ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
นี่คือบทความที่คุณต้องการ:
25 สุดยอดซูเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 (อัปเดต 2025): ตำนานบทใหม่ที่ไร้ขีดจำกัด
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในโลกยานยนต์สมรรถนะสูงมานานกว่าทศวรรษ ผมกล้าพูดได้ว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์รถยนต์ โลกของ ซูเปอร์คาร์ และ ไฮเปอร์คาร์ ไม่เคยหยุดนิ่ง มันคือพื้นที่ที่นวัตกรรมก้าวล้ำ ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ และสมรรถนะที่น่าทึ่งมาบรรจบกัน แม้ว่าเทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบขับขี่อัตโนมัติจะเข้ามามีบทบาทอย่างมหาศาล แต่ความหลงใหลในเครื่องจักรที่สร้างมาเพื่อความเร็วและความเร้าใจกลับไม่เคยจางหายไป
สำหรับปี 2025 นี้ ตลาด รถหรูสมรรถนะสูง ยังคงเต็มไปด้วยพลังขับเคลื่อน ทั้งจากแบรนด์เก่าแก่ที่ผสานเทคโนโลยีไฮบริดและไฟฟ้าได้อย่างลงตัว และจากผู้เล่นหน้าใหม่ที่สร้างสรรค์สิ่งที่เหนือความคาดหมาย บทความนี้คือการรวบรวม 25 สุดยอดซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 (เท่าที่ผ่านมา) ซึ่งไม่ได้วัดกันแค่ความเร็วสูงสุดหรืออัตราเร่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอิทธิพลที่พวกเขามีต่อวงการ ความกล้าที่จะฉีกกรอบ และสถานะที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็น รถยนต์คลาสสิกแห่งอนาคต ที่นักสะสมทั่วโลกต่างหมายปอง
เราจะมาเจาะลึกถึงวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของ ยานยนต์สมรรถนะสูง ที่หล่อหลอมช่วงสองทศวรรษแรกของศตวรรษนี้ พร้อมทั้งมองไปข้างหน้าถึงทิศทางที่น่าสนใจของ การลงทุนในซูเปอร์คาร์ ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่าน
McLaren F1: ปฐมบทแห่งความสมบูรณ์แบบ (ปี 1992 – แต่ยังคงเป็นมาตรฐานสูงสุด)
แม้จะถือกำเนิดในศตวรรษที่แล้ว แต่ McLaren F1 ยังคงเป็นดั่งรากฐานและมาตรฐานที่ ไฮเปอร์คาร์ ยุคใหม่ต้องมองย้อนกลับไป ในปี 1992 การทำความเร็วสูงสุด 231 ไมล์ต่อชั่วโมงนั้นเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา เครื่องยนต์ V-12 BMW ขนาด 6.1 ลิตร 627 แรงม้าอันเป็นเอกลักษณ์ และการมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียว ทำให้ F1 กลายเป็น รถยนต์หายาก ที่มีราคาพุ่งทะลุ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในตลาดนักสะสมปัจจุบัน มันคือบทพิสูจน์ว่าความสมบูรณ์แบบนั้นอยู่เหนือกาลเวลา และเป็น ซูเปอร์คาร์ในฝัน ของใครหลายคน
Ferrari LaFerrari: หนึ่งใน “ตรีเอกานุภาพ” ที่ร้อนแรงที่สุด (ปี 2013)
ปี 2013 คือยุคทองของ ไฮเปอร์คาร์ไฮบริด เมื่อ Ferrari, McLaren และ Porsche ต่างเปิดตัวผลงานชิ้นเอกที่ถูกขนานนามว่า “Holy Trinity” ในจำนวนนี้ LaFerrari โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ V-12 หายใจเองอันดุดัน พละกำลัง 950 แรงม้าจากระบบไฮบริด ทำให้มันเป็น รถยนต์สมรรถนะสูง ที่ทรงพลังและมีเสน่ห์ที่สุดคันหนึ่งในยุคนั้น ชื่อ LaFerrari ที่แปลว่า “เฟอร์รารี” แสดงถึงแก่นแท้ของแบรนด์นี้อย่างแท้จริง และมันจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ในฐานะหนึ่งใน รถม้าลำพอง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เป็น การลงทุนในซูเปอร์คาร์ ที่มีแต่จะเพิ่มมูลค่า
McLaren P1: ผู้ท้าชิงหน้าใหม่แห่งยุค (ปี 2013)
ในขณะที่คู่แข่งอย่าง LaFerrari และ Porsche 918 Spyder มาจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงมายาวนาน McLaren P1 คือผู้เล่นหน้าใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของ McLaren ในการกลับคืนสู่บัลลังก์ ซูเปอร์คาร์ โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ขั้นสูงและพละกำลัง 903 แรงม้า ทำให้ P1 เป็น รถสปอร์ตสุดหรู ที่เบาและว่องไวอย่างเหลือเชื่อ มันพิสูจน์ให้เห็นว่า McLaren ไม่ได้พึ่งพาแค่ชื่อเสียงในอดีต แต่ยังคงสร้าง นวัตกรรมยานยนต์ล้ำสมัย อย่างต่อเนื่อง
Porsche 918 Spyder: ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด (ปี 2013)
918 Spyder คือ เกมเชนเจอร์ ที่แท้จริง มันแสดงให้เห็นศักยภาพของเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดในโลกของ ซูเปอร์คาร์ อย่างชัดเจน ด้วยเครื่องยนต์ V-8 หายใจเอง 4.6 ลิตร 599 แรงม้า ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ทำให้มีกำลังรวม 877 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลแบบทันทีทันใด Porsche ผลิตออกมาเพียง 918 คัน และทั้งหมดถูกขายหมดอย่างรวดเร็วในปี 2014 ด้วยราคาเริ่มต้น 845,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจุบัน 918 Spyder ยังคงเป็น รถสะสม ที่เป็นที่ต้องการอย่างสูงและเป็นสัญลักษณ์ของ เทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัย ในยุคของมัน
Ferrari SF90 Stradale: ผสมผสานพลังไฮบริดและจิตวิญญาณ F1 (ปี 2019)
ในยุคที่เครื่องยนต์ V-12 กำลังค่อยๆ จางหายไป SF90 Stradale พร้อมเครื่องยนต์ V-8 เทอร์โบคู่สามตัว และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว มอบพละกำลังมหาศาลถึง 1,000 แรงม้า การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง Formula 1 ของ Ferrari สะท้อนถึง ตำนานมอเตอร์สปอร์ต ของแบรนด์อย่างชัดเจน SF90 Stradale ไม่ใช่แค่ ไฮเปอร์คาร์ ที่ทรงพลังที่สุดของ Ferrari เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการปรับตัวเข้ากับยุคสมัยใหม่ โดยยังคงรักษา สมรรถนะเหนือระดับ และดีไซน์ที่ดึงดูดใจไว้ได้อย่างสมบูรณ์
SSC Tuatara: การไล่ล่าความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง (ปี 2020)
SSC North America จากรัฐวอชิงตัน มีเป้าหมายเดียวคือการทำความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง และ Tuatara คืออาวุธของพวกเขา ด้วยตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์และเครื่องยนต์ V-8 เทอร์โบคู่ 5.9 ลิตรที่อัดฉีด 1,726 แรงม้า หลังจากทำลายสถิติด้วยความเร็วเฉลี่ย 282.9 ไมล์ต่อชั่วโมงในปี 2021 และล่าสุดที่ 295 ไมล์ต่อชั่วโมง Tuatara ยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งความเร็ว มันคือ รถยนต์สมรรถนะสูง ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเป็นที่สุด
Aston Martin Valkyrie: Formula 1 สำหรับถนน (ปี 2021)
