ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
10 บริษัทจัดการกองทุนระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดในปี 2025: ผู้กำหนดทิศทางตลาดการเงิน
โลกการเงินในปี 2025 กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่ความผันผวนทางเศรษฐกิจมหภาค ไปจนถึงการปฏิวัติทางเทคโนโลยี และกระแสความต้องการด้านความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้น ในบริบทนี้ บทบาทของบริษัทจัดการกองทุนขนาดใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริหารสินทรัพย์เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรม ผู้กำหนดเทรนด์ และผู้ที่มีอิทธิพลต่อทิศทางของตลาดทุนทั่วโลกอย่างแท้จริง การทำความเข้าใจขุมกำลังเบื้องหลังการไหลเวียนของเงินทุนมหาศาลนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคนที่ต้องการนำทางในภูมิทัศน์การลงทุนที่ซับซ้อนนี้
ในปี 2025 เรายังคงเห็นการครอบงำของยักษ์ใหญ่ด้านการบริหารสินทรัพย์ที่สั่งสมประสบการณ์มายาวนาน แม้จะมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาท้าทาย แต่ขนาด ความเชี่ยวชาญ และเครือข่ายทั่วโลกของบริษัทเหล่านี้ยังคงเป็นกำแพงที่แข็งแกร่ง จากข้อมูลล่าสุดที่รวบรวม ณ กลางปี 2025 บริษัทจัดการกองทุน 10 อันดับแรกของโลกได้บริหารจัดการสินทรัพย์รวมกันกว่า 48.39 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งและสะท้อนถึงอิทธิพลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของพวกเขา กว่าเจ็ดในสิบของบริษัทเหล่านี้มีฐานอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอกย้ำถึงความเป็นศูนย์กลางทางการเงินของประเทศนี้ ในขณะที่ยุโรปก็มีผู้เล่นสำคัญอย่าง Amundi จากฝรั่งเศส และ Allianz Group จากเยอรมนี ที่ติดอันดับด้วยเช่นกัน การที่เกือบหนึ่งในสามของสินทรัพย์ที่บริหารจัดการทั่วโลกอยู่ในมือของบริษัทเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงอำนาจทางการตลาดที่แข็งแกร่ง และการที่บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำได้อย่างเหนียวแน่น ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงกลยุทธ์การลงทุนที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการปรับตัว และความไว้วางใจที่นักลงทุนมอบให้
ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึง 10 บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกประจำปี 2025 โดยพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมที่ชัดเจนถึงผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมการบริหารสินทรัพย์ทั่วโลก พวกเขาเหล่านี้คือใคร มีปรัชญาการลงทุนแบบใด และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใดบ้างที่ดึงดูดเงินทุนมหาศาลจากนักลงทุนทั่วโลก
การจัดอันดับบริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกประจำปี 2025 (เรียงจากน้อยไปหามากตาม AUM):
Allianz Group (เยอรมนี) – AUM: 1.91 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เริ่มต้นด้วยยักษ์ใหญ่จากยุโรป Allianz Group คือชื่อที่คุ้นเคยในอุตสาหกรรมการเงินระดับโลก ไม่เพียงแต่เป็นบริษัทประกันภัยชั้นนำเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งในฐานะผู้จัดการสินทรัพย์ผ่านบริษัทย่อยอย่าง Allianz Global Investors (AllianzGI) และ PIMCO (Pacific Investment Management Company) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ กลางปี 2025 Allianz Group มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการรวมกันสูงถึง 1.91 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะผู้จัดการกองทุนระดับโลก
ปรัชญาการลงทุนของ Allianz Group มุ่งเน้นไปที่การลงทุนระยะยาวโดยคำนึงถึงปัจจัยความยั่งยืนและการบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในสภาพแวดล้อมตลาดที่ผันผวนปัจจุบัน พวกเขาตระหนักดีว่าการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนนั้นต้องอาศัยการวิเคราะห์เชิงลึกและการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากตลาด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล PIMCO โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีชื่อเสียงในด้านความเชี่ยวชาญด้านตราสารหนี้และการคาดการณ์เศรษฐกิจมหภาคที่แม่นยำ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการนำทางพอร์ตการลงทุนผ่านวัฏจักรเศรษฐกิจที่หลากหลาย
AllianzGI นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งกองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ และโซลูชันการลงทุนทางเลือก โดยมีผลิตภัณฑ์เด่นที่สะท้อนถึงเทรนด์การลงทุนในปัจจุบัน เช่น Allianz Global Sustainability Fund ที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีความโดดเด่นด้านความยั่งยืน และ Allianz Global Artificial Intelligence Fund ที่ใช้ประโยชน์จากการเติบโตของเทคโนโลยี AI การชดเชยแก่ผู้จัดการกองทุนของ Allianz มักจะผูกโยงกับประสิทธิภาพการลงทุน ซึ่งกระตุ้นให้พวกเขามุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า การที่พวกเขายังคงรักษาตำแหน่งใน 10 อันดับแรกนี้ได้ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของกลยุทธ์แบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งการประกันภัยและการบริหารสินทรัพย์
Invesco (สหรัฐอเมริกา) – AUM: 1.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Invesco Ltd. คือผู้จัดการสินทรัพย์ระดับโลกอีกรายที่สร้างผลงานได้อย่างโดดเด่น ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการที่พุ่งสูงถึง 1.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2025 Invesco ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือนักลงทุนทั่วโลกให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินของพวกเขา
ภารกิจหลักของ Invesco คือการมอบประสบการณ์การลงทุนที่เหนือกว่า เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยยึดหลักปรัชญาการทำงานที่สำคัญสามประการ: “One Team” (การทำงานร่วมกันเป็นทีมและความรับผิดชอบร่วมกัน), “Culture matters” (การให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการรวมเป็นหนึ่งเดียวและการทำงานร่วมกัน) และ “Focused execution” (การดำเนินการตามกลยุทธ์อย่างรวดเร็วและมีความรับผิดชอบ) หลักการเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ Invesco สามารถปรับตัวและนำเสนอโซลูชันการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างต่อเนื่อง
