• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N1810442 มาบ านเพ อนเหม อนจะได แฟน part 2

admin79 by admin79
October 18, 2025
in Uncategorized
0
N1810442 มาบ านเพ อนเหม อนจะได แฟน part 2

ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇

12 BMW ที่ดีที่สุดตลอดกาล

-กกก+

LightDarkฟังข่าว

ร้อยปีก่อนหน้านี้ BMW เริ่มต้นเส้นทางยานยนต์ด้วยการเป็นบริษัทผลิตเครื่องยนต์ของอากาศยานและจักรยานยนต์ ปัจจุบัน นักออกแบบ วิศวกรและช่างฝีมือของเยอรมันในเมืองมิวนิกยังขึ้นชื่อในเรื่องของการสร้างรถยนต์ที่มีความโดดเด่นในด้านการควบคุม เอกลักษณ์ของ BMW ก็คือ ความแม่นยำ ช่วงล่างที่สอดรับกับการทำความเร็วบนทางโค้ง เครื่องยนต์ทรงพลัง รูปลักษณ์ที่สวยงาม การกระจายน้ำหนักที่สมมาตร ส่งกำลังไปที่ล้อหลัง เครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่ 3 สูบ ไปจนถึง 12 สูบ และกระจังหน้าไตคู่ที่มีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะจบลงตรงไหน ทั้งหมดนี้ กลายเป็นตำนานบนท้องถนนตลอดระยะเวลากว่า 100 ปีของอายุแบรนด์

…

BMW 507 Roadster 1955-1959

BMW 507 Roadster 1955-1959
โรสเตอร์สองที่นั่งรุ่น 507 กลายเป็นความสำเร็จสูงสุดของ BMW มานานหลายทศวรรษ มันใช้เครื่อง V8 3,169 ซีซี. บนเรือนร่างแบบสปอร์ตเปิดหลังคาสองที่นั่ง 507 ถือเป็นรถที่เร็ว ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตและสวยงาม ด้วยรูปทรงที่ปราดเปรียวเพียวลม ซึ่งออกแบบโดย Albrecht von Goertz เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะ BMW ต้องการสร้างรถสปอร์ตที่มีความกระฉับกระเฉงแล้วส่งไปขายในอเมริกา อันที่จริง BMW มองเห็นความสำเร็จของ Mercedes-Benz จากยอดขายของรถสปอร์ตรุ่น SL โฉมแรก ปัญหาคือ 507 แพงเกินไป ยอดขายจึงพังทลายลง ทำให้ BMW สูญเสียเงินจำนวนมาก จนทำให้เกิดปัญหาทางการเงินกับบริษัท BMW สร้าง 507 Roadster ได้เพียงแค่ 252 คันเท่านั้น แต่อิทธิพลของรถนั้นยิ่งใหญ่และอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ รถอย่าง 507 ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของ Roadster เปิดหลังคาสองที่นั่งอย่าง BMW Z3 Z4 และ Z8 อีกด้วย.

BMW 700CS 1959-1965
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 BMW ขึ้นชื่อในเรื่องรถยนต์ใช้งานในชีวิตประจำวันที่มีราคาแพง แต่มียอดขายไม่มากเท่าที่ควร (1959) Michelotti-styled 700 เป็นรถ BMW รุ่นสุดท้ายในกลุ่ม Tiddlers เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ของ BMW ติดตั้งอยู่ที่ด้านหลัง 700CS เป็น BMW คันแรกที่มีตัวถังแบบโมโนค็อก มันมาพร้อมกับเรือนร่างที่ทันสมัยในช่วงปลายยุค 50′ ในรูปแบบของรถเก๋งสองประตูคูเป้ และมีรุ่นเปิดประทุนเสริมไลน์ผลิตเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักขับสายโรแมนติก BMW 700CS เคยชนะการแข่งขันในกลุ่มรถเล็กของยุโรป หลังจากแพลตฟอร์ม Neue Klasse เข้ามาเพื่อเปิดทางให้กับรุ่น 1500 1600 1800 2000 1602 2002 BMW เริ่มกอบกู้สถานภาพ หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินของบริษัท ในปี 1950 แพลตฟอร์มใหม่ในยุคนั้น (1962) สร้างเอกลักษณ์ใหม่ในด้านการขับเคลื่อนของรถยนต์ BMW

