ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
นี่คือบทความที่คุณร้องขอในภาษาไทย โดยไม่มีคำอธิบายหรือส่วนประกอบอื่นใดนอกเหนือจากเนื้อหาบทความหลัก:
บริษัทจัดการกองทุนระดับโลกชั้นนำปี 2025: กลยุทธ์เพื่อความมั่งคั่งในภูมิทัศน์การลงทุนที่เปลี่ยนแปลง
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการตลาดทุนมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตการณ์และวิเคราะห์พลวัตของตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และในปี 2025 นี้ ภูมิทัศน์การลงทุนทั่วโลกยังคงเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี, ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น, และความผันผวนทางเศรษฐกิจมหภาคที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ท่ามกลางกระแสเหล่านี้ บริษัทจัดการกองทุนขนาดใหญ่ระดับโลกได้พิสูจน์ให้เห็นถึงบทบาทอันทรงอิทธิพล ในฐานะผู้กำหนดทิศทาง, ผู้สร้างนวัตกรรม และผู้ที่ขับเคลื่อนเงินทุนมหาศาลเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนทั่วโลก บทความนี้จะเจาะลึกถึงบริษัทจัดการสินทรัพย์ชั้นนำที่ครองตำแหน่งสูงสุดในปี 2025 พร้อมสำรวจกลยุทธ์, ปรัชญาการลงทุน และอิทธิพลที่พวกเขามีต่ออนาคตของการเงิน
ภูมิทัศน์การลงทุนระดับโลกใน ปี 2025: โอกาสและความท้าทาย
ปี 2025 ถือเป็นปีแห่งการปรับตัวสำหรับนักลงทุน การฟื้นตัวหลังการระบาดใหญ่ได้นำมาซึ่งภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างต้องดำเนินนโยบายที่ละเอียดอ่อนเพื่อควบคุมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่เพียงแต่ปฏิวัติภาคอุตสาหกรรม แต่ยังได้เข้ามาเปลี่ยนโฉมกลยุทธ์การลงทุน ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ไปจนถึงการสร้างพอร์ตการลงทุนแบบอัตโนมัติ
สิ่งที่น่าสังเกตอีกประการคือ การที่เงินทุนจำนวนมหาศาลยังคงกระจุกตัวอยู่กับบริษัทจัดการสินทรัพย์ไม่กี่แห่ง นี่ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของขนาด แต่เป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญ, เครือข่ายทั่วโลก, และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่ยากที่ผู้เล่นรายเล็กจะเทียบได้ บริษัทเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริหารเงินทุน แต่ยังเป็นที่ปรึกษาการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับสถาบันขนาดใหญ่และนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการสร้างผลตอบแทนการลงทุนอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ในบรรดาบริษัทชั้นนำเหล่านี้ มีถึง 7 ใน 10 บริษัทมาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการกองทุนจากยุโรปอย่าง Amundi จากฝรั่งเศส และ Allianz Group จากเยอรมนี ก็ยังคงรักษาตำแหน่งสำคัญในทำเนียบนี้ แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายและศักยภาพของตลาดทุนในภูมิภาคต่างๆ
สิบสุดยอดบริษัทจัดการกองทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกประจำปี 2025
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2025 ระบุว่า บริษัทจัดการกองทุนเหล่านี้ยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง พร้อมด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (Assets Under Management: AUM) ที่บ่งชี้ถึงขนาดและความสามารถในการขับเคลื่อนตลาด
| ลำดับ | บริษัทจัดการกองทุน | ประเทศ | สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) |
|---|---|---|---|
| 10 | Allianz Group | เยอรมนี | 1.91 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| 9 | Invesco | สหรัฐฯ | 1.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| 8 | Amundi | ฝรั่งเศส | 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| 7 | Capital Group | สหรัฐฯ | 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| 6 | Goldman Sachs Group | สหรัฐฯ | 3.17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| 5 | J.P. Morgan Asset Management | สหรัฐฯ | 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| 4 | State Street Global Advisors | สหรัฐฯ | 4.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| 3 | Fidelity Investments | สหรัฐฯ | 5.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| 2 | Vanguard Group | สหรัฐฯ | 10.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| 1 | BlackRock | สหรัฐฯ | 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
ข้อมูล ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2025
เจาะลึกกลยุทธ์และจุดเด่นของผู้เล่นระดับโลก
Allianz Group: ผู้บุกเบิกการลงทุนที่ยั่งยืนและการบริหารความเสี่ยงแบบองค์รวม
Allianz Group ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี ด้วย AUM 1.91 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดโลก แนวทางการลงทุนของ Allianz โดดเด่นด้วยการให้ความสำคัญกับ การลงทุนอย่างยั่งยืน และ การบริหารความเสี่ยง ที่แข็งแกร่งและมีวิสัยทัศน์ระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในยุค 2025 ที่ความไม่แน่นอนสูงมาก
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่าความสำเร็จของ Allianz ไม่ได้มาจากแค่ธุรกิจประกันภัย แต่ยังรวมถึงบริษัทจัดการสินทรัพย์ในเครืออย่าง Allianz Global Investors (AllianzGI) และ PIMCO (Pacific Investment Management Company) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก PIMCO ได้แสดงความสามารถในการนำทางตลาดตราสารหนี้ที่มีความผันผวนสูงได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยกลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจมหภาค และการวิเคราะห์เชิงลึกที่เหนือกว่า สินค้าเด่นอย่าง Allianz Global Sustainability Fund และ Allianz Global Artificial Intelligence Fund สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับเมกะเทรนด์โลกอย่างการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเทคโนโลยี AI ที่กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
Invesco: ประสบการณ์ที่หลอมรวมเป็น “One Team” เพื่อผลลัพธ์ที่เหนือกว่า
Invesco Ltd. ผู้จัดการสินทรัพย์ระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ด้วย AUM 1.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีจุดเด่นอยู่ที่ปรัชญาการทำงานแบบ “One Team” ที่เน้นย้ำถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งผมเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นรากฐานสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์การลงทุนที่เหนือกว่าให้กับลูกค้า การให้ความสำคัญกับ “Culture matters” (วัฒนธรรมองค์กร) และ “Focused execution” (การดำเนินการตามกลยุทธ์ที่เน้นความเร็วและความรับผิดชอบ) ทำให้ Invesco สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อความต้องการที่ซับซ้อนของนักลงทุนได้อย่างรวดเร็ว
