ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
สุดยอดซูเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21: วิวัฒนาการและอิทธิพลในยุค 2025
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงยานยนต์สมรรถนะสูงมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ตั้งแต่ความก้าวหน้าของระบบขับขี่อัตโนมัติ ไปจนถึงแพลตฟอร์มการแบ่งปันรถยนต์ที่กลายเป็นเรื่องปกติ รวมถึงโมเดลการเป็นเจ้าของใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชัน สิ่งเหล่านี้ล้วนมอบความสะดวกสบาย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันอาจจะบั่นทอนความหลงใหลในรถยนต์และวัฒนธรรมรถยนต์ลงไปบ้างหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การจะสรุปว่าคนรุ่นใหม่กำลังหมดความกระตือรือร้นต่อรถยนต์คงเป็นเรื่องผิดพลาด เพราะเรากำลังอยู่ในจุดบรรจบกันของเทคโนโลยีและประเพณี อะนาล็อกและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนที่สุดในตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงพิเศษในปัจจุบัน
ปี 2025 ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญ ตลาดซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ยังคงคึกคักและเต็มไปด้วยนวัตกรรมที่น่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าแบบเต็มตัว หรือระบบไฮบริดที่ผสานขุมพลังสันดาปเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างไร้ที่ติ และแน่นอนว่ารถยนต์เหล่านี้ไม่ใช่แค่เครื่องจักรที่เร็วที่สุดหรือปราดเปรียวที่สุด แต่พวกมันคือผลงานศิลปะที่กระตุ้นจินตนาการ และนำเสนอระดับของนวัตกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน รถยนต์เหล่านี้คือตำนานแห่งอนาคต ที่จะยังคงจุดประกายความฝันของเด็กรุ่นใหม่ที่หลงใหลในความเร็วและดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ในบทความนี้ ผมจะพาคุณย้อนรอยและก้าวไปข้างหน้า เพื่อสำรวจ 25 สุดยอดซูเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 ที่ยังคงยืนหยัดและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการยานยนต์จนถึงปี 2025 รวมถึงเจาะลึกถึงเทคโนโลยี ดีไซน์ และอิทธิพลที่พวกมันมีต่อตลาด ซูเปอร์คาร์ ในอนาคต
McLaren F1: ผู้บุกเบิกและมาตรฐานที่ไม่มีวันตาย
แม้ว่า McLaren F1 จะถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษที่ 90 แต่ไม่มีทางที่เราจะมองข้ามมันไปได้ เพราะมันคือต้นแบบและบรรทัดฐานสำหรับซูเปอร์คาร์ที่ตามมาทั้งหมดในปี 2025 แม้จะมีรถยนต์ที่เร็วกว่าและทรงพลังกว่ามากมาย แต่ F1 ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งวิศวกรรมที่บริสุทธิ์ ด้วยความเร็วสูงสุด 231 ไมล์ต่อชั่วโมงในปี 1992 ไม่มีรถโปรดักชั่นคันใดทำได้ถึงขนาดนั้น มันคือสิ่งที่ทำลายขีดจำกัดและสร้างความตกตะลึง ด้วยโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา การเน้นย้ำถึงการลดน้ำหนักในทุกรายละเอียด และเครื่องยนต์ BMW V-12 ขนาด 6 ลิตร 627 แรงม้าที่สั่งทำพิเศษ ทำให้มันเร่งความเร็วจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.2 วินาที
ในขณะที่ราคาเปิดตัวเกือบ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นแพงมหาศาล แต่ในปี 2025 หากคุณโชคดีพอที่จะพบเห็นหนึ่งใน 106 คันที่เคยผลิตออกสู่ตลาด คุณอาจจะต้องเตรียมเงินสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์หรือมากกว่านั้น นี่คือ ซูเปอร์คาร์หายาก ที่ยังคงเป็นสุดยอดปรารถนาของนักสะสมทั่วโลก มันเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่บอกว่าบางครั้ง “น้อยกว่า” ก็คือ “มากกว่า” ในแง่ของความบริสุทธิ์ในการขับขี่และประสบการณ์
Ferrari LaFerrari, McLaren P1 และ Porsche 918 Spyder: กำเนิด “Holy Trinity” แห่งไฮบริด
ปี 2013 เป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับวงการซูเปอร์คาร์ เมื่อมียักษ์ใหญ่ถึงสามค่าย ได้แก่ McLaren, Porsche และ Ferrari เปิดตัวรถยนต์ที่ได้รับฉายาว่า “Holy Trinity” แม้จะมีบุคลิกแตกต่างกัน แต่ทั้งสามคันต่างก็ใช้ขุมพลังไฮบริด ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติวงการอย่างแท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นของกระแส ไฮเปอร์คาร์ไฮบริด ที่กำลังครองตลาดในปี 2025
Ferrari LaFerrari: จากทั้งสามคัน มีเพียง LaFerrari เท่านั้นที่ยังคงภูมิใจกับเครื่องยนต์ V-12 แบบไร้ระบบอัดอากาศอันกึกก้อง ผสมผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อสร้างพลังขับเคลื่อน 950 แรงม้า มันเป็นรถที่ทรงพลังที่สุดและ (อย่างไม่เป็นทางการ) มีเสน่ห์ดึงดูดใจที่สุดในบรรดาสามพี่น้อง ชื่อ “LaFerrari” (เฟอร์รารีตัวจริง) สะท้อนให้เห็นถึงแก่นแท้ของแบรนด์นี้ มันจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่เพียงจุดสูงสุดแห่งยุคของมัน แต่ยังเป็นหนึ่งใน สุดยอดรถยนต์ ม้าลำพองตลอดกาล การผสมผสานระหว่างเสียงเครื่องยนต์ที่เร้าใจและแรงบิดไฟฟ้าทันทีคือประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม
McLaren P1: ในขณะที่ Ferrari และ Porsche เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีประวัติยาวนาน McLaren P1 ถือเป็นน้องใหม่ในวงการ ไฮเปอร์คาร์ แม้ว่า McLaren จะมี F1 ในยุค 90 เป็นตำนาน แต่ P1 ก็คือการเริ่มต้นใหม่ พวกเขาใช้โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ขั้นสูง และให้ขุมพลัง 903 แรงม้า พร้อมแชสซีส์น้ำหนักเบา ทำให้มันเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับซูเปอร์คาร์รุ่นเก่าในยุคนั้น P1 แสดงให้เห็นว่า McLaren สามารถสร้าง รถยนต์สมรรถนะสูง ที่ทันสมัยและก้าวล้ำได้
Porsche 918 Spyder: 918 Spyder คือผู้พลิกเกมอย่างแท้จริง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดในระดับซูเปอร์คาร์ เครื่องยนต์ V-8 ขนาด 4.6 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศ 599 แรงม้า เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ให้กำลังรวม 877 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล 944 ฟุต-ปอนด์ ที่มาอย่างฉับพลัน ด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์และการจำกัดจำนวนที่ 918 คัน ซึ่งขายหมดอย่างรวดเร็ว มันจึงเป็น รถยนต์สะสม ที่เป็นที่ต้องการสูงในปี 2025 และแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของ Porsche ในการผสานสมรรถนะและความยั่งยืน
Ferrari SF90 Stradale: ม้าลำพองแห่งยุคสมัยใหม่
ในขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาด Ferrari ก็ยังคงรักษาจิตวิญญาณของความแรงไว้ได้อย่างไม่เสื่อมคลาย Ferrari SF90 Stradale คือบทพิสูจน์นั้น แม้จะไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ V-12 แต่เครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบ ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ให้กำลังรวมถึง 1,000 แรงม้า ทำให้มันเป็น ไฮเปอร์คาร์ ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ด้วยดีไซน์ที่ดุดันและสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม SF90 Stradale จึงเป็นเครื่องบรรณาการที่สมบูรณ์แบบให้กับรถแข่ง Formula 1 ของ Ferrari โดยชื่อ SF90 ย่อมาจาก Scuderia Ferrari และฉลองครบรอบ 90 ปี นับเป็น นวัตกรรมยานยนต์ ที่ผสานอดีตและอนาคตได้อย่างลงตัว
