ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
Hypermarket คืออะไร? พร้อมรู้จัก 2 เจ้าใหญ่ที่ครองตลาด
Posted on by Anchanaツ

เลือกเรื่องที่จะอ่านเลย ☟
- Hypermarket คืออะไร?
- ความต่างของ Hypermarket VS Supermarket
- เรื่องราวของตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ตในไทย
- รู้จักกับ Big-C
- รู้จักกับ Tesco Lotus
- สรุป
Hypermarket คืออะไร?
Hypermarket คือ ร้านค้าปลีกที่รวมห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าด้วยกัน ซึ่งมักจะเป็นสถานประกอบการขนาดใหญ่มาก โดยมีสินค้าหลากหลายประเภท เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, เสื้อผ้า, และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นแหล่งช้อปปิ้งแบบครบวงจร เรียกง่าย ๆ ว่ามีทุกอย่างที่ผู้บริโภคต้องการ
โดยแนวคิดหลักของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่นี้คือการจัดหาสินค้าทั้งหมดที่ผู้บริโภคต้องการในชายคาเดียวกัน/สถานที่เดียวกัน โดยไฮเปอร์มาร์เกตแบ่งโซนต่าง ๆ ออกไปประมาณนี้ค่ะ
- ซูเปอร์มาร์เก็ต
ซูเปอร์มาร์เก็ตจะเป็น Section หนึ่งในไฮเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งก็จะมีขนาดที่ใหญ่มากแบ่งประเภทสินค้า สัดส่วนสินค้า และ ชั้นวางสินค้า ไว้เป็นโซน เหมาะกับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าตามที่ต้องการ ทั้งของใช้ภายในครัว, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อาหารและเครื่องปรุง, เฟอร์นิเจอร์, อุปกรณ์กีฬา, เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และอื่น ๆ อีกมากมาย
- โซนฟู้ดคอร์ดและเครื่องเล่น
จะเป็นโซนสำหรับนั่งรับประทานอาหาร เป็นจุดรวมตัวของหลาย ๆ ครอบครัวที่จะมานั่งทานอาหารบริเวณนี้ ส่วนใหญ่โซนฟู้ดคอร์ดจะมีเครื่องเล่นเพื่อให้ความบันเทิงแก่เด็ก ๆ ด้วย

- โซนโรงหนัง
เมื่อก่อนอาจจะไม่ค่อยเห็นโรงหนังในไฮเปอร์มาร์เก็ตเท่าไหร่นัก แต่ปัจจุบันไฮเปอร์มาร์เก็ตมีโรงหนังแทบทุกสาขาแล้ว อาจจะไม่ได้ใหญ่เท่ากับในห้างสรรพสินค้า แต่ก็เหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูหนังใกล้บ้าน โดยไม่ต้องขับรถออกไปไกล
- โซนร้านอาหารชื่อดัง
ก็จะมีร้านอาหารที่เป็นร้านชื่อดังตั้งกระจายไปโดยรอบแล้วแต่พื้นที่ ส่วนใหญ่ที่ขาดไม่ได้เลยจะเป็น KFC, Mcdonal’s, Yayoi, ฮะจิบัง ราเมน, บาร์บิคิว พลาซ่า เป็นต้น
- โซนธนาคาร
Hypermarket มีธนาคารเจ้าต่าง ๆ ให้บริการ ซึ่งก็จะจัดเป็นโซนรวมกันไว้มุมหนึ่ง
- โซนอุปกรณ์เกี่ยวกับมือถือ
มีซุ้มขายมือถือสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตด้วย ร้านเหล่านี้ก็จะขายมือถือ, ขายเคสมือถือ, อะไหล่และอุปกรณ์ต่าง ๆ , รับเทิร์น, และรับซ่อมด้วย