ในปี 2025 Invesco ยังคงเน้น กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active ที่ผสมผสานการวิเคราะห์เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อค้นหาโอกาสในตลาดที่อาจถูกมองข้าม กองทุนอย่าง Invesco S&P 500 Index Fund และ Invesco Value Opportunities Fund เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนตามดัชนีตลาด หรือการค้นหามูลค่าในหุ้นที่ถูกประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง
Amundi: ผู้นำการลงทุนแห่งยุโรปกับการผสานนวัตกรรมและความรับผิดชอบ
Amundi ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และอันดับ 8 ของโลก ด้วย AUM 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง Amundi ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำด้านขนาด แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกในการผสาน นวัตกรรมการลงทุน เข้ากับ ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ในปี 2025
ผมมองว่าจุดแข็งของ Amundi อยู่ที่ความมุ่งมั่นในระยะยาวต่อการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ และการใช้เทคโนโลยีวิจัยที่ล้ำสมัยเพื่อสนับสนุนลูกค้าทั่วโลก กองทุนอย่าง Amundi Funds US Equity Fundamental Growth และ Amundi Funds Global Aggregate Bond แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปที่ประเด็น ESG ถูกให้ความสำคัญอย่างมาก Amundi จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของผู้จัดการกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้พร้อมกับสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก
Capital Group: ผู้บุกเบิกการลงทุนเชิงรุกที่ยั่งยืนด้วยวิสัยทัศน์ระยะยาว
Capital Group บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี 1931 และมี AUM สูงถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้รับการยกย่องในเรื่อง สไตล์การจัดการแบบ Active ที่เน้นการวิเคราะห์เชิงลึกและการถือครองสินทรัพย์ระยะยาว ในสภาพแวดล้อมการลงทุนปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน Capital Group พิสูจน์ให้เห็นว่าแนวทางการลงทุนแบบดั้งเดิมที่เน้นความรับผิดชอบและการวิเคราะห์ที่เข้มงวด ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลัง
จากประสบการณ์ของผม Capital Group แตกต่างจากคู่แข่งด้วยการให้ความสำคัญกับ “ผู้คน” เป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์สูงหรือการสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้า กองทุนเช่น Capital Group Global Allocation และ Capital Group New Perspective เป็นตัวอย่างของแนวทางที่เน้นการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่มีความหลากหลายและยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับความท้าทายของตลาดโลก การจ่ายค่าตอบแทนผู้จัดการกองทุนตามผลลัพธ์ ไม่ใช่ปริมาณ AUM ยิ่งตอกย้ำถึงการมุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ของนักลงทุนอย่างแท้จริง
Goldman Sachs Asset Management: ผู้เล่นระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยการวิจัยและนวัตกรรม
Goldman Sachs Asset Management (GSAM) ด้วย AUM 3.17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ตอกย้ำสถานะในฐานะผู้จัดการกองทุนชั้นนำที่ขับเคลื่อนด้วย กระบวนการวิจัยและการคัดเลือกสินทรัพย์ที่เข้มงวด รวมถึงวิสัยทัศน์ระดับโลกที่ครอบคลุม ผมเห็นว่า GSAM ไม่เพียงแต่มุ่งแสวงหาความเป็นเลิศและนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยมองว่าการบริหารความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์สำคัญ
ในปี 2025 GSAM ได้ขยายขอบเขตการลงทุนไปยังสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Assets) และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เพื่อค้นหาแหล่งผลตอบแทนใหม่ๆ ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงผันผวน กองทุนอย่าง Goldman Sachs Global Environmental Impact Equity Portfolio และ Goldman Sachs Global High Yield Portfolio สะท้อนถึงความสามารถในการระบุโอกาสการลงทุนในธีมที่กำลังเติบโตและสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ โดยไม่ละเลยการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
J.P. Morgan Asset Management: พลังแห่งเครือข่ายระดับโลกและความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย
J.P. Morgan Asset Management ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ JPMorgan Chase และมี AUM กว่า 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั่วโลก นำเสนอ บริการจัดการลงทุนที่ครอบคลุม ตั้งแต่หุ้น, ตราสารหนี้, พอร์ตโฟลิโอแบบ Multi-asset, เครื่องมือทางเลือก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ตลาดเงิน สิ่งที่โดดเด่นคือขนาดขององค์กรและทรัพยากรการวิจัยภายในที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่ปี 1871
จากมุมมองของผม J.P. Morgan Asset Management มีจุดเด่นอยู่ที่ความสามารถในการผสานการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคเข้ากับการวิจัยเชิงลึกระดับบริษัท ทำให้พวกเขาสามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้อย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมตลาดปี 2025 ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กองทุนอย่าง JPMorgan America Equity Fund และ JPMorgan Global Dividend Fund เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนแบบ Active เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าดัชนี การมีทีมงานมืออาชีพกว่า 2,300 คนทั่วโลก ทำให้พวกเขาสามารถให้บริการลูกค้าสถาบัน, ตัวกลางทางการเงิน, และนักลงทุนรายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
State Street Global Advisors: ผู้บุกเบิกกองทุนดัชนีและนวัตกรรม ETF
State Street Global Advisors (SSGA) ด้วย AUM กว่า 4.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยืนหยัดในฐานะผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม สินทรัพย์สถาบัน SSGA ก่อตั้งขึ้นในปี 1978 และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและผู้นำในตลาด กองทุนดัชนี (Index Funds) และ กองทุน ETF (Exchange Traded Funds) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ปฏิวัติวงการลงทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำและความโปร่งใส