Invesco มีความเชี่ยวชาญในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้งกองทุนรวมแบบดั้งเดิม กองทุน ETF และโซลูชันการลงทุนแบบกำหนดเองสำหรับลูกค้ารายย่อย สถาบัน และนักลงทุนผู้มั่งคั่ง ผลิตภัณฑ์เด่นบางส่วนรวมถึง Invesco S&P 500 Index Fund ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวงกว้าง และ Invesco Value Opportunities Fund ที่มุ่งเน้นการค้นหาหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น Invesco ยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและการวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อระบุโอกาสการลงทุนใหม่ๆ และจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ การชดเชยผู้จัดการกองทุนของ Invesco ประกอบด้วยเงินเดือนพื้นฐาน โบนัสประจำปี และการจ่ายตามประสิทธิภาพการลงทุน ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญของพวกเขาทำงานอย่างเต็มที่เพื่อผลประโยชน์ของลูกค้า
Amundi (ฝรั่งเศส) – AUM: 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Amundi เป็นผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงรักษาตำแหน่งที่แข็งแกร่งในฐานะหนึ่งในผู้จัดการกองทุนระดับโลก 10 อันดับแรก ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการที่ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2025 Amundi ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นกำลังสำคัญในอุตสาหกรรมการเงิน
Amundi ให้ความสำคัญกับค่านิยมหลักที่คล้ายคลึงกับ Invesco โดยเน้นการทำงานร่วมกันและความรับผิดชอบร่วมกันภายใต้แนวคิด “One Team” ควบคู่ไปกับการส่งเสริมนวัตกรรมและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภายในองค์กร พวกเขามีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Investment) โดยบูรณาการปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เข้ากับกระบวนการลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนทั่วโลกที่ใส่ใจในประเด็นเหล่านี้มากขึ้น Amundi ยังลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีการวิจัย เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจลงทุนและให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ผลิตภัณฑ์ของ Amundi มีความหลากหลายอย่างมาก ครอบคลุมกองทุนหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนผสม และกองทุน ETF โดยมีชื่อเสียงเป็นพิเศษในด้านผลิตภัณฑ์ที่เน้นยุโรปและตลาดเกิดใหม่ แต่ก็มีผลิตภัณฑ์ที่เน้นตลาดสหรัฐฯ เช่น Amundi Funds US Equity Fundamental Growth และกองทุนตราสารหนี้ระดับโลกอย่าง Amundi Funds Global Aggregate Bond ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในหลายภูมิภาคและประเภทสินทรัพย์ การให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงปริมาณและการจัดการเชิงรุก ทำให้ Amundi สามารถนำเสนอโซลูชันที่ปรับให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้ และสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเติบโตก็เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญของ Amundi ในปี 2025
Capital Group (สหรัฐอเมริกา) – AUM: 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Capital Group ซึ่งก่อตั้งในปี 1931 ที่ลอสแอนเจลิส เป็นผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์และประวัติยาวนานในการบริหารสินทรัพย์ ด้วยสไตล์การจัดการเชิงรุกที่ประสบความสำเร็จ พวกเขามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการพุ่งสูงถึงประมาณ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 และยังคงไต่อันดับขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้จัดการกองทุน 10 อันดับแรกอย่างต่อเนื่อง Capital Group ยังมีสำนักงานในหลายประเทศแถบเอเชีย เช่น ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ และโตเกียว ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้เล่นระดับโลกอย่างแท้จริง
ค่านิยมหลักที่ผลักดัน Capital Group ให้เป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ ความรับผิดชอบ การมุ่งเน้นระยะยาว การทำงานร่วมกับลูกค้า และการวิเคราะห์ที่เข้มงวด พวกเขาเชื่อมั่นในการวิจัยเชิงลึกและการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อระบุโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพในระยะยาว ปรัชญาการลงทุนที่โดดเด่นของ Capital Group คือ “The Capital System” ซึ่งมอบหมายให้ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอหลายคนดูแลกองทุนเดียวกัน โดยแต่ละคนมีอิสระในการตัดสินใจลงทุนในส่วนของตนเอง แนวทางนี้ช่วยลดการพึ่งพาบุคคลคนเดียว กระจายความเสี่ยง และส่งเสริมมุมมองที่หลากหลายในพอร์ตการลงทุน
Capital Group มีชื่อเสียงในด้านกองทุนหุ้นเชิงรุกที่สร้างผลตอบแทนได้ดีอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมบางส่วนได้แก่ Capital Group Global Allocation ซึ่งเป็นกองทุนผสมที่กระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก และ Capital Group New Perspective ที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก สิ่งที่น่าสนใจคือผู้จัดการกองทุนของ Capital Group ได้รับการชดเชยตามผลการดำเนินงาน ไม่ใช่ตามปริมาณสินทรัพย์ที่บริหารจัดการ ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้จัดการมุ่งเน้นที่การสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง
Goldman Sachs Asset Management (สหรัฐอเมริกา) – AUM: 3.17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Goldman Sachs Asset Management (GSAM) เป็นอีกหนึ่งชื่อที่ทรงอิทธิพลในโลกการเงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ Goldman Sachs ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการรวมกว่า 3.17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 GSAM ได้ตอกย้ำสถานะในฐานะหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประสบการณ์ที่สั่งสมมาในโลกของการลงทุน วิสัยทัศน์ระดับโลก และการให้ความสำคัญกับลูกค้า ได้ส่งผลให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้อย่างมั่นคง