…

…

BMW 1500/1600/1800/2000: 1961-72
ในช่วงปลายยุค 50 BMW สูญเงินอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนว่า Mercedes จะสามารถซื้อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากบาวาเรีย แต่ BMW ก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้ โดยปรับเปลี่ยนโครงสร้างขององค์กรใหม่ การรีบูตตัวเองครั้งใหญ่กับรถใหม่อย่าง BMW 1500 ซึ่งเป็นรถเก๋งกึ่งสปอร์ตที่ยอดเยี่ยม รู้จักกันในชื่อ Neue Klasse (New Class) เครื่องยนต์ M10 สี่สูบใหม่ ยังคงอยู่ในการผลิตจนถึงปี 1988 และมีการใช้บล็อกนี้ในรถยนต์ GP 1,500bhp นอกจากนี้ยังมีรถคูเป้ ซึ่งในที่สุดก็ยืดจมูกเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับเครื่องยนต์แถวเรียง 6 กระบอกสูบตัวใหญ่ ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดสูงสุด ใน CSL Batmobile รุ่นสามประตูที่สั้นกว่าของ BMW 1600/2000 ถูกถ่ายเทสายพันธุ์กรรมมาเป็นรถเจ๋งๆ อย่าง 1602/2002 ซึ่งเป็นต้นตระกูลของรถขายดีอย่าง Series-3

…

BMW M1: 1978-81
M1 ลืมตาดูโลกจากความบ้ากีฬามอเตอร์สปอร์ตของผู้บริหารระดับสูงในแบรนด์ตราใบพัด มันถูกออกแบบให้เป็นรถแข่งสำหรับทีมแข่งของ BMW เครื่องยนต์วางกลางลำขับเคลื่อนล้อหลัง ได้เทคนิคในการวางเครื่องและช่วงล่างตลอดจนการผลิตแชสซีมาจาก Lamborghini ห้องเครื่องยนต์ด้านหลังคนขับออกแบบให้เหมาะสมสำหรับการวางเครื่องยนต์ BMW M แบบแถวเรียง 6 สูบ 24 วาล์ว ดีไซเนอร์ Giugiaro เป็นผู้ออกแบบ และถึงแม้จะไม่ได้บ้ามากเท่าซุปเปอร์คาร์ของอิตาลีก็ตาม Dallara ทำงานกับแชสซีที่ไม่เหมือนใครของ M1 มันควรจะถูกสร้างขึ้นในอิตาลี โดยฝีมือของ Lamborghini แต่แบรนด์กระทิงที่กำลังประสบปัญหาทางการเงินไม่สามารถสร้าง M1 ให้กับ BMW ได้ ทำให้ค่ายตราใบพัดต้องหันไปหา Bauer เพื่อรับงานนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว BMW M1 เป็นเครื่องจักรที่พัฒนาอย่างยอดเยี่ยม เป็นรถสปอร์ตที่มีเสน่ห์ในการขับขี่ น่าเศร้าที่ M1 ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรในยุคนั้น แต่กลับเป็นรถคลาสสิกที่หาได้ยากในปัจจุบัน

