• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N3110434 ไม เห นเหรอว าค ยก บแฟนอย part 2

admin79 by admin79
October 29, 2025
in Uncategorized
0
N3110434 ไม เห นเหรอว าค ยก บแฟนอย part 2

ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇

25 ซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21 (อัปเดต 2025)

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของอุตสาหกรรมนี้มาอย่างใกล้ชิด โลกของรถยนต์กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ แพลตฟอร์มการแชร์รถที่แพร่หลาย และโมเดลการเป็นเจ้าของใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชัน ซึ่งทั้งหมดนี้แม้จะมอบความสะดวกสบาย แต่ก็อาจทำให้เสน่ห์และความหลงใหลในวัฒนธรรมยานยนต์แบบดั้งเดิมเลือนหายไปบ้าง

ทว่า การจะสรุปว่าคนรุ่นใหม่กำลังเฉยชาต่อความตื่นเต้นของรถยนต์นั้นคงเป็นเรื่องผิดถนัด เพราะเรากำลังยืนอยู่บนจุดบรรจบของเทคโนโลยีล้ำสมัยกับมรดกอันยาวนาน ระหว่างอนาล็อกและปัญญาประดิษฐ์ และไม่มีที่ใดที่จะเห็นภาพนี้ได้ชัดเจนเท่ากับในโลกของยานยนต์สมรรถนะสูงที่เรากำลังจะได้สำรวจกันในวันนี้

สำหรับปี 2025 นี้ ผมได้ปรับปรุงและคัดสรรรายชื่อ 25 ซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21 ขึ้นมาใหม่ การจัดอันดับนี้เป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคลอย่างแท้จริง บางรุ่นอาจไม่ใช่รถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก หรือปราดเปรียวที่สุดในสนาม แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องจักรที่จุดประกายจินตนาการของเรา พลิกโฉมวงการด้วยนวัตกรรม หรือบางทีก็แค่เป็นรถที่เราอยากจะวาดรูปมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวัยเด็ก และความจริงที่ว่ารถเหล่านี้จะกลายเป็น “คลาสสิกแห่งอนาคต” ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่า จิตวิญญาณของยานยนต์จะยังคงอยู่และเบ่งบานต่อไป

มาดูกันว่าสุดยอดซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์แห่งยุค 2025 ที่สร้างแรงบันดาลใจและกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมมีรุ่นใดบ้าง

McLaren F1
แม้ว่า McLaren F1 จะถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษ 1990 แต่การที่มันยังคงอยู่ในรายชื่อนี้ในปี 2025 ก็ตอกย้ำสถานะของมันในฐานะต้นแบบและมาตรฐานที่รถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นใหม่ๆ พยายามจะก้าวข้าม ด้วยความเร็วสูงสุด 370 กม./ชม. ในปี 1992 ไม่มีรถโปรดักชันคันใดที่ทำได้เช่นนี้ มันคือปรากฏการณ์ที่ทำให้โลกต้องตะลึง โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา เครื่องยนต์ BMW V-12 ขนาด 6.1 ลิตร 627 แรงม้าอันเป็นเอกลักษณ์ ส่งให้มันเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที ในตลาดสะสมปี 2025 ราคามันพุ่งทะลุ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปแล้ว นับเป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าสำหรับนักสะสมรถหายาก

Ferrari LaFerrari
ปี 2013 เป็นหมุดหมายสำคัญของซูเปอร์คาร์ ด้วยการมาถึงของ “Trinity แห่งเทพ” จาก McLaren, Porsche และ Ferrari ซึ่งแต่ละคันล้วนใช้ขุมพลังไฮบริด LaFerrari คือหนึ่งในสามที่โดดเด่นเหนือใครด้วยเครื่องยนต์ V-12 หายใจเองอันดุดันผสานระบบไฮบริด มอบพละกำลัง 950 แรงม้า มันไม่ได้เป็นเพียงรถที่ทรงพลังที่สุดในกลุ่ม แต่ยังเปี่ยมด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล ชื่อ “LaFerrari” ซึ่งแปลว่า “The Ferrari” สะท้อนถึงแก่นแท้ของแบรนด์นี้อย่างแท้จริง ในปี 2025 มันยังคงเป็นหนึ่งในม้าลำพองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เป็นสัญลักษณ์แห่งวิศวกรรมยานยนต์อันบริสุทธิ์ก่อนยุคการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว

McLaren P1
จากสามซูเปอร์คาร์ไฮบริดแห่งปี 2013 หาก Ferrari LaFerrari และ Porsche 918 Spyder มาจากค่ายเก่าแก่ McLaren P1 คือน้องใหม่ที่เข้ามายืนหยัดเคียงข้าง แม้ McLaren จะเคยสร้างตำนานอย่าง F1 มาแล้ว แต่การกลับมาในครั้งนี้ต้องนับหนึ่งใหม่ P1 ใช้โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ขั้นสูง มอบพละกำลัง 903 แรงม้า และแชสซีน้ำหนักเบาอย่างน่าทึ่ง ทำให้มันเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับซูเปอร์คาร์ระดับตำนาน ในตลาดปี 2025 P1 ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มนักสะสมที่มองหานวัตกรรมช่วงต้นของยุคไฮบริดที่ยังคงมอบประสบการณ์ขับขี่อันเร้าใจ

Porsche 918 Spyder
Porsche 918 Spyder คือผู้พลิกเกมตัวจริงที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดในระดับซูเปอร์คาร์ ด้วยเครื่องยนต์ V-8 หายใจเอง 4.6 ลิตร 599 แรงม้า เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว รวมเป็น 877 แรงม้า และแรงบิด 1,280 นิวตันเมตรที่มาทันทีที่สั่ง มันถูกผลิตออกมาเพียง 918 คัน และขายหมดภายในปี 2014 ในปี 2025 918 Spyder ยังคงเป็นรถสะสมที่น่าปรารถนาอย่างยิ่ง และเป็นข้อพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ของ Porsche ในการผสานสมรรถนะเข้ากับประสิทธิภาพเชื้อเพลิงได้อย่างลงตัว เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกของเครื่องยนต์สันดาปและการก้าวสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้า

Ferrari SF90 Stradale
ในยุคที่เครื่องยนต์ V-12 กำลังค่อยๆ จางหายไป Ferrari SF90 Stradale ที่ใช้เครื่องยนต์ V-8 ก็ยังคงมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ มันถูกขนานนามว่าเป็นรถถนนที่อุทิศให้แก่เครื่องจักร F1 ของ Ferrari SF90 โดยเป็นไฮเปอร์คาร์ที่น่าเกรงขามด้วยพละกำลัง 1,000 แรงม้า จากมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัวและเครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบ การผสมผสานระหว่างสมรรถนะไฮบริดที่โดดเด่นกับรูปลักษณ์ที่น่าทึ่ง ทำให้มันเป็นตัวแทนของอนาคต Ferrari ในปี 2025 ที่ยังคงให้ความสำคัญกับสมรรถนะสูงสุด พร้อมก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานไฟฟ้าด้วยความมั่นใจ

SSC Tuatara
เป้าหมายของ SSC North America คือการสร้างไฮเปอร์คาร์ที่สามารถทำความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง (483 กม./ชม.) ด้วย SSC Tuatara ซึ่งมีตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์และเครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบ 5.9 ลิตร พละกำลังมหาศาลถึง 1,726 แรงม้า หลังจากสร้างสถิติโลกด้วยความเร็วเฉลี่ย 455.3 กม./ชม. ในปี 2021 และทำได้ถึง 475 กม./ชม. ในการทดสอบล่าสุด Tuatara ยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งความเร็วสูงสุด ในปี 2025 มันยังคงเป็นสัญลักษณ์ของการแสวงหาความเร็วอย่างไม่หยุดยั้งของมนุษย์ และเป็นรถที่ท้าทายกฎแห่งฟิสิกส์ได้อย่างน่าทึ่ง

Aston Martin Valkyrie
Aston Martin Valkyrie กำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับสมรรถนะของรถยนต์ที่ถูกกฎหมายบนท้องถนน มันคือผลลัพธ์ของการผสานเครื่องยนต์ V-12 6.5 ลิตร 1,000 แรงม้า เข้ากับระบบไฮบริด-ไฟฟ้าที่พัฒนาโดย Rimac อีก 160 แรงม้า ในโครงสร้างคาร์บอนโมโนค็อกน้ำหนักเบาและแข็งแกร่งเป็นพิเศษ การออกแบบโดย Adrian Newey อัจฉริยะแห่ง Formula 1 ยิ่งเพิ่มความพิเศษให้กับมัน ในปี 2025 Valkyrie ที่ผลิตจำกัดเพียง 150 คัน เป็นหนึ่งในไฮเปอร์คาร์ที่สะท้อนถึงการผสมผสานเทคโนโลยีการแข่งรถเข้ากับประสบการณ์การขับขี่บนถนนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