ผมสังเกตเห็นว่า SSGA ให้ความสำคัญอย่างมากกับการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ ETF ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 นี้ SSGA ยังคงพัฒนา ETF ใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธีมการลงทุนแห่งอนาคต เช่น เทคโนโลยีสะอาด หรือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล กองทุนอย่าง SPDR Dow Jones Industrial Average ETF Trust และ SPDR S&P 500 ETF Trust เป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมและเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Fidelity Investments: การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างนวัตกรรมและบริการที่เชื่อถือได้
Fidelity Investments หนึ่งในบริษัทลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วย AUM 5.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีชื่อเสียงโด่งดังจากทั้งประวัติศาสตร์อันยาวนานและความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย บริษัทนี้เป็นที่รู้จักจากตำนานผู้จัดการกองทุนอย่าง Peter Lynch ที่สร้างผลงานอันโดดเด่นจาก Magellan Fund
สิ่งที่ทำให้ Fidelity โดดเด่นในสายตาผมคือ การผสมผสานระหว่างการบริหารจัดการแบบ Active ที่เน้นการวิเคราะห์เชิงลึกเข้ากับแพลตฟอร์มเทคโนโลยีขั้นสูงที่สนับสนุนทั้งลูกค้าบุคคลและสถาบัน ในปี 2025 Fidelity ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องใน เทคโนโลยีการลงทุน เช่น AI และ Machine Learning เพื่อปรับปรุงการให้คำแนะนำและเครื่องมือวางแผนการลงทุน กองทุนอย่าง Fidelity Funds – US Dollar Bond Fund และ Fidelity Global Technology Fund แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการทั้งในตลาดตราสารหนี้และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว Fidelity ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็น ที่ปรึกษาการลงทุน ที่น่าเชื่อถือและส่งมอบโซลูชันที่ดีที่สุดในระยะยาว
Vanguard Asset Management: ผู้นำด้านการลงทุนแบบต้นทุนต่ำและเป็นเจ้าของโดยนักลงทุน
Vanguard Group ซึ่งมี AUM ทะลุ 10.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงยึดมั่นในตำแหน่งผู้นำด้าน กองทุนดัชนี และ การลงทุนแบบ Passive แนวคิดธุรกิจที่ชัดเจนตั้งแต่ปี 1976 โดย John Bogle ผู้ก่อตั้งที่เน้นการลดต้นทุนให้กับนักลงทุน และโครงสร้างองค์กรที่ไม่เหมือนใครที่กองทุนและ ETF เป็นเจ้าของโดยผู้เข้าร่วมเอง ทำให้ผลประโยชน์ของ Vanguard สอดคล้องกับผลประโยชน์ของลูกค้าอย่างแท้จริง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเห็นว่าปรัชญา ต้นทุนต่ำ ของ Vanguard ไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์ทางการตลาด แต่เป็นหัวใจหลักที่ส่งมอบผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ในปี 2025 Vanguard ยังคงขยายผลิตภัณฑ์ ETF และกองทุนดัชนีไปยังสินทรัพย์และตลาดใหม่ๆ เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการกระจายความเสี่ยงทั่วโลกได้ง่ายยิ่งขึ้น กองทุนอย่าง Vanguard Dividend Appreciation ETF และ Vanguard FTSE Developed Markets ETF เป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่นักลงทุนสามารถใช้สร้าง พอร์ตการลงทุน ที่มั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน
BlackRock: มหาอำนาจผู้กำหนดทิศทางตลาดโลก
BlackRock ยังคงครองบัลลังก์อันดับหนึ่งในฐานะบริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วย AUM ที่น่าทึ่งถึง 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 BlackRock ไม่ใช่แค่ผู้จัดการเงินทุน แต่เป็น ผู้ทรงอิทธิพล ที่สามารถกำหนดทิศทางตลาดการเงินโลกได้เลยทีเดียว
สิ่งที่ทำให้ BlackRock โดดเด่นอย่างแท้จริงคือแพลตฟอร์มเทคโนโลยีการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่ชื่อว่า Aladdin ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้โดยสถาบันการเงินและองค์กรต่างๆ ทั่วโลกในการบริหารจัดการความเสี่ยงและพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ แพลตฟอร์ม iShares ของ BlackRock ยังเป็นผู้นำด้าน กองทุน ETF โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายกว่า 700 กองทุนทั่วโลก
ผมมองว่าในปี 2025 BlackRock ยังคงเป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อน การลงทุนอย่างยั่งยืน (ESG) โดยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้บริษัทต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น พวกเขายังขยายการลงทุนใน สินทรัพย์ทางเลือก และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่กำหนดอนาคตการลงทุน กองทุนเช่น iShares China Large-Cap ETF และ iShares Global Clean Energy ETF แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเข้าถึงตลาดที่กำลังเติบโตและธีมการลงทุนแห่งอนาคต BlackRock คือสัญลักษณ์ของการรวมศูนย์อำนาจทางการเงิน และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสามารถในการปรับตัวและสร้างสรรค์นวัตกรรมในยุคสมัยใหม่
บทสรุป: การนำทางสู่ความมั่งคั่งในยุคใหม่
ในปี 2025 บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำเหล่านี้ได้ตอกย้ำสถานะของตนในฐานะเสาหลักของเศรษฐกิจโลก พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้บริหารเงินทุน แต่เป็นผู้กำหนดเทรนด์, ผู้สร้างนวัตกรรม, และผู้ที่ให้คำแนะนำแก่นักลงทุนในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ด้วยการบริหารจัดการสินทรัพย์รวมกันหลายสิบล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บริษัทเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการและความสามารถในการปรับตัวในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง
ในฐานะนักลงทุน การทำความเข้าใจปรัชญาและกลยุทธ์ของผู้จัดการกองทุนเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ การตัดสินใจลงทุนในวันนี้จะส่งผลต่อความมั่งคั่งในอนาคตของเรา การเลือกพันธมิตรทางการเงินที่มีความเชี่ยวชาญและวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของเรา จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
หากคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นเส้นทางการลงทุน หรือต้องการปรับปรุงกลยุทธ์การลงทุนให้ทันสมัยและเหมาะสมกับสถานการณ์ปี 2025 อย่าลังเลที่จะศึกษาข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนและผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเหล่านี้เสนอ หรือปรึกษา ที่ปรึกษาการลงทุน มืออาชีพเพื่อสร้าง พอร์ตการลงทุน ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับอนาคตของคุณ ความมั่งคั่งในวันพรุ่งนี้ เริ่มต้นจากการตัดสินใจที่ชาญฉลาดในวันนี้!