GSAM โดดเด่นด้วยกระบวนการวิจัยและการคัดเลือกสินทรัพย์ที่เข้มงวดและมีวินัย พวกเขาแสวงหาความเป็นเลิศ นวัตกรรม และมุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า การบริหารความเสี่ยงถูกจัดให้เป็นความสำคัญเชิงกลยุทธ์อันดับแรก โดยใช้เครื่องมือและแบบจำลองที่ซับซ้อนในการประเมินและจัดการความเสี่ยงในทุกระดับของพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ GSAM ยังลงทุนอย่างมากในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึกและสร้างความได้เปรียบในการลงทุนในตลาดที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
GSAM นำเสนอโซลูชันการลงทุนที่ครอบคลุมสำหรับลูกค้าสถาบัน องค์กร และนักลงทุนรายย่อยระดับสูง รวมถึงกองทุนหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนทางเลือก และกองทุนตลาดเงิน ผลิตภัณฑ์เด่นบางส่วนที่สะท้อนถึงแนวคิดการลงทุนที่ล้ำสมัยของ GSAM ได้แก่ Goldman Sachs Global Environmental Impact Equity Portfolio ซึ่งลงทุนในบริษัทที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และ Goldman Sachs Global High Yield Portfolio ที่มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นในตลาดโลก แม้ Goldman Sachs จะไม่มีสำนักงานในประเทศไทยโดยตรง แต่การเข้าถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนสามารถทำได้ผ่านตลาดต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย
J.P. Morgan Asset Management (สหรัฐอเมริกา) – AUM: 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
J.P. Morgan Asset Management คือหน่วยงานจัดการสินทรัพย์ของ JPMorgan Chase ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่เก่าแก่และมีอิทธิพลที่สุดในโลก พวกเขาบริหารจัดการสินทรัพย์รวมกว่า 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั่วโลก ณ กลางปี 2025 โดยให้บริการจัดการลงทุนที่ครอบคลุมทั้งหุ้น ตราสารหนี้ พอร์ตการลงทุนแบบหลายสินทรัพย์ สินทรัพย์ทางเลือก และผลิตภัณฑ์ตลาดเงิน
J.P. Morgan Asset Management ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในนครนิวยอร์ก นำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบเชิงรุกที่หลากหลาย เช่น กองทุนรวมแบบดั้งเดิม กองทุน ETF บัญชีที่มีการจัดการเฉพาะบุคคล (Separately Managed Accounts) รวมถึงโซลูชันพอร์ตการลงทุนแบบหลายสินทรัพย์ที่ปรับให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของลูกค้า จุดเด่นของพวกเขาคือการวิจัยเชิงลึกและขนาดระดับโลก ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนกว่า 2,300 คนกระจายอยู่ทั่วโลก พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าสถาบัน ตัวกลางทางการเงิน และนักลงทุนรายบุคคล
ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่ปี 1871 J.P. Morgan Asset Management อาศัยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งของกลุ่ม J.P. Morgan และความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผลิตภัณฑ์เรือธงบางส่วนได้แก่ JPMorgan Growth Advantage Fund ในภาคส่วนหุ้น ซึ่งมุ่งเน้นการเติบโตของบริษัท และ JPMorgan Core Bond Fund สำหรับตลาดตราสารหนี้ พวกเขาเน้นย้ำถึงวิธีการบริหารพอร์ตการลงทุนแบบมืออาชีพและวัดผลได้ โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกและมุมมองที่กว้างขวางเพื่อนำทางลูกค้าผ่านตลาดที่ซับซ้อน แม้ J.P. Morgan จะมีตัวแทนในประเทศไทยภายใต้ชื่อ JP Morgan Securities (Thailand) แต่การเข้าถึงผลิตภัณฑ์กองทุนรวมส่วนใหญ่สำหรับนักลงทุนรายย่อยในไทยยังคงต้องผ่านตลาดสิงคโปร์หรือตัวกลางระหว่างประเทศ
State Street Global Advisors (สหรัฐอเมริกา) – AUM: 4.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
State Street Global Advisors (SSGA) เป็นหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์สถาบันชั้นนำของโลก และอยู่ในอันดับที่ 4 ของบริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการที่น่าประทับใจกว่า 4.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ กลางปี 2025 ก่อตั้งขึ้นในปี 1978 SSGA มีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกและพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนดัชนี (Index Funds) และกองทุน ETF ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
SSGA เป็นผู้บุกเบิกในด้านการลงทุนแบบพาสซีฟและมีชื่อเสียงในด้านนวัตกรรม โดยมุ่งเน้นการวิจัยเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายการลงทุนของพวกเขา พวกเขาเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ให้บริการ SPDR® ETFs (Standard & Poor’s Depositary Receipts) ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูล ETF ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก ผลิตภัณฑ์ SPDR ที่โด่งดังที่สุดคือ SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY) ซึ่งเป็น ETF ตัวแรกของสหรัฐอเมริกาและยังคงเป็นหนึ่งใน ETF ที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลก
นอกเหนือจากกองทุนดัชนีและ ETF แล้ว SSGA ยังให้บริการการจัดการสินทรัพย์แบบเชิงรุกและโซลูชันการลงทุนที่หลากหลายสำหรับลูกค้าสถาบันทั่วโลก ซึ่งรวมถึงกองทุนบำนาญ บริษัทประกันภัย กองทุนเพื่อการกุศล และองค์กรภาครัฐ พวกเขาให้ความสำคัญกับการบูรณาการปัจจัย ESG ในกระบวนการลงทุน และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า ในปี 2025 SSGA ยังคงเป็นผู้นำในการนำเสนอโซลูชันการลงทุนที่ยืดหยุ่นและคุ้มค่า ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ผลิตภัณฑ์หลักของ SSGA ส่วนใหญ่จะเข้าถึงได้ผ่านตลาดต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ แต่บาง ETF เช่น SPDR S&P 500 ETF Trust ก็อาจเข้าถึงได้ผ่านตัวกลางในประเทศที่เชื่อมโยงกับตลาดต่างประเทศ
Fidelity Investments (สหรัฐอเมริกา) – AUM: 5.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Fidelity Investments เป็นอีกหนึ่งชื่อที่ทรงอิทธิพลและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะหนึ่งในบริษัทจัดการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการสูงถึง 5.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ กลางปี 2025 Fidelity เป็นผู้นำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ครบวงจรแก่ลูกค้าทั้งรายบุคคลและสถาบัน
Fidelity มีประวัติอันยาวนานในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเป็นที่รู้จักจากผู้จัดการกองทุนระดับตำนานอย่าง Peter Lynch ซึ่งบริหารกองทุน Magellan อันโด่งดัง พวกเขาเป็นผู้จัดการการลงทุนระดับโลกที่ให้บริการผลิตภัณฑ์และการสนับสนุนแก่ทั้งบุคคลทั่วไปและลูกค้าสถาบัน โดยมุ่งมั่นที่จะค้นหาโซลูชันที่ดีที่สุดในระยะยาว Fidelity ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนที่ดีที่สุดที่มีอยู่ ด้วยกระบวนการกระจายกองทุนแบบเชิงรุกและการนำเสนอบริการให้คำปรึกษาที่ยอดเยี่ยม
ความมุ่งมั่นของ Fidelity ในการวิจัยเชิงลึก ความสามารถในการวิเคราะห์ที่เหนือกว่า และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีระดับสูง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพวกเขา พวกเขายังเป็นผู้นำในการลงทุนแบบเทคโนโลยีและเสนอแพลตฟอร์มการซื้อขายและเครื่องมือการวางแผนทางการเงินที่ทันสมัย ผลิตภัณฑ์ของ Fidelity ครอบคลุมทั้งกองทุนรวม กองทุน ETF บริการโบรกเกอร์ และโซลูชันการเกษียณอายุ ตัวอย่างกองทุนเด่นที่เข้าถึงได้ผ่านตลาดเช่นฮ่องกง ได้แก่ Fidelity Funds – US Dollar Bond Fund สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และ Fidelity Global Technology Fund ที่มุ่งเน้นโอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก การให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของลูกค้าและการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Fidelity ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับนักลงทุนที่แสวงหาการลงทุนที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนดีในระยะยาว
Vanguard Group (สหรัฐอเมริกา) – AUM: 10.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
บริษัทที่ไม่เคยหายไปจากรายชื่อ 10 บริษัทลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ Vanguard Group ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกและผู้นำในการบริหารกองทุนรวมดัชนี (Index Mutual Funds) และ ETF พวกเขายังคงครองตำแหน่งที่สองด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการที่น่าทึ่งถึง 10.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ กลางปี 2025 ซึ่งเป็นมูลค่าที่ห่างจากอันดับสามเกือบเท่าตัว สะท้อนถึงขนาดและอิทธิพลมหาศาลของพวกเขาในอุตสาหกรรม
นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1975 โดย John Bogle ผู้ล่วงลับ Vanguard มีแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจนและโดดเด่น พวกเขาโด่งดังจากปรัชญาการลงทุนแบบพาสซีฟ (Passive Investing) ที่เน้นการลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ ซึ่ง John Bogle เชื่อมั่นว่าในระยะยาว กองทุนดัชนีจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนเชิงรุกส่วนใหญ่ หลังจาก Bogle ผู้บริหารรุ่นต่อมาได้ขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่ ETF และกองทุนบริหารเชิงรุกบางส่วน เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของนักลงทุน
สิ่งที่ทำให้ Vanguard แตกต่างจากผู้จัดการกองทุนรายอื่นคือโครงสร้างการเป็นเจ้าของ Vanguard ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือเป็นเจ้าของโดยหุ้นส่วน แต่เป็นเจ้าของโดยผู้เข้าร่วมกองทุน ซึ่งหมายความว่ากองทุนรวมและ ETF ของ Vanguard เป็นเจ้าของร่วมกันโดยนักลงทุนเอง ด้วยวิธีนี้ ผลประโยชน์ของผู้จัดการกองทุนจึงสอดคล้องกับผลประโยชน์ของลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Vanguard สามารถนำเสนอค่าธรรมเนียมที่ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมของ Vanguard ในตลาดโลก ได้แก่ Vanguard Dividend Appreciation ETF สำหรับนักลงทุนที่มองหาบริษัทที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่เติบโตต่อเนื่อง และ Vanguard FTSE Developed Markets ETF ที่ช่วยให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงไปในตลาดพัฒนาแล้วทั่วโลก การเป็นเจ้าของโดยผู้ถือหน่วยลงทุน และความมุ่งมั่นในการรักษาระดับค่าธรรมเนียมให้ต่ำที่สุด ทำให้ Vanguard เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
BlackRock (สหรัฐอเมริกา) – AUM: 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
BlackRock ยังคงเป็น “ราชา” แห่งอุตสาหกรรมการจัดการสินทรัพย์ โดยยังคงครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในรายชื่อ 10 บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกประจำปี 2025 ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการที่น่าทึ่งถึง 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตอกย้ำถึงอิทธิพลที่ไม่มีใครเทียบได้ของพวกเขาในตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
BlackRock มีอิทธิพลอย่างมากถึงขนาดที่หน่วยงานที่ปรึกษาของพวกเขาได้รับสัญญาในการบริหารโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนเมษายน 2020 ท่ามกลางวิกฤตการณ์โควิด-19 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจและความเชี่ยวชาญของพวกเขาในสถานการณ์ที่ท้าทาย BlackRock เป็นที่รู้จักกันดีจากแพลตฟอร์ม iShares ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำสำหรับผลิตภัณฑ์ ETF แพลตฟอร์มนี้มีกองทุน ETF ที่ซื้อขายทั่วโลกมากกว่า 700 กองทุน และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการมากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ในส่วนของ iShares) iShares นำเสนอทางเลือกที่หลากหลายสำหรับการลงทุนในทุกประเภทสินทรัพย์ ภูมิภาค และธีมการลงทุน
นอกเหนือจากการเป็นผู้นำด้าน ETF แล้ว BlackRock ยังเป็นผู้นำในการลงทุนแบบเชิงรุก บริหารสินทรัพย์ทางเลือก และเป็นผู้บุกเบิกการนำเทคโนโลยีมาใช้ในอุตสาหกรรมผ่านแพลตฟอร์ม Aladdin ซึ่งเป็นระบบบริหารความเสี่ยงและพอร์ตการลงทุนที่ล้ำสมัยที่ใช้โดยสถาบันการเงินทั่วโลก BlackRock ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการผลักดันให้บริษัทต่างๆ ทั่วโลกพิจารณาปัจจัยด้าน ESG ในการดำเนินธุรกิจ ผลิตภัณฑ์เด่นของ BlackRock ได้แก่ iShares China Large-Cap ETF ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าถึงได้ผ่านแพลตฟอร์มการลงทุนบางแห่ง และ iShares Global Clean Energy ETF ที่ตอบรับกระแสการลงทุนในพลังงานสะอาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2025 ด้วยขนาดที่ใหญ่ ความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม และบทบาทในการเป็นผู้นำทางความคิด BlackRock จึงยังคงเป็นผู้เล่นที่สำคัญที่สุดในการกำหนดทิศทางของตลาดการเงินโลก
