimac ในปัจจุบันค่อนข้างจะมุ่งเน้นไปที่ Bugatti รุ่นต่อไปเป็นส่วนใหญ่ แต่ก่อนที่ Tourbillon จะมา Nevera คือรถยนต์ที่ทำให้ Maté ได้รับความไว้วางใจให้คุมหางเสือของ Molsheim ตั้งแต่แรก Nevera R คือรุ่นที่จัดจ้านที่สุด ด้วยกำลังที่เพิ่มขึ้นเป็น 2078 แรงม้า และยังคงทำเวลา 0-100 กม./ชม. ได้ใน 1.81 วินาที
Nevera คือยักษ์ใหญ่ผู้ทำลายสถิติ ที่สร้างสถิติโลกถึง 23 รายการภายในวันเดียวในปี 2023 กลายเป็นรถยนต์ที่เร็วที่สุดในการเร่งความเร็วและเบรกจาก 0-407 กม./ชม.-0 (0-253 ไมล์/ชม.) จาก 0-100 กม./ชม., จาก 0-200 กม./ชม. (0-124 ไมล์/ชม.), จาก 0-300 กม./ชม. (0-186 ไมล์/ชม.), จาก 0-407 กม./ชม. (0-253 ไมล์/ชม.) และอื่นๆ อีกมากมาย นี่คือรถยนต์ที่ถูกกำหนดด้วยความสามารถอันน่าทึ่ง แต่มันไม่ใช่แค่รถสำหรับแข่งแดร็ก มันคือ ไฮเปอร์คาร์ ที่มีครบทุกด้าน น่าหลงใหล และถูกสร้างขึ้นมาอย่างสวยงาม พร้อมเป็นรถสำหรับนักขับตัวจริง ด้วยการใช้เทคโนโลยีแรงบิดเวกเตอร์แบบเดียวกับ Pininfarina ทำให้มันมีความคล่องตัว ตอบสนองได้ดี และมีส่วนร่วมกับการขับขี่อย่างยิ่ง
Pininfarina Battista – 0-100 กม./ชม. ใน 1.86 วินาที
ผลงานของ Pininfarina ที่ดูเรียบง่ายกว่าบ้าง แม้ว่า Battista จะสง่างามและสวยงามอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่รถเก๋งหรูหราที่เก็บตัว นี่คือ ซุปเปอร์คาร์ สัญชาติอิตาลีอย่างแท้จริง แม้ว่าจะมีชิ้นส่วนภายในจากโครเอเชีย ใช่ Battista ยืมเทคโนโลยีจาก Rimac ด้วยมอเตอร์แต่ละล้อและพละกำลังเต็มเปี่ยม 1874 แรงม้า
ด้วยอุปกรณ์ดังกล่าว ทำให้ Battista เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่เร่งความเร็วได้เร็วที่สุดในโลก โดยทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ใน 1.86 วินาทีที่น่าตื่นตาตื่นใจ ณ จุดนี้ การวิ่ง 0-100 กม./ชม. กลายเป็นเรื่องทางวิชาการไปแล้ว เช่นเดียวกับเครื่องบิน Blackbird ที่พุ่งทะยานสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบน ตัวเลขอย่าง 0-200 กม./ชม., 0-300 กม./ชม. กลายเป็นประโยชน์สำหรับบริบทมากขึ้น Battista สามารถทำความเร็วหลังได้ในเวลาเพียง 10.49 วินาที ซึ่งเร็วกว่าเวลาที่รถยนต์ดีเซล Golf จะทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้เล็กน้อย
Lucid Air Sapphire – 0-100 กม./ชม. ใน 2.0 วินาที
เช่นเดียวกับ Horacio Pagani ที่แยกตัวออกจาก Lamborghini เพื่อสร้างสรรค์แนวคิดของเขาให้เป็นจริง ผู้เล่นคนสำคัญตั้งแต่เริ่มต้นเรื่องราวของ Tesla ก็แยกตัวออกมาสร้าง Lucid ซึ่งเป็นคู่แข่งที่สง่างาม เทคโนโลยีสูง และหรูหราของยักษ์ใหญ่ EV ของมัสก์ แม้ว่าจะไม่ได้รับการยกย่องในด้านความแข็งแกร่งทางการเงินที่ Tesla ได้รับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่รถยนต์ของ Lucid ก็สร้างความประทับใจอย่างยิ่งในด้านสไตล์ วิศวกรรมศาสตร์ พลวัต และความเร็วอันน่าทึ่ง