SSC Tuatara: ความท้าทายบนเส้นทางสู่ 300 ไมล์ต่อชั่วโมง
เป้าหมายของ SSC North America คือการก้าวข้ามกำแพงความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมงด้วย SSC Tuatara ไฮเปอร์คาร์ที่ตัวถังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์และขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบ 5.9 ลิตร ที่ให้กำลังมหาศาลถึง 1,726 แรงม้า แม้จะมีความท้าทายในการยืนยันสถิติ แต่ Tuatara ก็ได้พิสูจน์ศักยภาพด้วยการทำความเร็วเฉลี่ย 282.9 ไมล์ต่อชั่วโมง และล่าสุดที่ 295 ไมล์ต่อชั่วโมง ในปี 2025 Tuatara ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของการแสวงหาความเร็วสูงสุดของมนุษย์ และเป็นเครื่องยืนยันถึงขีดจำกัดของวิศวกรรมยานยนต์
Aston Martin Valkyrie: Formula 1 สำหรับท้องถนน
Aston Martin Valkyrie คือจุดสูงสุดของวิศวกรรมที่นำเสนอ รถยนต์สมรรถนะสูง ที่ถูกกฎหมายบนท้องถนน มันคือผลลัพธ์ของการผสานเครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6.5 ลิตร 1,000 แรงม้า เข้ากับระบบไฮบริด-ไฟฟ้าที่พัฒนาโดย Rimac 160 แรงม้า ลงในโครงสร้างโมโนค็อกคาร์บอนน้ำหนักเบาและแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ที่สำคัญคือ รถคันนี้ได้รับการออกแบบโดย Adrian Newey อัจฉริยะด้านการออกแบบ Formula 1 และ CTO ของ Red Bull Racing ด้วยการผลิตจำกัดเพียง 150 คัน แต่ละคันมีมูลค่ากว่า 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ Valkyrie เป็น รถยนต์สั่งทำพิเศษ ที่หาจับจองได้ยาก และเป็นผลงานศิลปะเคลื่อนที่ที่สะท้อนถึงขีดสุดของเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่ถนนจริง
Rimac Nevera: ปฏิวัติวงการด้วยพลังงานไฟฟ้า
Rimac Nevera คือคลื่นลูกใหญ่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการซูเปอร์คาร์ Nevera ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ ได้ทำลายสถิติรถยนต์สันดาปภายในหลายรายการ ด้วยขุมพลัง 1,914 แรงม้า ที่ส่งไปยังล้อทั้งสี่ ทำให้มันเร่งความเร็วจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้เร็วกว่า McLaren หรือ Koenigsegg อย่างน่าตกใจ ไฮเปอร์คาร์ EV คันนี้คือผลงานของ Mate Rimac อัจฉริยะชาวโครเอเชียวัย 33 ปี ที่ก่อตั้งบริษัทในปี 2011
ในปี 2025 Nevera ไม่ใช่แค่รถที่เร็วที่สุด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเข้าซื้อหุ้นใหญ่ของ Bugatti ในปี 2021 ทำให้ Rimac กลายเป็นผู้เล่นหลักที่กำหนดทิศทางของ ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า และอนาคตของรถยนต์หรูหราสมรรถนะสูง
Mercedes-AMG One: ความฝัน F1 บนท้องถนน
การที่รถยนต์เพิ่งเข้าสู่สายการผลิตจะสามารถติดอันดับ “สุดยอด” ซูเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร? นั่นเป็นเพราะเรามั่นใจว่า Mercedes-AMG One ที่มีขุมพลัง 1,000 แรงม้า ซึ่งเป็นรถแข่ง Formula 1 สำหรับท้องถนน จะยังคงสร้างความตื่นตะลึงไปอีกหลายปี รถคันนี้ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 ในฐานะ Project One concept แม้จะประสบปัญหาทางเทคนิคมากมาย แต่การนำรถ F1 มาวิ่งบนถนนสาธารณะนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-6 เทอร์โบ 1.6 ลิตร ที่เสริมด้วยระบบไฮบริด และมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ทำให้มันสามารถเร่งความเร็วจาก 0-124 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาไม่ถึง 6 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 217 ไมล์ต่อชั่วโมง ไม่น่าแปลกใจที่รถยนต์ 275 คันนี้ ซึ่งมีราคา 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ถูกจับจองไปหมดแล้ว มันคือบทสรุปของ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า ที่ผสานเข้ากับวิศวกรรม F1 อย่างสมบูรณ์แบบ
Koenigsegg Jesko: ราชาแห่งความเร็วจากสวีเดน
Christian von Koenigsegg จากสวีเดน เคยสร้างสถิติรถยนต์โปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในโลกด้วย Agera RS ที่ความเร็ว 277.9 ไมล์ต่อชั่วโมง ในปี 2017 และผู้สืบทอดอย่าง Jesko ที่ตั้งชื่อตามคุณพ่อของเขา พร้อมปีกขนาดใหญ่และขุมพลัง 1,660 แรงม้า ก็อาจจะทำลายสถิติ 304.7 ไมล์ต่อชั่วโมงของ Bugatti Chiron Super Sport ได้
Jesko ราคา 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาพร้อมเทคโนโลยีความเร็วสูง รวมถึงเครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบ 5.0 ลิตร ที่มีเพลาข้อเหวี่ยง V-8 ที่เบาที่สุดในโลก หนักเพียง 28 ปอนด์ ไม่น่าแปลกใจที่รถยนต์ทั้ง 125 คัน ได้ถูกสั่งจองไปล่วงหน้าแล้ว Jesko คือสัญลักษณ์ของการแสวงหา สุดยอดสมรรถนะ และวิศวกรรมที่ไร้ขีดจำกัดในยุค 2025
Pininfarina Battista: ความงามสง่าแห่งพลังไฟฟ้า
Pininfarina คือชื่อที่เล่าขานในวงการยานยนต์มายาวนาน การร่วมมือกับ Ferrari ตลอด 62 ปี ได้สร้างสรรค์รถยนต์ที่เป็นสัญลักษณ์อย่าง 275 GTB, 365 GTB/4 Daytona และ 308 GTS
ด้วยความช่วยเหลือจาก Mahindra Group และอัจฉริยะด้าน EV ชาวโครเอเชียที่ Rimac ทำให้เกิด Pininfarina Battista ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าที่น่าทึ่ง ด้วยขุมพลัง 1,900 แรงม้า และแรงบิด 1,696 ฟุต-ปอนด์ จากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 120 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมอเตอร์สี่ตัว คูเป้สองที่นั่งไฟฟ้าที่สวยงามคันนี้ สามารถเร่งความเร็วจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ใน 1.8 วินาที และจาก 0-186 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 12 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 217 ไมล์ต่อชั่วโมง และมีระยะทางขับขี่มากกว่า 230 ไมล์
รถยนต์ 150 คันที่ผลิตขึ้น โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันแรกได้ถูกส่งมอบไปแล้ว Battista คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่าง ดีไซน์รถยนต์ สไตล์อิตาลีอันเป็นเอกลักษณ์และเทคโนโลยีไฟฟ้าแห่งอนาคต
Lotus Evija: พลังอันน่าทึ่งจากอังกฤษ
Lotus Evija คือรถยนต์โปรดักชั่นที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ด้วยขุมพลัง 2,011 แรงม้า และแรงบิด 1,256 ฟุต-ปอนด์ ซึ่งมากพอที่จะส่งจรวดลำนี้จาก 0-62 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาไม่ถึงสามวินาที และจาก 0-186 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 9.1 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 217 ไมล์ต่อชั่วโมง
นี่คือ Lotus Evija รถยนต์ไฟฟ้า เต็มรูปแบบจากผู้ผลิตรถสปอร์ตอังกฤษผู้เป็นตำนาน Evija ที่แปลว่า “ผู้มีชีวิต” มาพร้อมโครงสร้างโมโนค็อกคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด แอโรไดนามิกที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Le Mans และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าสุดล้ำที่พัฒนาโดย Williams Advanced Engineering
ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอันทรงพลังที่ล้อแต่ละข้าง และแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่กลางลำตัว ทำให้มีระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าบริสุทธิ์ประมาณ 250 ไมล์ และสามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มในเวลาเพียงเก้านาทีด้วยเครื่องชาร์จ 800 กิโลวัตต์ จะมีการสร้าง Evija เพียง 130 คันเท่านั้น โดยมีราคาประมาณ 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็น สุดยอดนวัตกรรมยานยนต์ ที่สะท้อนถึงทิศทางใหม่ของ Lotus ในยุค 2025
Ferrari Daytona SP3: การหวนคืนสู่ความคลาสสิก
ซีรีส์ Icona ของ Ferrari คือการย้อนอดีตด้วยการนำโครงสร้างสมัยใหม่มาห่อหุ้มด้วยรูปลักษณ์ย้อนยุคแต่ล้ำอนาคต Daytona SP3 คือ Icona คันที่สาม ที่รำลึกถึง Ferrari 330 P4 ที่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง สอง และสามในการแข่งขัน 24 Hours of Daytona ในปี 1967
แม้ช่องรับอากาศและแอโรไดนามิกจะทำงานได้จริง แต่จิตวิญญาณของ SP3 ก็คือความหวนรำลึกถึงอดีต โดยเฉพาะเครื่องยนต์ V-12 แบบไร้ระบบอัดอากาศที่สามารถเร่งรอบได้ถึง 9,500 รอบต่อนาที และให้กำลัง 829 แรงม้า ด้วยบังโคลนที่บวมโตและส่วนท้ายที่มีครีบอันโดดเด่น Daytona SP3 มูลค่า 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำหน้าที่เป็นงานศิลปะที่เคลื่อนไหวได้สำหรับเจ้าของ 599 คน ถือเป็น รถยนต์คลาสสิก แห่งอนาคตที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณของเครื่องยนต์สันดาปไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
Hennessey Venom F5 Roadster: ท้าทายความเร็วลม
เราต่างหลงรัก Venom F5 Coupe ที่ทรงพลังถึง 1,817 แรงม้า จาก John Hennessey ผู้สร้างซูเปอร์คาร์จากเท็กซัส เมื่อเปิดตัวในปี 2021 Venom F5 นั้นรวดเร็ว ดุดัน และได้รับการออกแบบมาเพื่อทำลายกำแพง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง ตอนนี้ถึงคราวของ Venom F5 Roadster ที่จะทำความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง โดยใช้เครื่องยนต์ V-8 ทวินเทอร์โบ “Fury” ขนาด 6.6 ลิตร 1,817 แรงม้า เช่นเดียวกับรุ่นคูเป้ และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียง 45 ปอนด์
อย่างไรก็ตาม แผงหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาที่ถอดออกได้ (หนักเพียง 18 ปอนด์) จะต้องถูกติดตั้งไว้เมื่อ Roadster พยายามเข้าใกล้สถิติ 300 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่สำหรับเราแล้ว ความสวยงามของ Venom F5 Roadster คือการได้ถอดหลังคาออกและฟังเสียงเครื่องยนต์ V-8 คำรามถึง 8,500 รอบต่อนาที Hennessey วางแผนที่จะสร้าง Roadster 30 คัน โดยแต่ละคันมีราคา 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มันคือ รถยนต์หรูหรา ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจไร้ขีดจำกัด
Lamborghini Sterrato: ซูเปอร์คาร์ผู้ผจญภัย
เมื่อพูดถึงซูเปอร์คาร์ มักจะหมายถึงความเร็วที่มากขึ้น แต่สำหรับ Huracán รุ่นสุดท้ายที่ใช้เครื่องยนต์ V-10 Lamborghini เลือกที่จะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป: ยางล้อที่มีดอกหยาบ เพิ่มความสูงของช่วงล่าง 1.7 นิ้ว และชุดแต่งรอบคันเพื่อปกป้องรถขับเคลื่อนสี่ล้อคันนี้จากอันตรายนอกเส้นทาง ช่องรับอากาศบนหลังคาและไฟเสริมด้านหน้า ทำให้มันดูเหมือนรถแรลลี่ที่ถูกปรับแต่งมาอย่างดี นำเอาทัศนคติ “ไปได้ทุกที่” มาสู่ตระกูล Lamborghini ในแบบที่คุณคาดไม่ถึง
แม้ Sterrato จะลดกำลังเครื่องยนต์ลง 30 แรงม้า (เหลือ 601 แรงม้า) เพื่อให้ขับขี่ได้ดีขึ้นบนพื้นผิวที่หลวม แต่ยาง Bridgestone Dueler All-Terrain ก็มอบความตื่นเต้นที่แตกต่างออกไปด้วยการลื่นไถล ดริฟต์ผ่านโค้งแคบๆ ในขณะที่ Lamborghini กำลังก้าวเข้าสู่ยุคไฮบริดและไฟฟ้า Sterrato คือการอำลายุคน้ำมันด้วยเสียงระเบิดที่สนุกสนานและไม่เหมือนใคร มันคือ รถยนต์ลิมิเต็ดอิดิชั่น ที่เป็นที่ต้องการของนักสะสมในปี 2025
Pagani Utopia: ความบริสุทธิ์เหนือกาลเวลา
Horacio Pagani ก่อตั้งสตูดิโอซูเปอร์คาร์ในชื่อของเขา หลังจากที่ Lamborghini อดีตนายจ้าง ปฏิเสธการใช้คาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา Pagani Utopia ซึ่งเป็นผู้สืบทอดจาก Huayra ได้นำแนวคิดเรื่องน้ำหนักเบาไปอีกระดับ ด้วยสิ่งที่แบรนด์เรียกว่าแชสซีส์ “Carbo-Titanium” ซึ่งรวมโครงสร้างคาร์บอนและไทเทเนียมเข้ากับเฟรมโครเมียม ทำให้มีน้ำหนักเปล่าเพียง 2,822 ปอนด์
Utopia ซึ่งเป็นชื่อที่อ้างอิงถึงข้อเขียนของ Thomas More ในปี 1516 ยังคงใช้เครื่องยนต์ AMG V-12 ขนาด 852 แรงม้าของ Huayra ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง และมีตัวเลือกเกียร์ธรรมดา Pagani ยังคงยึดมั่นในปรัชญาน้ำหนักเบา โดยเสนอเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์เดี่ยวอัตโนมัติ ซึ่งอาจจะไม่นุ่มนวลเท่าคลัตช์คู่ แต่เบากว่า Pagani กล่าวว่าจะมีการผลิต Utopia ทั้งหมด 99 คัน เมื่อเข้าสู่สายการผลิต ซึ่งเป็นการรักษาแนวคิดที่ว่าสถานที่ในอุดมคตินั้นสงวนไว้สำหรับคนไม่กี่คนเท่านั้น นี่คือ รถยนต์สั่งผลิตพิเศษ ที่เป็นงานศิลปะและวิศวกรรมชิ้นเอก
Lamborghini Revuelto: บทใหม่แห่งเครื่องยนต์ V12 ไฮบริด
เครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6.5 ลิตร วางกลางลำตัว เป็นเอกลักษณ์ของเรือธง Lamborghini Murciélago และ Aventador และแบรนด์อิตาลีนี้ก็ก้าวเข้าสู่ยุคไฟฟ้าด้วยการรักษาเครื่องยนต์ขนาดใหญ่เป็นหัวใจสำคัญของระบบขับเคลื่อนไฮบริดใหม่ เครื่องยนต์สันดาป 814 แรงม้า เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ทำให้สัตว์ประหลาดรูปลิ่มคันนี้มีกำลังถึง 1,001 แรงม้า ซึ่งเป็นผลผลิตสูงสุดของปลั๊กอินไฮบริดใดๆ ที่น่าสังเกตคือ กำลังสี่หลักนี้ทำได้โดยไม่ใช้เทอร์โบชาร์จเจอร์ ซึ่งอาจลดเสียงคำรามของท่อไอเสียได้
ด้วยการอัปเดตมากมายใน Revuelto ตั้งแต่ห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้น ไปจนถึงเกียร์คลัตช์คู่ที่เปลี่ยนได้นุ่มนวลขึ้น ซึ่งรอคอยมานาน เรือธงใหม่ของ Lamborghini ควรจะสร้างความประทับใจให้กับคู่แข่งได้อย่างแน่นอน Revuelto คือการประกาศยุคใหม่ของ Lamborghini ที่ผสานขุมพลัง V12 อันเป็นเอกลักษณ์เข้ากับ เทคโนโลยีไฮบริดล้ำสมัย แห่งปี 2025
Porsche 911 GT3 RS: นักขับผู้บริสุทธิ์
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1999 Porsche 911 GT3 ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้รับสมญานามว่า “สุดยอดรถสปอร์ต” อย่างถูกต้อง เป็นรถที่มอบความตื่นเต้นบนท้องถนนและมีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมบนสนามแข่ง GT3 คือคำจำกัดความที่แท้จริงของรถยนต์สำหรับนักขับ