ตัวอย่างไฮเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในต่างประเทศ ก็จะมี Walmart Supercentre, Fred Meyer, Meijer และ Super Kmart
ส่วนของไฮเปอร์มาเก็ตในประเทศไทย ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก็จะมี Lotus’s (โลตัส), Big-C (บิ๊กซี)
“Hypermarket” สามารถแตกแขนงออกไปและเรียกได้อีกหลายแบบด้วยกัน ได้แก่ Hyperstore (ไฮเปอร์สโตร์), Supercenter (ซูเปอร์เซ็นเตอร์), ดิสเคาน์สโตร์ (Discount Store) หรือ Superstore (ซูเปอร์สโตร์) ซึ่งชื่อแต่ละอันก็แตกต่างกันไปตามขนาดของร้านและสินค้า/บริการ
✎ Tip : ไฮเปอร์มาร์เก็ตอาจรวมถึงร้านค้าที่มีลักษณะคล้ายโกดังที่มีคลังสินค้าจำนวนมาก ซึ่งอาจนำเสนอสินค้าจำนวนมากในราคาส่งหรือลดราคาจำนวนมาก เช่น Makro (แม็คโคร) ด้วยก็ได้ แต่แม็คโครควรนิยามว่าเป็นดิสเคาน์สโตร์มากกว่า เพราะไม่ได้รวมบริการต่าง ๆ เอาไว้
Hypermarket กับ Supermarket ต่างกันอย่างไร?
หลาย ๆ คนอาจจะงงว่า Hypermarket กับ Supermarket มันไม่เหมือนกันเหรอ? แล้วมันแตกต่างกันยังไง? เพราะปกติแล้วพวกเราจะนิยามให้ โลตัสกับบิ๊กซี เป็นซูเปอร์มาเก็ตกันซะส่วนใหญ่
แต่จริง ๆ แล้วมันต่างกันค่ะ เราจะสรุปเป็นข้อ ๆ เพื่อเปรียบเทียบให้ดูนะคะว่าต่างกันยังไง
| Hypermarket | Supermarket |
| มีขนาดใหญ่กว่า | มีขนาดเล็กกว่า |
| รวมสินค้าและบริการทุกอย่างไว้ในสถานที่เดียว | ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน |
| เน้นความหลากหลาย | เน้นหยิบซื้อสะดวก |
| มีซูเปอร์มาเก็ตในนี้ และยังมีเฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ฟู้ดคอร์ด, โรงหนัง, ลานเครื่องเล่น | มีเฉพาะของใช้ในชีวิตประจำวันที่จำเป็น มีอาหารผักสด, ผลไม้, เนื้อสัตว์ |
| ลดราคาสินค้าได้เยอะ มีโปรโมชั่นสนับสนุนการขายมากมาย เน้นให้ลูกค้าประหยัด | ลดราคาได้ประมาณหนึ่ง กระตุ้นการขายดึงดูดให้ลูกค้าซื้อมากขึ้นเพื่อเพิ่มผลกำไร |
ตัวอย่าง “ซูเปอร์มาเก็ต” ของไทยที่เราน่าจะรู้จักกันดี เช่น Tops (ท็อปส์), Villa Market (วิลล่า มาร์เก็ท), Foodland (ฟู้ดแลนด์), Home Fresh Mart (โฮมเฟรชมาร์ท)
เรื่องราวของตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ตในไทย
ประเทศไทยของเรา Hypermarket คือตลาดที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดน้อยมาก โดยมีแค่ 2 เจ้า นั่นก็คือ Tesco Lotus กับ Big-C ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็มีธุรกิจนี้หลายเจ้าอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ท้ายที่สุดก็ได้ปิดตัวลงไปเพราะวิกฤติเศรษฐกิจ
หลาย ๆ คนอาจจะเคยรู้จัก, ได้ยินชื่อ, หรือเคยไป คาร์ฟูร์ (Carrefour) ซึ่งสมัยก่อนมันเคยเป็นหนึ่งไฮเปอร์มาร์เก็ตเจ้าใหญ่ Big 3 ร่วมกับบิ๊กซีและโลตัส

ภาพจาก retaildetail
แต่ท้ายที่สุดแล้วเกิดการซื้อขายหุ้นกันไปมา จึงทำให้คาร์ฟูร์ถูกยุบรวมกับบิ๊กซี ส่งผลที่ตามมาคือ ทุกสาขาของคาร์ฟูร์กลายเป็นบิ๊กซีหมด
จนในที่สุดตอนนี้ก็เหลือแค่ 2 เจ้าที่เป็นไฮเปอร์มาเก็ตในปัจจุบัน (หมายถึงไฮเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นห้างสรรพสินค้า+ซูเปอร์มาร์เก็ตน่ะนะ เพราะจริง ๆ แล้วแม็คโครก็เป็นอีกหนึ่งประเภทของ Hypermarket แต่เราคิดว่าอยู่ในหมวดดิสเคาน์สโตร์หรือซูเปอร์สโตร์มากกว่า)
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
- ทำไม Walmart คือธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก?
- แฟรนไชส์ คืออะไร? ไปรู้จักโมเดลธุรกิจนี้ให้มากขึ้นกันเถอะ!
รู้จักกับ Big-C
Big-C เปิดให้บริการไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขาแรกในนาม บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ บนถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2537 โดยบริษัทที่เป็นเจ้าของคือ “กลุ่ม Central” ที่ร่วมหุ้นกันกับกลุ่มอิมพีเรียล
✎ Tip : รู้หรือไม่ว่าตัว C ของ Big-C นั้นย่อมาจากคำว่า Central