ทั้งหมดนี้แสดงออกได้อย่างชัดเจนที่สุดใน Lucid Air Sapphire ที่ทรงพลัง ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ให้กำลัง 1234 แรงม้า และทำเวลา 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2 วินาทีพอดี รถคันนี้มีสมรรถนะที่น่าทึ่ง แต่เป็นรถซีดานที่ละเอียดอ่อน สง่างาม และหรูหรา ซึ่งเป็นวิธีของ EV ที่สามารถบรรจุประสิทธิภาพระดับไฮเปอร์คาร์เป็นอาหารจานอร่อยเพิ่มเติมลงในเครื่องจักรที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน นี่คือ นวัตกรรมยานยนต์ ที่เปลี่ยนมุมมองของรถยนต์หรู
Tesla Model S Plaid – 0-100 กม./ชม. ใน 2.1 วินาที
“แต่ Plaid เร็วกว่า!” เหล่า Teslarati จะยืนกราน และแน่นอน มันเร็วกว่า แม้จะคำนึงถึงการวิ่ง 0-100 กม./ชม. (แทนที่จะเป็น 0-60 ไมล์/ชม.) ในสหราชอาณาจักรโดยไม่มีการออกตัว Plaid ก็ยังอ้างว่าทำได้ใน 2.1 วินาที แม้ว่าการทำซ้ำอาจเป็นเรื่องยากมาก แต่ก็มีวิดีโอหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่า Tesla เร็วกว่า Porsche
ระบบทางเทคนิคของมันแตกต่างจาก Taycan เล็กน้อย โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวที่ด้านหลังและหนึ่งตัวที่ด้านหน้า ให้กำลังรวม 1020 แรงม้า Tesla ไม่ได้ใช้ระบบเกียร์สองสปีดที่เพลาหลังเหมือน Porsche ซึ่งการเปลี่ยนเกียร์เองก็เป็นปัจจัยในการแข่งแดร็กระหว่างรถยนต์ทั้งสองคัน ที่ที่ Tesla ยังไม่ถึงขั้นคือในสนามแข่ง Nürburgring ซึ่งทำเวลาได้เพียง 7 นาที 25.231 วินาที ซึ่งช้ากว่า Taycan ถึง 18 วินาที แต่จากสัญญาณไฟจราจร ในโลกแห่งความเป็นจริง? Model S Plaid เกือบจะเร็วกว่าเสมอ นี่คือ รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ที่เปลี่ยนเกม
Porsche Taycan Turbo GT – 0-100 กม./ชม. ใน 2.2 วินาที
Porsche Taycan Turbo GT ที่เร็วดุจจรวดของ Porsche คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเหล่านักวิศวกรในสตุตการ์ตรับคำท้าจาก Tesla อสูรกาย 1020 แรงม้าคันนี้ มุ่งเป้าไปที่การเป็น Taycan ที่สุดยอดในด้านความสามารถในสนามแข่ง โดยเมื่อไม่ได้อยู่ในโหมด Launch Control จะมีกำลัง 778 แรงม้า การเพิ่มกำลังไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขที่น่าสนใจเท่านั้น การทำเวลา 0-100 กม./ชม. ใน 2.2 วินาที แทบจะเป็นผลพลอยได้ที่น่ายินดี ซึ่งเป็นความง่ายดายในการสร้างความสามารถในการเร่งความเร็วที่น่าทึ่งในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า
กำลังนั้นมาจากมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว แต่ละตัวอยู่ที่เพลาหนึ่งตัว ด้วยสถาปัตยกรรม 800 โวลต์ของรถและการมุ่งเน้นวิศวกรรมที่กว้างขึ้น มุ่งเป้าไปที่ประสิทธิภาพที่ทำซ้ำได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Tesla ไม่ได้อวดอ้างเสมอไป มีการตั้งค่าแชสซีแบบเฉพาะ ยาง Trofeo RS ที่เป็นอุปกรณ์เสริม และในสเปก Weissach Pack มีปีกคาร์บอนไฟเบอร์ที่ให้แรงกดได้ 220 กิโลกรัม สถิติที่น่าประทับใจที่สุดเกี่ยวกับ Taycan Turbo GT (ที่น่าขันเมื่อเทียบกับหัวข้อนี้) คือเวลา Nürburgring Turbo GT ทำเวลา Nürburgring ได้ 7:07.55 ซึ่งห่างจาก Rimac Nevera 1888 แรงม้า เพียง 2.25 วินาที ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติในขณะนั้น แน่นอนว่า Nevera ในสเปก Nevera R ได้ลดเวลาลงไปอีก 5 วินาที แต่เวลาของ Porsche ยังคงน่าประทับใจไม่แพ้กัน นี่คือ รถสปอร์ตไฟฟ้า ที่ผสมผสานความหรูหราและประสิทธิภาพได้อย่างลงตัว