10 บริษัทจัดการกองทุนระดับโลก ผู้คุมหางเสือเศรษฐกิจปี 2025: เจาะลึกขุมพลังแห่งการลงทุน
ในห้วงเวลาที่ตลาดการเงินโลกทวีความผันผวนและซับซ้อนยิ่งขึ้นในปี 2025 การทำความเข้าใจถึงผู้เล่นหลักที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บริษัทจัดการกองทุน” หรือ “ผู้จัดการสินทรัพย์” ซึ่งเปรียบเสมือนกัปตันที่ถือหางเสือเรือลงทุนขนาดมหึมา นำพากระแสเงินทุนหลายล้านล้านดอลลาร์ไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ทั่วโลก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการการลงทุนมานานกว่าทศวรรษ ผมเฝ้าสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงและอิทธิพลของบริษัทเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และวันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึง 10 บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริหารเงินทุน แต่เป็นผู้กำหนดทิศทางและอนาคตของการลงทุนยุคใหม่
รายงานล่าสุดจากสถาบันการเงินชั้นนำชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อำนาจและอิทธิพลของบริษัทจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม “บริษัทลงทุนระดับโลก” ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) รวมกันกว่า 48.39 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตัวเลขนี้ตอกย้ำถึงการรวมศูนย์อำนาจที่กลุ่มบริษัทเหล่านี้มีต่อตลาดทุนทั่วโลก แม้ว่าตลาดจะมีการพัฒนาและเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดเวลา แต่ผู้เล่นหน้าใหม่ยังคงต้องเผชิญกับกำแพงที่สูงชันในการท้าทายบัลลังก์ของยักษ์ใหญ่เหล่านี้ โดยกว่าหนึ่งในสามของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ถูกบริหารจัดการโดย 10 บริษัทชั้นนำนี้ สะท้อนถึงเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือที่พวกเขาสะสมมาอย่างยาวนาน
จากการสำรวจข้อมูลล่าสุด ณ กลางปี 2025 พบว่า การจัดอันดับยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก โดยบริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกายังคงครองตำแหน่งส่วนใหญ่ถึง 7 แห่ง ขณะที่อีก 3 บริษัทมาจากทวีปยุโรป ได้แก่ Amundi จากฝรั่งเศส และ Allianz Group จากเยอรมนี รวมถึงผู้เล่นสำคัญอื่นๆ ที่มีบทบาทในการกำหนด “กลยุทธ์การลงทุน” และ “แนวโน้มตลาด” สำหรับนักลงทุนทั่วโลก
ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับบริษัทจัดการสินทรัพย์เหล่านี้อย่างละเอียด ตั้งแต่ปรัชญาการลงทุน ผลิตภัณฑ์เด่น ไปจนถึงแนวทางการเข้าถึงสำหรับนักลงทุนไทย เพื่อให้คุณมีข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นในการตัดสินใจ “ลงทุนในต่างประเทศ” อย่างชาญฉลาดในปี 2025
เจาะลึก 10 บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกประจำปี 2025
นี่คือรายชื่อ 10 บริษัทจัดการกองทุนระดับโลก ที่ได้รับการจัดอันดับตามมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2025:
| บริษัทจัดการกองทุน | ประเทศ | สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) |
|---|---|---|
| Allianz Group | เยอรมนี | 1.91 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| Invesco | สหรัฐฯ | 1.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| Amundi | ฝรั่งเศส | 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| Capital Group | สหรัฐฯ | 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| Goldman Sachs Group | สหรัฐฯ | 3.17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| J.P. Morgan Asset Management | สหรัฐฯ | 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| State Street Global Advisors | สหรัฐฯ | 4.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| Fidelity Investments | สหรัฐฯ | 5.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| Vanguard Group | สหรัฐฯ | 10.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
| BlackRock | สหรัฐฯ | 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
Allianz Group: พลังแห่งการลงทุนระยะยาวและความยั่งยืน
Allianz Group บริษัทประกันภัยและผู้จัดการสินทรัพย์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี ยังคงรักษาตำแหน่งในกลุ่มผู้นำด้านการจัดการ “กองทุนรวม” ระดับโลก ด้วย AUM ณ กลางปี 2025 ที่ 1.91 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สิ่งที่โดดเด่นของ Allianz คือแนวคิดการลงทุนระยะยาวที่ฝังรากอยู่บนหลักการของ “การลงทุนอย่างยั่งยืน” (Sustainable Investment) และการบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลก
พอร์ตการลงทุนของ Allianz Group ครอบคลุมทั้งธุรกิจประกันภัยและบริษัทจัดการสินทรัพย์ในเครือ อาทิ Allianz Global Investors (AllianzGI) และ PIMCO (Pacific Investment Management Company) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสามารถในการผสานรวมความเชี่ยวชาญด้านการประกันเข้ากับการจัดการ “กองทุนตราสารหนี้” และ “กองทุนหุ้น” ทำให้ Allianz มีความได้เปรียบในการนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับปัจจัยด้าน ESG (Environmental, Social, Governance) มากขึ้น