BMW 3.0 CSL 1971-1973
หลังจาก BMW 2000 CS วางขายได้ไม่นาน ความนิยมที่พุ่งสูงขึ้นมากทำให้แผนงานถูกดำเนินการต่อ ด้วยการส่งตัวรถรุ่นที่มีความจุเครื่องยนต์กับแรงม้าสูงกว่าตามออกมา BMW 3.0 CSL จึงเริ่มต้นเส้นทางบนโลกยนตรกรรมเมื่อปี 1971 หลังจากรุ่นพี่ของมันประสบความสำเร็จจากยอดขายถล่มทลายทั่วโลก ความนิยมชมชอบเกิดจากรูปลักษณ์และสมรรถนะ วิศวกรของ BMW ใช้การประกอบขึ้นอย่างประณีต เจ้า 3.0 CSL คงตัวถังเดิมๆ เอาไว้แทบทุกจุด รวมถึงภายในที่มีความลงตัวอยู่แล้ว แต่ภายใต้ฝากระโปรงของมันมีเครื่องยนต์ที่ใหญ่ขึ้น ความจุถูกขยายไปเป็น 3.0 ลิตรตามรหัสต่อท้าย เครื่องยนต์ตัวนี้มีท่อไอดีคร่อมฝาสูบ ตัวเครื่อง 6 กระบอกสูบ ถูกวางให้ร่นเข้าไปด้านในมากขึ้น ส่งผลให้มันมีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักที่เหนือกว่าสปอร์ตคาร์ในยุคนั้นที่มีความจุเท่ากัน เครื่องยนต์ขนาด 2,986 ซีซี มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นเป็น 183 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรดีขึ้นเล็กน้อยบนตัวเลข 8.0 วินาที แรงม้าต่อน้ำหนักที่ 129.55 แรงม้า/ตัน ในปี 1973-1975 BMW ผลิตเจ้า 3.0 CSL Batmobile ในรูปแบบ Homologation เพื่อส่งให้กับทีมแข่งรถจากบริษัท BMW รวมถึงส่งออกไปทำตลาดทั่วโลกเพียงแค่ 1,039 คันเท่านั้น ทำให้ในปัจจุบันมันจึงกลายเป็นวัตถุโบราณที่หายากและทรงคุณค่าอย่างมากต่อประวัติศาสตร์ของค่ายใบพัด แชสซีส์แบบโมโนค็อกของมันถูกขึ้นรูปด้วยกรรมวิธีที่แปลกประหลาด โดยการนำเอาแผ่นเหล็กกล้าที่มีความหนาน้อยกว่าปกติมารีดขึ้นรูป ฝากระโปรงหน้าเปลี่ยนไปใช้อะลูมินัมอัลลอย ส่วนฝาท้ายยังคงเป็นเหล็กเหมือนเดิมเนื่องจากต้องยึดติดกับวิงหลังทรงสูงที่ให้แรงกดถึง 90 กิโลกรัมเมื่อวิ่งด้วยความเร็วเกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การลดทอนน้ำหนักตัวเริ่มจากการนำเอาอุปกรณ์บางชิ้นที่ไม่มีความจำเป็นออกทั้งหมด เช่น พวงมาลัยเพาเวอร์ ชุดมอเตอร์ไฟฟ้าและรางของกระจกข้างประตูทั้งสองบาน แผ่นซับเสียงกับกันชนหน้าก็ยังถูกถอดออกไปจนเกลี้ยง ทำให้น้ำหนักตัวลดลงไปมากจาก 1,374 กิโลกรัมเป็น 1,270 กิโลกรัม

BMW M3 (E30): 1986-1991
ถ้าจะเลือก M3 รุ่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็น homologation ที่พิเศษจริงๆ และเป็นหนึ่งในรถคูเป้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล ขอยกความสุดนี้ให้กับ BMW M3 E30 ความพิเศษของรถสปอร์ตรุ่นนี้ก็คือ ความรู้สึกหลังพวงมาลัยทั้งบนถนนและในสนามแข่ง การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างพลัง และการยึดเกาะของช่วงล่างจากแชสซีที่มีพัฒนาการยาวนาน จุดประสงค์เพื่อชัยชนะเหนือ Mercedes-Benz แชสซีของมันทำให้คนขับสามารถสื่อสารกับพวงมาลัยได้อย่างยอดเยี่ยม เครื่องยนต์ S14 ซึ่งเป็นอนุพันธ์ 16 วาล์วของเครื่องยนต์รุ่น M10 สามารถเร่งความเร็วได้ตามที่คุณต้องการ บอดี้ของมันแม้จะดูเหลี่ยมๆ ตันๆ ก็มีความพิเศษเช่นกัน ด้วยส่วนโค้งที่กว้าง บั้นท้ายดูหนักแน่นและเต็มไปด้วยพลัง กับประสิทธิภาพของหางที่ยกขึ้นเพื่อปรับปรุงด้านอากาศพลศาสตร์

BMW 3 Series (E36): 1991-2000
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากซีรีส์ 3 E30 ตัวแรกที่ดูเป็นทรงกล่อง สำหรับเจ้านกแก้ว E36 สวมใบหน้าใหม่ที่ยังคงใช้ความพยายามในการสร้างความคุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกันชนสีเทาที่โผล่ออกมาในช่วงต้นๆ ขอโมเดล การขับขี่นั้นสมบูรณ์แบบตั้งแต่เริ่มต้นออกวางจำหน่ายก็ได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อทั่วโลก หลังจากนั้น BMW วางเจ้า Series-3 E36 บนแทร็กที่ยังคงต้องต่อสู้กับรถเจ๋งๆ ของ Audi และ Mercedes-Benz ระบบกันสะเทือนหลังมัลติลิงค์แบบใหม่หมด ทำให้ E36 เป็นรถที่มีมารยาทยอดเยี่ยมในด้านความสบาย เครื่องยนต์มีให้เลือกเพียบ ไล่จากเครื่อง 1.6 ลิตร 1.8 ลิตร และ 2.0 ลิตร ตั้งแต่ 320i ขึ้นไป โดยยังคงไม่พึ่งพาระบบอัดอากาศเหมือนอย่างทุกวันนี้ เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง S50 ที่ยอดเยี่ยมใน E36 M3 ถูกจูนมาเฉพาะสำหรับการทำความเร็วทางตรงบนไฮเวย์ M3 E36 เน้นไปที่ท้องถนนมากขึ้นด้วย มันมาในรุ่นตัวถัง Saloon, Coupe, Touring, Cabrio และ M. นี่ยังไม่ได้พูดถึง E36 Compact ที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากมันใช้แชสซี E30 แบบเก่า! แต่เจ้า Compact กลับกลายเป็นรถหายากราคาดีไปซะอีก

BMW X5 (E53): 1999-2006
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า X5 เป็นเอสยูวีคันแรกของโลกที่ขับเคลื่อนทุกอย่างได้ราวกับรถยนต์ออฟโรด (Mercedes M-Class เปิดตัวก่อนหน้านั้น แต่ไม่สามารถอ้างสิทธิ์ได้) X5 ไม่จำเป็นต้องปีนภูเขา เพราะ BMW เป็นเจ้าของ Range Rover ในขณะนั้น ทำให้ BMW กลายเป็นบริษัทระดับโลกที่ควบรวมแบรนด์รถยนต์ชั้นนำอย่าง MINI Rolls Royce และ Range Rover การซื้อแบรนด์รถอังกฤษอย่าง Range Rover ค่าย BMW มองไปที่เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของแบรนด์อังกฤษ โดยมีการเล็งเห็นอนาคตที่สดใสของยานยนต์ประเภทนี้ ที่น่าจะทำกำไรให้กับบริษัทอย่างมหาศาล และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ หลังจากได้เทคนิคจากพวกอังกฤษ BMW ขายแบรนด์ Range Rover ออกไปเนื่องจากมองว่าไม่ทำกำไรเท่าที่ควร BMW X5 รุ่นแรกสุด ผลิตในสหรัฐอเมริกาและถูกเปิดตัวด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 กับอีกหกรุ่นที่ส่งตรงมาถึงยุโรปในปีถัดไป ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลชั้นดีของ BMW ที่ประจำการใน X5 ก็ทำให้รถมีประสิทธิภาพในด้านแรงบิดดีกว่ารถเอสยูวีดีเซลของอเมริกัน หลังจากนั้น ผู้ผลิตรถยนต์ระดับพรีเมียมทุกราย ต่างมุ่งสายการผลิตภายในค่ายของตัวเองไปที่ SUV และเป็นหนี้บุญคุณของ X5 เจเนอเรชันแรกสุดไปโดยปริยาย!

BMW M5 (E60): 2005-10
ตาเหยี่ยวทำให้ Series-5 E60 มีด้านหน้าโฉบเฉี่ยว โดยเฉพาะไฟหน้าอันประหลาดล้ำ! BMW E60 น่าจะเป็น 5 Series ที่มีรูปลักษณ์ย่ำแย่ที่สุด สไตล์การออกแบบที่เป็นเอกเทศของ Bangle ทำให้ E60 มีหน้าตาที่ฉีกหนีไปจากความคลาสสิกของ BMW ในอดีต เจ้า E60 มีพวงมาลัยแอ็คทีฟแปลกๆ, iDrive รุ่นแรกที่ใช้งานลำบาก แต่เมื่อมันกลายร่างเป็น M5 E60 เจ้าตาเหยี่ยวก็กลายเป็นรถสปอร์ตซาลูนที่ยอดเยี่ยมที่สุด BMW M5 E60 ประจำการด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ V10 หายใจเองโดยธรรมชาติ ไม่มีการพึ่งพาระบบอัดอากาศใดๆ ทั้งสิ้น ใช่ครับ เครื่องยนต์ที่ซับซ้อน ทำให้ M5 E60 มีปัญหาด้านการบำรุงรักษาที่กระทบกระเทือนจิตใจเจ้าของรถ และการทำงานที่น่าหนักใจของขบวนเฟืองเกียร์สุริยะ ซึ่งเชื่อมโยงกับแป้นเปลี่ยนเกียร์แบบคลัตช์เดี่ยว 7-speed SMG-III ที่ไม่สะดวกเอาเสียเลย แต่อย่าลืมว่า เครื่องยนต์ V10 ต้องหมุนส่วนประกอบในเครื่องมากถึง 1,000 ชิ้น ให้ไปได้เร็วถึง 8,250 รอบต่อนาที แชสซีและการบังคับเลี้ยวที่โดดเด่นเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจเช่นกัน กำลัง 507 แรงม้า แรงบิด 520 นิวตันเมตร ที่ไม่มีการเอาเปรียบเชิงกลนั้นมันสุดยอดมาก!

BMW M3 GTS 2010
แผนก M Division ส่งมอบผลงานล่าสุดให้กับโลกยนตรกรรมด้วยรถ M3 รุ่น GTS 2010 ผู้มาแทน M3 e46 CSL ด้วยการผลิตแบบลิมิเต็ท อิดิชั่นเพียง 100 คัน บวกกับความยอดเยี่ยมของระบบ Dynamicและ M-DKG Drivelogic ในการขับเคลื่อนและพละกำลังที่เพิ่มขึ้นเป็น 444 แรงม้า พร้อมคาร์บอนไฟเบอร์รอบคัน ในราคาที่แพงกว่า M3 E92 ถึงสองเท่า..จำนวนของการผลิตที่มีเพียงแค่ 100 คันทำให้คุณค่าของ M3 GTS เพิ่มขึ้นด้วยความต้องการในรูปแบบของการสะสมรถสปอร์ตสายพันธุ์ M รุ่นพิเศษ หลังจากการเปิดตัวไปเมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมามันก็ได้รับเสียงตอบสนองในทางบวกจากทั่วทุกมุมโลก การผลิตในรูปแบบลิมิเต็ท อิดิชั่นซึ่งจะกลายเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดต้นทุนในการสร้างของเล่นจากสนามแข่งให้ลูกค้าชั้นดีของ BMW นำไปควบเล่นได้ทั้งบนถนนปกติและในสนามแข่งขันด้วยการผ่านการตรวจรวมถึงกฎอันเข้มงวดของ FIA หรือสมาพันธ์ยานยนต์นานาชาติพลังแห่งการทำลายล้างอยู่ภายใต้ฝากระโปรงหน้าแบบคาร์บอน เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร  ตัวเดียวกันกับของ M3 E92 ถูกวิศวกรของสำนัก M จับถอดออกเป็นชิ้นๆ เพื่อเพิ่มปริมาตรความจุจาก 3,999 c.c.เป็น 4400 c.c. โดยได้กำลังเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 416 แรงม้าเป็น 444 แรงม้า ซึ่งผลลัพธ์ส่วนหนึ่งของจำนวนฝูงม้าที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการออกแบบกล่องรวมอากาศในท่อไอดีขึ้นใหม่ทั้งหมด ระบบส่งกำลังเป็นแบบทวิน คลัตช์ 7 สปีด เซมิออโตเมตริก ระบบส่งกำลังผ่านเพลากลางน้ำหนักเบาไปยังเฟืองท้าย M limited slip differential และถ่ายแรงบิดไปยังล้อหลังที่หุ้มด้วยยางหลังเส้นโตของ Pirelli ล้อ BBS ขนาด 19 นิ้ว 5 รูนอตยึด ห่อหุ้มด้วยยางของ Pirelli P Zero Corsa ด้านหน้า 225/35/Zr 19 ด้านหลังอวบอ้วนด้วยยางไซส์ยักษ์ 285/30/Zr 19 ช่วงล่างที่ปรับเซตจังหวะยุบและยืดตัวได้อย่างอิสระ สปริงเส้นโตสีเหลือง ทำให้ช่วงล่างของ M3 GTS กระด้างขึ้นเล็กน้อย การปรับเซตค่าให้แข็งขึ้นกว่าปกติก็เพื่อรองรับระบบ Launch Control เมื่อผู้ขับเปิดสวิตช์ทำงาน ระบบเบรกถูกปรับเปลี่ยนจากแบบสไลด์ลูกสูบเดี่ยวของ M3 E92 ไปเป็นแบบ 6 พอตที่ด้านหน้าและ 4 พอตที่ด้านหลัง