GT3 RS ล่าสุด ได้ยกระดับทุกสิ่งขึ้นไปอีกขั้น ด้วยปีกหลังขนาดใหญ่ที่สร้างแรงกดมหาศาลสำหรับการเข้าโค้งราวกับเกาะติดราง เครื่องยนต์แฟลตซิกซ์ 4.0 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศที่ให้กำลัง 518 แรงม้า และเร่งรอบได้ถึง 9,000 รอบต่อนาที พร้อมช่วงล่างที่ปรับได้เต็มที่ราวกับอ่านใจคนขับได้ RS คือขีปนาวุธในสนามแข่งที่มีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนนักขับที่ดีให้เป็นนักขับที่ยอดเยี่ยม ในปี 2025 GT3 RS ยังคงเป็นหนึ่งใน สุดยอดรถยนต์แห่งอนาคต ที่มุ่งเน้นประสบการณ์การขับขี่ที่บริสุทธิ์ที่สุด
Maserati MC20 Cielo: การกลับมาของความสง่างาม
ในขณะที่ Maserati MC12 จากปี 2005 ถือเป็นซูเปอร์คาร์ที่แท้จริงคันแรกของแบรนด์อิตาลี แต่ก็เป็นเพียง Ferrari Enzo ที่ถูกปรับแต่งเพียงเล็กน้อย และผลิตในจำนวนน้อยมากเพื่อนำ Maserati กลับสู่สนามแข่ง MC20 วางกลางเครื่องยนต์ มีความน่าเชื่อถือมากกว่าในฐานะซูเปอร์คาร์ที่แท้จริง ด้วยโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ เครื่องยนต์ V-6 ทวินเทอร์โบ 3.0 ลิตร 621 แรงม้า (พัฒนาขึ้นภายในบริษัท) และไดนามิกและความคล่องตัวแบบซูเปอร์คาร์ที่เหมาะสม
เปิดตัวในรูปแบบคูเป้ประตูแบบปีกนกในปี 2020 รุ่นเปิดประทุน Cielo ล่าสุดยิ่งน่าดึงดูดใจ ทั้งสองรุ่นเสนออัตราเร่งที่รวดเร็วอย่างน่าทึ่ง การควบคุมที่เหมือนรถแข่ง และความสามารถในการเป็นรถขับเคลื่อนประจำวัน คาดว่าจะมีรุ่นไฟฟ้าเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้ MC20 คือสัญลักษณ์ของการฟื้นคืนชีพของ Maserati ในตลาด ซูเปอร์คาร์ และเป็น ดีไซน์รถยนต์ ที่น่าจับตามอง
Zenvo Aurora: แสงเหนือแห่งไฮเปอร์คาร์
Zenvo แบรนด์จากเดนมาร์ก ตั้งชื่อรถจรวดรุ่นใหม่และทรงพลังที่สุดของพวกเขาตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันหายาก นั่นคือแสงเหนือ (aurora borealis) ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีเมื่อพิจารณาว่า Aurora มีเป้าหมายที่จะเร่งความเร็วใกล้ความเร็วแสง ด้วยเครื่องยนต์ V-12 ควอดเทอร์โบชาร์จ 6.6 ลิตร ที่เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 1,850 แรงม้า รถคันนี้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาประมาณ 2.0 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 280 ไมล์ต่อชั่วโมง
จะมีให้เลือกสองรุ่นเมื่อรถเข้าสู่สายการผลิตในปี 2025 ได้แก่ รุ่น Agil ที่เน้นสนามแข่ง ขับเคลื่อนล้อหลัง และรุ่น Tur grand tourer ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ เรามองว่ามันเป็นผู้บุกเบิกคนสำคัญในตลาด ไฮเปอร์คาร์ แห่งปี 2025
Gordon Murray T.50s Niki Lauda: บทเพลงสุดท้ายของ V12 ธรรมชาติ
Gordon Murray คืออัจฉริยะเบื้องหลังรถยนต์ McLaren F1 ดั้งเดิม รวมถึงความโดดเด่นของ McLaren ใน Formula One ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 และเขายังไม่หยุดสร้างสรรค์เครื่องจักรสมรรถนะสูงที่น่าทึ่ง T.50S Niki Lauda ของ GMA เป็นซูเปอร์คาร์สำหรับสนามแข่งเท่านั้น ที่เบากว่าและทรงพลังกว่า T.50 รุ่นที่ใช้บนถนน
ขีปนาวุธที่สร้างจากคาร์บอนไฟเบอร์มูลค่า 3.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-12 ขนาด 3.9 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศจาก Cosworth ที่ได้รับการปรับแต่งให้ผลิตกำลัง 772 แรงม้า ด้วยน้ำหนักเพียง 1,924 ปอนด์ GMA ระบุว่าอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักต่อตันนั้นเกินกว่ารถยนต์ LMP1 แบบไร้ระบบอัดอากาศอย่างเห็นได้ชัด T.50s Niki Lauda เป็นบทสรุปที่ยอดเยี่ยมของ เครื่องยนต์ V12 ธรรมชาติ และเป็น รถยนต์สะสม ที่พิเศษสุดสำหรับนักขับผู้บริสุทธิ์
Ferrari 12Cilindri: สดุดี V12 ที่ยังคงยืนหยัด
ในขณะที่ซูเปอร์คาร์ส่วนใหญ่กำลังหาวิธีทำให้ระบบไฮบริดทำงานได้อย่างสมบูรณ์ วิศวกรของ Ferrari กลับไม่ประทับใจกับแนวคิดนั้นมากนัก ดังนั้น ผู้สืบทอด GT ของ 812 Superfast อย่าง 12Cilindri จึงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V-12 ขนาดใหญ่แบบไร้ระบบอัดอากาศ นักออกแบบ Flavio Manzoni และทีมงานของเขาควรได้รับเสียงปรบมือสำหรับรูปทรงและเส้นสายโดยรวมของ 12Cilindri ที่มีราคาเริ่มต้นที่ 417,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งดูดีกว่า Daytona คูเป้ดั้งเดิมที่มันให้เกียรติเสียอีก
เครื่องยนต์ขนาด 6.5 ลิตรนั้นสามารถเร่งรอบได้ถึง 9,250 รอบต่อนาที และให้กำลัง 819 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 ฟุต-ปอนด์ ในปี 2025 การที่ Ferrari ยังคงนำเสนอเครื่องยนต์ V12 แบบธรรมชาติถือเป็นการประกาศจุดยืนที่แข็งแกร่ง และเป็นความยินดีสำหรับผู้ที่หลงใหลในเสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ มันคือ สุดยอดรถยนต์แห่งอนาคต ที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณแห่งตำนานไว้
Lamborghini Sián FKP 37: ประกายไฟแห่งอนาคต
Sián หมายถึง “สายฟ้าแลบ” ในภาษาโบโลญญา ซึ่งเป็นชื่อที่เหมาะสมสำหรับ Lamborghini V-12 ไฮบริดคันนี้ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกจากแบรนด์อิตาลี (FKP 37 เป็นการให้เกียรติ Ferdinand Karl Piëch อดีตประธานกลุ่ม Volkswagen และปีเกิดของเขา) การผสมผสานของเครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า 25 กิโลวัตต์ ทำให้มีกำลัง 808 แรงม้า ซึ่งจะพาผู้โดยสารไปถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาไม่ถึง 2.8 วินาที
การผลิต Sián ถูกจำกัดไว้ที่ 63 คันสำหรับรุ่นคูเป้ และ 19 คันสำหรับรุ่นโรดสเตอร์ ซึ่งทั้งหมดขายหมดในทันที ด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม บางคันก็ถูกนำมาขายในตลาดในราคา 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Sián คือสะพานเชื่อมที่สำคัญสู่ยุคไฟฟ้าของ Lamborghini และเป็น ไฮเปอร์คาร์ไฮบริด ที่น่าจับตามอง
Bugatti Tourbillon: มรดกแห่งความหรูหราที่ถูกปฏิวัติ
ผู้สืบทอด Chiron อ้างว่าเป็นครั้งแรกของ Bugatti ในหลายๆ ด้าน: เป็นครั้งแรกที่มีเครื่องยนต์ V-16, เป็น Bugatti ไฟฟ้าคันแรก และเป็น Bugatti คันแรกภายใต้การดูแลของ CEO คนใหม่ Mate Rimac คูเป้มูลค่ากว่า 4.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้ มีขนาดเล็กกว่าและเบากว่า Chiron ซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นนักเมื่อเปลี่ยนรถยนต์สันดาปไปเป็นไฮบริด แต่ Rimac และทีมวิศวกรและนักออกแบบใน Molsheim ก็สามารถทำได้สำเร็จผ่านการรวมชิ้นส่วนเข้ากับโครงสร้างโมโนค็อกอย่างชาญฉลาด
ด้วยขุมพลัง 1,800 แรงม้า ความเร็วสูงสุดของ Tourbillon ตามที่ตัวแทนของ Bugatti และเอกสารแถลงข่าวระบุไว้คือ 276 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่โปรดสังเกตว่ามาตรวัดความเร็วที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนาฬิกาสวิส สามารถทำได้ถึง 550 KPH หรือ 341 ไมล์ต่อชั่วโมง คาดว่าจะมีความเร็วสูงกว่า 300 ไมล์ต่อชั่วโมง Tourbillon คือนิยามใหม่ของ รถยนต์หรูหรา และ ไฮเปอร์คาร์ ในยุค 2025
McLaren Speedtail: Hyper-GT แห่งอนาคต