บทสรุปและอนาคตของการลงทุนในปี 2025
โดยสรุปแล้ว บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำเหล่านี้ได้ครอบงำภูมิทัศน์ทางการเงินทั่วโลกในปี 2025 อย่างต่อเนื่อง พวกเขาได้รวมฐานะของตนเองในตลาด โดยมี BlackRock เป็นผู้นำและยังคงรักษาบัลลังก์ในฐานะผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก สถาบันเหล่านี้ร่วมกันบริหารจัดการความมั่งคั่งที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงถึงจุดสูงสุดของการบริหารสินทรัพย์เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิวัฒนาการและความสามารถในการปรับตัวในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกเหล่านี้ไม่เพียงแต่นำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย แต่ยังสะท้อนถึงแนวโน้ม นวัตกรรม และกลยุทธ์ที่ชี้นำนักลงทุนท่ามกลางความท้าทายและโอกาสต่างๆ ในปี 2025 เราได้เห็นการเติบโตของการลงทุนที่เน้น ESG, การใช้ปัญญาประดิษฐ์และข้อมูลขนาดใหญ่ในการตัดสินใจลงทุน, และการขยายตัวของผลิตภัณฑ์แบบพาสซีฟอย่าง ETF ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง การทำความเข้าใจผู้เล่นหลักเหล่านี้จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคนที่ต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
คุณพร้อมที่จะยกระดับการลงทุนของคุณหรือยัง?
ในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมีข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การทำความเข้าใจผู้เล่นหลักเหล่านี้และกลยุทธ์ของพวกเขา จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาดและบรรลุเป้าหมายทางการเงินของคุณ หากคุณกำลังมองหาโอกาสในการลงทุน หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีเลือกบริษัทจัดการกองทุนที่เหมาะสมกับคุณ อย่าลังเลที่จะศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน เพื่อให้คุณไม่พลาดทุกโอกาสสำคัญในตลาดการเงินปี 2025!
สุดยอดผู้จัดการกองทุนโลกปี 2025: เจาะลึก 10 บริษัทจัดการสินทรัพย์ยักษ์ใหญ่ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ในโลกของการลงทุนที่ผันผวนและเต็มไปด้วยโอกาสในปี 2025 นี้ การเลือกพันธมิตรที่เหมาะสมในการบริหารจัดการความมั่งคั่งของคุณคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ยิ่งกว่ายุคใดๆ ที่ผ่านมา ผู้จัดการกองทุนระดับโลกได้เข้ามามีบทบาทอย่างมหาศาล ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ดูแลสินทรัพย์ แต่ยังเป็นผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม สร้างมาตรฐานใหม่ด้านความยั่งยืน และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การทำความเข้าใจผู้เล่นหลักเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการวางแผนการเงินในระยะยาว และแสวงหาผลตอบแทนสูงอย่างมีกลยุทธ์
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่มีประสบการณ์กว่าทศวรรษ ผมได้เห็นพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมการบริหารสินทรัพย์ ตั้งแต่การเติบโตของกองทุนดัชนีและ ETF ไปจนถึงการที่หลักการ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) กลายเป็นแกนหลักของการลงทุนทั่วโลก ปี 2025 เป็นปีที่ตลาดการเงินเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสร้างความกังวล พัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ที่ปฏิวัติการวิเคราะห์ข้อมูล และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ในตลาดเกิดใหม่และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึก 10 บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2025 ซึ่งไม่เพียงแต่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในระดับหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้กำหนดมาตรฐานและแนวทางการลงทุนแห่งอนาคต เราจะสำรวจปรัชญาการลงทุนที่โดดเด่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม และบทบาทของแต่ละบริษัทในการหล่อหลอมภูมิทัศน์ทางการเงินโลก พร้อมกับวิเคราะห์ว่าทำไมนักลงทุนมืออาชีพจึงให้ความไว้วางใจในการบริหารพอร์ตการลงทุนกับยักษ์ใหญ่เหล่านี้
ภูมิทัศน์การบริหารสินทรัพย์โลก 2025: การรวมศูนย์อำนาจและการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
รายงานล่าสุดจากสถาบันการเงินชั้นนำเผยให้เห็นว่า ในปี 2025 BlackRock ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำสูงสุดในฐานะบริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตามมาด้วย Vanguard ที่ยืนหยัดในฐานะผู้เล่นสำคัญอันดับสองอย่างเหนียวแน่น ความจริงที่น่าสนใจคือ บริษัทจัดการกองทุน 10 อันดับแรกเหล่านี้ควบคุมสินทรัพย์รวมกันกว่า 48.39 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการรวมศูนย์อำนาจในอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน สหรัฐอเมริกายังคงเป็นศูนย์กลางของยักษ์ใหญ่เหล่านี้ โดยมีถึงเจ็ดในสิบอันดับแรกเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ขณะที่ยุโรปก็มีผู้เล่นสำคัญอย่าง Amundi จากฝรั่งเศส และ Allianz Group จากเยอรมนี ติดอยู่ในทำเนียบนี้เช่นกัน
ความมั่นคงของการจัดอันดับนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทเหล่านี้ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความน่าเชื่อถือและความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้เป็นอย่างดี แทบหนึ่งในสามของสินทรัพย์ทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของทั่วโลก อยู่ในมือของบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำเหล่านี้ ซึ่งทำให้พวกเขามีอิทธิพลมหาศาลต่อทิศทางของตลาดทุนและเศรษฐกิจโลก
มาดูกันว่าผู้จัดการกองทุนชั้นนำเหล่านี้คือใคร และมีกลยุทธ์อะไรที่ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของผู้บริหารความมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2025
BlackRock: ราชันย์แห่งการลงทุนที่ไร้เทียมทาน
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 27 มิ.ย. 2025)