Rimac Nevera
Rimac Nevera ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในโลกของซูเปอร์คาร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยพละกำลัง 1,914 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสี่ล้อ มันทำลายสถิติอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของรถยนต์สันดาปทุกคัน Nevera เป็นผลงานของ Mate Rimac อัจฉริยะชาวโครเอเชียวัย 30 กว่าๆ ผู้ก่อตั้งบริษัทในปี 2011 ในปี 2025 Nevera ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของสมรรถนะ EV ที่น่าตกใจ แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหลังจากที่ Rimac เข้าถือหุ้นใหญ่ใน Bugatti ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นของสตาร์ทอัพ EV ในตลาดรถยนต์หรู

Mercedes-AMG One
การนำรถแข่ง Formula 1 มาวิ่งบนถนนสาธารณะคือความฝันที่เป็นจริงด้วย Mercedes-AMG One แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเทคนิคมากมาย แต่ด้วยพละกำลัง 1,000 แรงม้าจากเครื่องยนต์ V-6 เทอร์โบ 1.6 ลิตรไฮบริด และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ทำให้มันสามารถเร่งจาก 0-200 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 6 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. ในปี 2025 AMG One ที่ผลิตเพียง 275 คันและมีราคาสูงถึง 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเป็นหนึ่งในผลงานที่ซับซ้อนที่สุดและน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลกยานยนต์ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของ Mercedes-AMG ในการผสานเทคโนโลยีมอเตอร์สปอร์ตเข้ากับรถยนต์ถนนอย่างแท้จริง

Koenigsegg Jesko
Christian von Koenigsegg จากสวีเดน เคยสร้างสถิติรถโปรดักชันที่เร็วที่สุดในโลกด้วย Agera RS ในปี 2017 Jesko ผู้สืบทอดตำแหน่ง ที่ตั้งชื่อตามบิดาของ Christian มาพร้อมปีกขนาดมหึมาและพละกำลัง 1,660 แรงม้า อาจเป็นผู้ท้าชิงสถิติความเร็วสูงสุด 304.7 ไมล์ต่อชั่วโมงของ Bugatti Chiron Super Sport Jesko ราคา 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีเทคโนโลยีเครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบ 5.0 ลิตร ที่มาพร้อมเพลาข้อเหวี่ยง V-8 ที่เบาที่สุดในโลก ในปี 2025 Jesko ซึ่งผลิตเพียง 125 คันนี้ ได้รับการจองหมดแล้ว และยังคงเป็นตัวแทนของการผลักดันขีดจำกัดแห่งวิศวกรรมยานยนต์สวีเดน

Pininfarina Battista
ไม่มีชื่อใดในโลกยานยนต์ที่จะเป็นตำนานได้เท่า Pininfarina สตูดิโอออกแบบจากอิตาลี ที่เคยร่วมงานกับ Ferrari มานานกว่า 6 ทศวรรษ บัดนี้ด้วยความช่วยเหลือจาก Mahindra Group และอัจฉริยะด้าน EV จาก Rimac ได้กำเนิด Pininfarina Battista ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าที่น่าตื่นเต้น ด้วยพละกำลัง 1,900 แรงม้า และแรงบิด 2,300 นิวตันเมตร จากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 120 kWh และมอเตอร์สี่ตัว มันสามารถพุ่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 1.8 วินาที ในปี 2025 Battista ที่ผลิตจำกัดเพียง 150 คัน เริ่มส่งมอบแล้ว และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าความงามเหนือกาลเวลาของ Pininfarina สามารถผสานเข้ากับเทคโนโลยี EV ที่ก้าวล้ำได้อย่างไร

Lotus Evija
Evija คือรถยนต์โปรดักชันที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยพละกำลังอันน่าทึ่ง 2,011 แรงม้า และแรงบิด 1,703 นิวตันเมตร สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาไม่ถึง 3 วินาที และจาก 0-300 กม./ชม. ใน 9.1 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 350 กม./ชม. นี่คือ Lotus Evija พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบจากผู้ผลิตรถสปอร์ตอังกฤษในตำนาน โครงสร้างโมโนค็อกคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด แอโรไดนามิกส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Le Mans และระบบส่งกำลังไฟฟ้าล้ำสมัยที่พัฒนาโดย Williams Advanced Engineering ในปี 2025 Evija ซึ่งผลิตเพียง 130 คัน ราคาประมาณ 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกยุคใหม่ของ Lotus ที่เน้นประสิทธิภาพและนวัตกรรมไฟฟ้าอย่างเต็มตัว

Ferrari Daytona SP3
Icona ซีรีส์รถยนต์รุ่นลิมิเต็ดจาก Ferrari เป็นการหวนคืนสู่ความคลาสสิกด้วยการนำโครงสร้างสมัยใหม่มาห่อหุ้มด้วยรูปทรงเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก Daytona SP3 เป็น Icona ลำดับที่สาม ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Ferrari 330 P4 ที่คว้าอันดับ 1, 2, 3 ในการแข่ง 24 Hours of Daytona ปี 1967 แม้จะมีช่องดักอากาศและแอโรไดนามิกส์ที่ใช้งานได้จริง แต่จิตวิญญาณของ SP3 คือความคิดถึงอดีตอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเครื่องยนต์ V-12 หายใจเองที่รอบเครื่องยนต์สูงถึง 9,500 รอบต่อนาที และให้กำลัง 829 แรงม้า ในปี 2025 Daytona SP3 ที่มีราคา 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และผลิตจำกัด 599 คัน ยังคงเป็นงานศิลปะเคลื่อนที่ที่นักสะสมใฝ่ฝัน

Hennessey Venom F5 Roadster
เราชื่นชอบ Venom F5 Coupe ที่บ้าระห่ำ 1,817 แรงม้า จาก John Hennessey ผู้สร้างซูเปอร์คาร์ชาวเท็กซัส และทีมงานของเขา มันถูกออกแบบมาเพื่อทำลายกำแพงความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง (483 กม./ชม.) บัดนี้ถึงคราวของ Venom F5 Roadster ที่จะไล่ล่าเป้าหมายเดียวกัน ด้วยเครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบ “Fury” 6.6 ลิตร 1,817 แรงม้าเช่นเดียวกับ Coupe และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเพียง 45 ปอนด์ ในปี 2025 Roadster นี้ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของการแสวงหาความเร็วสูงสุดแบบไร้ขีดจำกัด พร้อมเปิดประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจยิ่งขึ้นเมื่อเปิดหลังคาเพื่อรับฟังเสียงคำรามของเครื่องยนต์ V8 อันทรงพลัง

Lamborghini Sterrato
เมื่อพูดถึงซูเปอร์คาร์ “มากกว่า” มักจะดีกว่าเสมอ แต่สำหรับ Huracán รุ่น V-10 สุดท้าย Lamborghini ได้เลือกความเกินปกติอีกแบบหนึ่ง: ยางบั้งดอกใหญ่, เพิ่มความสูงใต้ท้องรถ 1.7 นิ้ว และชุดหุ้มกันกระแทกรอบคัน เพื่อปกป้องรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่พร้อมลุยออฟโรด ช่องดักอากาศบนหลังคาและไฟเสริมด้านหน้าชวนให้นึกถึงรถแรลลี่ ทำให้ Lamborghini มีทัศนคติ “ไปได้ทุกที่” ในที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้ Sterrato มอบความตื่นเต้นที่แตกต่างด้วยการควบคุมรถบนพื้นผิวที่หลุดลื่นได้ง่าย ในปี 2025 Sterrato เป็นการกล่าวอำลาเครื่องยนต์สันดาปของ Lamborghini ด้วยการระเบิดเสียงคำรามอันเร้าใจ ก่อนเข้าสู่ยุคไฮบริดและไฟฟ้าเต็มตัว

Pagani Utopia
Horacio Pagani ผู้ก่อตั้ง Pagani Atelier อันโด่งดัง หลังจากการที่ Lamborghini อดีตนายจ้างของเขาไม่เห็นด้วยกับการใช้คาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา Utopia คือผลงานต่อยอดจาก Huayra ที่มุ่งเน้นการลดน้ำหนักในระดับถัดไป ด้วยแชสซี “Carbo-Titanium” ที่ผสมผสานโครงสร้างคาร์บอนและไทเทเนียมเข้ากับเฟรมย่อยโครเมียม ทำให้มีน้ำหนักแห้งเพียง 1,280 กก. Utopia ใช้เครื่องยนต์ AMG V-12 852 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง และมีเกียร์ธรรมดาให้เลือก ในปี 2025 Utopia ที่ผลิตเพียง 99 คัน ย้ำแนวคิดที่ว่าสถานที่ในอุดมคตินั้นสงวนไว้สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกเท่านั้น เป็นตัวแทนของความสมบูรณ์แบบทางวิศวกรรมและศิลปะ