Speedtail คือ McLaren คันที่สองที่นำเสนอเบาะนั่งสามที่นั่ง โดยคันแรกคือ McLaren F1 ที่ปฏิวัติวงการ ด้วยจำนวนการผลิตเพียง 106 คัน แต่ละคันขายไปแล้วอย่างน้อย 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไฮบริด 1,035 แรงม้า ที่ทำความเร็วได้ 250 ไมล์ต่อชั่วโมงคันนี้ จะดึงดูดสายตาไม่ว่าจะจอดอยู่ในสนามประกวดหรือพุ่งทะยานผ่านคุณบนทางหลวง (และมันจะเป็นภาพเบลอ: Speedtail จะเร่งจากหยุดนิ่งถึง 186 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 13 วินาที)
ความมหัศจรรย์มีอยู่มากมายใน Speedtail ตั้งแต่ปีกคาร์บอนไฟเบอร์ที่ยืดหยุ่นซึ่งรวมอยู่ในส่วนท้าย ไปจนถึงชุดเครื่องมือทองคำ 24K ที่มาพร้อมกับรถ แต่ตัวเลือกการปรับแต่งเองคือจุดที่ซูเปอร์คาร์เหล่านี้เปล่งประกาย ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการให้ฝุ่นเพชรบดละเอียดรวมอยู่ในสี McLaren ก็สามารถทำได้ หรือหากคุณต้องการตราสัญลักษณ์แพลตตินัมที่ด้านหน้า ก็มีให้เลือกเช่นกันในราคา 56,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ Speedtail คือ สุดยอดรถยนต์ ที่ผสมผสานความเร็ว ความหรูหรา และการปรับแต่งเฉพาะบุคคล
อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหล
ปี 2025 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแม้โลกยานยนต์จะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด ความหลงใหลในซูเปอร์คาร์ก็ยังคงอยู่และเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รถยนต์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นพาหนะ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางวิศวกรรม การออกแบบที่ไร้ขีดจำกัด และความทะเยอทะยานของมนุษย์ พวกมันคือการลงทุนที่จับต้องได้และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไป
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้ ผมเชื่อว่าเรากำลังอยู่ในยุคทองของซูเปอร์คาร์ ที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ผลักดันขีดจำกัดไปพร้อมกับการรักษาแก่นแท้ของความตื่นเต้นในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้าที่เงียบเชียบแต่ดุดัน หรือเสียงคำรามของเครื่องยนต์สันดาปที่ยังคงตราตรึงใจ รถยนต์เหล่านี้คือตำนานที่จะถูกเล่าขานต่อไป
แล้วคุณล่ะ? ซูเปอร์คาร์คันไหนที่จุดประกายความฝันของคุณ หรือมีรุ่นใดที่คุณคิดว่าควรค่าแก่การอยู่ในลิสต์นี้? อย่าเก็บความเห็นไว้คนเดียว ร่วมแบ่งปันความหลงใหลของคุณกับเราได้ที่ [ลิงก์เว็บไซต์/ช่องทางโซเชียลมีเดียของคุณ] และหากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์ ซูเปอร์คาร์ หรือ ไฮเปอร์คาร์ แห่งยุค 2025 ด้วยตัวคุณเอง หรือต้องการคำแนะนำในการลงทุนใน รถยนต์สะสม เหล่านี้ โปรดติดต่อเราวันนี้! เราพร้อมให้คำปรึกษาและช่วยให้คุณได้เป็นเจ้าของความฝันอันเร้าใจนี้
25 สุดยอดซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 (อัปเดต 2025): นิยามความเป็นเลิศแห่งยนตรกรรม
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการยานยนต์สมรรถนะสูงมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ทั้งนวัตกรรมที่ก้าวกระโดด เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และปรัชญาการออกแบบที่ท้าทายทุกขีดจำกัด แม้โลกยานยนต์จะกำลังมุ่งสู่ยุคแห่งรถยนต์ไฟฟ้าและระบบขับขี่อัตโนมัติ แต่มนต์เสน่ห์ของ “ซูเปอร์คาร์” และ “ไฮเปอร์คาร์” ก็ยังคงร้อนแรงและเป็นที่ปรารถนาอย่างไม่เสื่อมคลาย
ปี 2025 นี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง เรากำลังอยู่ในจุดบรรจบของโลกอนาล็อกอันบริสุทธิ์ของเครื่องยนต์สันดาปภายใน กับโลกดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและปัญญาประดิษฐ์ ยนตรกรรมเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่พาหนะ แต่คือประติมากรรมที่ขับเคลื่อนได้ เป็นเครื่องจักรแห่งความฝันที่กระตุ้นจินตนาการ และเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางวิศวกรรมที่ไร้ขีดจำกัด การรวบรวมรายชื่อ 25 สุดยอดซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 (ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน) จึงเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ก็เต็มไปด้วยความหลงใหลอย่างที่สุด
ลิสต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การจัดอันดับจากความเร็วสูงสุดหรือตัวเลขแรงม้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรถยนต์ที่สร้างแรงบันดาลใจ ยกระดับมาตรฐานนวัตกรรม หรือแม้กระทั่งเป็นดั่งภาพวาดในจินตนาการวัยเด็กที่อยากจะครอบครอง รถยนต์เหล่านี้คืออนาคตของคลาสสิก และเป็นข้อพิสูจน์ว่าจิตวิญญาณแห่งยนตรกรรมจะไม่เคยเลือนหายไปไหน ผู้ที่หลงใหลในความเร็วและศิลปะแห่งวิศวกรรมจะต้องตื่นเต้นกับรายชื่อต่อไปนี้อย่างแน่นอน
McLaren F1 (1992)
แม้จะเป็นรถยนต์จากศตวรรษที่แล้ว แต่ McLaren F1 คือจุดเริ่มต้นและมาตรฐานที่ทุกซูเปอร์คาร์ในยุคต่อมาต้องเอาชนะ ผมยังจำความรู้สึกที่ได้เห็นตัวเลขความเร็วสูงสุด 231 ไมล์ต่อชั่วโมงในปี 1992 ได้ดี มันคือความเร็วที่ไร้สติ ไร้คู่แข่งในยุคนั้น ด้วยโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา เครื่องยนต์ BMW V-12 ขนาด 6.1 ลิตร 627 แรงม้า และการมุ่งเน้นลดน้ำหนักทุกส่วน ทำให้มันทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.2 วินาที ด้วยราคาเปิดตัวเกือบ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนั้น วันนี้หากมีโอกาสได้เห็น 1 ใน 106 คันนี้ออกสู่ตลาด คุณอาจจะต้องเตรียมเงินสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ F1 ไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่คือตำนานที่ยังคงมีชีวิตในฐานะสุดยอดซูเปอร์คาร์ตลอดกาล และเป็น การลงทุนในซูเปอร์คาร์ ที่ดีที่สุดประการหนึ่ง
Ferrari LaFerrari (2013)
ปี 2013 เป็นปีทองของซูเปอร์คาร์อย่างแท้จริง ด้วยการเปิดตัวของ “Holy Trinity” จาก McLaren, Porsche และ Ferrari ซึ่ง Ferrari LaFerrari คือหนึ่งในนั้น ด้วย เครื่องยนต์ V12 ไร้เทอร์โบ ที่คำรามอย่างดุดัน ผสมผสานกับระบบไฮบริด ทำให้มันเป็น ไฮเปอร์คาร์ ที่ทรงพลังถึง 950 แรงม้า ด้วยชื่อที่บ่งบอกถึงความเป็นแก่นแท้ของ Ferrari LaFerrari ไม่ได้เป็นเพียงจุดสูงสุดของยุคสมัยเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในม้าลำพองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยกับความบริสุทธิ์ของเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำให้มันยังคงเป็นที่ต้องการในตลาด รถยนต์หายาก ปี 2025
McLaren P1 (2013)
ในบรรดา Holy Trinity นั้น McLaren P1 คือผู้เล่นหน้าใหม่ที่พิสูจน์ตัวเองอย่างรวดเร็ว แม้ McLaren จะเคยสร้างตำนาน F1 มาแล้ว แต่การกลับมาในยุคใหม่พร้อมกับ P1 ก็เปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่ P1 ใช้โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ขั้นสูง ผสมผสานกับระบบไฮบริดที่ให้กำลัง 903 แรงม้า ทำให้มันมีน้ำหนักเบาและมีความคล่องตัวสูง เป็นคู่แข่งที่สมศักดิ์ศรีกับแบรนด์รถสปอร์ตระดับโลกอื่นๆ P1 ได้วางรากฐานให้กับแนวคิด รถยนต์ไฮบริดสมรรถนะสูง ที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปี 2025
Porsche 918 Spyder (2013)