BlackRock ยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งในฐานะผู้นำสูงสุดในโลกของการบริหารจัดการสินทรัพย์ในปี 2025 ด้วย AUM ที่น่าตกใจถึง 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การเป็นผู้นำของ BlackRock ไม่ได้มาจากขนาดเพียงอย่างเดียว แต่มาจากวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและนวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกองทุน ETF ซึ่ง BlackRock เป็นผู้บุกเบิกและเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม iShares ที่มีกองทุน ETF กว่า 700 กองทั่วโลก และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารบนแพลตฟอร์มนี้กว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สิ่งที่ทำให้ BlackRock โดดเด่นอย่างแท้จริงคือแพลตฟอร์มเทคโนโลยีการจัดการความเสี่ยงที่ชื่อว่า Aladdin ซึ่งไม่ใช่แค่เครื่องมือภายในองค์กรเท่านั้น แต่ยังถูกใช้งานโดยสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ทำให้ BlackRock มีข้อมูลเชิงลึกและอิทธิพลที่ไม่มีใครเทียบได้ในตลาด การที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ เคยเลือก BlackRock ให้บริหารจัดการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤต แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพและความเชี่ยวชาญของพวกเขา
ในปี 2025 BlackRock ยังคงเป็นผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน (ESG Investing) โดยผลักดันให้บริษัทต่างๆ ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมากขึ้น ผู้บริหารของ BlackRock มักย้ำเสมอว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องของจริยธรรม แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลตอบแทนในระยะยาวสำหรับพอร์ตการลงทุน การมุ่งเน้นในเรื่องนี้ดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากที่ต้องการสร้างผลกระทบเชิงบวกควบคู่ไปกับการสร้างผลกำไร
ตัวอย่างกองทุนเด่น: iShares China Large-Cap ETF, iShares Global Clean Energy ETF
Vanguard Group: ผู้บุกเบิกกองทุนดัชนีเพื่อนักลงทุนทุกคน
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): 10.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 27 มิ.ย. 2025)
Vanguard Group ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญอันดับสองในอุตสาหกรรม โดยมี AUM แตะ 10.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ห่างจากอันดับสามเกือบสองเท่า ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เป็นรองใคร Vanguard คือผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำในด้านกองทุนดัชนีและ ETF ที่มีการบริหารจัดการแบบเชิงรับ (Passive Management) ด้วยปรัชญาที่ยึดมั่นในต้นทุนต่ำ ความหลากหลาย และผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งริเริ่มโดย John Bogle ผู้ก่อตั้งในปี 1975
สิ่งที่ทำให้ Vanguard แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากบริษัทจัดการกองทุนส่วนใหญ่คือ โครงสร้างการเป็นเจ้าของที่ไม่เหมือนใคร Vanguard ไม่ได้เป็นบริษัทมหาชนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือเป็นของกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้ง แต่เป็นเจ้าของโดยกองทุนรวมและ ETF ของบริษัทเอง นั่นหมายความว่า เจ้าของที่แท้จริงคือผู้เข้าร่วมลงทุนในกองทุนเหล่านั้น โครงสร้างนี้สร้างความสอดคล้องทางผลประโยชน์ระหว่างผู้จัดการและนักลงทุนอย่างสมบูรณ์ ทำให้ Vanguard สามารถเสนอค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าคู่แข่งได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากในยุค 2025 ที่มองหาทางเลือกการลงทุนที่มีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุน
ในปี 2025 Vanguard ยังคงขยายขอบเขตการนำเสนอผลิตภัณฑ์ โดยไม่จำกัดอยู่แค่กองทุนดัชนีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกองทุนที่มีการจัดการแบบเชิงรุกที่คัดสรรมาอย่างดีเยี่ยม และโซลูชันการวางแผนการเงินส่วนบุคคลที่ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น
ตัวอย่างกองทุนเด่น: Vanguard Dividend Appreciation ETF, Vanguard FTSE Developed Markets ETF
Fidelity Investments: ผู้ให้คำปรึกษาและนวัตกรด้านการลงทุน
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): 5.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 27 มิ.ย. 2025)
Fidelity Investments ยืนหยัดในตำแหน่งที่สามด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 5.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Fidelity เป็นชื่อที่คุ้นเคยในหมู่นักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะที่ปรึกษาการลงทุนชั้นนำสำหรับทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน บริษัทมีชื่อเสียงจากการเป็นที่ตั้งของตำนานนักลงทุนอย่าง Peter Lynch และกองทุน Magellan ที่สร้างผลงานโดดเด่นในอดีต
สิ่งที่ทำให้ Fidelity โดดเด่นในปี 2025 คือความมุ่งมั่นในการให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ETF ไปจนถึงแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้น การวางแผนเกษียณอายุ และบริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล Fidelity ลงทุนอย่างมหาศาลในด้านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลการวิเคราะห์และเครื่องมือการตัดสินใจที่ทันสมัยได้อย่างง่ายดาย
Fidelity ยังคงเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์การลงทุน เช่น กองทุนที่ไม่มีค่าธรรมเนียม (zero-fee index funds) และการเป็นผู้บุกเบิกในการนำเสนอการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลและสกุลเงินดิจิทัลให้กับลูกค้าสถาบัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ก้าวหน้าและการปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์การลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างกองทุนเด่น: Fidelity Funds – US Dollar Bond Fund, Fidelity Global Technology Fund
State Street Global Advisors: ผู้เชี่ยวชาญด้าน ETF และโซลูชันสถาบัน
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): 4.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 27 มิ.ย. 2025)
State Street Global Advisors (SSGA) รั้งอันดับสี่ด้วย AUM กว่า 4.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ SSGA เป็นหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์สถาบันชั้นนำของโลก และเป็นผู้บุกเบิกในตลาด ETF โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ SPDR® ETFs ซึ่งเป็นกองทุน ETF ตัวแรกของสหรัฐอเมริกา (SPDR S&P 500 ETF Trust) ที่เปิดตัวในปี 1993