Lamborghini Revuelto
เครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6.5 ลิตรวางกลางลำ คือหัวใจสำคัญของ Lamborghini Murciélago และ Aventador มาตลอด และ Lamborghini ก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานไฟฟ้าด้วยการคงไว้ซึ่งเครื่องยนต์ความจุสูงนี้เป็นแกนหลักของระบบส่งกำลังไฮบริดใหม่ มอเตอร์ไฟฟ้าสามตัวเสริมพลังให้กับเครื่องยนต์เบนซิน 814 แรงม้า ทำให้ Revuelto มีกำลังรวม 1,001 แรงม้า ซึ่งเป็นผลลัพธ์สูงสุดของปลั๊กอินไฮบริดที่ไม่มีเทอร์โบชาร์จเจอร์ เพื่อคงไว้ซึ่งเสียงเครื่องยนต์ที่ดุดัน ในปี 2025 Revuelto มาพร้อมห้องโดยสารที่กว้างขึ้นและเกียร์คลัตช์คู่ที่นุ่มนวลขึ้น ทำให้มันเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังและมีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างยิ่ง

Porsche 911 GT3 RS
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1999 Porsche 911 GT3 ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้รับการยกย่องให้เป็น “สุดยอดรถสปอร์ต” อย่างแท้จริง GT3 มอบความตื่นเต้นบนท้องถนนและสมรรถนะอันยอดเยี่ยมในสนามแข่ง คือนิยามของรถที่สร้างมาเพื่อคนขับตัวจริง GT3 RS รุ่นล่าสุดยกระดับทุกอย่างขึ้นไปอีกขั้น ด้วยปีกหลังขนาดใหญ่ที่สร้างแรงกดมหาศาลเพื่อการเข้าโค้งแบบ “เกาะราง” เครื่องยนต์แฟลตซิกซ์ 4.0 ลิตร หายใจเอง 518 แรงม้า ที่ลากรอบได้ถึง 9,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบช่วงล่างที่ปรับได้เต็มรูปแบบ ในปี 2025 RS ยังคงเป็นขีปนาวุธสำหรับสนามแข่งที่สามารถเปลี่ยนนักขับที่ดีให้กลายเป็นยอดนักขับได้

Maserati MC20 Cielo
แม้ว่า Maserati MC12 ในปี 2005 จะเป็นซูเปอร์คาร์คันแรกของแบรนด์อิตาลี แต่ MC20 ที่วางเครื่องยนต์กลางลำนั้นน่าเชื่อถือกว่ามากในฐานะซูเปอร์คาร์ตัวจริง ด้วยโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ เครื่องยนต์ V-6 ทวินเทอร์โบ 3.0 ลิตร 621 แรงม้า ที่พัฒนาขึ้นเอง และพลวัตและความคล่องตัวแบบซูเปอร์คาร์ที่แท้จริง เปิดตัวในรูปแบบคูเป้ประตูปีกนกในปี 2020 Cielo รุ่นเปิดประทุนใหม่ล่าสุดยิ่งดึงดูดสายตามากขึ้น ทั้งสองรุ่นมอบอัตราเร่งที่รวดเร็ว การควบคุมแบบรถแข่ง และความสามารถในการใช้งานในชีวิตประจำวัน ในปี 2025 Maserati ยังมีแผนจะเปิดตัวรุ่นไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้

Zenvo Aurora
Zenvo แบรนด์จากเดนมาร์ก ตั้งชื่อไฮเปอร์คาร์รุ่นใหม่และทรงพลังที่สุดของพวกเขาว่า Aurora ซึ่งเป็นชื่อปรากฏการณ์แสงออโรร่า และเป็นชื่อที่เหมาะสมอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่า Aurora มุ่งมั่นที่จะเร่งความเร็วเข้าใกล้แสงมากเพียงใด ด้วยเครื่องยนต์ V-12 ควอดเทอร์โบ 6.6 ลิตร เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ มอบพละกำลังสูงสุด 1,850 แรงม้า ทำให้สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาประมาณ 2.0 วินาที และความเร็วสูงสุด 450 กม./ชม. ในปี 2025 เมื่อเข้าสู่การผลิต จะมีสองรุ่นให้เลือก ได้แก่ Agil ที่เน้นสนามแข่งและขับเคลื่อนล้อหลัง และ Tur ที่เป็น Grand Tourer ขับเคลื่อนสี่ล้อ Zenvo Aurora กำลังจะเข้ามาสร้างความปั่นป่วนในตลาดไฮเปอร์คาร์อย่างแน่นอน

Gordon Murray T.50s Niki Lauda
Gordon Murray คืออัจฉริยะเบื้องหลังรถถนน McLaren F1 ดั้งเดิม และความโดดเด่นของ McLaren ใน Formula One ช่วงปลายทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 และแม้ในวัย 78 ปี เขาก็ยังไม่หยุดสร้างเครื่องจักรสมรรถนะสูง ตัวอย่างเช่น GMA T.50S Niki Lauda ซูเปอร์คาร์สำหรับสนามแข่งเท่านั้น ซึ่งเบากว่าและทรงพลังกว่า T.50 รุ่นถนน ขีปนาวุธคาร์บอนไฟเบอร์มูลค่า 3.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นี้ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-12 3.9 ลิตร หายใจเองจาก Cosworth ที่ปรับแต่งให้ผลิตกำลัง 772 แรงม้า ด้วยน้ำหนักเพียง 873 กก. ในปี 2025 T.50s Niki Lauda ยังคงเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงปรัชญา “น้ำหนักเบาคือประสิทธิภาพสูงสุด” ที่ Murray ยึดมั่นมาตลอด

Ferrari 12Cilindri
ในขณะที่ซูเปอร์คาร์ส่วนใหญ่กำลังหาวิธีให้ระบบไฮบริดทำงานได้อย่างลงตัว วิศวกรของ Ferrari กลับไม่ประทับใจนัก ดังนั้น GT ผู้สืบทอดจาก 812 Superfast อย่าง 12Cilindri จึงยังคงใช้เครื่องยนต์ V-12 หายใจเองขนาดมหึมา เครื่องยนต์ 6.5 ลิตรนี้สามารถลากรอบได้ถึง 9,250 รอบต่อนาที และให้กำลัง 819 แรงม้า พร้อมแรงบิด 678 นิวตันเมตร Flavio Manzoni หัวหน้าฝ่ายออกแบบและทีมงานของเขาควรได้รับเสียงปรบมือสำหรับรูปทรงและเงาโดยรวมของ 12Cilindri ราคาเริ่มต้น 417,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งดูดีกว่า Daytona Coupe ดั้งเดิมที่มันให้เกียรติเสียอีก ในปี 2025 12Cilindri เป็นการเฉลิมฉลองเครื่องยนต์ V12 อันเป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari

Lamborghini Sián FKP 37
Sián ในภาษาโบโลญญาแปลว่า “ฟ้าแลบ” ซึ่งเป็นชื่อที่เหมาะสมสำหรับ Lamborghini V-12 ไฮบริดคันนี้ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกจากแบรนด์อิตาลี (FKP 37 เป็นการแสดงความเคารพต่อ Ferdinand Karl Piëch อดีตประธานกลุ่ม Volkswagen และปีเกิดของเขา) การผสมผสานของเครื่องยนต์ V-12 6.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า 25 kW ทำให้มีกำลัง 808 แรงม้า สามารถพาผู้โดยสารไปถึง 100 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 2.8 วินาที ในปี 2025 Sián ที่ผลิตจำกัดเพียง 63 คันสำหรับคูเป้ และ 19 คันสำหรับโรดสเตอร์ ซึ่งขายหมดทันทีด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเป็นรถสะสมที่หายากและเป็นสะพานเชื่อมสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้าของ Lamborghini

Bugatti Tourbillon
ผู้สืบทอด Chiron อ้างสิทธิ์เป็น Bugatti รุ่นแรกในหลายด้าน: V-16 รุ่นแรก, Bugatti ไฟฟ้าคันแรก และ Bugatti คันแรกภายใต้การดูแลของ CEO คนใหม่ Mate Rimac คูเป้ราคา 4.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นี้มีขนาดเล็กกว่าและเบากว่า Chiron อย่างน่าทึ่ง ซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นเมื่อเปลี่ยนรถสันดาปเป็นไฮบริด แต่ Rimac และทีมวิศวกรและนักออกแบบใน Molsheim ก็สามารถทำได้ด้วยการรวมส่วนประกอบที่ชาญฉลาดเข้ากับแชสซีโมโนค็อก ด้วยพละกำลัง 1,800 แรงม้า ความเร็วสูงสุดของ Tourbillon ตามเอกสารของ Bugatti คือ 444 กม./ชม. แต่มาตรวัดความเร็วที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนาฬิกาสวิสสามารถวัดได้ถึง 550 กม./ชม. ในปี 2025 Bugatti Tourbillon จะเป็นผู้กำหนดนิยามใหม่ของไฮเปอร์คาร์สุดหรู