พิชิตสนามแข่ง: สถิติเวลาต่อรอบสนามเนอร์เบอร์กริงปี 2025
เมื่อพูดถึงการประเมินขีดความสามารถทั้งหมดของรถยนต์ ความเร็วสูงสุดและอัตราเร่งเป็นเพียงสองส่วนของสมการที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง รถที่เร็วไม่จำเป็นต้องเป็นรถที่ใช้ประโยชน์จากสมรรถนะของมันได้ดีที่สุดในสนามแข่ง และนี่คือมิติอื่นๆ เช่น ความมั่นคง, การยึดเกาะถนน, ความสมดุล, ประสิทธิภาพการเบรก และการตอบสนอง เข้ามามีบทบาท การสร้างเวลาต่อรอบที่รวดเร็วนั้นมีความละเอียดอ่อนมากกว่าการเร็วในทางตรง และโดยปกติแล้วจะบ่งบอกถึงความสามารถโดยรวมของรถยนต์ได้ดีกว่า
ในแง่นี้ ไม่มีสนามทดสอบใดจะดีไปกว่า Nürburgring Nordschleife ด้วยโค้งและเนินที่ท้าทายอย่างต่อเนื่องตลอด 20.8 กิโลเมตร (12.9 ไมล์) ซึ่งทดสอบทุกแง่มุมของพฤติกรรมพลวัตของรถยนต์ มันคือที่ที่ผู้ผลิตทดสอบโมเดลของตนอย่างสุดขีด และบางครั้งก็เผยแพร่เวลาต่อรอบ อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังอยู่หลายประการ นักขับที่แตกต่างกัน สภาพอากาศ และยางรถยนต์ มีผลอย่างมากต่อเวลา และผู้ผลิตบางรายก็มีชื่อเสียงในการทำให้ข้อมูลคลุมเครือด้วยข้อกำหนดที่ไม่ใช่มาตรฐานสำหรับรถทดสอบของตน ดังนั้น ควรอ่านเวลาเหล่านี้ด้วยความเข้าใจ แต่ก็ยังคงเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีถึงระดับสมรรถนะโดยรวมของรถยนต์ นี่คือรายชื่อ รถยนต์สมรรถนะเหนือระดับ ที่ทำเวลาต่อรอบสนามได้เร็วที่สุด:
Mercedes-AMG One – 6:29.090
ไฮเปอร์คาร์ที่เกิดจากเทคโนโลยี Formula 1 โดยตรง นำเครื่องยนต์และระบบไฮบริดจากรถ F1 ของทีมมาสู่ท้องถนนอย่างแท้จริง ด้วยแรงม้ากว่า 1,000 ตัว และหลักอากาศพลศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ Mercedes-AMG One ไม่ได้แค่เร็วในทางตรง แต่ยังสามารถสร้างแรงกดมหาศาลเพื่อยึดเกาะถนนในโค้ง ทำให้มันสามารถทำลายสถิติได้อย่างน่าทึ่งที่ Nürburgring นี่คือผลลัพธ์ของ วิศวกรรมยานยนต์ขั้นสูงสุด ที่ผสานรวมประสิทธิภาพของสนามแข่งเข้ากับความสามารถในการขับขี่บนถนน
Porsche 911 GT2 RS MR – 6:43.30
นี่ไม่ใช่แค่ Porsche 911 GT2 RS ธรรมดา แต่เป็นรุ่นที่ได้รับการปรับแต่งโดย Manthey Racing ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Porsche การปรับปรุงครอบคลุมตั้งแต่ระบบกันสะเทือน แอโรไดนามิกส์ ไปจนถึงเบรก ทำให้รถคันนี้สามารถดึงประสิทธิภาพสูงสุดออกมาจากแพลตฟอร์ม 911 ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว พิสูจน์ให้เห็นว่าการปรับแต่งอย่างละเอียดสามารถสร้างความแตกต่างได้มากเพียงใดในการทำ สถิติเวลาต่อรอบ
McLaren P1 XP1 LM Prototype – 6:43.22