Porsche 918 Spyder คือผู้เปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง มันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ในวงการซูเปอร์คาร์ได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.6 ลิตร ไร้เทอร์โบ 599 แรงม้า ผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ทำให้มีกำลังรวม 877 แรงม้า พร้อมแรงบิดมหาศาลที่มาในทันที 918 คันถูกผลิตและขายหมดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้า Porschephiles VIP ที่ต้องการครอบครอง Porsche สมรรถนะสูงสุด รุ่นนี้ การผลิตสิ้นสุดลงในปี 2015 แต่ 918 ยังคงเป็น รถสะสม ที่น่าปรารถนาอย่างยิ่งในปี 2025 และราคาของมันก็พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Ferrari SF90 Stradale (2020)
แม้ยุคสมัยของเครื่องยนต์ V12 ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Maranello อาจจะค่อยๆ จางหายไป แต่ SF90 Stradale ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 ก็ยังคงมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย ด้วยแรงบันดาลใจจากรถแข่ง Formula 1 ของ Ferrari SF90 Stradale คือ ไฮเปอร์คาร์ ที่ไม่อ้อมค้อม ด้วยกำลัง 1,000 แรงม้า จากมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวและเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ การผสมผสานประสิทธิภาพของระบบไฮบริดที่ยอดเยี่ยม กับรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตา ทำให้ SF90 Stradale คือการประกาศว่า Ferrari ยังคงมุ่งมั่นใน นวัตกรรมยานยนต์ โดยไม่ทิ้งรากฐานอันเป็นตำนาน
SSC Tuatara (2020)
เป้าหมายของ SSC North America จากรัฐวอชิงตันคือการสร้างรถยนต์ที่วิ่งได้เกิน 300 ไมล์ต่อชั่วโมง และ SSC Tuatara คือความพยายามล่าสุด ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาของ Tuatara (ตั้งชื่อตามกิ้งก่าหนามในนิวซีแลนด์) บรรจุเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบขนาด 5.9 ลิตรที่ให้กำลังมหาศาลถึง 1,726 แรงม้า แม้จะมีข้อถกเถียงเรื่องสถิติความเร็ว แต่ Tuatara ก็ได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการทำความเร็วเฉลี่ย 282.9 ไมล์ต่อชั่วโมง และล่าสุดคือ 295 ไมล์ต่อชั่วโมง การผลิตถูกจำกัดเพียง 100 คัน ราคาเริ่มต้นที่ 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Tuatara ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในการแข่งขันเพื่อตำแหน่ง รถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก
Aston Martin Valkyrie (2021)
Valkyrie คือจุดสูงสุดของ Aston Martin ในด้าน สมรรถนะรถยนต์ที่ใช้งานบนถนน มันคือผลลัพธ์เมื่อคุณนำเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร 1,000 แรงม้า ผสานกับระบบไฮบริด-ไฟฟ้า 160 แรงม้าที่พัฒนาโดย Rimac ลงในโครงสร้างคาร์บอนโมโนค็อกที่เบาและแข็งแรงเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น รถคันนี้ยังได้รับการออกแบบโดย Adrian Newey ผู้เป็นดุจตำนานแห่งวงการ Formula 1 การผลิตจำกัดเพียง 150 คัน แต่ละคันมีราคา 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Valkyrie คือตัวแทนของ การออกแบบรถยนต์ ที่ผสานศิลปะและความล้ำหน้าเข้าด้วยกัน
Rimac Nevera (2021)
Rimac Nevera ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการซูเปอร์คาร์ ด้วยกำลัง 1,914 แรงม้าที่ส่งไปยังล้อทั้งสี่จากพลังงานแบตเตอรี่ Nevera ได้ทำลายสถิติความเร็วของรถยนต์สันดาปภายในหลายรายการ Rimac Nevera ไม่ใช่แค่รถยนต์ที่น่าทึ่ง แต่ยังเป็นผลงานของ Mate Rimac อัจฉริยะชาวโครเอเชียวัย 33 ปีที่ก่อตั้งบริษัทในปี 2011 ผลกระทบของ Nevera ไม่ได้หยุดอยู่แค่สถิติความแรงเท่านั้น แต่ในปี 2021 Rimac ได้เข้าซื้อหุ้นใหญ่ใน Bugatti ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเข้ามาของ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังพลิกโฉมวงการซูเปอร์คาร์อย่างแท้จริง Nevera คือสัญลักษณ์ของยุคใหม่แห่ง ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า
Mercedes-AMG One (2022)
ทำไมรถยนต์ที่เพิ่งเริ่มผลิตถึงติดอันดับ “สุดยอด” ของศตวรรษที่ 21 ได้? เพราะ Mercedes-AMG One คือรถแข่ง Formula 1 ที่ได้รับอนุญาตให้วิ่งบนถนนจริง ด้วยความมั่นใจในสมรรถนะ 1,000 แรงม้า มันจะยังคงเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจไปอีกหลายปี รถคันนี้ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 ในฐานะแนวคิด Project One และต้องเผชิญกับความท้าทายทางเทคนิคมากมายในการทำให้เครื่องยนต์ไฮบริดเทอร์โบ V6 ขนาด 1.6 ลิตรจาก F1 สามารถใช้งานบนถนนได้ คาดว่าจะทำความเร็ว 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาไม่ถึง 6 วินาที และความเร็วสูงสุด 217 ไมล์ต่อชั่วโมง ไม่น่าแปลกใจที่ 275 คันที่ผลิตออกมาในราคา 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ถูกจับจองไปหมดแล้ว One คือบทพิสูจน์ของการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่ถนนจริง
Koenigsegg Jesko (2020)
ในปี 2017 Christian von Koenigsegg จากสวีเดน ได้เห็น Agera RS ของเขาเป็น รถยนต์โปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็ว 277.9 ไมล์ต่อชั่วโมง และ Jesko ซึ่งเป็นผู้สืบทอด (ตั้งชื่อตามพ่อของ Christian) ก็มาพร้อมปีกหลังขนาดใหญ่และ 1,660 แรงม้า Jesko อาจมีความสามารถที่จะทำลายสถิติ 304.7 ไมล์ต่อชั่วโมงของ Bugatti Chiron Super Sport ได้ เทคโนโลยีความเร็วสูงของ Jesko มูลค่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึงเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบขนาด 5.0 ลิตร ที่มีเพลาข้อเหวี่ยง V8 ที่เบาที่สุดในโลก หนักเพียง 28 ปอนด์ ไม่น่าแปลกใจที่ 125 คันที่ผลิตออกมาได้ถูกขายล่วงหน้าไปหมดแล้ว Jesko คือการแสวงหา ความเร็วสูงสุด อย่างไม่หยุดยั้ง
Pininfarina Battista (2020)
ชื่อ Pininfarina คือตำนานในวงการยานยนต์ สตูดิโอออกแบบสัญชาติอิตาลีแห่งนี้มีความสัมพันธ์อันยาวนานกับ Ferrari และสร้างสรรค์รถยนต์ไอคอนิกมากมาย และด้วยความช่วยเหลือจาก Mahindra Group และอัจฉริยะด้าน EV อย่าง Rimac ทำให้เกิด Pininfarina Battista ขึ้นมา Battista คือ ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า ที่งดงามอย่างแท้จริง ด้วยกำลัง 1,900 แรงม้า และแรงบิด 1,696 ฟุต-ปอนด์ จากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 120 kWh และมอเตอร์สี่ตัว ทำให้คูเป้สองที่นั่งคันนี้สามารถทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 1.8 วินาที และ 0-300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 12 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 217 ไมล์ต่อชั่วโมง และระยะทางวิ่งกว่า 230 ไมล์ Battista คือการผสมผสาน ความหรูหราและสมรรถนะ ในโลก EV
Lotus Evija (2020)