ตัวอย่าง “กองทุนเด่น” ของ Allianz Group ที่สะท้อนปรัชญาการลงทุน ได้แก่:
Allianz Global Sustainability Fund: มุ่งเน้น “การลงทุนในบริษัท” ที่มีแนวปฏิบัติยั่งยืน
Allianz Global Artificial Intelligence Fund: ตอบรับ “เทรนด์การลงทุน” ในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
สำหรับนักลงทุนไทย การเข้าถึงกองทุนของ Allianz อาจทำได้ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (Feeder Fund) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในประเทศ หรือผ่านแพลตฟอร์มการลงทุนระหว่างประเทศที่ให้บริการในภูมิภาค
Invesco: ประสบการณ์ลงทุนที่เหนือกว่าด้วยปรัชญา “One Team”
Invesco Ltd. ผู้จัดการสินทรัพย์ระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ยืนหยัดในอันดับที่ 9 ด้วย AUM รวม 1.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2025 ปรัชญาการทำงานของ Invesco มุ่งเน้นไปที่การส่งมอบประสบการณ์การลงทุนที่เหนือกว่า เพื่อช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายทางการเงินในชีวิต ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อน Invesco คือวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบด้วยหลักการ “One Team” (ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความรับผิดชอบร่วมกัน), “Culture Matters” (ความสำคัญของวัฒนธรรมที่เปิดกว้างและร่วมมือ) และ “Focused Execution” (การดำเนินการเชิงกลยุทธ์ที่รวดเร็วและมีความรับผิดชอบ)
Invesco มีความเชี่ยวชาญในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้ง “กองทุนดัชนี” (Index Funds), “กองทุนมูลค่า” (Value Funds) และ “กองทุน ETF” (Exchange Traded Funds) โดยมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนผ่านการบริหารจัดการที่เน้นประสิทธิภาพและความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง
“กองทุนเด่น” ที่แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของ Invesco:
Invesco S&P 500 Index Fund: กองทุนที่เน้น “ลงทุนในดัชนี S&P 500” สะท้อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ
Invesco Value Opportunities Fund: กองทุนที่มองหา “หุ้นคุณค่า” ที่มีศักยภาพการเติบโต
นักลงทุนในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทย สามารถสำรวจโอกาสการลงทุนใน “กองทุน Invesco” ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น กองทุนรวม Feeder Fund ในประเทศ หรือผ่าน “แพลตฟอร์มการลงทุน” ระหว่างประเทศที่เปิดกว้างมากขึ้น
Amundi: ผู้นำการจัดการสินทรัพย์แห่งยุโรปสู่เวทีโลก
Amundi บริษัทจัดการสินทรัพย์ชั้นนำจากฝรั่งเศส ไม่เพียงเป็น “ผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป” แต่ยังก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก ด้วย AUM ที่น่าประทับใจถึง 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2025 ความสำเร็จของ Amundi มาจากความมุ่งมั่นในค่านิยมหลัก เช่น การทำงานร่วมกันภายใต้แนวคิด “One Team” นวัตกรรมทาง “การลงทุน” และความรับผิดชอบต่อสังคม
Amundi ให้ความสำคัญกับการ “ลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ” ในระยะยาว และใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการวิจัยเพื่อสนับสนุนลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กองทุนของ Amundi มีความหลากหลาย ตั้งแต่ “กองทุนหุ้น” ที่เน้นการเติบโต ไปจนถึง “กองทุนตราสารหนี้” ทั่วโลก ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่แตกต่างกัน
“กองทุนเด่น” ของ Amundi ได้แก่:
Amundi Funds US Equity Fundamental Growth: เน้น “ลงทุนในหุ้นเติบโต” ของสหรัฐฯ
Amundi Funds Global Aggregate Bond: กองทุนตราสารหนี้ที่ “ลงทุนทั่วโลก” เพื่อกระจายความเสี่ยง
นักลงทุนไทยสามารถพิจารณา “การลงทุนใน Amundi” ผ่าน “กองทุน Feeder Fund” ที่จัดตั้งโดย บลจ. ในประเทศ หรือ “แพลตฟอร์มการลงทุน” ที่อนุญาตให้เข้าถึง “กองทุนต่างประเทศ” ได้โดยตรง ซึ่ง Amundi ยังเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการกองทุนที่สามารถ “ลงทุนในดัชนี Russell” ผ่าน Mutual Fund ได้อีกด้วย
Capital Group: ตำนานผู้จัดการเชิงรุกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
Capital Group บริษัทจัดการสินทรัพย์จากสหรัฐอเมริกาที่ก่อตั้งในปี 1931 โดดเด่นในฐานะผู้จัดการกองทุนที่ใช้ “กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก” (Active Management) และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จน AUM ของกลุ่มพุ่งสูงถึงประมาณ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์กว่าเก้าทศวรรษ ทำให้ Capital Group กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรมการลงทุน
ปรัชญาของ Capital Group ตั้งอยู่บนความรับผิดชอบ การมุ่งเน้นผลตอบแทนระยะยาว การทำงานร่วมกับลูกค้า และการวิเคราะห์ที่เข้มงวดเป็นพิเศษ จุดเด่นคือการจ่ายค่าตอบแทนผู้จัดการกองทุนตามผลลัพธ์ ไม่ใช่ตามปริมาณสินทรัพย์ที่บริหาร ซึ่งส่งเสริมให้ผู้จัดการมุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ลูกค้าอย่างแท้จริง นอกจากนี้ Capital Group ยังมีสำนักงานในหลายประเทศในเอเชีย เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และโตเกียว สะท้อนถึง “มุมมองการลงทุนระดับโลก”
“กองทุนเด่น” ของ Capital Group ที่สะท้อนถึงกลยุทธ์การบริหารเชิงรุก:
Capital Group Global Allocation: “กองทุนรวม” ที่กระจาย “การลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย” ทั่วโลก
Capital Group New Perspective: “กองทุนหุ้น” ที่มองหาโอกาสจาก “การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก”
สำหรับนักลงทุนที่สนใจ “การลงทุนแบบ Active” และมองหาผู้จัดการที่พิสูจน์ผลงานมาอย่างยาวนาน Capital Group เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม “การเข้าถึงกองทุน” โดยตรงสำหรับนักลงทุนรายย่อยในไทยอาจต้องผ่านช่องทาง “Feeder Fund” หรือ “แพลตฟอร์มการลงทุน” ระหว่างประเทศ
Goldman Sachs Asset Management: นวัตกรรมและวินัยในการบริหารสินทรัพย์
Goldman Sachs Asset Management (GSAM) แผนกจัดการสินทรัพย์ของธนาคารเพื่อการลงทุนระดับโลก Goldman Sachs Group ตอกย้ำตำแหน่งในกลุ่มผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วย AUM รวม 3.17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประสบการณ์อันยาวนาน วิสัยทัศน์ระดับโลก และการให้ความสำคัญกับลูกค้า ทำให้ GSAM ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในวงการ “การลงทุน”
GSAM มีจุดเด่นอยู่ที่กระบวนการวิจัยและการคัดเลือกสินทรัพย์ที่เข้มงวดและมีวินัยสูง มุ่งมั่นแสวงหาความเป็นเลิศ นวัตกรรม และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยถือว่า “การบริหารความเสี่ยง” เป็น “กลยุทธ์” ลำดับแรก นอกจากนี้ GSAM ยังเป็นผู้นำในการนำเสนอ “โซลูชันการลงทุน” ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้ง “กองทุน ESG” และ “กองทุนที่มีผลกระทบเชิงบวก”
“กองทุนเด่น” ของ Goldman Sachs AM ที่สะท้อนถึงแนวคิดนวัตกรรม:
Goldman Sachs Global Environmental Impact Equity Portfolio: “กองทุนหุ้น” ที่มุ่ง “ลงทุนในธุรกิจ” ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม
Goldman Sachs Global High Yield Portfolio: “กองทุนตราสารหนี้” ที่เน้น “ผลตอบแทนสูง”
แม้ Goldman Sachs จะไม่มีสำนักงานในประเทศไทย แต่ก็มีสำนักงานสาขาในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญ นักลงทุนไทยสามารถสำรวจโอกาส “การลงทุนผ่าน GSAM” โดยพิจารณา “กองทุน Feeder Fund” หรือ “แพลตฟอร์มการลงทุน” ที่เชื่อมต่อกับตลาดสิงคโปร์หรือตลาดโลก
J.P. Morgan Asset Management: บริหารสินทรัพย์ด้วยขุมพลังระดับโลก
J.P. Morgan Asset Management คือแผนกบริหารสินทรัพย์ของ JPMorgan Chase & Co. ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ด้วย AUM ที่ทะลุ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั่วโลก บริษัทนี้ให้บริการ “การจัดการการลงทุน” ที่ครอบคลุมทั้งหุ้น ตราสารหนี้ พอร์ตโฟลิโอหลายสินทรัพย์ “สินทรัพย์ทางเลือก” และผลิตภัณฑ์ตลาดเงิน
J.P. Morgan Asset Management มีสำนักงานใหญ่ที่นครนิวยอร์ก แต่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนกว่า 2,300 คนประจำอยู่ทั่วโลก เพื่อให้บริการลูกค้าสถาบัน ตัวกลางทางการเงิน และนักลงทุนรายย่อย ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่ปี 1871 พวกเขาพึ่งพาศักยภาพระดับโลก ทรัพยากรการวิจัยภายในที่แข็งแกร่ง และโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงของ J.P. Morgan Group “กลยุทธ์การจัดการ” ของพวกเขาเน้นการวิจัยเชิงลึกและการบริหารพอร์ตโฟลิโอแบบเชิงรุกอย่างมืออาชีพและวัดผลได้
“กองทุนเด่น” ของ J.P. Morgan Asset Management:
JPMorgan America Equity Fund: “กองทุนหุ้น” ที่ “ลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา” ครอบคลุมหลายภาคส่วน
JPMorgan Global Dividend Fund: “กองทุนรวม” ที่เน้น “ลงทุนในหุ้นปันผลทั่วโลก” เพื่อสร้างรายได้สม่ำเสมอ
แม้ J.P. Morgan Securities (ประเทศไทย) จะมีสำนักงานในกรุงเทพฯ แต่ยังคงมุ่งเน้นลูกค้าสถาบัน “การเข้าถึงกองทุน” ของ J.P. Morgan Asset Management สำหรับนักลงทุนไทยรายย่อยมักจะต้องผ่าน “กองทุน Feeder Fund” หรือ “แพลตฟอร์มการลงทุน” ที่เชื่อมโยงกับตลาดสิงคโปร์หรือตลาดโลก
State Street Global Advisors: ผู้นำนวัตกรรมกองทุนดัชนีและ ETF
State Street Global Advisors (SSGA) ก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 4 ของบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วย AUM กว่า 4.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ SSGA ก่อตั้งขึ้นในปี 1978 และเป็นผู้บุกเบิกใน “ตลาดกองทุนดัชนี” (Index Funds) และ “กองทุน ETF” (Exchange Traded Funds) ซึ่งเป็นเครื่องมือ “การลงทุนแบบ Passive” ที่ได้รับความนิยมอย่างมหาศาล พวกเขาเป็นผู้จัดการสินทรัพย์สถาบันชั้นนำ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในอุตสาหกรรม “กองทุน ETF”
SSGA มุ่งเน้นการวิจัยเป็นหัวใจสำคัญของนโยบาย “การลงทุน” และเป็นผู้จัดจำหน่าย “กองทุน SPDR” (Standard & Poor’s Depository Receipts) ซึ่งเป็น “ETF” ที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐฯ ความเชี่ยวชาญในการสร้าง “กองทุนดัชนี” ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ ทำให้ SSGA เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการ “กระจายความเสี่ยง” และเข้าถึงตลาดในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“กองทุนเด่น” ของ State Street Global Advisors:
SPDR Dow Jones Industrial Average ETF Trust: “ETF” ที่ติดตาม “ดัชนี Dow Jones”
SPDR S&P 500 ETF Trust: “ETF” ที่ “ลงทุนในดัชนี S&P 500” (กองทุนนี้สามารถซื้อขายผ่านตลาดหุ้นไทยได้บางส่วน)
สำหรับนักลงทุนไทย “การลงทุนใน ETF” ของ SSGA สามารถทำได้ผ่าน “บริษัทหลักทรัพย์” ที่ให้บริการซื้อขาย “หุ้นต่างประเทศ” หรือ “แพลตฟอร์มการลงทุน” ระหว่างประเทศ รวมถึง “กองทุน Feeder Fund” บางกองในประเทศที่ลงทุนใน “ETF” ดังกล่าว ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการ “ลงทุนระยะยาว” และ “สร้างพอร์ตโฟลิโอ” ที่หลากหลาย
Fidelity Investments: แชมป์เปี้ยนด้านการบริหารกองทุนเชิงรุกและเทคโนโลยี
Fidelity Investments บริษัทจัดการสินทรัพย์จากสหรัฐฯ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในอันดับที่ 3 ด้วย AUM ที่น่าตกตะลึงถึง 5.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Fidelity เป็นชื่อที่คุ้นเคยในวง “การลงทุน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตำนานผู้จัดการกองทุนอย่าง Peter Lynch ผู้สร้างชื่อให้กับกองทุน Magellan Fund Fidelity เป็นผู้จัดการกองทุนระดับโลกที่ให้บริการและสนับสนุนทั้งนักลงทุนรายบุคคลและสถาบัน โดยมุ่งมั่นในการนำเสนอ “โซลูชันการลงทุน” ที่ดีที่สุดในระยะยาว
Fidelity โดดเด่นด้วยกระบวนการคัดเลือกและบริหารกองทุนเชิงรุกที่ทรงพลัง รวมถึงบริการให้คำปรึกษา “การลงทุน” ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ความมุ่งมั่นของพวกเขาผนวกกับความสามารถในการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีระดับสูง ทำให้ Fidelity เป็นหนึ่งใน “ผู้จัดการกองทุนที่ดีที่สุด” ในตลาด นอกจากนี้ Fidelity ยังเป็นผู้บุกเบิกในการนำเสนอ “กองทุนรวม” ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ และ “ผลิตภัณฑ์ ETF” ที่หลากหลาย
“กองทุนเด่น” ของ Fidelity Investments (เข้าถึงผ่านตลาดฮ่องกง หรือ “กองทุน Feeder Fund” ในไทย):
Fidelity Funds – US Dollar Bond Fund: “กองทุนตราสารหนี้” ที่ “ลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ”
Fidelity Global Technology Fund: “กองทุนหุ้น” ที่เน้น “ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก”
นักลงทุนไทยสามารถพิจารณา “การลงทุนใน Fidelity” ผ่าน “กองทุน Feeder Fund” ที่มีการลงทุนในกองทุนหลักของ Fidelity หรือผ่าน “บริษัทหลักทรัพย์” ที่ให้บริการ “การลงทุนในตลาดต่างประเทศ” โดยตรง โดยเฉพาะตลาดฮ่องกง หรือ “แพลตฟอร์มการลงทุน” ระหว่างประเทศที่เปิดโอกาสให้ “ลงทุนในกองทุน Fidelity” ได้ ถือเป็นตัวเลือกชั้นเยี่ยมสำหรับ “การลงทุนในระยะยาว” และ “การกระจายความเสี่ยง”
Vanguard Group: ผู้บุกเบิกและผู้นำกองทุนดัชนีที่แท้จริง
Vanguard Group คือบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ไม่เคยหลุดจากรายชื่อ 10 อันดับแรกของโลก และยังคงรักษาตำแหน่งรองแชมป์ได้อย่างมั่นคง ด้วย AUM ที่น่าทึ่งถึง 10.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งห่างจากอันดับที่สามเกือบเท่าตัว! Vanguard เป็นที่รู้จักในฐานะผู้จัดการ “กองทุนดัชนี” (Index Funds) และ “กองทุน ETF” (Exchange Traded Funds) ชั้นนำของโลก
นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1975 โดย John Bogle ผู้บุกเบิก “การลงทุนแบบ Passive” Vanguard มีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนและแตกต่าง โดยไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือเป็นของกลุ่มพาร์ทเนอร์ แต่เป็นเจ้าของโดยผู้เข้าร่วมกองทุนเอง ซึ่งหมายความว่า “กองทุนรวม” และ “ETF” ของ Vanguard เป็นเจ้าของร่วมกันโดยนักลงทุนผู้เป็นเจ้าของสินทรัพย์เหล่านี้ แนวทางนี้ทำให้ผลประโยชน์ของ Vanguard สอดคล้องกับผลประโยชน์ของลูกค้าอย่างสมบูรณ์ ทำให้ค่าธรรมเนียม “การจัดการกองทุน” อยู่ในระดับต่ำอย่างสม่ำเสมอ