SSGA ก่อตั้งขึ้นในปี 1978 และเป็นที่รู้จักจากแนวทางการลงทุนที่เน้นการวิจัยเชิงลึกและการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างดัชนีและผลิตภัณฑ์เชิงรับที่ตอบสนองความต้องการของนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ หรือบริษัทประกันภัย
ในปี 2025 SSGA ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาโซลูชันการลงทุนที่ซับซ้อน เช่น Smart Beta ETFs และ ESG ETFs ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายและความเชื่อมั่นด้านความยั่งยืนได้ พวกเขายังเป็นผู้เล่นสำคัญในการวิจัยและการกำหนดมาตรฐานใหม่ๆ ในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance) และการเป็นผู้มีส่วนร่วมที่แข็งขันในการเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ตัวอย่างกองทุนเด่น: SPDR Dow Jones Industrial Average ETF Trust, SPDR S&P 500 ETF Trust
J.P. Morgan Asset Management: บริการจัดการสินทรัพย์ระดับโลกด้วยเครือข่ายที่แข็งแกร่ง
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 27 มิ.ย. 2025)
J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) ซึ่งเป็นแผนกบริหารสินทรัพย์ของ JPMorgan Chase Group ก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 5 ด้วย AUM กว่า 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ JPMAM มีประวัติศาสตร์อันยาวนานย้อนไปถึงปี 1871 และมีชื่อเสียงในด้านการนำเสนอโซลูชันการลงทุนที่ครอบคลุม ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ พอร์ตโฟลิโอแบบ Multi-Asset สินทรัพย์ทางเลือก และผลิตภัณฑ์ตลาดเงิน
สิ่งที่ทำให้ JPMAM แข็งแกร่งในปี 2025 คือเครือข่ายทั่วโลกที่กว้างขวางและทรัพยากรการวิจัยภายในองค์กรที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม JPMorgan Chase ทั้งหมด พวกเขามีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนกว่า 2,300 คนกระจายอยู่ทั่วโลก ที่ให้บริการลูกค้ารายย่อย ผู้ประกอบการทางการเงิน และนักลงทุนสถาบัน ด้วยความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอเชิงรุกที่เน้นการวิเคราะห์เชิงลึก
JPMAM ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยี AI และ Data Analytics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ตลาดและการตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ESG ที่ตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ และแสวงหาผลตอบแทนที่ดีไปพร้อมกัน
ตัวอย่างกองทุนเด่น: JPMorgan America Equity Fund, JPMorgan Global Dividend Fund
Goldman Sachs Asset Management: ขุมพลังการลงทุนที่เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): 3.17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 27 มิ.ย. 2025)
Goldman Sachs Asset Management (GSAM) ตอกย้ำตำแหน่งในกลุ่มผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย AUM กว่า 3.17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประสบการณ์อันยาวนาน วิสัยทัศน์ระดับโลก และการมุ่งเน้นที่ความต้องการของลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GSAM ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
GSAM โดดเด่นด้วยกระบวนการวิจัยและการคัดเลือกสินทรัพย์ที่เข้มงวด มีวินัย และเน้นการหาความเป็นเลิศ การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า การบริหารความเสี่ยงถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด ทำให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของพอร์ตการลงทุนที่อยู่ภายใต้การดูแล
ในปี 2025 GSAM ยังคงเป็นผู้นำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนและเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็น Private Equity, Real Estate, หรือ Hedge Funds ซึ่งเป็นที่ดึงดูดใจของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและแสวงหาผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทางเลือก นอกจากนี้ GSAM ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีเกิดใหม่และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าอย่างยั่งยืน
ตัวอย่างกองทุนเด่น: Goldman Sachs Global Environmental Impact Equity Portfolio, Goldman Sachs Global High Yield Portfolio
Capital Group: ผู้บุกเบิกการบริหารจัดการเชิงรุกที่ยั่งยืน
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 27 มิ.ย. 2025)
Capital Group หนึ่งในบริษัทจัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ยาวนานที่สุด ก่อตั้งขึ้นในปี 1931 ที่ลอสแองเจลิส และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจนมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารแตะ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Capital Group มีชื่อเสียงในด้านการบริหารจัดการเชิงรุก (Active Management) ที่เน้นการลงทุนระยะยาวและมีการวิเคราะห์เชิงลึกอย่างเข้มข้น
ค่านิยมหลักของ Capital Group ได้แก่ ความรับผิดชอบ การมุ่งเน้นระยะยาว การร่วมมือกับลูกค้า และการวิเคราะห์ที่เข้มงวด ทำให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุด การจ่ายค่าตอบแทนผู้จัดการกองทุนไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณสินทรัพย์ที่บริหาร แต่ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน ซึ่งสร้างแรงจูงใจในการสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้กับนักลงทุน
ในปี 2025 Capital Group ยังคงเน้นย้ำถึงบทบาทของการวิจัยที่เป็นอิสระและการมองไปข้างหน้าเพื่อระบุแนวโน้มและโอกาสที่อาจถูกมองข้าม พวกเขายังคงขยายการดำเนินงานทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเอเชียที่มีศักยภาพการเติบโตสูง และยังคงพัฒนาโซลูชันการลงทุนที่ปรับให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของนักลงทุนแต่ละราย รวมถึงการบูรณาการปัจจัย ESG เข้ากับการตัดสินใจลงทุนอย่างเป็นระบบ
ตัวอย่างกองทุนเด่น: Capital Group Global Allocation, Capital Group New Perspective
Amundi: ผู้จัดการกองทุนรายใหญ่ที่สุดในยุโรป
ประเทศ: ฝรั่งเศส
สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 30 มี.ค. 2025)