Valkyrie คือการประกาศศักดาครั้งใหม่ของ Aston Martin ในโลก ไฮเปอร์คาร์ มันคือผลลัพธ์ของการผสานเครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6.5 ลิตร 1,000 แรงม้า เข้ากับระบบไฮบริดที่พัฒนาโดย Rimac และโครงสร้างคาร์บอนโมโนค็อกน้ำหนักเบา การออกแบบโดย Adrian Newey อัจฉริยะแห่ง Formula 1 ทำให้ Valkyrie เป็น ยานยนต์สมรรถนะสูง ที่แทบจะถอดแบบมาจากรถแข่ง F1 มันผลิตจำกัดเพียง 150 คัน โดยแต่ละคันมีราคา 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนถึง เอกสิทธิ์และความหายาก ของมัน
Rimac Nevera: มหาอำนาจ EV ที่สั่นสะเทือนวงการ (ปี 2021)
Nevera คือผู้สร้างปรากฏการณ์ มันทำลายสถิติรถยนต์สันดาปภายในหลายรายการด้วยพละกำลัง 1,914 แรงม้าที่ส่งไปยังล้อทั้งสี่ ทำให้แซงหน้า McLaren และ Koenigsegg ในอัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้อย่างง่ายดาย Nevera ไม่เพียงแต่เป็น ไฮเปอร์คาร์ EV ที่สร้างจากศูนย์โดย Mate Rimac อัจฉริยะชาวโครเอเชียวัย 33 ปีเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม เมื่อ Rimac เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ใน Bugatti ในปี 2021 ถือเป็นครั้งแรกที่ แบรนด์ซูเปอร์คาร์ระดับตำนาน ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหน้าใหม่ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ เทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัย
Mercedes-AMG One: ความฝัน F1 บนท้องถนนเป็นจริง (ปี 2022)
แม้จะใช้เวลาพัฒนานานหลายปีเนื่องจากความท้าทายทางเทคนิค แต่ Mercedes-AMG One ก็ถือกำเนิดขึ้นในฐานะรถแข่ง Formula 1 สำหรับถนนอย่างแท้จริง ด้วยเครื่องยนต์ V-6 เทอร์โบ 1.6 ลิตรที่ใช้ใน F1 ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ทำให้มีพละกำลังรวมกว่า 1,000 แรงม้า การเร่งความเร็ว 0-124 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาไม่ถึง 6 วินาที และความเร็วสูงสุด 217 ไมล์ต่อชั่วโมง ทำให้ One เป็น ไฮเปอร์คาร์ ที่เหลือเชื่อ ทุก 275 คันที่ผลิตมีราคา 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และถูกจองหมดเกลี้ยง เป็นเครื่องยืนยันถึง ความสุดยอดทางวิศวกรรม
Koenigsegg Jesko: พลังแห่งความเร็วจากสวีเดน (ปี 2020)
Christian von Koenigsegg สร้างชื่อเสียงด้วย Agera RS ที่เคยเป็นรถยนต์โปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในโลก และ Jesko ผู้สืบทอดก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายขีดจำกัดเหล่านั้น ด้วยปีกขนาดใหญ่และเครื่องยนต์ V-8 เทอร์โบคู่ 5.0 ลิตร 1,660 แรงม้า ที่มีเพลาข้อเหวี่ยง V-8 ที่เบาที่สุดในโลก Jesko มีศักยภาพที่จะท้าทายสถิติ 304.7 ไมล์ต่อชั่วโมงของ Bugatti Chiron Super Sport ไฮเปอร์คาร์ ราคา 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้ถูกผลิตจำกัด 125 คัน และขายหมดล่วงหน้าทั้งหมด เป็น รถยนต์หายาก ที่นักสะสมเฝ้ารอ
Pininfarina Battista: ความงามแห่งอิตาลีขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (ปี 2020)
Pininfarina สตูดิโอออกแบบระดับตำนานของอิตาลี ร่วมกับ Rimac ได้สร้างสรรค์ Battista ขึ้นมา มันคือ ไฮเปอร์คาร์ EV ที่สวยงามอย่างน่าทึ่ง ด้วยพละกำลัง 1,900 แรงม้า และแรงบิด 1,696 ปอนด์-ฟุต จากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 120 kWh และมอเตอร์สี่ตัว ทำให้ Battista เร่งความเร็ว 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 1.8 วินาที และ 0-186 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 12 วินาที มันคือการผสมผสาน ดีไซน์ไอคอนิก ของอิตาลีเข้ากับ เทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัย ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ผลิตจำกัดเพียง 150 คัน แต่ละคันเริ่มต้นที่ 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Lotus Evija: พลังไฟฟ้าบริสุทธิ์จากอังกฤษ (ปี 2020)
Evija คือ รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ Lotus เคยสร้างมา ด้วยพละกำลัง 2,011 แรงม้า และแรงบิด 1,256 ปอนด์-ฟุต ทำให้ Evija พุ่งทะยานจาก 0-62 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาไม่ถึงสามวินาที โครงสร้างโมโนค็อกคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด และแอโรไดนามิกที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Le Mans ทำให้มันเป็น ไฮเปอร์คาร์ EV ที่ล้ำสมัยอย่างแท้จริง ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าจาก Williams Advanced Engineering มอบระยะทางขับขี่ประมาณ 250 ไมล์ และการชาร์จที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ ผลิตเพียง 130 คัน ราคาประมาณ 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Ferrari Daytona SP3: ย้อนรอยความรุ่งโรจน์ในอดีต (ปี 2022)
Daytona SP3 คือส่วนหนึ่งของซีรีส์ Icona ของ Ferrari ที่นำเสนอ การออกแบบสไตล์เรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก ผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ มันคือการระลึกถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของ Ferrari 330 P4 ที่ Daytona ในปี 1967 หัวใจของ SP3 คือเครื่องยนต์ V-12 หายใจเองที่เร่งรอบได้ถึง 9,500 รอบต่อนาที ให้กำลัง 829 แรงม้า แม้จะมีช่องดักอากาศและแอโรไดนามิกที่ใช้งานได้จริง แต่จิตวิญญาณของ SP3 คือความหวนรำลึกถึงอดีตอย่างแท้จริง ซูเปอร์คาร์ ราคา 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้จะกลายเป็น งานศิลปะเคลื่อนที่ ที่มีเพียง 599 เจ้าของเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง
Hennessey Venom F5 Roadster: การเปิดประสบการณ์ความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง (ปี 2022)
Venom F5 Coupe สร้างความฮือฮาด้วยพละกำลัง 1,817 แรงม้า และความมุ่งมั่นที่จะทำความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง คราวนี้ถึงคราวของ Venom F5 Roadster ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V-8 เทอร์โบคู่ “Fury” ขนาด 6.6 ลิตร 1,817 แรงม้าเช่นเดียวกัน และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเพียง 45 ปอนด์ หลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ที่ถอดออกได้น้ำหนักเพียง 18 ปอนด์ ทำให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับเสียงคำรามอันดุดันของเครื่องยนต์ V-8 อย่างเต็มที่ Hennessey มีแผนจะผลิตเพียง 30 คัน แต่ละคันราคา 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น รถสปอร์ตสุดหรู ที่มอบทั้งความเร็วและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
Lamborghini Sterrato: ซูเปอร์คาร์ลุยทางฝุ่น (ปี 2022)