แม้ในระยะหลัง ผู้บริหาร Vanguard คนต่อๆ มาได้ขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่ “กองทุนบริหารเชิงรุก” (Active Funds) แต่แก่นแท้ของบริษัทก็ยังคงอยู่ที่ “การลงทุนแบบ Passive” ที่เน้นความเรียบง่าย ประหยัดค่าใช้จ่าย และการ “กระจายความเสี่ยง” อย่างมีประสิทธิภาพ
“กองทุนเด่น” ของ Vanguard ที่นักลงทุนทั่วโลกนิยม:
Vanguard Dividend Appreciation ETF: “ETF” ที่เน้น “ลงทุนในบริษัท” ที่มีประวัติการเพิ่ม “เงินปันผล” อย่างสม่ำเสมอ
Vanguard FTSE Developed Markets ETF: “ETF” ที่ “ลงทุนในตลาดหุ้น” ของประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก
สำหรับนักลงทุนไทย “การลงทุนใน Vanguard” สามารถทำได้โดยตรงผ่าน “บริษัทหลักทรัพย์” ที่ให้บริการซื้อขาย “ETF ต่างประเทศ” หรือ “แพลตฟอร์มการลงทุน” ระหว่างประเทศ รวมถึง “กองทุน Feeder Fund” ในประเทศที่ลงทุนใน “ETF” หรือ “กองทุนรวม” ของ Vanguard ซึ่งเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับ “การสร้างพอร์ตโฟลิโอ” ที่แข็งแกร่งและประหยัดค่าใช้จ่าย
BlackRock: ราชันผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการการลงทุนโลก
BlackRock ยังคงยืนหยัดอย่างสง่างามในฐานะราชันย์แห่งอุตสาหกรรมการจัดการสินทรัพย์โลก ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งด้วย AUM ที่สูงถึง 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 พวกเขาไม่ใช่แค่ “บริษัทจัดการกองทุน” แต่เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสหรัฐอเมริกาและยุโรป มีบทบาทสำคัญในการกำหนด “ทิศทางเศรษฐกิจ” และ “นโยบายการเงิน”
อิทธิพลของ BlackRock แผ่ขยายไปไกลถึงขั้นที่แผนกให้คำปรึกษาของพวกเขาได้รับสัญญาให้บริหารจัดการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ปี 2020 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพและความเชี่ยวชาญของพวกเขา
BlackRock เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของแพลตฟอร์ม iShares ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ “กองทุน ETF” (Exchange Traded Funds) ชั้นนำของโลก ปัจจุบัน iShares มี “กองทุน ETF” มากกว่า 700 กองที่ซื้อขายทั่วโลก และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมกันกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ BlackRock มุ่งเน้นการนำเสนอ “โซลูชันการลงทุน” ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้ง “การลงทุนแบบ Passive” ผ่าน “ETF” และ “การลงทุนแบบ Active” รวมถึง “การลงทุนอย่างยั่งยืน” และ “เทคโนโลยีการลงทุน” ขั้นสูง
“กองทุนเด่น” ของ BlackRock ที่ได้รับความนิยม:
iShares China Large-Cap ETF: “ETF” ที่ “ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของจีน” (สามารถซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มเช่น Gotrade ในอินโดนีเซีย หรือผ่านช่องทาง “การลงทุนต่างประเทศ” ในไทย)
iShares Global Clean Energy ETF: “ETF” ที่เน้น “ลงทุนในบริษัทพลังงานสะอาดทั่วโลก” สะท้อน “เทรนด์การลงทุนแห่งอนาคต”
สำหรับนักลงทุนไทย “การลงทุนใน BlackRock” ผ่าน “กองทุน iShares ETF” สามารถทำได้ง่ายขึ้นผ่าน “บริษัทหลักทรัพย์” ที่ให้บริการซื้อขาย “ETF ต่างประเทศ” โดยตรง หรือผ่าน “แพลตฟอร์มการลงทุน” ระหว่างประเทศที่เข้าถึงได้ “การลงทุนใน BlackRock” ถือเป็นการเปิดประตูสู่ “โอกาสการลงทุนทั่วโลก” และ “การกระจายความเสี่ยง” ในพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปและก้าวต่อไปสำหรับนักลงทุน
ในปี 2025 บริษัทจัดการสินทรัพย์เหล่านี้ได้ตอกย้ำสถานะของตนในฐานะผู้ควบคุมหางเสือของ “ตลาดการเงินโลก” โดยมี BlackRock เป็นผู้นำที่ยังคงครองบัลลังก์อย่างไม่สั่นคลอน สถาบันเหล่านี้ไม่เพียงแต่บริหารจัดการเงินทุนหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของการพัฒนาและปรับตัวอย่างต่อเนื่องในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การทำความเข้าใจถึงปรัชญา กลยุทธ์ และผลิตภัณฑ์ของ “ผู้จัดการกองทุน” เหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงการรับรู้ข้อมูล แต่เป็นการติดอาวุธความรู้เชิงลึกที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผน “กลยุทธ์การลงทุน” ที่เหมาะสมกับตนเองได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น “การลงทุนระยะยาว” “การบริหารความเสี่ยง” หรือ “การสร้างผลตอบแทน” ที่ยั่งยืน ผู้จัดการกองทุนเหล่านี้สะท้อนถึงนวัตกรรมและ “แนวโน้มการลงทุน” ที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังเริ่มต้น “การลงทุน” หรือผู้มีประสบการณ์ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพให้พอร์ตโฟลิโอ “การทำความเข้าใจขุมพลังเหล่านี้” คือก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จในโลกการเงินปี 2025 หากพร้อมแล้ว มาร่วมสำรวจโอกาสและวางแผน “การลงทุนของคุณ” อย่างชาญฉลาดไปกับเราวันนี้