McLaren Speedtail
Speedtail เป็น McLaren คันที่สองที่เสนอที่นั่งสามตำแหน่ง โดยคันแรกคือ McLaren F1 ที่ปฏิวัติวงการ ด้วยการผลิตเพียง 106 คัน โดยแต่ละคันขายในราคาอย่างน้อย 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไฮบริด 1,035 แรงม้า คันนี้สามารถทำความเร็วได้ 400 กม./ชม. และจะดึงดูดทุกสายตา ไม่ว่าจะจอดอยู่บนสนาม concours หรือพุ่งผ่านคุณบนทางหลวง (จาก 0 ถึง 300 กม./ชม. ใน 13 วินาที) ความมหัศจรรย์มีอยู่มากมายใน Speedtail ตั้งแต่แผ่นปีกคาร์บอนไฟเบอร์ที่ยืดหยุ่นซึ่งรวมอยู่ในส่วนท้ายของตัวถัง ไปจนถึงชุดเครื่องมือทองคำ 24K ที่มาพร้อมกับรถ แต่ตัวเลือกการปรับแต่งเองคือสิ่งที่ทำให้ซูเปอร์คาร์เหล่านี้เปล่งประกาย ในปี 2025 Speedtail เป็นตัวแทนของการผสมผสานระหว่างสมรรถนะสูงสุด ศิลปะ และความเป็นส่วนตัวอย่างเหนือระดับ

ก้าวสู่ยุคใหม่แห่งซูเปอร์คาร์

การเดินทางผ่าน 25 สุดยอดซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 จนถึงปี 2025 นี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ไม่หยุดยั้งของมนุษย์ในการผลักดันขีดจำกัดของวิศวกรรม ความเร็ว และนวัตกรรม เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากเครื่องยนต์สันดาป V-12 อันบริสุทธิ์ สู่ยุคทองของไฮบริด และการกำเนิดของขุมพลังไฟฟ้าที่ทำลายสถิติ รถยนต์เหล่านี้ไม่ใช่แค่พาหนะ แต่เป็นงานศิลปะเคลื่อนที่ เป็นสัญลักษณ์ของสถานะ และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความอัจฉริยะของผู้สร้าง

ในขณะที่โลกยานยนต์ยังคงวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว รถยนต์เหล่านี้ได้วางรากฐานสำหรับอนาคตอันน่าตื่นเต้น และยังคงจุดประกายความหลงใหลในหมู่ผู้คลั่งไคล้และนักสะสมทั่วโลก หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่หลงใหลในความสมบูรณ์แบบทางวิศวกรรมและความงามอันไร้ที่ติของซูเปอร์คาร์เหล่านี้ อย่าลังเลที่จะแบ่งปันความคิดเห็นของคุณ หรือหากมีรุ่นใดที่คุณเชื่อว่าสมควรอยู่ในรายชื่อนี้ โปรดบอกเรามา เพราะนี่คือการสนทนาที่ไร้จุดสิ้นสุดสำหรับผู้ที่เข้าใจคุณค่าของความเร็ว ความหรูหรา และนวัตกรรมอย่างแท้จริง มาร่วมกันสำรวจและฉลองให้กับผลงานชิ้นเอกเหล่านี้ ที่ไม่เพียงแต่ขับเคลื่อนบนท้องถนน แต่ยังขับเคลื่อนความฝันของเราทุกคน!

25 สุดยอดซูเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 (ฉบับปี 2025) ที่นิยามนิยามใหม่ของความเร้าใจ

ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงยานยนต์สมรรถนะสูงมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมนี้อย่างใกล้ชิด โลกที่เคยคุ้นชินกับการขับขี่ด้วยตนเองกำลังถูกท้าทายด้วยนวัตกรรมระบบขับขี่อัตโนมัติ แพลตฟอร์มการเดินทางร่วมกันที่แพร่หลาย และโมเดลการเป็นเจ้าของรถยนต์แบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชัน แม้สิ่งเหล่านี้จะมอบความสะดวกสบายที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะยังคงหล่อเลี้ยงความหลงใหลในรถยนต์และวัฒนธรรมยานยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ได้มากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม การจะสรุปว่าคนรุ่นใหม่กำลังขาดความกระตือรือร้นในเรื่องรถยนต์นั้น คงเป็นการตัดสินที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะแท้จริงแล้ว เรากำลังยืนอยู่บนจุดบรรจบของเทคโนโลยีล้ำสมัยกับประเพณีอันเก่าแก่ อะนาล็อกกับปัญญาประดิษฐ์ และไม่มีที่ใดจะเห็นได้ชัดเจนเท่ากับในโลกของยานยนต์สมรรถนะสูงพิเศษที่ขับเคลื่อนตลาดอยู่ในปัจจุบันนี้

จากประสบการณ์อันยาวนาน ผมจึงได้ปรับปรุงรายชื่อสุดยอดซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ที่ดีที่สุด 25 คันในศตวรรษที่ 21 จนถึงปัจจุบัน ให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ของปี 2025 ซึ่งแน่นอนว่าการคัดเลือกครั้งนี้เป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนตัว รถยนต์บางรุ่นที่ติดอันดับอาจไม่ใช่รถโปรดักชั่นที่เร็วที่สุด หรือคล่องตัวที่สุดในตลาด แต่พวกมันล้วนจุดประกายจินตนาการของเรา หรือนำเสนอระดับนวัตกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน และบางกรณี สารภาพตามตรงว่ามันเป็นรถที่ “เด็กในตัวเรา” อดไม่ได้ที่จะวาดภาพพวกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ผมมั่นใจว่าเมื่อพูดถึงอนาคตของยานยนต์ เด็กๆ รุ่นใหม่จะยังคงมีรถในฝันให้ได้หลงใหลอย่างไม่เสื่อมคลาย เพราะนี่คือบรรดารถยนต์ที่จะกลายเป็นตำนานคลาสสิกของโลกยานยนต์ในอนาคต

McLaren F1

จริงอยู่ที่เจ้ายนตรกรรมคันแรกในรายชื่อนี้เป็นผลงานที่ถือกำเนิดขึ้นในปลายศตวรรษที่แล้ว หรือก็คือช่วงทศวรรษ 1990 นั่นเอง แต่ McLaren F1 ยังคงยืนหยัดในฐานะต้นแบบและมาตรฐานสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงที่ตามมาทั้งหมด ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 231 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือราว 371 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในปี 1992 ไม่มีรถยนต์โปรดักชั่นคันไหนทำได้เร็วเท่านี้มาก่อน มันคือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนโลกแห่งความเร็ว F1 ทำหน้าที่ “ระเบิดสมอง” ผู้คนด้วยแชสซีคาร์บอนไฟเบอร์ที่เบาดุจขนนก การมุ่งเน้นลดน้ำหนักทุกกระเบียดนิ้ว และเครื่องยนต์ BMW V-12 ขนาด 6 ลิตร 627 แรงม้าที่ปรับแต่งมาเป็นพิเศษ ทำให้มันทะยานจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.2 วินาที

ในเวลานั้น F1 มีราคาเกือบ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าแพงจนน่าตกใจ แต่ในยุคปี 2025 หากคุณโชคดีพอที่จะพบหนึ่งใน 106 คันที่เคยผลิตออกสู่ตลาด เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลยว่าราคาอาจพุ่งไปถึงประมาณ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ นี่คือสุดยอดซูเปอร์คาร์ที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงว่าไร้คู่ต่อกรอย่างแท้จริง

Ferrari LaFerrari

ปี 2013 เป็นปีที่น่าจดจำสำหรับวงการซูเปอร์คาร์ เพราะมีการเปิดตัวรถยนต์สำคัญถึงสามรุ่นจาก McLaren, Porsche และ Ferrari ซึ่งภายหลังได้รับฉายาว่า “Holy Trinity” หรือสามเทพ แม้แต่ละรุ่นจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ทั้งสามกลับมีจุดร่วมที่น่าสนใจคือระบบขับเคลื่อนไฮบริด และในบรรดาเทพทั้งสามนี้ Ferrari LaFerrari เป็นเพียงรุ่นเดียวที่ยังคงภูมิใจนำเสนอเครื่องยนต์ V-12 ที่ยังคงหายใจเองตามธรรมชาติ ให้เสียงคำรามที่เร้าใจ LaFerrari ยังเป็นรถที่มีพละกำลังมากที่สุด และอย่างไม่เป็นทางการ มันคือรถที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจมากที่สุดในกลุ่มนี้

ด้วยชื่อที่บ่งบอกถึงความเป็นแก่นแท้ของแบรนด์ Ferrari เจ้ารถไฮเปอร์คาร์ 950 แรงม้าคันนี้ อาจถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไม่เพียงแต่ในฐานะจุดสูงสุดของยุคสมัยเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในม้าลำพองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอีกด้วย ถือเป็นการลงทุนรถยนต์ที่น่าจับตามองในตลาดรถสะสมปี 2025