ในขณะที่ ซูเปอร์คาร์ ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ความเร็วบนถนนเรียบ Sterrato คือการฉีกกฎเกณฑ์ ด้วยยางออฟโรดที่โดดเด่น ความสูงจากพื้นรถที่เพิ่มขึ้น 1.7 นิ้ว และชุดแต่งที่ทนทานต่อออฟโรด Sterrato คือ Huracán V-10 รุ่นสุดท้ายที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่าง ด้วยกำลัง 601 แรงม้าและยาง Bridgestone Dueler All-Terrain มันมอบความตื่นเต้นในการลื่นไถลและดริฟต์ผ่านทางโค้ง Sterrato คือการจากลาเครื่องยนต์สันดาปภายในของ Lamborghini ด้วย ดีไซน์ไอคอนิก ที่บ้าระห่ำและไม่เหมือนใคร ก่อนที่แบรนด์จะก้าวเข้าสู่ยุคไฮบริดและไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
Pagani Utopia: ความบริสุทธิ์แห่งศิลปะและวิศวกรรม (ปี 2022)
Horacio Pagani ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Pagani ได้สร้างสรรค์ Utopia ขึ้นมาเพื่อสืบทอด Huayra ด้วยปรัชญาการลดน้ำหนักที่เหนือชั้นผ่านโครงสร้าง “Carbo-Titanium” ที่ผสมผสานคาร์บอนและไทเทเนียมเข้าด้วยกัน ทำให้มีน้ำหนักเปล่าเพียง 2,822 ปอนด์ Utopia ยังคงใช้เครื่องยนต์ AMG V-12 ขนาด 852 แรงม้าที่ส่งกำลังไปยังล้อหลัง และมีตัวเลือกเกียร์ธรรมดา การยึดมั่นในปรัชญาความเบา ทำให้ Pagani เลือกใช้เกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์เดี่ยวที่เบากว่า Utopia ที่ผลิตจำกัด 99 คัน แสดงให้เห็นว่าสถานที่ในอุดมคตินั้นสงวนไว้สำหรับคนพิเศษไม่กี่คนเท่านั้น นี่คือ งานศิลปะยานยนต์ ที่ถ่ายทอด เอกสิทธิ์และความหายาก
Lamborghini Revuelto: การปฏิวัติไฮบริด V12 (ปี 2023)
Revuelto คือการประกาศก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการใช้พลังงานไฟฟ้าของ Lamborghini อย่างดุดัน ด้วยเครื่องยนต์ V-12 6.5 ลิตรที่วางกลาง ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ทำให้มีกำลังรวมมหาศาลถึง 1,001 แรงม้า ซึ่งเป็นพละกำลังสูงสุดของ ปลั๊กอินไฮบริด โดยไม่ต้องใช้เทอร์โบชาร์จเจอร์ ซึ่งช่วยรักษาเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของ V-12 ไว้ Revuelto มาพร้อมห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้นและเกียร์ดูอัลคลัตช์ที่ราบรื่นขึ้น เป็นการผสมผสาน สมรรถนะเหนือระดับ กับความสะดวกสบาย ทำให้มันเป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่พร้อมจะท้าทายคู่แข่งในตลาด ซูเปอร์คาร์
Porsche 911 GT3 RS: สุดยอดเครื่องจักรสำหรับสนามแข่ง (ปี 2022)
ตั้งแต่เปิดตัวในปี 1999 Porsche 911 GT3 ได้รับการยกย่องว่าเป็น “สุดยอดรถสปอร์ต” อย่างแท้จริง GT3 RS รุ่นล่าสุดยกระดับทุกอย่างขึ้นไปอีกขั้น ด้วยปีกหลังขนาดใหญ่ที่สร้างแรงกดมหาศาลสำหรับการเข้าโค้ง เครื่องยนต์ Flat-six 4.0 ลิตรหายใจเอง 518 แรงม้าที่เร่งรอบได้ถึง 9,000 รอบต่อนาที และช่วงล่างที่ปรับได้ GT3 RS คือ ขีปนาวุธสนามแข่ง ที่เปลี่ยนนักขับที่ดีให้กลายเป็นยอดนักขับได้ เป็นสัญลักษณ์ของ สมรรถนะเหนือระดับ และความแม่นยำทางวิศวกรรม
Maserati MC20 Cielo: การกลับมาของความสง่างามแห่งอิตาลี (ปี 2022)
Maserati MC20 Cielo เป็นการกลับมาอย่างสง่างามของ Maserati ในโลก ซูเปอร์คาร์ ด้วยโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ เครื่องยนต์ V-6 เทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร 621 แรงม้าที่พัฒนาขึ้นเอง และพลวัตการขับขี่ที่คล่องตัว MC20 ที่เปิดตัวในรูปแบบคูเป้ในปี 2020 ได้รับการต่อยอดด้วยรุ่น Cielo ที่เป็นแบบเปิดประทุน ซึ่งดึงดูดทุกสายตาได้มากยิ่งขึ้น ทั้งสองรุ่นมอบอัตราเร่งที่รวดเร็ว การควบคุมแบบรถแข่ง และความสามารถในการใช้งานในชีวิตประจำวัน Maserati ยังมีแผนจะเปิดตัว รุ่นไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ในเร็วๆ นี้ แสดงถึงการปรับตัวเข้ากับ เทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัย
Zenvo Aurora: แสงเหนือแห่งไฮเปอร์คาร์ (ปี 2025)
Zenvo แบรนด์จากเดนมาร์ก ตั้งชื่อ ไฮเปอร์คาร์ รุ่นใหม่ล่าสุดว่า Aurora ตามปรากฏการณ์แสงเหนือ แสดงถึงความเร็วอันเหลือเชื่อ ด้วยเครื่องยนต์ V-12 เทอร์โบสี่ตัว 6.6 ลิตร ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ให้พละกำลังสูงสุดถึง 1,850 แรงม้า Aurora เร่งความเร็ว 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาประมาณ 2.0 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 280 ไมล์ต่อชั่วโมง Zenvo จะเปิดตัวสองเวอร์ชันในปี 2025 ได้แก่ Agil ที่เน้นสนามแข่งและ Tur grand tourer มันคือผู้ท้าชิงที่กำลังจะสร้างความปั่นป่วนในตลาด ไฮเปอร์คาร์ ด้วย สมรรถนะเหนือระดับ และดีไซน์ที่ล้ำอนาคต
Gordon Murray T.50s Niki Lauda: บทเพลงสุดท้ายของ V12 หายใจเอง (ปี 2021)
Gordon Murray ผู้เป็นอัจฉริยะเบื้องหลัง McLaren F1 ได้สร้าง T.50s Niki Lauda ขึ้นมาในฐานะ ซูเปอร์คาร์สำหรับสนามแข่ง โดยเฉพาะ มันเบากว่าและทรงพลังกว่า T.50 รุ่นที่วิ่งบนถนน ด้วยเครื่องยนต์ Cosworth V-12 3.9 ลิตรหายใจเอง 772 แรงม้า และน้ำหนักเพียง 1,924 ปอนด์ ทำให้มีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่เหนือกว่ารถแข่ง LMP1 แบบหายใจเอง รถยนต์คลาสสิกแห่งอนาคต ราคา 3.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้คือบทเพลงสรรเสริญความบริสุทธิ์ของ เครื่องยนต์สันดาปภายใน และเป็นผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรม
Ferrari 12Cilindri: สดุดีเครื่องยนต์ V12 ในยุคใหม่ (ปี 2024)
ในขณะที่หลายแบรนด์กำลังมุ่งสู่ระบบไฮบริด วิศวกรของ Ferrari ยังคงไม่หวั่นไหว Ferrari 12Cilindri ผู้สืบทอด 812 Superfast คือการแสดงความเคารพต่อเครื่องยนต์ V-12 หายใจเองขนาดใหญ่ 6.5 ลิตรที่เร่งรอบได้ถึง 9,250 รอบต่อนาที ให้กำลัง 819 แรงม้า และแรงบิด 500 ปอนด์-ฟุต การออกแบบโดย Flavio Manzoni และทีมงานสมควรได้รับการปรบมือจาก ดีไซน์ไอคอนิก ที่สวยงามกว่า Daytona Coupe ต้นฉบับที่มันสดุดีเสียอีก 12Cilindri ที่มีราคาเริ่มต้นกว่า 417,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ คือการยืนยันว่า พละกำลังและความเร้าใจ จาก V-12 ยังคงมีที่ยืนในยุค 2025
Lamborghini Sián FKP 37: แสงวาบแห่งอนาคต (ปี 2020)
Sián แปลว่า “แสงวาบ” ในภาษา Bolognese และเป็นชื่อที่เหมาะสมกับ ยานยนต์ไฮบริด V-12 คันแรกของ Lamborghini (FKP 37 คือการรำลึกถึง Ferdinand Karl Piëch อดีตประธาน Volkswagen Group) การผสมผสานเครื่องยนต์ V-12 6.5 ลิตร เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 25 kW ทำให้ Sián มีกำลังรวม 808 แรงม้า เร่งความเร็ว 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาไม่ถึง 2.8 วินาที ผลิตจำกัด 63 คันสำหรับคูเป้ และ 19 คันสำหรับโรดสเตอร์ ซึ่งทั้งหมดขายหมดในทันทีด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Sián คือ รถยนต์หายาก ที่เป็นดั่งสะพานเชื่อมระหว่างอดีตและอนาคตของ Lamborghini
Bugatti Tourbillon: มิติใหม่แห่งความหรูหราและพละกำลัง (ปี 2024)
Bugatti Tourbillon ผู้สืบทอด Chiron คือผู้สร้างประวัติการณ์หลายอย่าง: เป็น Bugatti คันแรกที่มีเครื่องยนต์ V-16, เป็น Bugatti ไฟฟ้าคันแรก และเป็น Bugatti ภายใต้การดูแลของ Mate Rimac ซีอีโอคนใหม่ ไฮเปอร์คาร์ ราคา 4.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้มีขนาดเล็กและเบากว่า Chiron ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบไม่เคยได้ยินเมื่อเปลี่ยนจากรถสันดาปเป็นไฮบริด ด้วยพละกำลัง 1,800 แรงม้า และมาตรวัดความเร็วที่สูงถึง 550 กม./ชม. (341 ไมล์ต่อชั่วโมง) Tourbillon พร้อมที่จะทำลายสถิติความเร็วใหม่ๆ และเป็น การลงทุนในซูเปอร์คาร์ ที่มีแต่จะเติบโต มันคือ ยานยนต์หรูหราสมรรถนะสูง ที่สุดยอดทั้งความประณีตและพลัง
McLaren Speedtail: ศิลปะแห่งความเร็วและลุคแห่งอนาคต (ปี 2020)
Speedtail คือ McLaren คันที่สองที่นำเสนอที่นั่งสามที่นั่ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สืบทอดมาจาก McLaren F1 ผู้บุกเบิก ด้วยการผลิตเพียง 106 คัน แต่ละคันมีราคาเริ่มต้น 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไฮเปอร์คาร์ไฮบริด 1,035 แรงม้า คันนี้สามารถทำความเร็วสูงสุด 250 ไมล์ต่อชั่วโมง และเร่งจาก 0-186 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 13 วินาที การออกแบบที่ล้ำสมัย ปีกหลังคาร์บอนไฟเบอร์ที่ยืดหยุ่นได้ และตัวเลือกการปรับแต่งที่เหนือจินตนาการ เช่น ฝุ่นเพชรผสมในสี หรือตราแพลตตินัมด้านหน้า ทำให้ Speedtail เป็น รถยนต์หายาก ที่เป็นทั้งงานศิลปะแห่งความเร็ว และ นวัตกรรมยานยนต์ล้ำสมัย ที่มอบความพิเศษเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง
อนาคตที่ไร้ขีดจำกัด
โลกของ ซูเปอร์คาร์ และ ไฮเปอร์คาร์ กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงคือจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม ความปรารถนาที่จะก้าวข้ามขีดจำกัด และความหลงใหลในเครื่องจักรที่สวยงามและทรงพลัง รถยนต์เหล่านี้ไม่ใช่แค่พาหนะ แต่เป็นสัญลักษณ์ของความฝัน ความสำเร็จ และ เทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัย ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น พวกมันคือ รถยนต์คลาสสิกแห่งอนาคต ที่จะยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป
คุณพร้อมที่จะสัมผัสประสบการณ์ความตื่นเต้นของ ยานยนต์สมรรถนะสูง เหล่านี้แล้วหรือยัง? ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหา ซูเปอร์คาร์ในฝัน คันแรก หรือกำลังขยาย คอลเลคชั่นรถยนต์หายาก ของคุณ โลกแห่งยานยนต์สมรรถนะสูงในปี 2025 มีสิ่งน่าสนใจมากมายรอคุณอยู่ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตำนานบทใหม่นี้ไปพร้อมกัน!
สุดยอดซูเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 (จนถึงปี 2025)
ภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ แพลตฟอร์มการแชร์รถที่แพร่หลาย หรือแม้แต่รูปแบบการเป็นเจ้าของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชัน แม้จะมอบความสะดวกสบาย แต่ก็ไม่ได้หล่อเลี้ยงความหลงใหลในรถยนต์หรือสร้างวัฒนธรรมยานยนต์ในแบบที่เราคุ้นเคย อย่างไรก็ตาม การจะสรุปว่าคนรุ่นใหม่กำลังเฉยเมยต่อรถยนต์คงเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เรากำลังยืนอยู่บนจุดบรรจบของเทคโนโลยีและประเพณี อะนาล็อกและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งไม่มีที่ใดจะปรากฏชัดเจนเท่ากับในโลกของยานยนต์สมรรถนะสูงเป็นพิเศษที่โลดแล่นอยู่ในตลาดปี 2025 นี้
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดในวงการมานานกว่าทศวรรษ ผมขอนำเสนอรายชื่อสุดยอดซูเปอร์คาร์ 25 คันแห่งศตวรรษที่ 21 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ล่าสุดสำหรับปี 2025 นี่คือการคัดเลือกที่สะท้อนถึงทั้งนวัตกรรม การออกแบบที่ไร้กาลเวลา และประสิทธิภาพที่ก้าวข้ามขีดจำกัด บางรุ่นอาจไม่ใช่รถยนต์โปรดักชันที่เร็วที่สุดหรือคล่องตัวที่สุดในโลก แต่มันได้จุดประกายจินตนาการของเรา หรือนำเสนอระดับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน และบางครั้ง มันก็เป็นเพียงรถยนต์ที่ “เด็กในตัวเรา” อยากจะวาดภาพมันตลอดเวลา รถยนต์เหล่านี้คืออนาคตของคลาสสิกที่กำลังจะมาถึง ซึ่งยืนยันว่าวงการยานยนต์ยังคงสดใสและเต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้น
McLaren F1
แม้จะเปิดตัวในทศวรรษ 1990 แต่ McLaren F1 ยังคงเป็นบรรทัดฐานและมาตรฐานสำหรับซูเปอร์คาร์ยุคใหม่ทั้งหมด ความเร็วสูงสุด 231 ไมล์ต่อชั่วโมงในปี 1992 เป็นตัวเลขที่น่าตกใจและไม่มีรถโปรดักชันคันใดทำได้ถึง เฟรมตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาเป็นพิเศษ การมุ่งเน้นลดน้ำหนักอย่างเข้มข้น และขุมพลัง BMW V-12 ขนาด 6 ลิตร 627 แรงม้าอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้มันพุ่งทะยานจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 3.2 วินาที ด้วยราคาเปิดตัวเกือบ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าแพงมหาศาลในยุคนั้น แต่ในตลาดสะสมปี 2025 หากคุณโชคดีพบหนึ่งใน 106 คันนี้ คาดว่าจะต้องจ่ายกว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้มันกลายเป็นการลงทุนในซูเปอร์คาร์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลายคนยกให้มันคือ “สุดยอดซูเปอร์คาร์” ตลอดกาล
Ferrari LaFerrari
ปี 2013 เป็นปีแห่งความยิ่งใหญ่ของซูเปอร์คาร์ ด้วยการเปิดตัวครั้งใหญ่ถึงสามรุ่นจาก McLaren, Porsche และ Ferrari ซึ่งได้รับฉายาว่า “อภิมหาตรีนิภาพ” (Holy Trinity) รถยนต์ทั้งสามคันแม้จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ก็ใช้ระบบส่งกำลังแบบไฮบริด ในบรรดารถทั้งสามคัน มีเพียง Ferrari LaFerrari เท่านั้นที่ยังคงภูมิใจนำเสนอเครื่องยนต์ V-12 แบบไร้ระบบอัดอากาศอันดุดัน นอกจากนี้ LaFerrari ยังเป็นรถที่มีพลังมากที่สุด (และอย่างไม่เป็นทางการ) มีเสน่ห์ดึงดูดใจมากที่สุดในกลุ่มรถยนต์สมรรถนะสูงยุคนั้น ด้วยชื่อที่บ่งบอกถึงความเป็นแก่นแท้ของ Ferrari ซูเปอร์คาร์ 950 แรงม้าคันนี้อาจถูกจารึกในประวัติศาสตร์ไม่เพียงแค่เป็นจุดสูงสุดของยุคสมัยเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในม้าลำพองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอีกด้วย