McLaren P1 LM เป็นรุ่นที่พัฒนามาจาก P1 GTR สำหรับสนามแข่ง และได้รับการดัดแปลงเพื่อให้ถูกกฎหมายบนท้องถนน รถคันนี้สร้างขึ้นโดย Lanzante ซึ่งเป็นพันธมิตรของ McLaren โดยใช้ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาและขุมพลังไฮบริดที่ดุดัน แสดงให้เห็นถึงขีดจำกัดของรถยนต์ไฮบริดในยุคแรกๆ ที่สามารถครองสนามแข่งได้
Mercedes-AMG GT Black Series – 6:43.616
Mercedes-AMG GT Black Series คือผลงานชิ้นโบแดงของ AMG ที่เน้นการออกแบบอากาศพลศาสตร์อย่างถึงที่สุด ปีกหลังขนาดใหญ่ ดิฟฟิวเซอร์ที่ซับซ้อน และช่องระบายอากาศจำนวนมาก ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อสร้างแรงกดสูงสุดและระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้รถคันนี้เป็นหนึ่งในรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปที่เร็วที่สุดบน Nürburgring
Lamborghini Aventador SVJ – 6:44.97
Lamborghini Aventador SVJ คือการเฉลิมฉลองของเครื่องยนต์ V12 ที่ไม่มีระบบอัดอากาศ แรงกดมหาศาลจากระบบ Aerodinamica Lamborghini Attiva (ALA) ซึ่งเป็นระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอคทีฟ ทำให้รถคันนี้สามารถปรับทิศทางลมเพื่อเพิ่มแรงกดหรือลดแรงต้านอากาศได้อย่างรวดเร็วในแต่ละช่วงของสนาม นี่คือการรวมกันของพลังดิบและความฉลาดทางอากาศพลศาสตร์
อนาคตที่ก้าวไกล และคำเชิญชวน
โลกของ รถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก 2025 กำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่น่าตื่นเต้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ด้วยการผสมผสานของเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปที่ยังคงได้รับการปรับปรุง, ระบบไฮบริดที่ชาญฉลาด, และขุมพลังไฟฟ้าที่ปฏิวัติวงการ ทำให้เราได้เห็นรถยนต์ที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทะลายกำแพงความเร็วสูงสุด, การเร่งความเร็วที่ทำให้ร่างกายต้องปรับตัว, หรือการพิชิตสนามแข่งที่ท้าทายที่สุดในโลก
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานานนับทศวรรษ ผมเชื่อว่าปี 2025 จะเป็นปีที่เต็มไปด้วยการพัฒนาที่คาดไม่ถึง และการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก เพื่อช่วงชิงความเป็นหนึ่งในแต่ละมิติของสมรรถนะ การแข่งขันนี้ไม่เพียงแต่ผลักดันขีดจำกัดทางวิศวกรรมเท่านั้น แต่ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าทึ่งให้กับผู้ที่หลงใหลในความเร็วและนวัตกรรม
ผมขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางอันน่าตื่นเต้นนี้ มาร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับรถยนต์สมรรถนะสูงที่คุณชื่นชอบ หรือรถในฝันที่คุณคิดว่าจะเข้ามาพลิกโฉมวงการในอนาคตอันใกล้ มาติดตามข่าวสารและบทความเชิงลึกจากเราต่อไป เพื่อไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวในโลกของยานยนต์สุดขีด ที่ซึ่งความเร็วไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่เป็นศิลปะและวิทยาศาสตร์ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว

