• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N1910257 กท แอบเล ยงมาเซอร ไพรส แต โดนเซอร ไพรสกล part 2

admin79 by admin79
October 18, 2025
in Uncategorized
0
N1910257 กท แอบเล ยงมาเซอร ไพรส แต โดนเซอร ไพรสกล part 2

ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇

BMW แค่เริ่มต้นก็แพ้แล้ว แต่เป็นการแพ้เพื่อชัยชนะที่ยิ่งใหญ่

  • Posted byby Suwapitch Silrapanit 
  • Updated 3 months ago 
  • 2 min

ความสำเร็จที่เริ่มต้นจากการเป็นผู้แพ้ แค่โรงงานที่ผลิตสินค้าถูกยึดก็ว่าลำบากแล้ว แล้วถ้าโดนระเบิดทำลายเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ โดยสมรภูมิที่พ่ายแพ้ก็ไม่ได้พ่ยแพ้ในการแข่งขันทางธุรกิจ แต่เป็นการพ่ายแพ้ในสงครามโลก และไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแต่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง

พร้อมทั้งถูกสั่งห้ามผลิตเครื่องยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ หรือแม้กระทั่งรถยนต์ จนต้องเปลี่ยนฐานการผลิตเครื่องยนต์มาเป็นอุปกรณ์ครัวในบ้าน เครื่องยนต์ทางการเกษตร เบรกรถไฟ จากผลพวงของการเป็นผู้แพ้ในสงครามโลก

แต้มต่อที่ควรจะเติบโตและเป็นค่ายรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่กลับถูกเบรกกระทันหัน ทั้งห้ามผลิต ห้ามพัฒนา และห้ามขาย น่าจะทำให้บริษัทรถยนต์ค่ายนี้ควรจะหายไปจากธุรกิจรถยนต์ไปเสียแล้ว

แต่มหาวิกฤตเหล่านี้กลับสร้างให้ค่ายรถความสำเร็จที่เริ่มต้นจากการเป็นผู้แพ้ แค่โรงงานที่ผลิตสินค้าถูกยึดก็ว่าลำบากแล้ว แล้วถ้าโดนระเบิดทำลายเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ โดยสมรภูมิที่พ่ายแพ้ก็ไม่ได้พ่ยแพ้ในการแข่งขันทางธุรกิจ แต่เป็นการพ่ายแพ้ในสงครามโลก และไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแต่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง

พร้อมทั้งถูกสั่งห้ามผลิตเครื่องยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ หรือแม้กระทั่งรถยนต์ จนต้องเปลี่ยนฐานการผลิตเครื่องยนต์มาเป็นอุปกรณ์ครัวในบ้าน เครื่องยนต์ทางการเกษตร เบรกรถไฟ จากผลพวงของการเป็นผู้แพ้ในสงครามโลก

แต้มต่อที่ควรจะเติบโตและเป็นค่ายรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่กลับถูกเบรกกระทันหัน ทั้งห้ามผลิต ห้ามพัฒนา และห้ามขาย น่าจะทำให้บริษัทรถยนต์ค่ายนี้ควรจะหายไปจากธุรกิจรถยนต์ไปเสียแล้ว

แต่มหาวิกฤตเหล่านี้กลับสร้างให้ค่ายรถยนต์มีอัตลักษณ์ DNA ที่ยิ่งใหญ่ ที่มีทั้งทัศนคติแห่งความเป็นผู้ชนะจนถ่ายทอดผ่านทางยนตรกรรม ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถูกส่งมาที่แบรนด์รถยนต์ค่ายนี้จนกระทั่งมีคนนับล้านที่อยากจะเป็นเจ้าของเพื่อการขับขี่ที่สะท้อนถึง ความไม่ยอมแพ้ ดุดัน ต้องการเป็นผู้ชนะ

เล่าเคสธุรกิจรถยนต์ “บีเอ็มดับบลิว (BMW)”
เบื้องหลังโมเดลธุรกิจที่ไม่มีใครบอก

ยานยนต์ที่ผู้คนทั้งโลกต่างอยากเป็นเจ้าของ

โลกในยุคปัจจุบัน แทบไม่ต้องเปิดหนังสือ เปิดอินเตอร์เน็ต เวปไซต์ต่างๆ ก็ต้องรู้จักชื่อบีเอ็มดับบลิวอย่างแน่นอน เพราะถ้าพูดถึงในระดับโลก แบรนด์นี้ถูกจัดเป็นอันดับที่ 39 ของ 500 แบรนด์ดังระดับโลก ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ที่ว่าบริษัทรถยนต์อย่างบีเอ็มดับบลิวที่เริ่มต้นจากติดลบสามารถก้าวกระโดดได้ไกลขนาดนี้

ยนต์กรรมที่มีภาพลักษณ์ดูดุดันที่มรพร้อมกระจังหน้าคู่ , Credit : www.hypebeast.com

และถ้าพูดถึงเรื่องรถยนต์เพียงอย่างเดียว บีเอ็มดับบลิว คือรถยนต์ในความฝันของหลายๆคนเพราะนี่คือยนตรกรรมที่มีเอกลักษณ์ เรียบหรู ดูดี และดูทรงพลัง มีทั้งสมรรถนะที่แรง พร้อมตอบโจทย์เรื่องการประหยัดน้ำมัน แต่มีน้อยคนที่จะรู้ถึงรากฐานความเป็นมาของค่ายรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกที่เริ่มจากจุดเริ่มต้นในปีค.ศ. 1913 ก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เสียอีก ถ้านับปีดูแล้วแน่นอนว่าไม่ต่ำกว่า 100 ปี

ลองเจาะเวลาหาอดีตถึงเรื่องราว บีเอ็มดับบลิว กันครับ ในปีค.ศ. 1913 ถ้าเดินถามคนในเยอรมันว่าอยากเห็นรถยนต์ บีเอ็มดับบลิวจะเห็นได้ที่ไหนบ้าง  คำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือ “ไม่มีใครรู้จัก” เพราะในปีนั้น บีเอ็มดับบลิว ยังไม่ถูกสร้างออกมาวิ่งบนท้องถนน และที่สำคัญบริษัทนี้ยังไม่เกิดขึ้นมา  ดังนั้นจุดเริ่มต้นของรถยนต์ค่ายนี้มาจากบริษัทชื่อ “แร็ป มอเตอร์เริน เวิร์ค (Rapp Moteren Werke)” ถ้าภาษาอังกฤษก็จะเขียนได้ว่า Rapp Motor Work ที่ถูกก่อตั้งโดย “คาร์ล แร็ป (Karl Rapp)”

แต่เดิม แร็ป มอเตอร์เริน เวิร์ค เป็นโรงงานที่ทำเครื่องยนต์และใบพัดสำหรับเครื่องบิน เพราะในยุคสมัยนั้นเยอรมันเตรียมพร้อมที่จะทำสงคราม แต่คงไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นมหาสงครามที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ทำให้ประเทศเยอรมันต้องเตรียมความพร้อมที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะ ยุทโธปกรณ์ในการรบ และสิ่งที่สำคัญก็คือ เครื่องบินรบ