McLaren P1
ในบรรดาไฮเปอร์คาร์ไฮบริดชื่อดังสามคันที่เปิดตัวในปี 2013 สองคัน (Ferrari LaFerrari และ Porsche 918 Spyder) มาจากผู้ผลิตรถยนต์ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ในขณะที่อีกคันหนึ่งคือ McLaren P1 เป็นน้องใหม่ในวงการ ไม่ใช่ว่าผู้ผลิตอังกฤษรายนี้ไม่ได้สร้างชื่อเสียงในทำเนียบไฮเปอร์คาร์ด้วย F1 ในยุค 1990 แต่การหายไปนานทำให้การสร้างเรือธงคันนี้เหมือนการเริ่มต้นใหม่ McLaren ใช้โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ขั้นสูงตามแบบฉบับรถยนต์รุ่นอื่นๆ แต่ P1 มาพร้อมกับขุมพลัง 903 แรงม้า และโครงสร้างที่เบาอย่างน่าทึ่ง ทำให้มันเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับซูเปอร์คาร์ชั้นนำในยุคนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความกล้าหาญทางวิศวกรรมที่หาญกล้าท้าทายขนบ
Porsche 918 Spyder
Porsche 918 Spyder คือผู้พลิกเกมอย่างแท้จริง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดในระดับซูเปอร์คาร์ เครื่องยนต์ V-8 ไร้ระบบอัดอากาศขนาด 4.6 ลิตร 599 แรงม้า ได้รับกำลังเสริมจากมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ทำให้มีกำลังรวม 877 แรงม้า และแรงบิดเกือบจะทันที 944 ฟุตปอนด์ ออกแบบโดย Michael Mauer หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Porsche โดย 918 ถูกจัดแสดงครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show ปี 2010 เพื่อสำรวจความสนใจของตลาด และเริ่มการผลิตช่วงปลายปี 2013 ด้วยราคาเริ่มต้น 845,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ รถยนต์ทั้ง 918 คันถูกขายหมดภายในสิ้นปี 2014 โดยเฉพาะกลุ่ม Porschephile VIP ที่ต้องการครอบครอง Porsche ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา การผลิตสิ้นสุดกลางปี 2015 และ 918 ยังคงเป็นรถสะสมที่น่าปรารถนาอย่างยิ่งในปัจจุบัน
Ferrari SF90 Stradale
ในขณะที่ยุคของเครื่องยนต์ V-12 ระดับสูงสุดของ Maranello อาจค่อยๆ เลือนหายไปในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน SF90 Stradale แบบแปดสูบกลับมอบสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านั้น ได้รับการขนานนามว่าเป็นรถถนนที่อุทิศให้กับเครื่องจักร Formula 1 รุ่น SF90 ของ Ferrari ทำให้ SF90 Stradale เป็นไฮเปอร์คาร์ที่ไร้ซึ่งความกังวลใจ ด้วยพลัง 1,000 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัวและเครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบ การผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพของระบบส่งกำลังไฮบริดที่ยอดเยี่ยมและรูปลักษณ์ที่ดุดัน ดึงมาจากรถยนต์เครื่องยนต์ท้ายที่ดีที่สุดที่มีอยู่ บ่งบอกถึงมรดกการแข่งรถของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน จมูกที่ดูดุดันตะโกนบอกความเป็นมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งรถคันนี้ยกย่องด้วยชื่อ: Scuderia Ferrari, 90 ปี
SSC Tuatara
การแตะความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง นั่นคือเป้าหมายที่ SSC North America จากรัฐ Washington ตั้งไว้สำหรับไฮเปอร์คาร์ SSC Tuatara เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น Tuatara ที่มีตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งตั้งชื่อตามกิ้งก่าหนามจากนิวซีแลนด์ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบขนาด 5.9 ลิตรที่อัดแน่นด้วยกำลังมหาศาล 1,726 แรงม้า การผลิตได้เริ่มขึ้นแล้วโดยมีเป้าหมายที่จะสร้าง 100 คัน แต่ละคันมีราคา 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ SSC ไม่ใช่หน้าใหม่ในธุรกิจความเร็วสูง ในปี 2007 Ultimate Aero ที่มีกำลัง 1,287 แรงม้า ทำความเร็วได้ 256.14 ไมล์ต่อชั่วโมง สถิตินี้คงอยู่สามปีก่อนที่ Bugatti Veyron Super Sports จะมาทำลาย แต่ในวันที่ 17 มกราคม 2021 SSC Tuatara ก็ทวงสถิติกลับมาด้วยสองรอบที่ทำความเร็วเฉลี่ย 282.9 ไมล์ต่อชั่วโมง และผลลัพธ์ได้รับการยืนยันโดย Racelogic และล่าสุดปี 2025 ก็ยังคงเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงความเร็วสูงสุดของโลก
Aston Martin Valkyrie
ความยิ่งใหญ่ของซูเปอร์คาร์ในรูปแบบของ Aston Martin Valkyrie ได้เข้าสู่สายการผลิตแล้วในปัจจุบัน โมเดลนี้เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ในด้านสมรรถนะของรถโปรดักชันที่ถูกต้องตามกฎหมาย มันคือผลลัพธ์ของการนำเครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6.5 ลิตร 1,000 แรงม้า พร้อมระบบไฮบริดไฟฟ้าที่พัฒนาร่วมกับ Rimac 160 แรงม้า ไปติดตั้งในโครงสร้าง Monocoque คาร์บอนน้ำหนักเบาและแข็งแกร่งเป็นพิเศษ และหากยังไม่น่าประทับใจพอ รถคันนี้ได้รับการออกแบบโดย Adrian Newey ซูเปอร์สตาร์ด้านการออกแบบ Formula 1 และปัจจุบันเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคนิคของ Red Bull Racing การผลิตจะจำกัดเพียง 150 คัน แต่ละคันมีราคา 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการผสมผสานศิลปะและวิศวกรรมระดับ F1 อย่างแท้จริง
Rimac Nevera
รถยนต์ที่สร้างประวัติศาสตร์มักจะมาจากสถานที่ที่ไม่คาดคิด แต่ Rimac Nevera ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ให้กับโลกของซูเปอร์คาร์ ประการแรก Nevera ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ได้ทำลายสถิติรถยนต์สันดาปภายใน โดยส่งกำลัง 1,914 แรงม้าไปยังล้อทั้งสี่ ลบสถิติเวลา 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงของทุกสิ่ง ตั้งแต่ McLaren ไปจนถึง Koenigseggs ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น ไฮเปอร์คาร์ EV คันนี้เป็นผลงานของ Mate Rimac หนุ่มน้อยอัจฉริยะชาวโครเอเชียวัย 33 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัทในปี 2011 ผลกระทบในช่วงแรกของ Rimac Nevera เกิดจากสถิติสมรรถนะที่น่าทึ่ง แต่ตำนานของไฮเปอร์คาร์คันนี้จะอยู่เหนือกว่าแค่รุ่นรถ ในฤดูร้อนปี 2021 บริษัทสตาร์ทอัพของโครเอเชียแห่งนี้ได้เข้าซื้อหุ้นใหญ่ใน Bugatti ซึ่งเป็นครั้งแรก (และไม่น่าจะใช่ครั้งสุดท้าย) ที่แบรนด์ซูเปอร์คาร์เก่าแก่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท EV หน้าใหม่ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการยานยนต์
Mercedes-AMG One
รถยนต์ที่เพิ่งเข้าสู่สายการผลิตจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน “สุดยอด” ซูเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร? นั่นเพราะเรามั่นใจอย่างยิ่งว่า Mercedes-AMG Formula 1 1,000 แรงม้าสำหรับถนนสายนี้จะยังคงสร้างความตื่นตาตื่นใจไปอีกหลายปี เผยโฉมครั้งแรกในปี 2017 ในฐานะ Project One concept รถปีศาจบนท้องถนนคันนี้ประสบปัญหาทางเทคนิคมากมาย แต่ก็มีอะไรมากมายเกิดขึ้นเมื่อคุณสร้างรถ Formula 1 ที่สามารถขับบนทางหลวงได้ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-6 เทอร์โบขนาด 1.6 ลิตรที่เสริมด้วยไฮบริด และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว คาดว่าจะทำความเร็ว 0-124 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาไม่ถึง 6 วินาที และความเร็วสูงสุด 217 ไมล์ต่อชั่วโมง ไม่น่าแปลกใจที่รถ 275 คันนี้ ซึ่งมีราคา 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกจองหมดแล้ว นี่คือบทเรียนอันยิ่งใหญ่ในการนำเทคโนโลยีสนามแข่งมาสู่ถนนอย่างสมบูรณ์แบบ
Koenigsegg Jesko
ย้อนกลับไปในปี 2017 Christian von Koenigsegg จากสวีเดน ได้เห็น Agera RS ของเขาเป็นรถโปรดักชันที่เร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็วสูงสุดสองทางที่ 277.9 ไมล์ต่อชั่วโมง รุ่นต่อจาก Agera คือ Jesko ที่มีปีกขนาดใหญ่และกำลัง 1,660 แรงม้า ซึ่งตั้งชื่อตามคุณพ่อของ Christian อาจมีความสามารถพอที่จะทำลายสถิติ 304.7 ไมล์ต่อชั่วโมงของ Bugatti Chiron Super Sport ได้ เทคโนโลยีความเร็วสูงของ Jesko ราคา 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึงเครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบขนาด 5.0 ลิตรที่เสียงคำราม และมีเพลาข้อเหวี่ยง V-8 ที่เบาที่สุดในโลก โดยมีน้ำหนักเพียง 28 ปอนด์ ไม่น่าแปลกใจที่รถทั้ง 125 คันที่กำหนดไว้สำหรับการผลิตถูกขายล่วงหน้าทั้งหมด สะท้อนถึงการออกแบบที่เน้นสมรรถนะอันไร้ขีดจำกัด
Pininfarina Battista
ไม่มีชื่อรถยนต์ใดที่เป็นตำนานไปกว่า Pininfarina สตูดิโอสัญชาติอิตาลีแห่งนี้มีความสัมพันธ์ยาวนานถึง 62 ปีกับ Ferrari ตัวอย่างเช่น ได้สร้างสรรค์สัญลักษณ์อย่าง 275 GTB, 365 GTB/4 Daytona และ Tom Selleck Magnum P.I. คลาสสิกอย่าง 308 GTS แต่ Cadillac Atlante ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยจาก Mahindra Group ของอินเดีย ซึ่งเข้าช่วย Pininfarina ในปลายปี 2015 และอัจฉริยะด้าน EV ชาวโครเอเชียจาก Rimac ทำให้เกิด Pininfarina Battista ไฮเปอร์คาร์ที่น่าตื่นเต้น ด้วยกำลัง 1,900 แรงม้า และแรงบิด 1,696 ฟุตปอนด์จากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 120 kWh และมอเตอร์สี่ตัว รถคูเป้ไฟฟ้าสองที่นั่งที่สวยงามอย่างแท้จริงคันนี้สามารถพุ่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 1.8 วินาที และ 0-186 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 12 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 217 ไมล์ต่อชั่วโมง และมีระยะทางวิ่งมากกว่า 230 ไมล์ รถยนต์ 150 คันแรกที่สร้างขึ้นแต่ละคันมีราคาเริ่มต้นที่ 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกส่งมอบไปแล้ว และรุ่น Anniversario ที่มีอุปกรณ์หรูหราซึ่งผลิตเพียง 5 คัน ก็ถูกขายหมดแล้วเช่นกัน
Lotus Evija
นี่คือรถถนนโปรดักชันซีรีส์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา มันมาพร้อมกับกำลังที่น่าทึ่งถึง 2,011 แรงม้า และแรงบิด 1,256 ฟุตปอนด์ ซึ่งมากพอที่จะพารถคันนี้พุ่งทะยานจาก 0-62 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาไม่ถึงสามวินาที และจาก 0-186 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 9.1 วินาที ความเร็วสูงสุด? ถูกจำกัดไว้ที่ 217 ไมล์ต่อชั่วโมง นี่คือ Lotus Evija ไฟฟ้าล้วนจากผู้ผลิตรถสปอร์ตสัญชาติอังกฤษในตำนาน ก่อตั้งโดย Colin Chapman ผู้มีวิสัยทัศน์ในปี 1952 Evija ใหม่ ซึ่งแปลว่า “ผู้มีชีวิต” นั้นเป็น Monocoque คาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด มีหลักอากาศพลศาสตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Le Mans และระบบส่งกำลังไฟฟ้าที่ล้ำสมัยที่พัฒนาโดยนักวิศวกรรมจาก Williams Advanced Engineering ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่แต่ละล้อ และชุดแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่กลางลำตัว สะท้อนถึงประเพณีการวางเครื่องยนต์กลางของ Lotus ระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนอยู่ที่ประมาณ 250 ไมล์ หากเชื่อมต่อกับเครื่องชาร์จ 800 kW แบตเตอรี่จะชาร์จเต็มในเวลาเพียงเก้านาที จะมีการผลิต Evija เพียง 130 คัน โดยมีการส่งมอบครั้งแรกในปี 2023 ส่วนราคาคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นก้าวสำคัญของ Lotus ในยุค EV
Ferrari Daytona SP3
ซีรีส์ Icona ของรถยนต์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นเป็นการย้อนอดีตด้วยการนำโครงสร้างสมัยใหม่มาห่อหุ้มด้วยรูปลักษณ์ย้อนยุค-อนาคต Daytona SP3 คือ Icona รุ่นที่สามจาก Modena ซึ่งระลึกถึง Ferrari 330 P4s ที่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง สอง และสามในการแข่งขัน 24 Hours of Daytona ปี 1967 แม้ว่าช่องดักอากาศและหลักอากาศพลศาสตร์จะใช้งานได้จริง แต่จิตวิญญาณของ SP3 เป็นการย้อนรำลึกถึงอดีตโดยเฉพาะ ด้วยเครื่องยนต์ V-12 แบบไร้ระบบอัดอากาศที่รอบเครื่องยนต์สูงถึง 9,500 รอบต่อนาที และสร้างกำลังได้ 829 แรงม้า ตั้งแต่ซุ้มล้อที่โป่งออกไปจนถึงส่วนท้ายที่ออกแบบอย่างดุดัน Daytona SP3 ราคา 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำหน้าที่เป็นงานศิลปะเคลื่อนที่เมื่อเจ้าของ 599 คนได้รับรถยนต์สุดพิเศษของพวกเขาไปครอบครอง นี่คือการเฉลิมฉลองเครื่องยนต์สันดาปที่แท้จริง
Hennessey Venom F5 Roadster
เราชื่นชอบ Venom F5 Coupe ที่มีกำลัง 1,817 แรงม้า จากผู้สร้างซูเปอร์คาร์จอมบ้าระห่ำชาวเท็กซัส John Hennessey และทีมงานที่ Hennessey Special Vehicles เมื่อเปิดตัวในปี 2021 Venom F5 นั้นรวดเร็ว ดุดัน และออกแบบมาเพื่อทำลายกำแพงความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง แม้จะยังไม่บรรลุเป้าหมายนั้น แต่ความเร็วสูงสุดที่บันทึกได้ 271.6 ไมล์ต่อชั่วโมง ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมันได้อย่างชัดเจน ตอนนี้ถึงคราวของ Venom F5 Roadster ใหม่ที่จะท้าทายความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วยเครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบ “Fury” ขนาด 6.6 ลิตร 1,817 แรงม้าเช่นเดียวกับรุ่นคูเป้ และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียง 45 ปอนด์ ตอร์ปิโดเปิดประทุนคันนี้จึงมีเป้าหมายความเร็วชัดเจน เพียงแค่รู้ว่าแผงหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาที่ถอดออกได้ ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 18 ปอนด์ จะต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อที่ Roadster จะเข้าใกล้สโมสร 300 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับเราแล้ว ความงดงามของ Venom F5 Roadster คือการถอดหลังคาออกและได้ยินเสียงคำรามเต็มพิกัดของเครื่องยนต์แปดสูบขณะที่มันพุ่งทะยานไปถึงรอบเครื่องยนต์ 8,500 รอบต่อนาที Hennessey มีแผนที่จะสร้าง Roadster 30 คัน โดยแต่ละคันมีราคา 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการลงทุนที่ให้ทั้งความเร็วและประสบการณ์เหนือระดับ
Lamborghini Sterrato
เมื่อพูดถึงซูเปอร์คาร์ โดยปกติแล้วยิ่งมากยิ่งดี แต่สำหรับรุ่นสุดท้ายของ Huracán ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-10 Lamborghini ได้เลือกความเกินพอดีในรูปแบบที่แตกต่างออกไป: ยางล้อดอกใหญ่ การเพิ่มความสูงจากพื้น 1.7 นิ้ว และชุดตกแต่งรอบคันเพื่อปกป้องรถคูเป้ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ติดตั้งอุปกรณ์ครบครันจากอันตรายนอกถนน ช่องดักอากาศบนหลังคาและไฟเสริมด้านหน้า ชวนให้นึกถึงรถ Overland ที่แต่งแรงและรถแรลลี่ นำทัศนคติ “ไปได้ทุกที่” มาสู่ไลน์อัพของ Lamborghini ในแบบที่คุณคาดไม่ถึง แม้ว่า Sterrato จะลดกำลังลง 30 แรงม้าเพื่อประโยชน์ในการขับขี่บนพื้นผิวที่หลวม (ทำให้กำลังรวมเหลือ 601 แรงม้า) แต่ยาง Bridgestone Dueler All-Terrain ของมันมอบความตื่นเต้นในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ด้วยการลื่นไถล ดริฟต์ผ่านโค้งแคบๆ ในขณะที่ Lamborghini กำลังเข้าสู่ยุคไฮบริดและไฟฟ้า ก็จากยุคเครื่องยนต์สันดาปไปพร้อมกับความประทับใจที่ไม่เหมือนใคร เป็นสุดยอดนวัตกรรมยานยนต์ที่ท้าทายทุกกฎเกณฑ์
Pagani Utopia
Horacio Pagani ได้ก่อตั้งสตูดิโอซูเปอร์คาร์ของเขาหลังจากที่นายจ้างเดิมอย่าง Lamborghini ไม่ยอมใช้คาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบา Pagani รุ่นต่อจาก Huayra มุ่งเน้นการลดน้ำหนักในระดับถัดไปผ่านสิ่งที่แบรนด์เรียกว่าโครงสร้าง “Carbo-Titanium” ซึ่งผสมผสานโครงสร้างคาร์บอนและไทเทเนียมเข้ากับซับเฟรมโครเมียมที่ให้รถมีน้ำหนักแห้งเพียง 2,822 ปอนด์ Utopia ใหม่ ซึ่งเป็นชื่อรุ่นที่อ้างอิงถึงข้อความของ Thomas More ในปี 1516 ยังคงใช้เครื่องยนต์ AMG V-12 ขนาด 852 แรงม้าจาก Huayra ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง และมีเกียร์ธรรมดาให้เลือก เพื่อยึดมั่นในปรัชญาการลดน้ำหนัก Pagani ให้ตัวเลือกเกียร์อัตโนมัติเป็นแบบคลัตช์เดี่ยวอัตโนมัติ ซึ่งขับขี่ได้ไม่ราบรื่นเท่า แต่เบากว่าคลัตช์คู่ Pagani กล่าวว่าจะมีการสร้าง Utopia ทั้งหมด 99 คันเมื่อเริ่มการผลิต โดยยืนยันว่าสถานที่ในอุดมคตินั้นสงวนไว้สำหรับคนพิเศษบางคนเท่านั้น ถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ลิมิเต็ดเอดิชั่นที่น่าจับตามองในตลาดซูเปอร์คาร์
Lamborghini Revuelto
เครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6.5 ลิตรที่ติดตั้งอยู่กลางลำตัว เป็นสัญลักษณ์ของเรือธง Murciélago และ Aventador ของ Lamborghini และแบรนด์อิตาลีเข้าสู่ยุคไฟฟ้าด้วยการคงเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ไว้เป็นหัวใจของระบบส่งกำลังไฮบริดใหม่ มอเตอร์ไฟฟ้าสามตัวเสริมพลังให้กับเครื่องยนต์เบนซิน 814 แรงม้า ยกระดับอสูรรูปทรงลิ่มให้มีกำลังถึง 1,001 แรงม้า ซึ่งเป็นกำลังขับที่มากที่สุดในบรรดารถปลั๊กอินไฮบริด ที่น่าสนใจคือ ตัวเลขสี่หลักนี้ทำได้โดยไม่มีเทอร์โบชาร์จเจอร์ ซึ่งอาจทำให้เสียงท่อไอเสียลดลงได้ ด้วยการอัปเดตมากมายที่เสริม Revuelto ตั้งแต่ห้องโดยสารที่กว้างขึ้น ไปจนถึงเกียร์คลัตช์คู่ที่นุ่มนวลขึ้นที่รอคอยมานาน เรือธงใหม่ของ Lamborghini ควรจะสร้างความประทับใจอย่างมีชีวิตชีวาให้กับคู่แข่ง นี่คือสุดยอดรถยนต์สมรรถนะสูงที่ยังคงรักษาเสน่ห์ของเครื่องยนต์สันดาปได้อย่างน่าทึ่ง
Porsche 911 GT3 RS
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1999 Porsche 911 GT3 ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้รับสมญานามว่า “สุดยอดรถสปอร์ต” อย่างถูกต้องเหมาะสม GT3 มอบความตื่นเต้นบนท้องถนนและมีความสามารถอย่างจริงจังในสนามแข่ง เป็นนิยามที่แท้จริงของรถยนต์สำหรับนักขับ GT3 RS ล่าสุดยกระดับทุกสิ่งขึ้นไปอีกขั้น ด้วยปีกหลังขนาดใหญ่ที่สร้างแรงกดมหาศาลเพื่อการเข้าโค้งราวกับเกาะรางรถไฟ เครื่องยนต์ Flat-six ขนาด 4.0 ลิตรแบบไร้ระบบอัดอากาศที่ให้กำลัง 518 แรงม้า และเสียงคำรามสูงถึง 9,000 รอบต่อนาที รวมถึงระบบกันสะเทือนที่ปรับได้เต็มที่และเหมือนอ่านใจคนขับได้ ทำให้ RS เป็นขีปนาวุธสนามแข่งที่มีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนนักขับที่ดีให้กลายเป็นยอดเยี่ยม นับเป็นความสมบูรณ์แบบของเทคโนโลยีรถยนต์ที่เน้นผู้ขับขี่
Maserati MC20 Cielo
ในขณะที่ Maserati MC12 จากปี 2005 ถือเป็นซูเปอร์คาร์ที่แท้จริงคันแรกของแบรนด์อิตาลี แต่ก็เป็นเพียง Ferrari Enzo ที่อำพรางตัวเล็กน้อย สร้างขึ้นในจำนวนที่น้อยมากเพื่อนำ Maserati กลับสู่สนามแข่ง MC20 เครื่องยนต์วางกลาง ที่น่าเชื่อถือกว่ามากในฐานะซูเปอร์คาร์ ด้วยโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ เครื่องยนต์ V-6 ทวินเทอร์โบขนาด 3.0 ลิตร 621 แรงม้า (พัฒนาขึ้นภายในบริษัท) และพลวัตและความคล่องตัวของซูเปอร์คาร์ที่แท้จริง เปิดตัวในรูปแบบคูเป้ประตูแบบปีกนกในปี 2020 Cielo เปิดประทุนรุ่นใหม่ล่าสุดกลับดึงดูดสายตาได้มากยิ่งขึ้น ทั้งสองรุ่นมอบอัตราเร่งที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ การควบคุมแบบรถแข่ง และความสามารถในการเป็นรถขับขี่ประจำวัน เตรียมพบกับรุ่นไฟฟ้าล้วนที่จะมาในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะเพิ่มตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์
Zenvo Aurora