ภาพจาก corporate.bigc
- เปลี่ยนเจ้าของจากเซ็นทรัลเป็นต่างชาติ
แต่เมื่อปี พ.ศ. 2542 เซ็นทรัลได้ขายหุ้นให้กับ Casino Group ผู้ประกอบการค้าปลีกจากฝรั่งเศส (เนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชียปี 2540) จึงทำให้บิ๊กซีกลายเป็นของชาวต่างชาติ
- หลอมรวมกับคาร์ฟูร์
พ.ศ. 2553 กลุ่มคาสิโนประมูลกิจการคาร์ฟูร์ในประเทศไทย ทำให้พวกเขากลายเป็นเจ้าของคาร์ฟูร์ และได้ปรับปรุงคาร์ฟูร์ทุกสาขาให้กลายเป็นบิ๊กซีทั้งหมด
- เปลี่ยนเป็นของคนไทยอีกครั้ง
คดีพลิกอีกครั้งเมื่อกลุ่มคาสิโนมีปัญหาทางการเงิน และเขาได้ขายกิจการ Big-C ให้กับ “กลุ่ม TCC” ของคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้างที่บางคนให้ฉายาเขาว่าเป็นเจ้าพ่อเทคโอเว่อร์ เครือข่ายของเขามีทั้ง Thaibev, Oishi Group, เสริมสุข และอีกมากมาย
ปล. Central ก็ยังถือครองบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ในประเทศเวียดนามอยู่นะ แต่อีกไม่กี่ปีก็ต้องเปลี่ยนไปใช้ชื่อใหม่คือ Go! และ Tops Supermarket
รู้จักกับ Tesco Lotus
Tesco Lotus เดิมทีใช้ชื่อว่า Lotus Supercenter เป็น Hypermarket ที่เปิดมาในเวลาไล่เลี่ยกันกับบิ๊กซี มีเจ้าของเป็นเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือกลุ่ม CP (ที่เป็นเจ้าของ 7-11) เปิดสาขาแรกเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2537