Evija คือ รถยนต์ถนนที่ผลิตจำนวนมาก ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ด้วยกำลังอันน่าทึ่ง 2,011 แรงม้า และแรงบิด 1,256 ฟุต-ปอนด์ ทำให้รถคันนี้สามารถทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาไม่ถึง 3 วินาที และ 0-300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 9.1 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุดจำกัดที่ 217 ไมล์ต่อชั่วโมง นี่คือ Lotus Evija รถยนต์ไฟฟ้าล้วนจากผู้ผลิตรถสปอร์ตสัญชาติอังกฤษอันโด่งดัง ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์โมโนค็อก Aerodynamics ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Le Mans และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ล้ำสมัย Evija จะถูกผลิตเพียง 130 คัน ราคาประมาณ 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มันคืออนาคตของ Lotus และ ไฮเปอร์คาร์แห่งอนาคต
Ferrari Daytona SP3 (2022)
ซีรีส์ Icona ของ Ferrari คือการยกย่องอดีตด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาห่อหุ้มด้วยรูปลักษณ์ย้อนยุค Daytona SP3 เป็น Icona ลำดับที่สาม ที่ย้อนรำลึกถึง Ferrari 330 P4 ซึ่งคว้าชัยชนะอันดับ 1, 2 และ 3 ในรายการ 24 Hours of Daytona ปี 1967 แม้จะมีช่องดักอากาศและหลักอากาศพลศาสตร์ที่ใช้งานได้จริง แต่จิตวิญญาณของ SP3 คือความหวนรำลึกถึงอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องยนต์ V12 ไร้เทอร์โบ ที่หมุนรอบสูงสุด 9,500 รอบต่อนาที ให้กำลัง 829 แรงม้า Daytona SP3 มูลค่า 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 599 คัน จะเป็นดั่ง งานศิลปะที่เคลื่อนที่ได้ สำหรับเจ้าของ และเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ของเครื่องยนต์สันดาปภายใน
Hennessey Venom F5 Roadster (2022)
ผมหลงรัก Venom F5 Coupe ที่บ้าระห่ำ 1,817 แรงม้า จาก John Hennessey ผู้สร้างซูเปอร์คาร์จากเท็กซัสอย่างแท้จริง เมื่อเปิดตัวในปี 2021 Venom F5 ทั้งเร็ว ดุดัน และออกแบบมาเพื่อทำลายกำแพง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง แม้จะยังไม่ถึงเป้าหมายนั้น แต่ความเร็วสูงสุด 271.6 ไมล์ต่อชั่วโมงก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอย่างชัดเจน ตอนนี้ถึงตาของ Venom F5 Roadster ที่จะพยายามทำความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ “Fury” ขนาด 6.6 ลิตร 1,817 แรงม้าเช่นเดียวกับรุ่นคูเป้ Hennessey วางแผนที่จะสร้าง Roadster 30 คัน แต่ละคันมีราคา 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การได้ขับขี่โดยถอดหลังคาออก และได้ยินเสียงเครื่องยนต์ V8 คำรามคือความสุขที่แท้จริง
Lamborghini Sterrato (2022)
เมื่อพูดถึงซูเปอร์คาร์ มักจะเน้นที่ความเร็วและความแรง แต่สำหรับ Huracán รุ่นสุดท้ายที่ใช้เครื่องยนต์ V10 Lamborghini ได้เลือกความแปลกใหม่อีกแบบ นั่นคือยางดอกหยาบที่ยกสูงขึ้น 1.7 นิ้ว และชุดตกแต่งรอบคันเพื่อป้องกันอันตรายจากการขับขี่แบบออฟโรด Sterrato แม้จะลดแรงม้าลง 30 ตัวเหลือ 601 แรงม้า เพื่อประโยชน์ในการขับขี่บนพื้นผิวที่หลวม แต่ยาง Bridgestone Dueler All-Terrain ก็มอบประสบการณ์ที่แตกต่าง ให้ความตื่นเต้นในการลื่นไถล ดริฟต์ผ่านโค้งแคบๆ ในขณะที่ Lamborghini ก้าวเข้าสู่ยุคไฮบริดและไฟฟ้า Sterrato คือการอำลาเครื่องยนต์สันดาปด้วยเสียงคำรามที่น่าประทับใจ
Pagani Utopia (2022)
Horacio Pagani ได้ก่อตั้งสตูดิโอซูเปอร์คาร์ของเขาขึ้นหลังจาก Lamborghini นายจ้างคนก่อนหน้าปฏิเสธการใช้คาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา Utopia ซึ่งเป็นรุ่นต่อจาก Huayra ได้นำแนวคิดการลดน้ำหนักไปอีกระดับ ด้วยโครงสร้าง “Carbo-Titanium” ที่รวมคาร์บอนและไทเทเนียมเข้ากับเฟรมย่อยโครเมียม ทำให้มีน้ำหนักแห้งเพียง 2,822 ปอนด์ Utopia ยังคงใช้เครื่องยนต์ AMG V12 852 แรงม้าของ Huayra ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง และยังมีตัวเลือกเกียร์ธรรมดาให้เลือกอีกด้วย Pagani จะผลิต Utopia เพียง 99 คัน ซึ่งสะท้อนปรัชญาว่า รถยนต์หรูหายาก ที่สมบูรณ์แบบนั้นสงวนไว้สำหรับคนเพียงไม่กี่คน
Lamborghini Revuelto (2023)
เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร วางกลางลำ เป็นเอกลักษณ์ของเรือธง Lamborghini อย่าง Murciélago และ Aventador และแบรนด์อิตาลีนี้ได้ก้าวเข้าสู่ยุคไฟฟ้าด้วยการรักษาเครื่องยนต์ V12 ขนาดใหญ่ให้เป็นหัวใจสำคัญของระบบขับเคลื่อนไฮบริดใหม่นี้ ด้วยการเสริมเครื่องยนต์เบนซิน 814 แรงม้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ทำให้สัตว์ประหลาดรูปทรงลิ่มคันนี้มีกำลังถึง 1,001 แรงม้า นับเป็น Plug-in Hybrid ที่ทรงพลังที่สุดที่ไม่มีเทอร์โบชาร์จเจอร์ Revuelto มาพร้อมการอัปเดตมากมาย ตั้งแต่ห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้น ไปจนถึงเกียร์ Dual-Clutch ที่เปลี่ยนได้นุ่มนวลกว่าที่รอคอยมานาน Revuelto จึงเป็นผู้นำรุ่นใหม่ของ Lamborghini ที่จะสร้างความประทับใจให้คู่แข่งอย่างแน่นอน
Porsche 911 GT3 RS (2022)
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1999 Porsche 911 GT3 ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้รับการยกย่องว่าเป็น “สุดยอดรถสปอร์ต” อย่างแท้จริง GT3 คือนิยามที่แท้จริงของ รถยนต์สำหรับนักขับ ให้ความเร้าใจบนท้องถนนและมีความสามารถสูงในสนามแข่ง GT3 RS รุ่นล่าสุดได้ยกระดับทุกสิ่งขึ้นไปอีกขั้น ด้วยปีกหลังขนาดใหญ่ที่สร้างแรงกดมหาศาลเพื่อการเข้าโค้งที่แม่นยำ เครื่องยนต์ Flat-six ขนาด 4.0 ลิตร ไร้เทอร์โบ ให้กำลัง 518 แรงม้า และหมุนรอบสูงสุด 9,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบช่วงล่างที่ปรับได้ ซึ่งสามารถ “อ่านใจ” ผู้ขับขี่ได้ GT3 RS คือขีปนาวุธสำหรับสนามแข่งที่มีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนนักขับที่ดีให้เป็นนักขับที่ยอดเยี่ยม
Maserati MC20 Cielo (2022)
Maserati MC12 จากปี 2005 อาจจะเป็นซูเปอร์คาร์ที่แท้จริงคันแรกของแบรนด์อิตาลีนี้ แต่ก็เป็นเพียง Ferrari Enzo ที่พรางตัวมา MC20 ที่วางเครื่องยนต์กลางลำนั้นน่าเชื่อถือกว่ามากในฐานะซูเปอร์คาร์ที่แท้จริง ด้วยโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ เครื่องยนต์ V6 ทวินเทอร์โบขนาด 3.0 ลิตร 621 แรงม้า (พัฒนาขึ้นเอง) และสมรรถนะและความคล่องตัวของซูเปอร์คาร์ที่แท้จริง เปิดตัวในฐานะคูเป้ประตูแบบปีกนกในปี 2020 แต่ Cielo รุ่นเปิดประทุนใหม่ล่าสุดยิ่งดึงดูดสายตามากขึ้น ทั้งสองรุ่นให้การเร่งความเร็วที่รวดเร็ว การควบคุมเหมือนรถแข่ง และความสามารถในการใช้งานประจำวัน มีรุ่นไฟฟ้าล้วนที่กำลังจะเปิดตัวในไม่ช้า MC20 Cielo คือ การลงทุนรถยนต์หรู ที่น่าจับตามอง
Zenvo Aurora (2025)
แบรนด์ Zenvo จากเดนมาร์กตั้งชื่อจรวดลำใหม่ที่ทรงพลังที่สุดตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หายาก นั่นคือ Aurora Borealis ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดี เมื่อพิจารณาว่า Aurora ตั้งเป้าที่จะเร่งความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วแสง (ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น) ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V12 Quad-turbo ขนาด 6.6 ลิตร เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ให้กำลังสูงถึง 1,850 แรงม้า รถคันนี้สามารถทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาประมาณ 2.0 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 280 ไมล์ต่อชั่วโมง Zenvo จะมีให้เลือกสองรุ่นเมื่อรถเริ่มผลิตในปี 2025 ได้แก่ Agil ที่เน้นสนามแข่ง ขับเคลื่อนล้อหลัง และ Tur Grand Tourer ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ เรามองว่านี่คือผู้ท้าชิงรายใหม่ในตลาด ไฮเปอร์คาร์ ที่จะสร้างความปั่นป่วนอย่างแน่นอน