แบรนด์ Zenvo จากเดนมาร์ก ตั้งชื่อจรวดลำใหม่และทรงพลังที่สุดของพวกเขาตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หายากอย่างแสงออโรรา เป็นทางเลือกที่ดีเมื่อพิจารณาว่า Aurora มุ่งมั่นที่จะเร่งความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วแสง ใช่ มันดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-12 ควอดเทอร์โบชาร์จขนาด 6.6 ลิตรที่เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ให้กำลังสูงถึง 1,850 แรงม้า รถคันนี้พุ่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาประมาณ 2.0 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 280 ไมล์ต่อชั่วโมง จะมีให้เลือกสองรุ่นเมื่อรถเข้าสู่สายการผลิตในปี 2025 ได้แก่ Agil ที่เน้นการขับขี่ในสนามแข่งและขับเคลื่อนล้อหลัง และ Tur grand tourer ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ เรามองว่ามันเป็นผู้สร้างความปั่นป่วนที่กำลังจะเกิดขึ้นในตลาดไฮเปอร์คาร์ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของนวัตกรรมยานยนต์ที่ท้าทายขีดจำกัด
Gordon Murray T.50s Niki Lauda
Gordon Murray คืออัจฉริยะผู้อยู่เบื้องหลังรถถนน McLaren F1 ดั้งเดิม และยังเป็นส่วนหนึ่งของการครอบงำ Formula One ของ McLaren ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 และวิศวกรวัย 78 ปีผู้นี้ยังไม่หยุดสร้างเครื่องจักรสมรรถนะสูงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ตัวอย่างเช่น GMA T.50S Niki Lauda ซึ่งเป็นซูเปอร์คาร์สำหรับสนามแข่งเท่านั้น ที่เบากว่าและทรงพลังกว่ารุ่น T.50 ที่ใช้งานบนถนน ขีปนาวุธที่แกะสลักจากคาร์บอนไฟเบอร์ราคา 3.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-12 แบบไร้ระบบอัดอากาศขนาด 3.9 ลิตรจาก Cosworth ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้ผลิตกำลัง 772 แรงม้า ด้วยน้ำหนักเพียง 1,924 ปอนด์ GMA ระบุว่าอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักต่อตันนั้นเกินกว่ารถยนต์ LMP1 แบบไร้ระบบอัดอากาศ นี่คืออีกหนึ่งสุดยอดรถยนต์สมรรถนะสูงที่ออกแบบมาเพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่บริสุทธิ์
Ferrari 12Cilindri
ในขณะที่ซูเปอร์คาร์ส่วนใหญ่กำลังหาวิธีทำให้ระบบไฮบริดทำงานได้ วิศวกรของ Ferrari กลับไม่ประทับใจเท่าไรนัก ดังนั้น GT รุ่นต่อจาก 812 Superfast คือ 12Cilindri จึงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-12 แบบไร้ระบบอัดอากาศขนาดใหญ่ สำหรับวีรบุรุษใน Maranello เราขอปรบมือให้เสียงดัง เครื่องยนต์ขนาด 6.5 ลิตรนี้จะทำรอบได้ถึง 9250 รอบต่อนาที และมีกำลัง 819 แรงม้า และแรงบิด 500 ปอนด์ฟุต Flavio Manzoni หัวหน้าฝ่ายออกแบบภายใน และทีมงานของเขาควรได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องสำหรับรูปทรงและโครงสร้างโดยรวมของ 12Cilindri ที่มีราคาเริ่มต้นกว่า 417,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งดูดีกว่า Daytona คูเป้ดั้งเดิมที่มันอุทิศให้เสียอีก นี่คือความกล้าหาญที่ Ferrari ยังคงยืนหยัดในเอกลักษณ์ของตน
Lamborghini Sián FKP 37
Sián หมายถึง “ประกายฟ้าผ่า” ในภาษา Bolognese และเป็นชื่อที่เหมาะสมสำหรับ Lamborghini V-12 ไฮบริดคันนี้ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกจากแบรนด์อิตาลี (FKP 37 เป็นการระลึกถึง Ferdinand Karl Piëch อดีตประธานกลุ่ม Volkswagen และปีเกิดของเขา) การผสมผสานของเครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6.5 ลิตรและมอเตอร์ไฟฟ้า 25 kW สร้างกำลังได้ 808 แรงม้า ซึ่งจะพุ่งทะยานผู้โดยสารจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาไม่ถึง 2.8 วินาที การผลิต Sián จำกัดเพียง 63 คันสำหรับรุ่นคูเป้ และ 19 คันสำหรับรุ่นโรดสเตอร์ ซึ่งทั้งหมดถูกขายหมดทันที ด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม บางคันในตลาดซื้อขายมือสองปี 2025 มีราคาอยู่ที่ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงมูลค่าการสะสมที่สูงและเป็นสุดยอดรถยนต์ลิมิเต็ดเอดิชั่นที่หาได้ยากยิ่ง
Bugatti Tourbillon
ทายาทของ Chiron อ้างถึงความเป็นครั้งแรกหลายประการของ Bugatti: V-16 คันแรก, Bugatti ไฟฟ้าคันแรก และ Bugatti คันแรกภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Mate Rimac รถคูเป้ราคา 4.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้มีขนาดเล็กกว่าและเบากว่า Chiron ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนเมื่อเปลี่ยนรถยนต์สันดาปให้เป็นไฮบริด แต่ Rimac และวิศวกรและนักออกแบบคนอื่นๆ ใน Molsheim สามารถทำได้สำเร็จผ่านการรวมส่วนประกอบเข้ากับโครงสร้าง Monocoque ได้อย่างชาญฉลาด ด้วยกำลัง 1,800 แรงม้า ความเร็วสูงสุดของ Tourbillon ตามข้อมูลจาก Bugatti คือ 276 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่โปรดทราบว่ามาตรวัดความเร็วที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนาฬิกาสวิส สามารถวัดได้ถึง 550 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือ 341 ไมล์ต่อชั่วโมง คาดว่าจะทำความเร็วสูงได้เกิน 300 ไมล์ต่อชั่วโมง นี่คือนิยามใหม่ของความหรูหราและความเร็วระดับโลก
McLaren Speedtail
Speedtail เป็น McLaren คันที่สองที่นำเสนอที่นั่งสามที่นั่ง โดยคันแรกคือ McLaren F1 ที่ปฏิวัติวงการ ด้วยจำนวนการผลิตเพียง 106 คัน ซึ่งแต่ละคันมีราคาขายอย่างน้อย 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รถไฮบริด 1,035 แรงม้า ความเร็ว 250 ไมล์ต่อชั่วโมงคันนี้ จะดึงดูดทุกสายตาไม่ว่าจะจอดอยู่บนสนามประกวดหรือพุ่งผ่านคุณบนทางหลวง (และมันจะดูเป็นภาพเบลอ: Speedtail จะพุ่งจากหยุดนิ่งไปถึง 186 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 13 วินาที) ความมหัศจรรย์มีอยู่มากมายใน Speedtail ตั้งแต่แพนหางคาร์บอนไฟเบอร์ที่ยืดหยุ่นซึ่งรวมเข้ากับท้ายรถ ไปจนถึงชุดเครื่องมือทองคำ 24K ที่มาพร้อมกับรถเป็นมาตรฐาน แต่ตัวเลือกการปรับแต่งเองคือจุดที่ซูเปอร์คาร์เหล่านี้เปล่งประกาย ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการให้ผงเพชรบดละเอียดผสมอยู่ในสี McLaren ก็จะทำได้ หรือหากคุณต้องการตราสัญลักษณ์แพลตินัมที่ด้านหน้า ก็มีให้เลือกเช่นกัน – ในราคา 56,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนถึงที่สุดของความหรูหราและการปรับแต่งส่วนบุคคล
ในโลกยานยนต์ที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว ซูเปอร์คาร์เหล่านี้ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความฝัน ความก้าวหน้าทางวิศวกรรม และความหลงใหลที่ไม่เสื่อมคลาย พวกมันไม่ใช่แค่พาหนะ แต่เป็นงานศิลปะที่มีชีวิต บทเรียนทางประวัติศาสตร์ และภาพสะท้อนของอนาคตอันน่าตื่นเต้นที่เรากำลังมุ่งหน้าไป
หวังว่ารายชื่อนี้จะจุดประกายความหลงใหลในยานยนต์สมรรถนะสูงให้กับคุณ หากคุณต้องการเจาะลึกรายละเอียดของรถแต่ละคัน หรือมีซูเปอร์คาร์ในใจที่คิดว่าคู่ควรแก่การติดอันดับในยุค 2025 นี้ มาร่วมแบ่งปันมุมมองและพูดคุยกันได้เลย!