BMW i3: 2013-2020
แนวทางที่รอบคอบสำหรับยานยนต์ EV แทนที่จะใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักด้วยโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์และอะลูมิเนียม ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่าง i3 กับมาตรการลดน้ำหนักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า วิศวกรของ BMW ได้ตัดมวลของรถออกจนแทบจะไม่เหลืออะไรที่มีน้ำหนักมากยกเว้นแบตเตอรี่และมอเตอร์ตัวเขื่อง ด้วยตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์และโครงอะลูมิเนียม พลาสติกสังเคราะห์ที่เบาหวิว ข้างในมีผ้าที่ผ่านการรีไซเคิลใช้ตกแต่งภายใน ดูมีความสวยงามและเรียบง่ายใช้ได้เลยทีเดียว BMW i3 รุ่นแรกๆ มีการติดตั้งเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์เอาไว้ด้วยแต่ไม่ใช่แค่เพื่อความเท่ เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ตัวเล็กที่วางอยู่ด้านท้าย ไม่ได้มีหน้าที่ขับเคลื่อน แต่เพื่อใช้เป็นเจนเนอเรเตอร์ หรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเบนซินแบบขยายระยะทางได้ นั่นมันหลักการเดียวกับ Nissan Kicks ชัดๆ เลย! ถังน้ำมันเชื้อเพลิงของ BMW i3 range extender มีขนาดเล็กเกินไป รุ่นปัจจุบันมีระยะทำการ e-range ที่ 170 ไมล์ แต่จะไปไกลกว่านี้ถ้า BMW ใส่แบตเตอรี่เวอร์ชันล่าสุด และใช้เทคโนโลยี e-drive แทนที่จะหยุดพัฒนา i3 แล้วใส่เงินลงไปในโครงการ iX ที่แพงแสบไส้แสบพุง!

BMW M2: 2015-21
นี่คือรถที่นักขับทุกคนอยากครอบครอง ด้วยตัวอักษรสามตัวของ BMW ขุมพลังสเตรท-ซิกส์ แถวเรียง 6 สูบ อัดอากาศด้วยเทอร์โบ ผลิตเรี่ยวแรงมหาศาล เกียร์คลัตช์คู่ที่ทำงานรวดเร็วและแข็งแกร่ง บวกกับการทำตัวเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังสุดคลาสสิก M2 รักษาความเป็น Sport Coupe ไว้อย่างเหนียวแน่น เช่นเดียวกับ BMW M3 E30 แม้ว่าจะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากกว่าก็ตาม M2 competition ยังคงเป็น BMW ที่ขับขี่บนถนนได้อย่างตื่นเต้นเร้าใจและให้ความรู้สึกถึงการเชื่อมโยงระหว่างรถกับคนขับมากที่สุดในยุคนี้ ในขณะที่รถ M รุ่นอื่นจำนวนมาก ติดตั้งระบบ M xDRIVE ขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อต่อกรกับ Audi RS และ Mercedes-AMG หรือใช้ M xDRIVE เพื่อปกปิดพลังที่บ้าคลั่งของรถ M บางรุ่น สำหรับ M2 competition และ CS ขับหลัง ที่มีขนาดกะทัดรัด ไม่ใหญ่เกินไป ไม่บ้าพลังมากเกินไป มีอารยธรรมการขับที่น่าประทับใจ แต่อาจเป็นการก่อจลาจลเมื่อการจราจรปลอดโปร่ง เมื่อคุณเลือกใช้โหมด Sport+ และปิด DSC แค่นั้นก็เป็นเรื่องแล้วละครับ.

Previous Post

N1810443 เก ดอ กก ชาต ไม ขอเจอแม สาม คนน part 2

Next Post

N1810444 สะใภ ใจเด part 2

Next Post
N1810444 สะใภ ใจเด part 2

N1810444 สะใภ ใจเด part 2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N0111331 เวลาของเราไม เท าก part 2
  • N0111323 วยต วเOงในมหาล part 2
  • N0111327 แฟนหน าตาแบบน เป นค ณจะอายไหม part 2
  • N0111328 แกล งขอทาน #สน กด part 2
  • N0111325 แอบก uสาม เพ oนว าซ าน part 2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • October 2025
  • September 2025
  • July 2025
  • June 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.