Amundi บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และติดอันดับ 8 ของโลก ด้วย AUM กว่า 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Amundi เป็นบริษัทในเครือของ Crédit Agricole และ Société Générale สองสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 จากการควบรวมกิจการ ทำให้มีขนาดและขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
Amundi ให้ความสำคัญกับค่านิยมของการทำงานเป็นทีม (One Team) นวัตกรรม และวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง พวกเขามีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าต่อการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบในระยะยาว และใช้เทคโนโลยีการวิจัยที่ทันสมัยเพื่อสนับสนุนลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ในปี 2025 Amundi ยังคงเป็นผู้นำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม กองทุน ETF สินทรัพย์ทางเลือก และโซลูชันการจัดการพอร์ตโฟลิโอที่ปรับแต่งตามความต้องการ Amundi มีชื่อเสียงเป็นพิเศษในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ ESG ที่ครอบคลุม โดยเป็นหนึ่งในผู้ลงนามใน Principles for Responsible Investment (PRI) มาตั้งแต่แรกเริ่ม และยังคงขับเคลื่อนวาระด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการเงินยุโรปและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างกองทุนเด่น: Amundi Funds US Equity Fundamental Growth, Amundi Funds Global Aggregate Bond
Invesco: ผู้ให้บริการโซลูชันการลงทุนระดับโลก
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): 1.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 28 มิ.ย. 2025)
Invesco Ltd. เป็นหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์ระดับโลกที่มี AUM แตะ 1.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 Invesco มีพันธกิจและค่านิยมที่มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์การลงทุนที่ช่วยให้ลูกค้าบรรลุผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในชีวิต โดยยึดหลักการทำงานแบบ “One Team” (ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความรับผิดชอบร่วมกัน), “Culture Matters” (การรักษาวัฒนธรรมที่ครอบคลุมและร่วมมือกัน) และ “Focused Execution” (การดำเนินการเชิงกลยุทธ์ด้วยความรวดเร็วและตรวจสอบได้)
Invesco มีความเชี่ยวชาญในการนำเสนอโซลูชันการลงทุนที่หลากหลาย รวมถึงกองทุนรวม ETF และการจัดการสินทรัพย์ทางเลือก โดยมีจุดแข็งในด้านการวิเคราะห์ตลาดเชิงลึกและการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอที่ปรับให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน
ในปี 2025 Invesco ยังคงลงทุนในการขยายขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือการลงทุนที่ทันสมัยได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ Invesco ยังเป็นผู้เล่นสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ESG และธีมการลงทุนแห่งอนาคต เช่น เทคโนโลยี AI, พลังงานสะอาด และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนที่สร้างผลกระทบเชิงบวก
ตัวอย่างกองทุนเด่น: Invesco S&P 500 Index Fund, Invesco Value Opportunities Fund
Allianz Group: ผู้จัดการกองทุนที่มีปรัชญาความยั่งยืนเป็นรากฐาน
ประเทศ: เยอรมนี
สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): 1.91 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 27 มิ.ย. 2025)
Allianz Group ปิดท้ายในอันดับที่ 10 ด้วย AUM กว่า 1.91 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมสินทรัพย์จากธุรกิจประกันภัยของ Allianz และบริษัทย่อยด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ ได้แก่ Allianz Global Investors (AllianzGI) และ PIMCO (Pacific Investment Management Company) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Allianz มีชื่อเสียงในด้านปรัชญาการลงทุนระยะยาวที่ฝังรากอยู่บนหลักการความยั่งยืน (Sustainability) และการบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลก พวกเขามองว่าการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
ในปี 2025 Allianz ยังคงเป็นผู้นำในการบูรณาการปัจจัย ESG เข้าไปในกระบวนการลงทุนทั้งหมด โดยไม่เพียงแต่คัดเลือกบริษัทที่มีคะแนน ESG สูงเท่านั้น แต่ยังทำงานร่วมกับบริษัทที่ลงทุนเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น นอกจากนี้ Allianz ยังเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก โดยใช้ความเชี่ยวชาญเชิงลึกในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายและยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดโลก
ตัวอย่างกองทุนเด่น: Allianz Global Sustainability Fund, Allianz Global Artificial Intelligence Fund
สรุปและคำเชิญชวน
ในปี 2025 บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำเหล่านี้ยังคงเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนภูมิทัศน์ทางการเงินโลก พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นผู้บริหารสินทรัพย์มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม สร้างมาตรฐานใหม่ด้านความยั่งยืน และปรับตัวอย่างต่อเนื่องในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่ BlackRock ที่เป็นราชันย์แห่ง ETF และเทคโนโลยี ไปจนถึง Vanguard ที่เป็นผู้บุกเบิกกองทุนต้นทุนต่ำเพื่อนักลงทุนรายย่อย แต่ละบริษัทมีปรัชญาและกลยุทธ์ที่โดดเด่น ซึ่งสะท้อนถึงเทรนด์การลงทุนแห่งยุค
การทำความเข้าใจผู้เล่นหลักเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายย่อย สามารถสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ บริหารความมั่งคั่งให้เติบโต และบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวได้อย่างมั่นใจ ท่ามกลางความท้าทายและโอกาสในปี 2025 การเลือกพันธมิตรที่เหมาะสมในการบริหารจัดการเงินลงทุนของคุณคือการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง
หากคุณเป็นผู้ที่กำลังมองหาแนวทางการลงทุนเพื่ออนาคต หรือต้องการปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดในปัจจุบันและอนาคต การศึกษาและทำความเข้าใจผู้จัดการกองทุนระดับโลกเหล่านี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม อย่ารอช้าที่จะสำรวจโอกาสใหม่ๆ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน เพื่อให้คุณสามารถก้าวเดินในเส้นทางความมั่งคั่งได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