McLaren P1

จากสามเทพไฮเปอร์คาร์ไฮบริดที่เปิดตัวในปี 2013 สองรุ่น (Ferrari LaFerrari และ Porsche 918 Spyder) มาจากผู้ผลิตรถยนต์ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ในขณะที่ McLaren P1 ถือเป็นน้องใหม่ในวงการ ไม่ใช่ว่าผู้ผลิตชาวอังกฤษรายนี้ไม่เคยมีชื่อเสียงในฐานะผู้สร้างไฮเปอร์คาร์ เพราะ McLaren F1 ในยุค 1990 ก็เป็นตำนานอยู่แล้ว แต่การหายไปนานทำให้การสร้างรถธงอย่าง P1 เหมือนการเริ่มต้นใหม่จากศูนย์

McLaren ได้นำโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ขั้นสูงมาใช้ ซึ่งต่อยอดมาจากรุ่นที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า (ในเชิงเปรียบเทียบ) แต่ P1 ซึ่งเป็นตัวท็อปมาพร้อมพละกำลัง 903 แรงม้าที่คำรามอย่างดุดันและแชสซีที่เบาอย่างน่าทึ่ง ทำให้มันเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับซูเปอร์คาร์ชั้นนำในยุคนั้นได้อย่างไร้ข้อกังขา เป็นหนึ่งในนวัตกรรมยานยนต์ที่น่าจดจำ

Porsche 918 Spyder

918 Spyder เป็นผู้พลิกเกมอย่างแท้จริง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดในระดับซูเปอร์คาร์ ด้วยเครื่องยนต์ V-8 ขนาด 4.6 ลิตร หายใจเองตามธรรมชาติ 599 แรงม้า เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ทำให้มีกำลังรวมถึง 877 แรงม้า และแรงบิด 944 ฟุตปอนด์ที่ตอบสนองเกือบจะทันทีทันใด

ออกแบบโดย Michael Mauer หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Porsche, 918 เปิดตัวครั้งแรกที่งาน Geneva Motor Show ในปี 2010 ในฐานะแนวคิดเพื่อสำรวจความสนใจของตลาด และเข้าสู่การผลิตในช่วงปลายปี 2013 ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 845,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ รถยนต์ทั้ง 918 คันถูกขายหมดเกลี้ยงภายในสิ้นปี 2014 แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของ Porschephiles ที่ต้องการเป็นเจ้าของ Porsche ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา การผลิตสิ้นสุดลงกลางปี 2015 และ 918 ยังคงเป็นรถยนต์สะสมที่น่าปรารถนาอย่างยิ่งในยุคปี 2025

Ferrari SF90 Stradale

แม้ว่ายุคของจรวด V-12 ระดับสูงสุดจากมาราเนลโลอาจจะค่อยๆ เลือนหายไปในบริบทของสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน แต่ SF90 Stradale แบบแปดสูบกลับมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่า ถูกยกให้เป็นรถยนต์ถนนที่แสดงความเคารพต่อรถ Formula 1 SF90 ของ Ferrari, SF90 Stradale คือไฮเปอร์คาร์ที่ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ด้วยพละกำลัง 1,000 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัวและเครื่องยนต์ V-8 เทอร์โบคู่

การผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนไฮบริดที่ยอดเยี่ยมและรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ทำให้มันดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดของรถยนต์เครื่องวางกลางด้านท้ายที่มีอยู่ มิติการออกแบบได้พยักหน้าให้ช่องรับอากาศด้านข้างของ 488 รวมถึงมรดกการแข่งรถของแบรนด์ ส่วนหน้าบ่งบอกถึงความเป็นมอเตอร์สปอร์ตอย่างชัดเจน ซึ่งรถคันนี้แสดงความเคารพผ่านชื่อ: Scuderia Ferrari, 90 ปี ถือเป็นหนึ่งในดีไซน์รถซูเปอร์คาร์ที่น่าทึ่งที่สุดในศตวรรษนี้

SSC Tuatara

การเข้าถึงความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง นี่คือเป้าหมายที่ SSC North America ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐวอชิงตันตั้งไว้สำหรับไฮเปอร์คาร์ SSC Tuatara เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น Tuatara ที่มีตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ – ซึ่งตั้งชื่อตามกิ้งก่ามีหนามในนิวซีแลนด์ – บรรจุเครื่องยนต์ V-8 เทอร์โบคู่ขนาด 5.9 ลิตร ให้พละกำลังมหาศาลถึง 1,726 แรงม้า

การผลิตได้เริ่มต้นขึ้นแล้วโดยมีเป้าหมายที่จะสร้าง 100 คัน โดยแต่ละคันมีราคา 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ SSC ไม่ใช่หน้าใหม่ในธุรกิจความเร็วสูง ในปี 2007 Ultimate Aero ที่มี 1,287 แรงม้าทำความเร็วได้ 256.14 ไมล์ต่อชั่วโมง สถิตินั้นยืนยงอยู่สามปีก่อนที่ Bugatti Veyron Super Sports จะมา แต่ในวันที่ 17 มกราคม 2021 SSC Tuatara ได้ทวงคืนสถิติด้วยการวิ่งสองครั้งที่ทำความเร็วเฉลี่ย 282.9 ไมล์ต่อชั่วโมง และได้รับการยืนยันโดย Racelogic และล่าสุด มันทำความเร็วอย่างเป็นทางการได้ถึง 295 ไมล์ต่อชั่วโมง นี่คือตัวอย่างของเทคโนโลยีรถยนต์ที่ก้าวข้ามขีดจำกัด

Aston Martin Valkyrie

ความยิ่งใหญ่ของซูเปอร์คาร์ในรูปแบบของ Aston Martin Valkyrie กำลังเข้าสู่การผลิต โมเดลนี้เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ในด้านประสิทธิภาพของรถโปรดักชั่นที่ถูกกฎหมายบนถนน นี่คือผลลัพธ์ของการนำเครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6.5 ลิตร 1,000 แรงม้า พร้อมระบบไฮบริดไฟฟ้าที่พัฒนาร่วมกับ Rimac 160 แรงม้า ไปติดตั้งในโครงสร้างคาร์บอนโมโนค็อกที่เบาและแข็งแกร่งเป็นพิเศษ

และหากนั่นยังไม่น่าประทับใจพอ โปรดจำไว้ว่ารถคันนี้ได้รับการออกแบบโดย Adrian Newey นักออกแบบระดับตำนานใน Formula 1 และปัจจุบันเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของ Red Bull Racing การผลิตจะถูกจำกัดอยู่ที่ 150 คัน โดยแต่ละคันมีราคา 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นการลงทุนในรถยนต์หรูที่ทรงคุณค่า

Rimac Nevera

รถยนต์ที่สร้างประวัติศาสตร์มักจะมาจากสถานที่ที่ไม่คาดคิด แต่ Rimac Nevera ได้สร้างแรงกระแทกที่สั่นสะเทือนโลกของซูเปอร์คาร์ สำหรับผู้เริ่มต้น Nevera ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ได้ทำลายสถิติเครื่องยนต์สันดาปภายในด้วยการส่งกำลัง 1,914 แรงม้าไปยังล้อทั้งสี่ ทำให้อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงแซงหน้ารถทุกคันตั้งแต่ McLarens ไปจนถึง Koenigseggs ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ไฮเปอร์คาร์ EV คันนี้เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ Mate Rimac หนุ่มอัจฉริยะชาวโครเอเชียวัย 33 ปี ซึ่งก่อตั้งบริษัทในปี 2011

ผลกระทบในช่วงแรกของ Rimac Nevera เกิดจากสถิติประสิทธิภาพที่น่าตื่นเต้น แต่ตำนานของไฮเปอร์คาร์คันนี้จะ transcends แค่โมเดลเดียว ในฤดูร้อนปี 2021 บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติโครเอเชียแห่งนี้ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ใน Bugatti ซึ่งนับเป็นครั้งแรก (และอาจไม่ใช่ครั้งสุดท้าย) ที่แบรนด์ซูเปอร์คาร์ระดับตำนานตกอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท EV หน้าใหม่ นี่คือการปฏิวัติของรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง

Mercedes-AMG One

รถยนต์ที่เพิ่งเข้าสู่การผลิตจะติดอันดับ “สุดยอด” ซูเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร? เพราะเรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า Mercedes-AMG Formula 1 racer ที่มี 1,000 แรงม้าสำหรับถนนซึ่งปรากฏโฉมเมื่อไม่นานมานี้ จะยังคงสร้างความตื่นตาตื่นใจไปอีกหลายปี

เปิดตัวย้อนกลับไปในปี 2017 ในฐานะแนวคิด Project One สัตว์ประหลาดที่วิ่งบนถนนคันนี้ประสบปัญหาทางเทคนิคมากมาย แต่ก็มีอะไรมากมายเกิดขึ้นเมื่อคุณสร้างรถ Formula 1 ที่คุณสามารถนำไปวิ่งบนทางหลวงได้