Gordon Murray T.50s Niki Lauda (2021)
Gordon Murray คืออัจฉริยะผู้อยู่เบื้องหลังรถยนต์ McLaren F1 รุ่นดั้งเดิม และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ McLaren ครอบงำ Formula One ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 และวิศวกรวัย 78 ปีผู้นี้ก็ยังคงสร้างเครื่องจักรสมรรถนะสูงที่น่าทึ่งต่อไป T.50s Niki Lauda คือซูเปอร์คาร์สำหรับสนามแข่งเท่านั้น ที่เบากว่าและทรงพลังกว่า T.50 รุ่นที่ใช้บนถนน ขีปนาวุธคาร์บอนไฟเบอร์มูลค่า 3.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V12 ไร้เทอร์โบ ขนาด 3.9 ลิตรจาก Cosworth ที่ปรับแต่งให้ผลิตกำลัง 772 แรงม้า ด้วยน้ำหนักเพียง 1,924 ปอนด์ GMA ระบุว่าอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักต่อตันนั้นสูงกว่ารถ LMP1 ที่ไร้เทอร์โบ T.50s Niki Lauda คือที่สุดของ ประสบการณ์การขับขี่แบบอนาล็อก
Ferrari 12Cilindri (2024)
ในขณะที่ซูเปอร์คาร์ส่วนใหญ่กำลังหาวิธีทำให้ระบบไฮบริดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิศวกรของ Ferrari กลับไม่ประทับใจเท่าไรนัก ดังนั้น 12Cilindri ซึ่งเป็นรถ GT ที่สืบทอดจาก 812 Superfast จึงยังคงขับเคลื่อนด้วย เครื่องยนต์ V12 ไร้เทอร์โบขนาดใหญ่ วิศวกรแห่ง Maranello ควรได้รับคำชมเชย เครื่องยนต์ขนาด 6.5 ลิตรนี้จะหมุนรอบสูงสุด 9,250 รอบต่อนาที และให้กำลัง 819 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 ฟุต-ปอนด์ Flavio Manzoni หัวหน้าทีมออกแบบภายในและทีมงานของเขาควรได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องสำหรับรูปทรงและภาพรวมของ 12Cilindri ที่มีราคาเริ่มต้นที่ 417,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งดูดีกว่า Daytona coupe ดั้งเดิมที่รถคันนี้ได้รับแรงบันดาลใจมา
Lamborghini Sián FKP 37 (2020)
Sián แปลว่า “ฟ้าผ่า” ในภาษาถิ่นโบโลญญา และเป็นชื่อที่เหมาะสมสำหรับ V12 ไฮบริด คันแรกจาก Lamborghini ที่เป็นยานยนต์ไฟฟ้าคันแรกของแบรนด์อิตาลี (FKP 37 เป็นการยกย่อง Ferdinand Karl Piëch อดีตประธานกลุ่ม Volkswagen และปีเกิดของเขา) การผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า 25 กิโลวัตต์ ให้กำลัง 808 แรงม้า ซึ่งจะพาผู้โดยสารทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาไม่ถึง 2.8 วินาที Sián ผลิตจำกัดเพียง 63 คันสำหรับรุ่นคูเป้ และ 19 คันสำหรับรุ่นโรดสเตอร์ ซึ่งทั้งหมดขายหมดทันทีด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่บางคันก็มีราคาในตลาดรองสูงถึง 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Sián คือสะพานเชื่อมระหว่างยุคเครื่องยนต์สันดาปสู่ยุคไฟฟ้าของ Lamborghini
Bugatti Tourbillon (2024)
ผู้สืบทอด Chiron ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับ Bugatti หลายอย่าง: V16 คันแรก, Bugatti ไฟฟ้าคันแรก และ Bugatti คันแรกภายใต้การบริหารของ CEO คนใหม่ Mate Rimac คูเป้มูลค่า 4.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คันนี้มีขนาดเล็กกว่าและเบากว่า Chiron ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเมื่อเปลี่ยนรถยนต์สันดาปเป็นไฮบริด แต่ Rimac และทีมวิศวกรและนักออกแบบใน Molsheim ก็ทำได้สำเร็จด้วยการรวมส่วนประกอบที่ชาญฉลาดเข้ากับแชสซีโมโนค็อก ด้วยกำลัง 1,800 แรงม้า ความเร็วสูงสุดของ Tourbillon ตามที่ตัวแทนของ Bugatti ระบุคือ 276 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่มาตรวัดความเร็วที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนาฬิกาสวิสสามารถแสดงได้ถึง 550 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (341 ไมล์ต่อชั่วโมง) คาดว่าจะสามารถทำความเร็วสูงได้ถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง Tourbillon คือ ความหรูหราสมรรถนะสูง ที่มาพร้อม เทคโนโลยีแห่งอนาคต
McLaren Speedtail (2020)
Speedtail คือ McLaren คันที่สองที่นำเสนอเบาะนั่งสามที่นั่ง โดยคันแรกคือ McLaren F1 ที่ปฏิวัติวงการ ด้วยการผลิตเพียง 106 คัน (แต่ละคันขายในราคาอย่างน้อย 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ไฮบริด 1,035 แรงม้า ที่วิ่งได้ 250 ไมล์ต่อชั่วโมงคันนี้จะดึงดูดทุกสายตา ไม่ว่าจะจอดอยู่บนสนามประกวดรถ หรือพุ่งทะยานผ่านคุณบนทางด่วน (และมันจะพุ่งเป็นเงา: Speedtail จะไปจากหยุดนิ่งถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 13 วินาที) ความมหัศจรรย์มีอยู่ทุกส่วนใน Speedtail ตั้งแต่ปีกหลังคาร์บอนไฟเบอร์ที่ยืดหยุ่นซึ่งรวมเข้ากับส่วนท้ายของตัวถัง ไปจนถึงชุดเครื่องมือทองคำ 24K ที่มาพร้อมกับรถ แต่ตัวเลือกการปรับแต่งเฉพาะบุคคลคือสิ่งที่ทำให้ซูเปอร์คาร์เหล่านี้เปล่งประกาย ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการฝุ่นเพชรบดละเอียดผสมอยู่ในสี McLaren ก็สามารถทำได้ หรือถ้าคุณต้องการตราสัญลักษณ์แพลตตินัมด้านหน้า ก็มีให้เลือกเช่นกันในราคา 56,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ Speedtail คือที่สุดของ การออกแบบยานยนต์ และการปรับแต่งเฉพาะบุคคล
บทสรุปและคำเชิญชวน
จากการเดินทางผ่านโลกของ 25 สุดยอดซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์แห่งศตวรรษที่ 21 ที่ได้รับการอัปเดตสำหรับปี 2025 นี้ เราได้เห็นถึงความหลากหลายทางวิศวกรรม ความทุ่มเทในการสร้างสรรค์ และจินตนาการอันไร้ขอบเขตที่ยังคงผลักดันวงการยานยนต์ไปข้างหน้า ตั้งแต่ตำนานที่ยังคงมีชีวิตอย่าง McLaren F1 ไปจนถึงผู้บุกเบิกแห่งยุคไฟฟ้าอย่าง Rimac Nevera และสัญลักษณ์แห่งความหรูหราอย่าง Bugatti Tourbillon รถยนต์เหล่านี้คือมากกว่าเครื่องจักร พวกมันคือตัวแทนของความปรารถนา มนต์เสน่ห์ และวิสัยทัศน์ที่ไร้ขีดจำกัด
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การผสมผสานระหว่างความบริสุทธิ์ของเครื่องยนต์สันดาปภายในกับประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของระบบไฟฟ้ากำลังสร้างนิยามใหม่ให้กับคำว่า “สมรรถนะสูง” รถยนต์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องยืนยันถึงความเฉลียวฉลาดของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นผลงานศิลปะที่เคลื่อนไหวได้ ซึ่งจะคงคุณค่าและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป
คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับรายชื่อนี้? ซูเปอร์คาร์หรือไฮเปอร์คาร์คันไหนที่ครองใจคุณ หรือมีคันไหนที่คุณคิดว่าควรจะอยู่ในลิสต์นี้? เราอยากรับฟังความคิดเห็นของคุณ มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และความหลงใหลในโลกของยนตรกรรมสมรรถนะสูงนี้ไปพร้อมๆ กัน!