แต่ปัญหาก็คือ Rapp Motor Work ไม่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญถึงขนาดนั้น ทำให้เครื่องบินที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์ของบริษัทเกิดการสั่น ส่งผลทำให้ประสิทธิภาพการรบทางอากาศของเยอรมันเสียเปรียบ จนทำให้ยอดขายตกลงจนเกิดวิกฤตต่างๆทั้งทางด้านเทคนิคและการเงิน

จนได้เจอจุดเปลี่ยนจากการเจอวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเครื่องยนต์ทั้งสองที่มีชื่อว่า Franz Josef Popp และ Max Friz มาช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ของ Rapp Motor Work สามารถสนับสนุนเข้าสู่กองทัพได้และสร้างปรากฎการณ์การรบได้

ส่วนปัญหาทางด้านการเงินของ Rapp Motor Work แก้ไขโดยการหาผู้ร่วมทุนเข้ามาสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติม และมีนักการเงินที่สนใจลงทุน  Camillo Castiglioni รวมทั้งควบรวมกับกิจการของบริษัทการบินที่เป็นคู่แข่งกันอย่าง GUSTAV FLUGMASCHINEFABRIK ของ Gustav Otto ที่กำลังประสบปัญหาขาดทุนเช่นเดียวกัน จีงทำให้ได้โรงงานและเครื่องจักรมาสนับสนุนการผลิต

ดังนั้นถ้ามองในองค์ประกอบของการแก้ปัญหา ถือว่า Rapp Motor Work กำลังแก้ปัญหาทั้ง 2 อย่างได้อย่างถูกต้องและถูกแนวทาง

“ถ้ามีปัญหาเรื่องเทคนิควิศวกรรมก็หาผู้ช่ำชองทางด้านเครื่องยนต์”
“ถ้าประสบปัญหาทางด้านการเงินก็หาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาลงทุนร่วม“

และใช้ชื่อใหม่ว่า Bayerische Flugzeug-Werke (BFW) และกลายมาเป็น Bayerische Motoren Werke ซึ่งเป็นชื่อที่คุ้นตาคุ้นปากว่า BMW และมีสัญลักษณ์ที่ถูกออกแบบจากภาพของกังหันเครื่องบินกำลังหมุนอยู่ และมีสีฟ้าสลับกับสีขาวซึ่งเป็นสีประจำแคว้นบาวาเรียที่บริษัทตั้งอยู่

เมื่อปัญหาถูกคลี่คลาย การพัฒนาเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่องของเครื่องบินที่เรียนรู้ พัฒนา ต่อยอดจากจุดอ่อนจากการออกแบบและสร้างจริง และเครื่องยนต์ของคู่แข่ง ในที่สุด BMW ก็สามารถสร้างเครื่องบินรุ่น BMW IIIA ที่มีเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในยุคนั้น โดยความพิเศษก็คือ การเลือกใช้ลูกสูบที่เป็นอะลูมิเนียม ทำให้เครื่องยนต์มีน้ำหนักเบากว่าเครื่องยนต์ทั่วไป จนสามารถสร้างเพดานการบินได้สูงที่สุดในยุคนั้นถึง 9,760 เมตร

ถึงแม้ว่าเครื่องบินที่ใช้เครื่องยนต์ BMW จะมีความสามารถเหนือกว่าเครื่องบินของคู่ต่อสู้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ชนะศึกในสงครามได้ จึงเกิดความพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งประเทศเยอรมันที่เป็นผู้แพ้จะต้องเสียค่าปฎิมากรรมสงครามที่ถูกระบุในสนธิสัญญาแวร์ซายน์ที่ปารีส โดยประเทศผู้แพ้สงครามไม่ได้ถูกเชิญเข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้

ผลของสัญญาแวร์ชายน์ก็คือ บทปรับต่างๆที่ทางเยอรมันต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวและมูลค่าการปรับเงินก็คือ 1.1 ล้านล้านบาทโดยประมาณ (เมื่อปีค.ศ. 1919) ซึ่งบางประเทศที่เป็นผู้ชนะสงครามอย่างอังกฤษและอเมริกาก็มองว่าบทปรับค่อนข้างรุนแรงจนเกินไป

การพ่ายแพ้สงครามโลก นี่คือวิกฤตครั้งยิ่งใหญ่ของ BMW แต่ถ้าสามารถเอาจุดแข็งที่มีอยู่สร้างมูลค่าใหม่ ก็สามารถเกิดธุรกิจใหม่ได้Bizlabor.Co

แต่ในเรื่องเศรษฐกิจนั้นเกิดผลกระทบอย่างมหาศาล ก็คือ เงินเฟ้อระดับรุนแรง (Hyper inflation) ถ้าถามว่ารุนแรงยังไง ลองมาทำเข้าใจก่อนนะครับ

ช่วงก่อนเกิดสงครามโลก ค่าเงินมาร์ค(เยอรมัน) จะเทียบเท่า 2 มาร์ค ต่อ 1 ดอลล่าร์(อเมริกา) แล้วค่อยๆขยับสูงขึ้นเรื่อยๆตามในสภาวะสงครามเพราะรัฐบาลเยอรมันจะต้องพิมพ์เงินเข้าไปในระบบเพื่อจ้างงาน สร้างกองทัพต่างๆ ซึ่งโดยปกติแล้วการพิมพ์เงินก็จะต้องมีทรัพย์สินที่เชื่อถือได้เป็นตัวค้ำ ก็คือ ทองคำ แต่ทางรัฐบาลเยอรมันยกเลิกการพิมพ์เงินโดยใช้ทองคำค้ำมาเป็นการพิมพ์เงินแบบเสรี

ในระยะเวลาไม่นาน เงินมาร์คก็มีค่าสูงขึ้นจาก 2 มาร์คมาเป็น 4 มาร์คต่อดอลลาร์ ซึ่งขึ้นเท่านึง และรัฐบาลก็มีการพิมพ์เงินเข้าระบบเพื่อจ่ายเงินค่าแรง ค่าใช้จ่ายประเทศที่เกิดขึ้นมากมาย ก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อทยอยสูงขึ้นเรื่อยๆ

และแน่นอนว่า BMW ก็ได้รับผลประทบเช่นเดียวกัน เพราะการเป็นผู้แพ้สงครามจะต้องถูกห้ามผลิตยุทโธปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับสงคราม ซึ่งทาง “BMW” มีการผลิตเครื่องยนต์และใบพัดจึงถูกห้ามผลิตเช่นเดียวกัน สิ่งที่ทำได้ก็คือการเปลี่ยนรูปแบบของธุรกิจ เนื่องจากอุตสาหกรรมหลักๆต่างถูกห้ามทำ ดังนั้นเกษตรกรรมจึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ จึงเกิดธุรกิจใหม่ก็คือการทำเครื่องยนต์สำหรับการเกษตร ทำเบรกรถไฟ ทำอุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ เพื่อประคองหาเลี้ยงชีพ

แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอ ปัญหาของเศรษฐกิจก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ก็มีผู้ที่ขายหุ้นของ BMW ออกมาจำนวนมาก แต่นักการเงินอย่าง Camillo Castiglioni เห็นโอกาสจึงทำการซื้อสะสมหุ้นไปเรื่อยๆจนสามารถมีเสียงที่ใหญ่ที่สุดและทำการขายให้กับ Knorr-Bremse AG. ในปีค.ศ. 1920 หลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 เพียง 1 ปี

ปีค.ศ. 1922 สถานการณ์เงินเฟ้อของเยอรมันเริ่มเข้าสู่จุดสูงสุด เมื่อประเทศผู้ชนะสงครามก็ยึดทรัพยากรต่างๆในประเทศ อาทิ ท่าเรือทั้ง 3 แห่งถูกยึดหมด ทำให้รายได้ของประเทศที่น้อยอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆจนทำให้เงินเฟ้อเริ่มแตะหลัก 7000 มาร์ค = 1 ดอลลาร์

ค่าของเงินมาร์คถูกด้อยค่าลงเรื่อยๆ แต่นักการเงินอย่าง Camillo Castiglioni มองว่านี่คือโอกาสที่จะซื้อโรงงานอุตสาหกรรมและทรัพย์สินต่างๆเข้ามา เพราะอนาคตต่อไปเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มสูงขึ้น การถือเงินสดไว้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี จึงมีความคิดที่จะซื้อ BMW กลับคืนมาจาก Knorr-Bremse AG. เพื่อเข้าร่วมกับ บริษัท Bayerische Flugzeugwerke หรือ BFW ที่ทาง Camillo Castiglioni เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ทำการซื้อมาก่อนหน้านี้

ซื้อคืนมาอย่างเดียวยังไม่พอ ยังซื้อธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์กลับมาเสริมอยู่ใน Portfolio ของ BMW เข้ามาอีกด้วย ส่วนทาง Knorr-Bremse AG. ก็ไม่ได้สนใจที่คิดจะทำเครื่องยนต์อีกต่อไป เมื่อเหตุผล Win-Win ด้วยกันทั้งคู่ นี่คือจุดเริ่มต้นอย่างแท้จริงของประวัติศาสตร์ค่ายรถยนต์อย่าง BMW ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

เพราะหลังจากได้ธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ บุคคลากร จากการซื้อและควบรวมกิจการต่างๆ จึงเปลี่ยนชื่อทั้งหมดให้เป็นชื่อเดียวก็คือ Bayerische Motoren Werke AG หรือมีอีกชื่อว่า BMW

และแน่นอนว่าได้กางแผนธุรกิจตัวใหม่ออกมา ก็คือ มอเตอร์ไซค์ ซึ่งสามารถตอบโจทย์จากทรัพยากรหลักที่มีได้ทันที และผลวิกฤตจากค่าเงินเฟ้อก็เริ่มทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด เพราะรัฐบาลแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการพิมพ์เงินเข้าระบบเพียงอย่างเดียว ภาษีก็ไม่สามารถใช้ได้ การขึ้นดอกเบี้ยก็ไม่สามารถทำได้ เงินเฟ้อขึ้นทุกๆนาที

ว่ากันว่าในช่วงนั้นการซื้อของต้องสอบถามและจ่ายเงินทันที ถ้าช้าไปเพียง 5 นาที เช่น ถามราคาเสร็จ ก็เอารถเข็นบรรทุกเงินมาจ่ายสินค้า ถ้ามาช้าเกินไปอาจจ่ายค่าสินค้าไม่ได้เพราะราคาเปลี่ยนไปแล้ว ถ้านึกภาพไม่ออกว่าเงินเฟ้อขนาดไหน เวลาซื้อของต้องเอากองแบงค์วางไว้บนรถเข็นเพื่อซื้อของ และถ้าเผลอไม่ได้เฝ้ารถเข็นกลับมาอีกที

รถเข็นอาจหาย แต่เงินยังกองอยู่

ขนมปังขายในช่วงนั้นมีราคาสูงถึง 3,000 ล้านมาร์ค ต่อชิ้น และมีค่าเงินเฟ้อสูงสุดแตะหลัก 4 แสนล้านมาร์ค = 1 ดอลลาร์ และถ้าจะบอกว่า

เงิน 1 ดอลลาร์ คือ ก็เพียงพอที่สามารถเป็นต้นทุนในการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ทันที

จนกระทั้งมีการเปลี่ยน ประธานธนาคารกลางคนใหม่ Hjalmar Schacht เนื่องจากคนเก่าเสียชีวิต และมาพร้อมแนวคิดใหม่ 2 อย่างขึ้นมาก็คือ

ต้องกำจัดเงินไร้ค่าให้หมดไป และ ต้องสร้างความร่ำรวยจริงเกิดขึ้นมา

ซึ่งเป็นแนวคิดรากฐานที่ถูกใช้ในหลายๆประเทศในการแก้วิกฤตเงินเฟ้อ

สิ่งที่ประธานธนาคารกลางทำอย่างแรกก็คือ การลบศูนย์ของค่าเงินออกถึง 12 ตัว เพื่อกำจัดความไร้ค่าของเงิน ซึ่งในตอนนี้จิตวิทยาของเงินเฟ้อได้เกาะกินเข้าไปในความรู้สึกประชาชนอย่างต่อเนื่องแล้ว เมื่อมีการค้าขายเกิดขึ้นมา ฝ่ายขายก็ไม่มั่นใจว่าเงินที่ได้มาคือราคาที่เหมาะสมหรือไม่ ก็จะดันคิดราคาให้สูงขึ้นไปอีก ทำให้เงินเฟ้อวิ่งขึ้นทุกนาที ทุกชั่วโมง

ดังนั้นการลบศูนย์ออก ก็เพื่อทำลายความรู้สึกของคนเกี่ยวกับเงินเฟ้อให้ได้ แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะถ้าเงินเฟ้อแก้ด้วยวิธีนี้ ปัญหาเงินเฟ้อก็คงจบง่ายๆ สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือ ต้องสร้างความร่ำรวยจริงเกิดขึ้นมาให้ได้ ไม่ใช่ว่าถือเงิน 1 ล้านบาท ณ ตอนนี้ อีก 2 วันไม่รู้ว่าเงิน 1 ล้านจะมีค่าที่สามารถซื้อของจับจ่ายได้มูลค่า 1 ล้านบาทหรือไม่?

ดังนั้นจำเป็นต้องมีการรื้อฟื้น ทรัพย์สินที่ผูกกับค่าเงินได้ ซึ่งโลกยอมรับว่าทองคำคือสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้เยอรมันไม่มีทองในมือเลย เพราะจ่ายค่าปฎิมากรรมสงครามไปหมดแล้ว ก็เลยใช้วิธีพิมพ์เงินขึ้นมาใหม่โดยใช้ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ต่างในประเทศเป็นตัวค้ำประกัน และสร้างสกุลเงินใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า เรนเทนมาร์ค

และให้คนที่มีที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์สามารถมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของการแก้เงินเฟ้อที่ค่อยๆลดลงเรื่อยๆจนหายไปในที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ การสร้างผลผลิตต่างๆในประเทศที่เริ่มกลับมาฟื้นฟู เพราะเมื่อค่าเงินมีความเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นก็สามารถพัฒนาการค้าขายและธุรกิจเติบโตขึ้นได้

เมื่อสถานการณ์เงินเฟ้อเริ่มดีขึ้น บวกกับ รอบนี้ BMW มีแผนการที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อธุรกิจเดิมที่ผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินขาย แต่ไม่สามารถทำได้แล้ว แต่สิ่งที่ทำได้คือ การต่อยอดธุรกิจจากทรัพยากรที่มี

แล้วทรัพยากรที่มีคืออะไร?
สิ่งที่ทาง BMW มีก็คือ ความสามารถในการผลิตเครื่องยนต์

ดังนั้นการเปลี่ยนจากการทำเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ก็ย่อส่วนลงมาเป็นเครื่องยนต์ขนาดเล็กและทำโครงตัวถังและติดล้อเพิ่มเข้าไปก็น่าจะสร้างสินค้าใหม่เพื่อสร้างมูลค่าใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า มอเตอร์ไซค์ ที่มีชื่อรุ่นว่า บีเอมดับเบิลยู อาร์ 32 ได้รับการออกแบบโดย แมกซ์ ฟริทซ์ ที่สามารถออกแบบสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่เห็น BMW R32 ในงานเปิดตัวที่แฟรงเฟิรต์มอเตอร์โชว์ประจำปีค.ศ. 1923 ตัวถังทรงประหลาดแบบเฟรมคู่ที่แข็งแกร่งบนราคา 2,200 มาร์ก ถึงแม้ว่าจะดูสูงส่วนหนึ่งก็เพราะยังอยู่ในช่วงวิกฤตเงินเฟ้อ แต่ก็สามารถสร้างยอดขายเป็นอย่างดี

ใครจะเชื่อว่า บริษัทที่เคยผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบิน จะกล้าเปลี่ยนมาผลิตรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ BMW กล้าทำและทำได้ดีเสียอีกด้วยBizlabor.Co

นี่อาจจะเป็นก้าวเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ของ BMW ในช่วงยุคหลังความพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ได้ แต่ทาง BMW ก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องทางด้านยนต์กรรมของรถมอเตอร์ไซค์จึงพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง จนเกิดมอเตอร์ไซค์ที่เร็วที่สุดในยุคนั้น BMW R37 ที่จัดว่าเร็วที่สุดในโลก ด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ให้ดีและแรงขึ้นด้วยเทคโนโลยีโอเวอร์เฮดแคมชาฟต์ (Overhead Camshaft)

ถ้าดูจากผลงานของเทคโนโลยีที่ทาง BMW สร้างและผลิตขึ้นมา จะแตกต่างกับช่วงแรกที่ผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินที่มีปัญหาเรื่องอาการสั่น แต่เมื่อมาสร้างมอเตอร์ไซค์กลับมีสมรรถนะที่สูงมาก

คำถามก็คือ BMW ทำได้อย่างไร?

ถ้าตอบแบบสั้นๆก็คือ ความพร้อมสำหรับการเข้ามาสู่ธุรกิจนี้ในทุกๆแง่มุมต่างๆ ทั้งโรงงาน ทีมงาน เงินทุน กระบวนการผลิตต่างๆ

เมื่อสินค้าพร้อมแล้ว ถ้าในโลกยุคปัจจุบันอาจจะทำสิ่งต่อไปก็คือ Place หรือถ้าเป็น BMC ก็คือ Channel โดยการทำโฆษณาต่างๆ แต่จะเป็นการสิ้นเปลืองมากในยุคนั้น เพราะลูกค้าเชื่อถือในสิ่งที่เห็นและจับต้องได้ ในเมื่อคู่แข่งจากค่ายต่างๆสามารถทำรถมอเตอร์ไซค์ที่แรงและเร็วได้เช่นกัน

ถ้านี่คือสงครามโลกของวงการมอเตอร์ไซค์ BMW ก็คือ มอเตอร์ไซค์ที่วิ่งตามหลังคู่แข่งอยู่

เพราะสิ่งที่ BMW ไม่มีก็คือ ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ ในวงการนี้เลย ดังนั้นการที่จะสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ให้ติดตาตรึงใจแก่ลูกค้าได้ สิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่การโฆษณา แต่เป็นการแข่งขัน และจะต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้น

จะต้องเป็น มอเตอร์ไซค์ที่วิ่งหัวขบวน และให้ผู้ชมเห็นตราโลโก้ใบพัดสีฟ้าขาวเป็นคันแรกให้ได้ และ BMW R37 คือ มอเตอร์ไซค์รุ่นเดิมๆ (หรือเรียกง่ายๆว่า มอเตอร์ไซค์บ้านๆ) ที่ออกจากโรงงานแบบไหนก็วิ่งเข้าสนามแข่งแบบนั้นกลับสร้างปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่ คือการคว้าแชมป์ในรายการ ISDT ที่ประเทศอังกฤษ หรือที่รู้จักกันในนามของการแข่งขัน Six Day Race ทำให้แบรนด์ BMW เริ่มเป็นที่รู้จักและสร้างยอดขายอย่างถล่มทลาย

เมื่อธุรกิจทางด้านมอเตอร์ไซค์เริ่มจุดติดแล้ว แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอ BMW ซื้อกิจการของ Heinrich Ehrhardt เจ้าของรถ Dixi ที่ซื้อลิขสิทธิ์การผลิตมาจากบริษัท Austin Motor ของอังกฤษ เพื่อมาผลิตรถยนต์ในการสร้างรายได้ขึ้นอีกช่องทางหนึ่ง

แล้วทำไมต้องซื้อ? คำถามนี้เป็นคำถามที่วิเคราะห์ทาง BMW ว่ามีศักยภาพในการทำรถยนต์หรือไม่? มีประสบการณ์ในการทำรถยนต์หรือไม่?

แน่นอนครับว่า BMW ไม่มีประสบการณ์ของการผลิตรถยนต์ แต่ถ้าเริ่มต้นการผลิตขึ้นมาเองกับการศึกษาจากผู้ที่ทำมาก่อนอยู่แล้ว ย่อมได้เปรียบกว่า รวมทั้งประสบการณ์และแนวคิดนี้เกิดจากการที่ BMW เคยอยู่ในช่วงสภาวะสงครามอย่างใกล้ชิดที่ผ่านการเห็นเครื่องยนต์ของบริษัทอื่นในสนามรบ ว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร และการปรับปรุงโดยการเรียนรู้จากผู้อื่นมาเสริมย่อมสร้างพลังของการเรียนรู้ได้เร็วกว่า  

จนกระทั่งเกิดสายการผลิตรถยนต์ในนาม BMW ครั้งแรกในปีค.ศ. 1928 โดยมีชื่อรุ่นว่า BMW 3/15 ที่มีพื้นฐานเดียวกับ Austin 7 และสามารถตอบโจทย์ลูกค้าเป็นอย่างมากเพราะ รถที่มีรูปทรงเล็กแต่ราคาเบาๆ และประหยัดน้ำมัน จะเห็นได้ว่า BMW ยังไม่มีในเรื่องของการออกแบบ แต่จะเน้นในส่วนความสามารถของเครื่องยนต์เป็นหลัก

และแน่นอนพื้นฐานความสำเร็จก็ยึดมาในแบบเดียวกับมอเตอร์ไซค์ คือ การโฆษณาผ่านทางการแข่งขัน โดยที่รถ BMW 3/15 สามารถคว้าแชมป์รายการ Alpine Rally ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าร่วม

เมื่อประสบการณ์การผลิตรถยนต์มีมากขึ้น จึงมีการออกแบบรถยนต์ BMW โดยที่จะต้องทำให้เป็น Branding ของ BMW จึงจัดตั้งทีมออกแบบใหม่ที่มีชื่อว่า  Rudolf and Fritz Ihle  มารับผิดชอบดูโครงการนี้ จนสามารถดีไซน์กระจังหน้าแบบไตคู่  Kidney Grille ที่เป็นเอกลักษณ์ของ BMW

การออกแบบ กระจังหน้าแบบไตคู่ ถือว่าเป็นจุดเด่นของ BMW ที่มองเพียงแว๊บเดียวก็รู้ทันทีว่ารถยนต์ของค่ายนี้Bizlabor.Co

รวมทั้งสร้างรถยนต์ BMW ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดที่จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งยานยนต์ที่ล้ำสมัยในอนาคต ที่มีชื่อรุ่นว่า BMW 303 ซึ่งได้เริ่มต้นในตลาดทันทีด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 30 แรงม้า และมีกระจังหน้าแบบไตคู่แนวตั้งที่เป็นเอกลักษณ์จนกระทั่งได้รับการยกย่องว่า การออกแบบกระจังหน้าแบบไตคู่ คือการออกแบบที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งของ BMW

และที่สำคัญ BMW เริ่มสร้างธุรกิจใหม่ๆขึ้นมาโดยการใช้แพลตฟอร์มเดิมแต่เพิ่มรุ่นต่างๆเข้าไป อาทิเช่น 309, 315, 319 และ 329 ถ้ามองดูก็เป็นเรื่องปกติ แต่ในยุคนั้นต้องอย่าลืมว่าอะไรที่ทำลงไปถือว่าเป็นครั้งแรกของ BMW ทั้งสิ้น ซึ่งถ้ามองลงไปในรายละเอียดแล้ว ทาง BMW มีความเชี่ยวชาญทางด้านกระบวนการผลิต แต่การแตกไลน์สินค้าออกมา นอกจากจะต้องมีกระบวนการผลิตที่ดีแล้ว ยังเพิ่มวิสัยทัศน์ทางด้านธุรกิจเข้ามาต่อยอดการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

เพราะการเปลี่ยนรูปแบบรถยนต์แบบใหม่ จำเป็นต้องออกแบบรายละเอียดต่างๆอีกจำนวนมาก ทำให้มีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น แต่ถ้าใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้วมาผลิตจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆก็จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน และก็พัฒนา BMW รุ่นต่างๆให้มากขึ้นเพื่อตอบรับตามแต่ละกลุ่มลูกค้า

จนกระทั่งเพิ่มไลน์จากรถยนต์บ้านมาเป็นรถสปอร์ตสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเร็วและแรง จนได้รถสปอร์ตที่มีชื่อรุ่นว่า BMW 328 ที่จัดว่าเป็นประสบการณ์ของโลกรถยนต์ เพราะ BMW 328 สามารถคว้าชัยชนะในรายการต่างๆมากกว่า 120 รายการ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ทางโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆได้เข้าร่วมผลิตยุทโธปกรณ์ให้แก่กองทัพ ไม่เว้นแม้แต่ BMW เช่นกันที่ต้องผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินเข้าร่วมสงคราม หรือแม้กระทั่งผลิตรถมอเตอร์ไซค์ที่คว้าแชมป์อย่าง BMW R75 ที่ถูกดัดแปลงให้มีการพ่วงข้างเพื่อเข้าสู่กองทัพ

และอีกเช่นเคย เยอรมันก็พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ โรงงานประกอบรถยนต์ถูกทิ้งระเบิดโจมตีจนเสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถผลิตต่อไปได้ และ BMW ต้องกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้งกับการผลิตของใช้ในครัวเรือน และก็ถูกแบนห้ามผลิตรถยนต์และมอเตอร์ไซค์เช่นเดิม แต่ในระยะเวลาไม่นาน จนประเทศผู้ชนะสงครามเริ่มผ่อนปรนต่างๆให้กับผู้แพ้สงครามเพราะเชื่อว่าห้ามกดดันประเทศเยอรมันเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะทำให้เป็นแรงจูงใจในการก่อสงครามต่ออีกครั้ง

จึงทำให้ BMW เริ่มผลิตรถมอเตอร์ไซค์ได้ รวมทั้งการผลิตรถยนต์ก็กลับมาได้เช่นกัน แต่ในช่วงวิกฤตทางด้านการเงินปีค.ศ. 1959 ทาง BMW ขาดสภาพคล่องทางด้านกระแสเงินสด จนมีความคิดที่จะเอาหุ้นส่วนหนึ่งขายให้กับทาง Daimler-Benz แต่มีผู้ถือหุ้นมองว่า BMW มีศักยภาพที่ไปต่อได้ แต่อาจจำเป็นต้องพัฒนาในเรื่องประสิทธิภาพ ราคาที่เหมาะสมเข้ามาแทน

จึงทำการซื้อหุ้นที่จะขายให้กับ Daimler-Benz ทั้งหมดแทน  โดย Herbert Quandt ก็มีการปรับเปลี่ยนให้รถที่ทำออกมามีขนาดเล็กลง สามารถตอบโจทย์คนทั่วไปมากขึ้น โดยออกรถยนต์รุ่น 1500 ออกมา และกลับมาขายดีได้อีกครั้ง

และเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ BMW เริ่มต้นสู่ความยิ่งใหญ่ผ่านรถยนต์รุ่นต่างๆ อาทิเช่น BMW Serie 5 (E12) , BMW Serie 3 (E21) , BMW Serie 6 (E24) , BMW Serie 7 (E23) รวมทั้งรถแรงสไตล์รถสปอร์ตก็ถูกผลิตมาเช่นกัน BMW M1 (E26) เข้ามาสู่ตลาด และก็คว้าแชมป์ต่างๆอีกมากมาย

ในแง่โรงงานอุตสาหกรรมก็มีการขยายกำลังการผลิตไปตามที่ต่างๆทั่วโลก รวมทั้งซื้อกิจการของบริษัทต่างๆเพื่อเข้ามาเติมเต็มในส่วนเทคโนโลยีของยานยนต์ที่ BMW มีในครอบครอง เพื่อครอบคลุมเทคโนโลยีทุกรูปแบบ อาทิเช่น เครื่องยนต์เบนซิน เครื่องยนต์ดีเซล ระบบไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งไฮบริด

ในส่วนการสร้าง BMW Branding ก็ทำการซื้อกิจการของ บริทิช โรเวอร์ กรุพ (BRITISH ROVER GROUP) , Rolls-Royce trademark ทำให้ BMW มีค่ายรถยนต์ในมือหลากหลายรุ่น ทั้ง Rover, MINI, Land Rover, Austin, Rolls-Royse มาอยู่ภายใต้ร่มเงาของค่ายใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว แต่ก็เกิดปัญหากับยานยนต์ของ Rover ด้วยสาเหตุต่างๆมากมาย อาทิเช่น การเปลี่ยนโฉมกระบวนการผลิตสไตล์อังกฤษมาเป็น Bevarian Sytle แบบเยอรมันที่ติดปัญหา ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาจึงทำการขาย Rover ออกไปทั้งหมด แต่เลือกที่จะเก็บ Mini เนื่องจากเห็นศักยภาพของ MINI นั่นเอง

แต่การซื้อ Rover เข้ามา สิ่งหนึ่งที่น่าคิดก็คือ เทคโนโลยีของรถ SUV ที่ทาง BMW ไม่เคยมี เมื่อได้มีประสบการณ์การเป็นเจ้าของทำให้เรียนรู้กระบวนการต่างๆของ SUV ของแบรนด์ดังระดับโลกได้ จึงพัฒนาและสร้างรถยนต์ในรูปแบบตัวเองที่ทำออกมาว่า SAV (Sport Activity Vehicle) ในรูปแบบของตระกูล BMW X Series ออกมา

บางครั้งการซื้อกิจการแบรนด์อื่นมาทำเอง อาจไม่สำเร็จตามเป้าหมาย แต่จะได้รู้ถึงองค์ความรู้ต่างๆมาประยุกต์ พัฒนาเพื่อใช้ในแบรนด์หลักก็ได้

อย่างเช่น BMW ซื้อ Rover ก็ได้รู้เทคโนโลยีของ SUV เพิ่มเข้ามาBizlabor.Co

และในปัจจุบัน รถยนต์ประเภท SAV ของ BMW สามารถสร้างยอดขายได้ถึงกว่า 700,000 คัน ของรถที่ขายได้ทั้งหมดกว่า 2,000,000 คัน ซึ่งสามารถเพิ่มประเภทของสินค้าให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่าสิ่งนึงที่ BMW พัฒนาและเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่อง คือ การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องนำตัวเองให้อยู่ในโลกของเทคโนโลยียานยนต์ทุกหมวดให้ได้อย่างกลมกลืน และทันกระแส ประเด็นที่สำคัญก็คือ จุดประสงค์หลักก็ต้องไม่เปลี่ยนไป ในเรื่องของการเน้นสมรรถนะและคุณภาพ ที่ต้องเป็นอยู่ในขั้น Outstanding เท่านั้น

ทำไมต้อง BMW ต้องวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ตัวเองเป็นแบบนั้น?

ถ้ามองในเรื่อง ภูมิประเทศ เสียก่อน ประเทศเยอรมันจัดอยู่ในทำเลที่ต้องเสียเปรียบชนชาติอื่นๆ ทั้งไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของตัวเอง แถมพื้นที่ติดทะเลก็มีจำนวนน้อย ดังนั้นการมีข้อจำกัดจำนวนมาก รวมทั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เกิดสงครามใหญ่มาโดยตลอด ทำให้ประเทศเยอรมันต้องผลิตสินค้าที่ต้องดีมีคุณภาพสูงให้ได้  สมมติถ้ามีเหล็ก 1 ตัน การผลิตเครื่องยนต์ในจำนวนเท่ากัน เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า ย่อมเป็นการใช้ต้นทุนทรัพยากรได้คุ้มค่ากว่า

ถ้าทุกประเทศต้องใช้เหล็ก 1 ตันในการผลิตรถยนต์ ประเทศเยอรมันจะผลิตรถยนต์ที่ทีคุณภาพที่ดีกว่า ใช้ต้นทุนทรัพยากรที่คุ้มค่ากว่าประเทศอื่นๆอย่างแน่นอน

เพราะนี่คือ HumanWare ของคนประเทศเยอรมันBizlabor.Co

ถ้ามองในเรื่องของ ชนชาติ ชาวเยอรมันจัดเป็นชนชาติที่มีมันสมองดีติดอันดับต้นๆของโลก ถ้าลองเอ่ยชื่อนักวิทยาศาตร์ นักการเงิน นักการตลาด สถาบันการศึกษา รับรองว่าประเทศเยอรมันมีอย่างมากมาย เมื่อบุคคลากรมีคุณภาพสูงการผลิตสินค้าต่างๆก็เป็นของดีทีมีคุณภาพสูงตามกันมา รวมทั้งเป็นประเทศที่มีระบบ วินัยต่อตัวเองค่อนข้างสูง ถ้าลองสังเกตทีมฟุตบอลของเยอรมันจะขึ้นชื่อเรื่อง วินัย และ ระบบ การเล่นเป็นอย่างมาก ทุกทีมจะต้องเล่นในระบบที่เหมือนกัน เพื่อที่นักบอลแต่ละทีมเมื่ออยู่ในทีมชาติที่เล่นระบบเดียวกันไม่ต้องปรับตัวค่อนข้างมาก

สิ่งต่างๆเหล่านี้ สร้างคำว่า Made in Germany จัดเป็นสินค้าเกรดพรีเมียมในทันที ถึงแม้ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นใดๆก็ตาม เพราะภาพลักษณ์ของประเทศย่อมถูกถ่ายทอดอัตลักษณ์เหล่านี้ไปยังสินค้า

BMW ก็เป็นสินค้าที่จัดอยู่ใน Made in Germany ที่อยู่ในลำดับต้นๆของประเทศเช่นกัน และสามารถสร้างรายได้โดยมีเทคโนโลยีเป็นแกนนำเป็นอย่างมาก แต่ความพิเศษของ BMW ก็คือ การแตกไลน์แพลตฟอร์มของรถยนต์ หมายถึงอะไร?

หมายถึง รถยนต์ 1 แพลตฟอร์ม สามารถถูกออกแบบให้มีหลายๆรุ่น อาทิเช่น Serie 3 ก็มี Sedan , Gran Sedan, M340i x Drive เป็นต้น และก็มีแพลตฟอร์มหลากหลายชนิดให้เลือกอีก อาทิเช่น Serie 2, 3, 4, 5, 6, 7, X, Z4, M, I ซึ่งต้องถามว่าเยอะไปไหม?

คำตอบก็คือ กระบวนการผลิตของ BMW ที่ถูกออกแบบเพื่อผลิตรถยนต์เกรดพรีเมียม แต่ถ้ามองลึกๆแล้ว BMW ขายสินค้าหลักก็คือ   เครื่องยนต์ ที่มีแพคเกจห่อหุ้มก็คือ โครงสร้างตัวถัง ดังนั้นก็จะสามารถเอาเครื่องยนต์ 1 รุ่น ไปวางที่แพลตฟอร์มโครงสร้างตัวถังได้หลากหลายแล้วทำการขายลูกค้าได้หลายกลุ่ม เพราะลูกค้าแต่ละกลุ่มมีความชอบที่ไม่เหมือนกันก็จะเลือกแบบที่ชอบได้เลย

ถ้าลองดูลิสสินค้าในรายการเทียบกัน อาทิเช่น BMW 520d กับ BMW 320d พบว่าจะใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกันก็คือ เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ถ้ามองเห็นภาพก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า BMW เลือกรูปแบบการผลิตที่ไม่ใช่ Mass Production โดยเหมือนรถยนต์จากทางค่ายญี่ปุ่น แต่เลือกที่จะสร้างความหลากหลายที่มากกว่า แต่ก็ต้องแลกกับต้นทุนส่วนเพิ่มในเรื่องนี้แทน ซึ่งทาง BMW มองว่า คุ้มค่า เพราะนี่เป็นการตอบโจทย์ในเรื่องของความชื่นชอบของแต่กลุ่มลูกค้าที่ยินยอมพร้อมจะจ่ายในราคาที่สูงกว่า

การควบคุมต้นทุนที่สำคัญก็คือ การหาทำเลที่สร้างโรงงานรถยนต์ BMW ตามที่ต่างๆทั่วโลก จุดประสงค์ก็คือเป็นการควบคุมต้นทุน และอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบหรือลูกค้า ทำให้มีโรงงานกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆทั่วโลก โดยโรงงานรถยนต์จะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มก็คือ

โรงงานเครื่องยนต์ , โรงงานชิ้นส่วนอะไหล่ , โรงงานประกอบ ซึ่งทาง BMW ควบคุมการผลิตเองทั้งหมด เพราะสามารถควบคุมต้นทุน, คุณภาพ และควบคุมซัพพลายเชนได้อย่างครบวงจร

ไม่เฉพาะแง่การผลิตที่ BMW มีการควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำ แต่ยังรวมถึงการควบคุมต้นน้ำไปยังปลายน้ำในด้านการเงินอีกด้วย เพราะการขายรถยนต์ต่างๆทั่วทั้งโลก จะมีการขายอยู่ 2 รูปแบบ คือ เงินกู(สด) หรือ เงินกู้ และถ้าใช้เงินกูก็จบกันทันที เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่าง เงิน กับ รถยนต์

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ส่วนใหญ่จะใช้ในรูปแบบของ เงินกู้ ซึ่งการกู้เงินก็ต้องมีสิ่งนึงก็คือ ดอกเบี้ย ซึ่งรถยนต์ของ BMW ที่มีราคาสูง เมื่อมีการซื้อด้วยเงินกู้ ก็ย่อมได้ ดอกเบี้ย ที่สูงตามไปด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วก็ต้องกู้ผ่านสถาบันการเงินต่างๆ ทำให้รายได้ในส่วนของ ดอกเบี้ย กลับตกไปยังสถาบันการเงินเหล่านั้น

แต่ทาง BMW เห็นโอกาสว่า ในเมื่อรถยนต์ก็ผลิตเอง ทำไมจะต้องให้รายได้ในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยให้คนอื่น ถ้าสามารถเอารายได้ส่วนนี้กลับเข้าสู่ BMW ได้ ก็จะเพิ่มมิติการสร้างรายได้ที่มากขึ้น

ดังนั้นจึงเกิดรูปแบบ “BMW Financial Service” ที่ให้บริการทางด้านการเงินและสินเชื่อ จัดว่าอยู่รูปแบบ ธุรกิจสินเชื่อ ดังนั้นถ้า BMW เข้ามาในธุรกิจนี้ก็สามารถควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำได้ทั้งการผลิตและการขายแบบครบวงจรได้

เท่านั้นยังไม่พอ ยังสร้างโมเดลธุรกิจแบบใหม่ขึ้นมาที่นอกจากจะผ่อนเป็นงวดตามปกติแล้ว ยังมีอีกรูปแบบที่เรียกว่า “Balloon” ซึ่งถ้าอธิบายก็คือการแบ่งค่ารถยนต์ออกเป็น 2 งวด โดยแบ่งงวดใหญ่ 30-50% ไว้จ่ายงวดสุดท้าย ส่วนงวดแรกก็ผ่อนตามระยะเวลาที่กำหนด โดยข้อดีก็คือ เงินที่ผ่อนในแต่ละงวดจะถูกลงทันที

การคิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับสินค้าหลักก็ได้ แค่เข้าใจและหาโอกาสจากกระบวนการตั้งแต่ผลิตจนลูกค้าใช้งาน ก็มีโมเดลธุรกิจต่างๆที่เกิดขึ้นมากมาย

BMW เพิ่มโมเดลธุรกิจโดยการจัดหาสินเชื่อให้กับลูกค้า ที่เรียกว่า BalloonBizlabor.Co

ถ้าเทียบง่ายๆก็คือ สมมติถ้าผ่อน 5 ปี กับจำนวนเงิน 100% ก็ต้องจ่ายเงินค่าผ่อนแต่ละงวดสูงกว่าการคิดค่างวดที่จำนวนเงิน 50% เพียงแต่ว่างวดสุดท้ายจำเป็นต้องจ่ายงวดที่เหลือซึ่งก็จะเป็นเงินก้อนใหญ่ทันที ซึ่งอยู่ที่ว่าผู้ซื้อจะเลือกแบบไหนในโมเดลธุรกิจที่ทาง BMW เสนอให้มา อาทิเช่น

1.คืนรถยนต์ BMW แล้วกลับบ้านตัวเปล่า
ก็เปรียบเสมือนในช่วงที่ผ่านมาก็คือการเช่ารถยนต์ขับ ซึ่งก็ต้องดูรายละเอียดว่าเงื่อนไขที่คืนรถยนต์จะต้องเป็นอย่างไร ซึ่งทาง BMW ก็น่าจะนำรถยนต์ในส่วนนี้ไปทำการปรับปรุงดูแลสภาพแล้วขายเป็นรถ Used Car มือสองที่สร้างรายได้ให้อีกช่องนึง

2.คืนรถยนต์แล้วเปลี่ยนรถคันใหม่กลับบ้าน
ก็คือการนำรถยนต์ไปคืนแล้วก็ทำการเลือกรถยนต์คันใหม่นำไปใช้ต่อในรูปแบบ Balloon ก็สามารถทำได้ ซึ่งทาง BMW ก็มีโมเดลธุรกิจในการสร้างรายได้ในส่วนนี้โดยผ่าน ดอกเบี้ย ของเงินต้นอยู่แล้ว ส่วนผู้ใช้ก็เปรียบเสมือนเช่ารถขับที่ได้รถใหม่ตลอดเวลา

3.จ่ายเงินงวด Balloon ที่เหลือแล้วก็นำรถคันเดิมกลับบ้าน
ก็คือการที่ลูกค้าเอาเงินมาจ่ายงวดสุดท้ายของยอด Balloon ที่เหลือแล้วก็นำรถยนต์กลับบ้าน ซึ่งก็คือการขายของเสร็จสิ้น ลูกค้าได้รถ ส่วนทาง BMW ก็ได้เงินงวดสุดท้าย

4.ลูกค้าขอทำสินเชื่อผ่อนงวด Balloon
ก็คือการเอาเงินงวด Balloon มาทำการผ่อนต่อเป็นงวดตามระยะเวลาที่กำหนดต่อไป ซึ่งลูกค้าก็ไม่จำเป็นต้องถือเงินงวดใหญ่มาปิด ส่วนทาง BMW ก็ได้รายได้จากโมเดลธุรกิจทางการเงินจากดอกเบี้ยและการขายรถยนต์ต่อ


ถ้าธุรกิจใดสามารถควบคุม สินค้า และ การเงิน ได้ ก็ย่อมทำให้บริษัทนั้นกลายเป็นมหาอำนาจทางธุรกิจทันที เพราะสามารถสร้างรายได้ทั้งการขายสินค้าและบริการทางการเงินทันที เปรียบเสมือนเป็นการสร้างรายได้เพิ่มจากสินค้าที่ต่อยอดได้

แต่ทาง BMW เป็นธุรกิจที่เกิดจากการขายสินค้าที่เกี่ยวกับทรัพยากรแปรรูปเป็นหลัก ดังนั้นการพัฒนาเทคโนโลยีและสินค้าถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ การสร้างลูกค้าให้เกิดการกลับมาซื้อซ้ำในระยะเวลาที่เหมาะสมก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้

ถ้ารถยนต์ BMW ถูกสร้างรุ่นใหม่ทุกปี ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
คำตอบที่สามารถตอบได้ชัดก็คือ ต้นทุนสูงและคนซื้อน้อยลง

แต่ถ้ารถยนต์รุ่นใหม่ถูกสร้างอีก 10 ปี แล้วคำตอบจะออกมาเป็นอย่างไร?

คำตอบก็คือ ต้นทุนการผลิตถูกลง แต่คนซื้อหันไปซื้อรถยี่ห้ออื่นแทน แต่ก็มีลูกค้าส่วนหนึ่งที่รอซื้อรถรุ่นใหม่

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น และ การออกแบบรถยนต์ BMW รุ่นใหม่ๆสักคัน จะต้องมีขั้นตอนอะไรบ้าง?

การออกแบบรถยนต์ BMW รุ่นใหม่ๆ จะประกอบไปด้วย 3 เฟสที่มีขั้นตอนต่างๆดังนี้
เฟส 1 คือรากฐานของการออกแบบรถยนต์โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า Tape Drawing เป็นการใช้เทปในการร่างโมเดลรถตามขนาดจริงเพื่อดูว่ารถมีรูปร่างอย่างไร แล้วใช้โปรแกรม CAD ในการออกแบบทั้งภายในและภายนอก

เฟส 2 คือการแข่งขัน ให้ทีมออกแบบใน BMW แข่งขันการออกแบบโดยใช้ต้นแบบจาก Tape Drawing ทั้งภายในและภายนอดและสร้างมันออกมาด้วยวิธี Clay Model ที่จะเป็นเหมือนรถจริงๆทุกประการ เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เงินพอสมควรแต่เพื่อให้เห็นภาพชัดต่างๆที่เกิดขึ้น และทีมไหนชนะ ก็จะถูกนำไปใช้สร้างรถBMW ของจริง

เฟส 3 คือการลงรายละเอียด ชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อให้เกิดทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ ความสวยงาม อารมณ์ความรู้สึก ซึ่งจะมีทีมงานทุกภาคส่วนมาทำให้เกิดรูปร่างอย่างชัดเจน รวมทั้งในแง่ของความแข็งแรงด้วย

การออกแบบและพัฒนารถยนต์ BMW 1 รุ่นจะต้องมีความสัมพันธ์ในแง่มิติต่างที่ต้องสอดคล้องกัน อาทิเช่น แผนการขายรถยนต์ งวดการผ่อนเฉลี่ย การประกันรถยนต์ ต้นทุนการสร้างรถยนต์ รวมทั้งระยะเวลาการคืนทุน ถ้าระยะสั้นไป การทำกำไรเพื่อมาชดเชยต้นทุนของการออกแบบรุ่นใหม่ยังไม่คุ้มทุน และรวมทั้งสภาพรถก็ยังไม่เก่าถึงขั้นที่จะต้องเปลี่ยนรถยนต์ แต่ถ้านานเกิน ต้นทุนของการสร้างรถยนต์รุ่นเก่าก็จะคืนทุนแต่ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์รุ่นเก่าก็ไม่อยากจะเปลี่ยนรถยนต์เพื่อใช้รถใหม่แต่เป็นรุ่นเดิม ดังนั้นระยะเวลาเฉลี่ยนที่เหมาะสมส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 5 ปี

นอกจากนั้นทาง BMW ยังออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่เพิ่มเข้ามาจากการเปลี่ยนรูปแบบโดยการสลับเปลี่ยนจาก สินค้า เป็นการ บริการ โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มต่างๆที่เกี่ยวกับการเดินทางครบวงจร ที่จะอาจจะใช้รถยนต์ BMW บางส่วน แล้วอีกส่วนใช้ระบบสาธารณะโดยไม่ต้องมีรถยนต์เป็นของตัวเอง รวมทั้งการพัฒนาร่วมกับ Startup รุ่นใหม่ๆในการทำ Application เกี่ยวกับการเดินทาง เรียกรถใช้งานและอื่นๆ

และยังมีช่องทางการสร้างรายได้ต่างๆอีกมากมาย อาทิเช่น คาร์แชริ่ง (Car Sharing) บริการเสริมสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับรถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEV) ซึ่งนอกเหนือจากธุรกิจหลักคือการขายรถยนต์

ซึ่งถ้าสรุปโมเดลธุรกิจรถยนต์ของค่าย BMW เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนก็คือ

1.รายได้ที่มาจากการขายรถยนต์หลากหลายรุ่น หลากหลายแพลตฟอร์ม

2.รายได้จากการขายรถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์แบรนด์อื่นๆทั้งหมดที่มี BMW, MINI, Rolls-Royce

3.รายได้จากการขายรถยนต์ไปทั่วโลก

4.รายได้จากการปล่อยรถยนต์ให้เช่า

5.รายได้จากการธุรกิจ BMW Financial Service ต่างๆ

6.รายได้จาก Application ต่างๆทั้งหมด

7.รายได้จากการบริการเสริมเช่น Car Sharing

8.รายได้จากการขายอะไหล่และซ่อมบำรุง

9.รายได้จากการขายอุปกรณ์ตกแต่ง

10.รายได้อื่นๆที่มาจากการธุรกิจที่ค่ายรถแข่ง BMW

11.รายได้อื่นๆ

จะเห็นได้ว่า ธุรกิจยานยนต์ BMW เริ่มต้นจากความไม่พร้อมและมีอุปสรรคอย่างมากมาย แต่มีวิสัยทัศน์และจุดยืนของธุรกิจที่ชัดเจนว่าต้องการเดินไปในเส้นทางไหน ก็คือ การพัฒนาเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ และหาสิ่งที่ต่อยอดเพื่อสามารถนำสินค้าหลักมาสร้างรายได้

รวมทั้งเพิ่มช่องทางใหม่ให้แก่รายได้ โดยหาโมเดลธุรกิจอื่นๆมาสนับสนุนอาทิเช่น BMW Financial Service ที่สร้างรายได้จากการผ่อนงวดรถยนต์ หรือเพิ่มขีดความสามารถหลักของแต่ละช่องทางโดยการพัฒนาเทคโนโลยี ขยายฐานการผลิต การควบรวมธุรกิจหรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจเดิม

ดังนั้นเคสธุรกิจยานยนต์ของค่าย BMW จะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีในเพิ่มไอเดียต่างๆ รวมทั้งเข้าใจประวัติศาสตร์สงครามโลกและวิกฤตการณ์เงินเฟ้อที่ครั้งหนึ่งประเทศเยอรมันเคยได้รับ เพื่อเป็นประสบการณ์ในการประยุกต์นำไปใช้ในโลกธุรกิจได้ครับ

ผู้เขียนหวังว่า เคสธุรกิจยานยนต์ของ BMW จะสร้างรายได้และมุมมองความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปครับ

Previous Post

N1810253 จะทำงานท กระโปรงต องส นเสมอห part 2

Next Post

N2210386 คนใช นหล งยาว! part 2

Next Post
N2210386 คนใช นหล งยาว! part 2

N2210386 คนใช นหล งยาว! part 2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N0411566 าแม ตายไป EP1 part 2
  • N0411562 ผมชอบเพ อนแม คร EP3 part 2
  • N0411561 มส งสำค EP2 part 2
  • N0411567 วาสนาผ วหมอ EP1 part 2
  • N0411564 าแม ตายไป EP2 part 2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • July 2025
  • June 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.