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-6 เทอร์โบ 1.6 ลิตรที่เสริมด้วยไฮบริด และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว คาดว่าจะทำอัตราเร่ง 0 ถึง 124 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาไม่ถึง 6 วินาที และความเร็วสูงสุด 217 ไมล์ต่อชั่วโมง ไม่น่าแปลกใจเลยที่รถยนต์ทั้ง 275 คันซึ่งมีราคา 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกจับจองไปหมดแล้ว นี่คือบทสรุปของวิศวกรรมยานยนต์ขั้นสุด

Koenigsegg Jesko

ย้อนกลับไปในปี 2017 Christian von Koenigsegg ชาวสวีเดนได้เห็น Agera RS ของเขาขึ้นแท่นเป็นรถยนต์โปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็วสูงสุดสองทิศทาง 277.9 ไมล์ต่อชั่วโมง ผู้สืบทอดของ Agera คือ Jesko ที่มีปีกขนาดใหญ่และกำลัง 1,660 แรงม้า – ตั้งชื่อตามพ่อของ Christian – อาจมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำลายสถิติ 304.7 ไมล์ต่อชั่วโมงของ Bugatti Chiron Super Sport

เทคโนโลยี “ไปเร็ว” ของ Jesko ราคา 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบด้วยเครื่องยนต์ V-8 เทอร์โบคู่ 5.0 ลิตรที่ส่งเสียงคำรามดุดัน ซึ่งมีเพลาข้อเหวี่ยง V-8 ที่เบาที่สุดในโลก โดยมีน้ำหนักเพียง 28 ปอนด์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่รถยนต์ทั้ง 125 คันที่กำหนดไว้สำหรับการผลิตถูกจองล่วงหน้าไปทั้งหมดแล้ว นี่คือมาตรฐานใหม่ของไฮเปอร์คาร์

Pininfarina Battista

ชื่อเสียงของ Pininfarina ในวงการยานยนต์นั้นเป็นตำนาน สตูดิโอออกแบบจากอิตาลีแห่งนี้มีความสัมพันธ์ยาวนานถึง 62 ปีกับ Ferrari สร้างสรรค์ไอคอนอย่าง 275 GTB, 365 GTB/4 Daytona และ Tom Selleck Magnum P.I. คลาสสิกอย่าง 308 GTS

ด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยจาก Mahindra Group ของอินเดีย ผู้ที่เข้ามาช่วย Pininfarina ในปลายปี 2015 และอัจฉริยะด้าน EV ชาวโครเอเชียจาก Rimac ทำให้เกิด Pininfarina Battista ไฮเปอร์คาร์ที่น่าตื่นเต้นคันนี้ ด้วยพละกำลัง 1,900 แรงม้าและแรงบิด 1,696 ฟุตปอนด์จากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 120 kWh และมอเตอร์สี่ตัว รถคูเป้ไฟฟ้าสองที่นั่งที่สวยงามคันนี้สามารถทะยานจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ใน 1.8 วินาที และ 0 ถึง 186 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 12 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 217 ไมล์ต่อชั่วโมงก่อนที่ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์จะทำงาน และมีระยะทางวิ่งมากกว่า 230 ไมล์

รถยนต์ 150 คันที่ผลิต – ราคาเริ่มต้นที่ 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคัน – คันแรกได้ถูกส่งมอบไปแล้ว หากต้องการอะไรที่พิเศษจริงๆ ก็มีรุ่น Anniversario ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ซึ่งจะผลิตเพียงห้าคันเท่านั้น ราคาใกล้เคียง 2.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็ถูกขายหมดไปแล้ว ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ที่เข้าสู่ยุคปี 2025 อย่างเต็มตัว

Lotus Evija

นี่คือรถยนต์โปรดักชั่นที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ด้วยพละกำลังอันน่าทึ่ง 2,011 แรงม้า และแรงบิด 1,256 ฟุตปอนด์ ซึ่งเพียงพอที่จะส่งเจ้ายานพาหนะที่สูงระดับสะโพกคันนี้จาก 0 ถึง 62 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาไม่ถึงสามวินาที และจาก 0 ถึง 186 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 9.1 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด? ถูกจำกัดไว้ที่ 217 ไมล์ต่อชั่วโมง

นี่คือ Lotus Evija ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนจากผู้ผลิตรถสปอร์ตสัญชาติอังกฤษในตำนาน ก่อตั้งโดย Colin Chapman ผู้มีวิสัยทัศน์ย้อนกลับไปในปี 1952 Evija รุ่นใหม่ – ซึ่งคาดว่ามีความหมายว่า “ผู้มีชีวิต” – มีโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์โมโนค็อกทั้งหมด แรงบันดาลใจจากหลักอากาศพลศาสตร์ของ Le Mans และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ทันสมัยที่สุด พัฒนาโดยนักเทคนิคผู้เชี่ยวชาญจาก Williams Advanced Engineering

และระบบขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยมนี้ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่แต่ละล้อ และชุดแบตเตอรี่ที่ติดตั้งตรงกลางสะท้อนถึงประเพณีการวางเครื่องยนต์กลางของ Lotus ทำให้มีระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนประมาณ 250 ไมล์ หากเชื่อมต่อกับเครื่องชาร์จ 800 kW ชุดแบตเตอรี่ทั้งหมดจะชาร์จเต็มได้ในเวลาเพียงเก้านาที

Evija จะถูกผลิตเพียง 130 คัน โดยจะมีการส่งมอบครั้งแรกในต้นปี 2023 สำหรับราคา คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นี่คืออนาคตรถยนต์ที่น่าตื่นเต้น

Ferrari Daytona SP3

ซีรีส์ Icona ของโมเดลการผลิตที่จำกัดจำนวน เป็นการแสดงความเคารพต่ออดีตด้วยการห่อหุ้มโครงสร้างสมัยใหม่ด้วยรูปลักษณ์ย้อนยุคแต่ล้ำสมัย Daytona SP3 ซึ่งเป็น Icona ลำดับที่สามจาก Modena ชวนให้นึกถึง Ferrari 330 P4s ที่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง สอง และสามในการแข่งขัน 24 Hours of Daytona ปี 1967

แม้ว่าช่องรับอากาศและหลักอากาศพลศาสตร์ของมันจะมีฟังก์ชันการทำงาน แต่จิตวิญญาณของ SP3 ก็เป็นไปในทางความคิดถึงอย่างเคร่งครัด – โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องยนต์ V-12 ที่หายใจเองตามธรรมชาติที่เร่งรอบได้ถึง 9,500 รอบต่อนาที และให้กำลัง 829 แรงม้า ตั้งแต่บังโคลนที่บวมพองไปจนถึงส่วนท้ายที่ dramatically straked Daytona SP3 ราคา 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำหน้าที่เป็นงานศิลปะเคลื่อนที่เมื่อเจ้าของ 599 คนได้รับมอบรถยนต์พิเศษของพวกเขา

Hennessey Venom F5 Roadster

เราหลงรัก Venom F5 Coupe ที่บ้าระห่ำ 1,817 แรงม้าจาก John Hennessey ผู้สร้างซูเปอร์คาร์นอกรีตจากเท็กซัสและทีมงานของเขาที่ Hennessey Special Vehicles เมื่อเปิดตัวในปี 2021 Venom F5 เป็นรถที่เร็ว ดุดัน และออกแบบมาเพื่อทำลายกำแพง 300 ไมล์ต่อชั่วโมงที่ยากจะเข้าถึง แม้ว่าจะยังไม่ถึงเป้าหมายนั้น แต่ความเร็วสูงสุดที่บันทึกไว้ที่ 271.6 ไมล์ต่อชั่วโมงก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมันอย่างชัดเจน

ตอนนี้ถึงคราวของ Venom F5 Roadster รุ่นใหม่ที่จะมุ่งสู่ 300 ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วยเครื่องยนต์ “Fury” V-8 เทอร์โบคู่ 6.6 ลิตร 1,817 แรงม้าเช่นเดียวกับรุ่นคูเป้ และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียง 45 ปอนด์ ตอร์ปิโดเปิดประทุนคันนี้อาจมีเกณฑ์ความเร็วอยู่ในสายตาอย่างชัดเจน เพียงแค่รู้ว่าแผงหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ที่ถอดออกได้น้ำหนักเบา – หนักเพียง 18 ปอนด์ – จะต้องอยู่ในตำแหน่งเดิมเพื่อให้ Roadster เข้าใกล้คลับ 300 ได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับเรา ความงามของ Venom F5 Roadster คันนี้จะอยู่ที่การถอดหลังคาออกและได้ยินเสียงคำรามเต็มพิกัดของเครื่องยนต์แปดสูบขณะที่มันเร่งรอบไปถึง 8,500 รอบต่อนาที Hennessey วางแผนที่จะสร้าง Roadster 30 คัน โดยแต่ละคันมีราคา 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นี่คือประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร

Lamborghini Sterrato

สำหรับซูเปอร์คาร์แล้ว “มากกว่า” มักจะดีกว่า แต่สำหรับ Huracán รุ่นสุดท้ายที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-10, Lamborghini เลือกที่จะใช้ความ “มากเกินไป” ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป: ยางหนาม, การเพิ่มความสูงของรถ 1.7 นิ้ว และการหุ้มเกราะทุกรูปแบบเพื่อป้องกันคูเป้ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ติดตั้งอุปกรณ์แข็งแกร่งคันนี้จากอันตรายนอกถนน ช่องรับอากาศบนหลังคาและไฟเสริมที่ส่วนหน้าชวนให้นึกถึงรถ Overland ที่แต่งซิ่งและรถแรลลี่ นำทัศนคติ “ไปได้ทุกที่” มาสู่ไลน์อัพของ Lamborghini ในที่ที่คุณคาดไม่ถึงที่สุด

แม้ว่า Sterrato จะเสียกำลังไป 30 แรงม้าเพื่อแลกกับความสามารถในการขับขี่บนพื้นผิวที่หลวม (ทำให้กำลังรวมเหลือ 601 แรงม้า) แต่ยาง Bridgestone Dueler All-Terrain ของมันมอบความตื่นเต้นในรูปแบบที่แตกต่างด้วยการลื่นไถล ดริฟต์ผ่านโค้งแคบๆ ในขณะที่ Lamborghini กำลังเข้าสู่ยุคไฮบริดและไฟฟ้า พวกเขาก็กำลังบอกลายุคเครื่องยนต์สันดาปด้วยเสียงระเบิดที่น่ารื่นรมย์และเต็มไปด้วยฝุ่น นี่คือดีไซน์รถซูเปอร์คาร์ที่แปลกใหม่และน่าสนใจ

Pagani Utopia

Horacio Pagani ก่อตั้งห้องปฏิบัติการซูเปอร์คาร์ของเขาหลังจากที่นายจ้างคนก่อนอย่าง Lamborghini ต่อต้านการผลักดันให้ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา Pagani ได้สานต่อ Huayra ด้วย Utopia ที่ใช้เทคโนโลยีลดน้ำหนักขั้นสูงที่แบรนด์เรียกว่าแชสซี “Carbo-Titanium” ซึ่งรวมโครงสร้างคาร์บอนและไทเทเนียมเข้ากับซับเฟรมโครเมียมที่ให้น้ำหนักแห้งเพียง 2,822 ปอนด์

Utopia ซึ่งเป็นชื่อรุ่นที่อ้างอิงถึงข้อเขียนปี 1516 ของ Thomas More ยังคงใช้เครื่องยนต์ AMG V-12 ขนาด 852 แรงม้าของ Huayra ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง และมีเกียร์ธรรมดาให้เลือก เพื่อยึดมั่นในปรัชญาการลดน้ำหนัก Pagani ได้ให้ตัวเลือกเกียร์อัตโนมัติเป็นหน่วยคลัตช์เดี่ยวแบบอัตโนมัติ ซึ่งอาจไม่นุ่มนวลเท่าแต่เบากว่าเกียร์คลัตช์คู่ Pagani ระบุว่าจะผลิต Utopia ทั้งหมด 99 คันเมื่อเข้าสู่การผลิต โดยยืนยันว่าสถานที่ในอุดมคตินั้นสงวนไว้สำหรับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเท่านั้น นี่คือสุดยอดแห่ง นวัตกรรมยานยนต์ และงานศิลปะ

Lamborghini Revuelto

เครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6.5 ลิตรที่ติดตั้งอยู่กลางลำตัวได้เป็นสัญลักษณ์สำคัญของ Lamborghini Murciélago และ Aventador ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของแบรนด์ และแบรนด์อิตาลีนี้ได้ก้าวเข้าสู่ยุคไฟฟ้าด้วยการคงเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ไว้เป็นหัวใจสำคัญของระบบขับเคลื่อนไฮบริดใหม่ มอเตอร์ไฟฟ้าสามตัวเสริมเครื่องยนต์เบนซิน 814 แรงม้า ทำให้สัตว์ประหลาดรูปทรงลิ่มคันนี้มีกำลังถึง 1,001 แรงม้า ซึ่งเป็นผลผลิตสูงสุดของปลั๊กอินไฮบริดใดๆ ที่น่าสังเกตคือ ตัวเลขสี่หลักนี้ทำได้โดยไม่ใช้เทอร์โบชาร์จเจอร์ ซึ่งอาจลดทอนเสียงท่อไอเสียอันเป็นเอกลักษณ์

ด้วยการอัปเดตมากมายที่เสริม Revuelto ตั้งแต่ห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้นไปจนถึงเกียร์คลัตช์คู่ที่นุ่มนวลขึ้นซึ่งรอคอยมานาน รุ่นเรือธงใหม่ของ Lamborghini ควรจะสร้างความประทับใจให้กับคู่แข่งได้อย่างมีเสน่ห์และดุดัน เป็นการผสมผสานที่ลงตัวของเครื่องยนต์ V12 กับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า

Porsche 911 GT3 RS

นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1999 Porsche 911 GT3 ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องก็ได้รับฉายาว่า “สุดยอดรถสปอร์ต” อย่างถูกต้อง เป็นรถที่มอบความตื่นเต้นบนท้องถนนและมีความสามารถสูงในสนามแข่ง GT3 คือคำจำกัดความที่แท้จริงของรถสำหรับนักขับ

GT3 RS ล่าสุดเพียงแค่ยกระดับทุกสิ่งให้สูงขึ้นไปอีก ด้วยปีกหลังขนาดมหึมาที่สร้างแรงกดมหาศาลเพื่อการเข้าโค้งราวกับเกาะราง เครื่องยนต์ Flat-six 4.0 ลิตร หายใจเองตามธรรมชาติที่ให้กำลัง 518 แรงม้าและส่งเสียงคำรามถึง 9,000 รอบต่อนาที บวกกับระบบช่วงล่างที่ปรับได้เต็มที่และตอบสนองความรู้สึกของผู้ขับขี่ RS คือขีปนาวุธในสนามแข่งที่มีความสามารถพิเศษที่จะเปลี่ยนนักขับที่ดีให้กลายเป็นนักขับที่ยอดเยี่ยม เป็นหนึ่งในรถสปอร์ตที่ยังคงให้ความสำคัญกับประสบการณ์การขับขี่ล้วนๆ

Maserati MC20 Cielo

ในขณะที่ Maserati MC12 จากปี 2005 ที่เน้นความดุดันถือเป็นซูเปอร์คาร์คันแรกของแบรนด์อิตาลี แต่ก็เป็นเพียง Ferrari Enzo ที่อำพรางตัวบางๆ ซึ่งผลิตในจำนวนน้อยมากเพื่อนำ Maserati กลับสู่สนามแข่ง MC20 เครื่องวางกลางที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าในฐานะซูเปอร์คาร์อย่างแท้จริง ด้วยโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ เครื่องยนต์ V-6 เทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร 621 แรงม้า (พัฒนาภายในบริษัท) และพลวัตและความคล่องตัวของซูเปอร์คาร์ที่เหมาะสม

เปิดตัวในฐานะคูเป้ประตูแบบปีกผีเสื้อในปี 2020 Cielo แบบเปิดประทุนรุ่นใหม่ล่าสุดนั้นดึงดูดสายตาได้มากยิ่งขึ้น ทั้งสองรุ่นให้อัตราเร่งที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ การควบคุมเหมือนรถแข่ง และความสามารถในการเป็นรถขับเคลื่อนประจำวัน มองหารุ่นไฟฟ้าล้วนที่จะมาในเร็วๆ นี้ นี่คือการกลับมาที่น่าจับตามองของดีไซน์รถซูเปอร์คาร์จาก Maserati

Zenvo Aurora

แบรนด์ Zenvo จากเดนมาร์กตั้งชื่อจรวดลำใหม่และทรงพลังที่สุดตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หายากอย่างแสงออโรร่า เป็นทางเลือกที่ดีเมื่อพิจารณาว่า Aurora มีเป้าหมายที่จะเร่งความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วแสง หรืออย่างน้อยก็รู้สึกเหมือนอย่างนั้น ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-12 6.6 ลิตร Quad-turbocharged เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 1,850 แรงม้า ทำให้รถคันนี้ทำอัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาประมาณ 2.0 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 280 ไมล์ต่อชั่วโมง

จะมีสองรุ่นให้เลือกเมื่อรถเข้าสู่การผลิตในปี 2025; Agil ที่เน้นสนามแข่งและขับเคลื่อนล้อหลัง และ Tur grand tourer ขับเคลื่อนสี่ล้อ เรามองว่ามันเป็นผู้สร้างความปั่นป่วนในตลาดไฮเปอร์คาร์ที่กำลังจะมาถึง

Gordon Murray T.50s Niki Lauda

Gordon Murray คืออัจฉริยะเบื้องหลัง McLaren F1 Road Car ต้นฉบับ และยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความโดดเด่นของ McLaren ใน Formula One ช่วงปลายทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 และชายวัย 78 ปีผู้นี้ยังไม่หยุดสร้างเครื่องจักรสมรรถนะสูงที่น่าตื่นเต้น ตัวอย่างเช่น GMA T.50S Niki Lauda ซึ่งเป็นซูเปอร์คาร์ที่ใช้ในสนามแข่งเท่านั้น ที่เบาและทรงพลังกว่ารุ่นที่วิ่งบนถนนอย่าง T.50 ขีปนาวุธคาร์บอนไฟเบอร์ราคา 3.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-12 หายใจเองตามธรรมชาติ 3.9 ลิตรจาก Cosworth ที่ปรับแต่งให้ผลิตกำลัง 772 แรงม้า ด้วยน้ำหนักเพียง 1,924 ปอนด์ GMA ระบุว่าอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักต่อตันนั้นเกินกว่ารถยนต์ LMP1 ที่หายใจเองตามธรรมชาติ นี่คือหนึ่งในสุดยอดวิศวกรรมยานยนต์ที่แท้จริง

Ferrari 12Cilindri

ในขณะที่ซูเปอร์คาร์ส่วนใหญ่กำลังหาวิธีทำให้ระบบไฮบริดทำงานได้ดี วิศวกรของ Ferrari กลับไม่ประทับใจ ดังนั้น GT ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจาก 812 Superfast อย่าง 12Cilindri จึงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-12 หายใจเองตามธรรมชาติขนาดใหญ่ สำหรับฮีโร่ในมาราเนลโล เราขอชมเชยอย่างยิ่ง เครื่องยนต์ 6.5 ลิตรนี้จะเร่งรอบได้ถึง 9250 รอบต่อนาที และมีกำลัง 819 แรงม้า และแรงบิด 500 ปอนด์-ฟุต Flavio Manzoni นักออกแบบภายในบริษัทและทีมงานของเขาสมควรได้รับเสียงปรบมือสำหรับรูปทรงและเงาโดยรวมของ 12Cilindri ราคา 417,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ดูดีกว่า Daytona coupe ต้นฉบับซึ่งเป็นที่มาของแรงบันดาลใจ นี่คือบทพิสูจน์ว่าเครื่องยนต์ V12 ยังคงมีที่ยืนในยุค 2025

Lamborghini Sián FKP 37

Sián หมายถึง “ประกายสายฟ้า” ในภาษาโบโลญญา และเป็นการประยุกต์ใช้ที่เหมาะสมสำหรับ Lamborghini V-12 ไฮบริดคันนี้ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกจากแบรนด์อิตาลี (FKP 37 เป็นการรำลึกถึง Ferdinand Karl Piëch อดีตประธานกลุ่ม Volkswagen และปีเกิดของเขา) การรวมกันของเครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6.5 ลิตรและมอเตอร์ไฟฟ้า 25 kW ทำให้เกิดกำลัง 808 แรงม้า ซึ่งจะส่งผู้โดยสารไปถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาไม่ถึง 2.8 วินาที การผลิต Sián ถูกจำกัดอยู่ที่ 63 คันสำหรับรุ่นคูเป้ และ 19 คันสำหรับรุ่นโรดสเตอร์ ซึ่งทั้งหมดขายหมดทันที โดยมีราคาเริ่มต้นประมาณ 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม บางคันก็มีขายในตลาดรองที่ราคา 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นการลงทุนในรถยนต์หรูที่มีคุณค่าและเป็น รถยนต์ไฮบริดสมรรถนะสูง ที่น่าจับตามอง

Bugatti Tourbillon

ผู้สืบทอดของ Chiron ได้อ้างสิทธิ์ใน “ครั้งแรก” ของ Bugatti หลายอย่าง: เครื่องยนต์ V-16 เครื่องแรก, Bugatti ที่ใช้ระบบไฟฟ้าเครื่องแรก และ Bugatti ภายใต้การดูแลของ CEO คนใหม่อย่าง Mate Rimac รถคูเป้ราคา 4.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้มีขนาดเล็กกว่าและเบากว่า Chiron ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนเมื่อแปลงรถเครื่องยนต์สันดาปให้เป็นไฮบริด แต่ Rimac และวิศวกรและนักออกแบบที่ Molsheim ก็สามารถทำได้สำเร็จผ่านการรวมส่วนประกอบที่ชาญฉลาดเข้ากับแชสซีแบบโมโนค็อก ด้วยพละกำลัง 1,800 แรงม้า ความเร็วสูงสุดของ Tourbillon ตามที่ตัวแทนของ Bugatti และเอกสารเผยแพร่ระบุคือ 276 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่โปรดสังเกตว่ามาตรวัดความเร็วที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนาฬิกาสวิสสามารถวัดได้ถึง 550 กิโลเมตรต่อชั่วโมง – หรือ 341 ไมล์ต่อชั่วโมง คาดว่าความเร็วสูงสุดจะอยู่ในช่วง 300 กว่าไมล์ต่อชั่วโมง นี่คือ รถยนต์สมรรถนะสูง ที่กำหนดนิยามใหม่ของความเป็นไปได้

McLaren Speedtail

Speedtail เป็น McLaren คันที่สองที่นำเสนอที่นั่งสามตำแหน่ง โดยคันแรกคือ McLaren F1 ที่ปฏิวัติวงการ ด้วยการผลิตเพียง 106 คัน – แต่ละคันขายได้ในราคาอย่างน้อย 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ – ไฮบริด 1,035 แรงม้า ที่ทำความเร็วได้ 250 ไมล์ต่อชั่วโมงคันนี้ จะดึงดูดทุกสายตาไม่ว่าจะจอดอยู่ในสนามประกวด หรือพุ่งผ่านคุณไปบนทางหลวง (และมันจะเป็นภาพเบลอ: Speedtail จะไปจากหยุดนิ่งถึง 186 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 13 วินาที) ความมหัศจรรย์มีอยู่ทุกที่ใน Speedtail ตั้งแต่ Aileron คาร์บอนไฟเบอร์ที่ยืดหยุ่นซึ่งรวมเข้ากับท้ายรถ ไปจนถึงชุดเครื่องมือทองคำ 24K ที่มาพร้อมกับรถ แต่ตัวเลือกการปรับแต่งคือจุดที่ซูเปอร์คาร์เหล่านี้เปล่งประกาย ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการให้มีฝุ่นเพชรบดละเอียดผสมอยู่ในสี McLaren ก็จะจัดให้ หรือถ้าคุณต้องการตราสัญลักษณ์แพลทินัมที่ด้านหน้า ก็มีให้เลือกเช่นกัน – ในราคา 56,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ นี่คือการผสมผสานของความหรูหรา เทคโนโลยีรถยนต์ และความเร็ว

ในยุคที่ยานยนต์กำลังก้าวเข้าสู่มิติใหม่ในปี 2025 ยานยนต์สมรรถนะสูงเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่าความหลงใหลในความเร็ว นวัตกรรม และการออกแบบที่น่าทึ่งนั้นยังคงเป็นหัวใจสำคัญของวัฒนธรรมยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์สันดาปที่คำรามก้อง หรือพลังงานไฟฟ้าที่เงียบเชียบแต่ดุดัน รถยนต์เหล่านี้ล้วนเป็นประจักษ์พยานถึงความมุ่งมั่นของมนุษย์ในการก้าวข้ามขีดจำกัด และสร้างสรรค์สิ่งที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นจริง

ในฐานะผู้ที่รักในโลกของซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ ผมเชื่อว่าอนาคตของยานยนต์ยังคงเต็มไปด้วยความเร้าใจและความประหลาดใจอีกมากมาย รายชื่อนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมรดกที่เราจะส่งมอบให้กับคนรุ่นต่อไป เพื่อให้พวกเขายังคงสามารถจินตนาการถึงรถยนต์ในฝันของตัวเองได้

คุณล่ะ มีซูเปอร์คาร์หรือไฮเปอร์คาร์คันไหนในลิสต์นี้ที่ครองใจคุณ หรือมีรุ่นไหนที่คุณคิดว่าสมควรได้รับการยกย่องเป็นพิเศษในปี 2025 นี้บ้างไหม? มาร่วมแบ่งปันความคิดเห็นและความหลงใหลของคุณไปพร้อมกับเราได้เลย!

Previous Post

N3110435 าเอารถใครมาข part 2

Next Post

N3110432 าว กล อง ทำไมไม เหม อนก part 2

Next Post
N3110432 าว กล อง ทำไมไม เหม อนก part 2

N3110432 าว กล อง ทำไมไม เหม อนก part 2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N0111331 เวลาของเราไม เท าก part 2
  • N0111323 วยต วเOงในมหาล part 2
  • N0111327 แฟนหน าตาแบบน เป นค ณจะอายไหม part 2
  • N0111328 แกล งขอทาน #สน กด part 2
  • N0111325 แอบก uสาม เพ oนว าซ าน part 2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • October 2025
  • September 2025
  • July 2025
  • June 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.