ภาพจาก thailandtoday
- เปลี่ยนเจ้าของจาก CP เป็นชาวต่างชาติ
เช่นเดียวกันบิ๊กซีเลยค่ะ เกิดวิกฤติการณ์ทางการเงินในเอเชียปี 2540 กลุ่มซีพีต้องตัดสินใจขาย Lotus ให้กับ Tesco Group ผู้ประกอบการค้าปลีกประเทศอังกฤษ ทำให้ไฮเปอร์มาร์เก็ตของคนไทย กลายไปเป็นของชาวต่างชาติ โดยได้รวมชื่อเป็นแบรนด์ใหม่คือ Tesco Lotus
- ยื้อยุดระหว่าง 3 ยักษ์ เพื่อเป็นผู้นำค้าปลีกอันดับ 1
อันนี้สนุกมากค่ะ คือว่าในช่วงปี พ.ศ. 2557 กลุ่มเทสโก้ถูกตรวจสอบว่ารายงานบัญชีไม่ตรงกับจำนวนจริง ทำให้ต้องเสียค่าปรับและขาดทุนกว่า 3 แสนล้านบาท เขาจึงมีความคิดจะขายกิจการ Tesco Lotus ในประเทศไทยและมาเลเซีย
ทีนี้กลุ่มซีพีก็ตาลุกวาวเลยสิคะ เพราะอยากได้กิจการที่สร้างมากับมือคืน แต่กลุ่มเทสโก้กลับเปลี่ยนใจ จึงเกิดการเจรจาต่อรองไปมา โดยกลุ่มซีพีก็เจรจาหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ
ปี พ.ศ. 2562 กลุ่มเทสโก้ตัดสินใจจะขายกิจการในประเทศไทยและมาเลเซียอีกครั้ง ทีนี้กลุ่มที่สนใจจะซื้อก็มี กลุ่ม CP (เจ้าของเดิม), กลุ่ม Central (เจ้าของบิ๊กซีคนเก่าที่สูญเสียไฮเปอร์มาร์เก็ตไปเมื่อหลายสิบปีก่อน), และกลุ่ม TCC (เจ้าของบิ๊กซีคนคนใหม่)
ความมันส์มันอยู่ตรงนี้ค่ะ 😀 แล้วใครล่ะ ที่จะได้ Tesco Lotus ไฮเปอร์มาร์เก็ตเจ้าใหญ่นี้ไปครอง??? เพราะถ้าใครได้ไปเนี่ย.. เขาจะกลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของวงการค้าปลีกเลยทีเดียว
1. กลุ่ม CP
ถ้าได้ไปเขาจะครองตลาดทั้ง 1. ค้าส่งจากแม็คโคร 2. ร้านสะดวกซื้อจาก 7-11 และ 3. ไฮเปอร์มาร์เก็ตจาก Tesco Lotus เรียกได้ว่าเขาจะควบรวมกิจการทุกอย่าง จะมีอำนาจในการต่อรองกับคู่ค้าที่แข็งแกร่งมากแบบสุด ๆ ในประเทศ เป็นเจ้าพ่อด้านค้าปลีกไปเลย เพราะไม่ว่าจะตลาดไหนเจ้าของก็คือ CP
2. กลุ่ม Central
จากที่เคยเสียบิ๊กซีไป คิดว่าถ้าได้เทสโก้โลตัสมาอยู่ในมือ ก็จะเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ครอบคลุมเช่นกัน พวกเขาจะมีทั้ง 1. ห้างสรรพสินค้าจาก Central, ซูเปอร์มาร์เก็ตจาก Tops, ร้านสะดวกซื้อจาก FamilyMart และไฮเปอร์มาร์เก็ตจาก Tesco Lotus เรียกว่าถ้าได้ไปก็จะเพิ่มเม็ดเงินได้ กลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นทางธุรกิจนั่นเอง
3. กลุ่ม TCC
ที่เป็นเจ้าของบิ๊กซีอยู่แล้ว ถ้าเขาได้เทสโก้โลตัสมาอีก เขาจะกลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ตแบบ 100% คิดภาพว่า Tesco Lotus กับ Big C มีเจ้าของเป็นคนเดียวกันสิคะ .. แค่คิดก็ใจเต้นแรงแล้ว มันแบบ.. ยิ่งใหญ่อ่ะ เงินของคนไทยทั้งหมดจะไปไหนได้ ฮ่าๆ 😀
ซึ่งต่อมา คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ก็ได้ออกมาบอกว่ามันส่อว่าจะผูกขาดทางการค้า ต้องได้รับอนุญาตจากพวกเขาก่อนและจะติดตามการรวมธุรกิจนี้อย่างใกล้ชิด
และท้ายที่สุด กลายเป็นใครได้ไปรู้ไหมคะ? กลุ่มที่จะกลายเป็นมหาอำนาจทางธุรกิจค้าปลีกนั่นก็คือ.. ท้าดาาาา….
กลุ่ม CP นั่นเองงง!! เรียกได้ว่า ได้ “Lotus” กลับคืนมาโดยสมบูรณ์แบบในราคาประมูลมากถึง 338,445 ล้านบาท!
ซึ่งกระบวนการซื้อขายทั้งหมดเสร็จไปเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 หรือปลายปีที่ผ่านมานั่นเองค่ะ
ทำให้เรานึกถึงคำพูดของ คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ที่เขาบอกประมาณว่า
“การขายโลตัสออกไปวันนั้น ทำให้เห็นความผูกพันกับแบรนด์โลตัส ในฐานะที่เป็นผู้สร้างมากับมือ”
- การรีแบรนด์ของ Lotus
ตอนแรกคนเขียนก็แปลกใจเหมือนกันนะคะว่าทำไม Lotus Express แถวบ้านถึงได้…
- เปลี่ยนป้ายใหม่
- เปลี่ยนธีมสีใหม่ของร้านให้ดูทันสมัยมากขึ้น โดยใช้แบล็คกราวน์สีเขียวพาสเทล
- แล้วยังเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Lotus’s อีก โดยตัวอักษรจะเป็นคำว่า Lotus สีขาว และตัว ‘s เป็นสีเหลือง เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับแบ็คกราวด์

ภาพการรีแบรนด์โลตัส : by bangkokpost.com
ตอนนี้ก็เลยได้คำตอบแล้วว่า เจ้าของเก่าเขาได้มันกลับคืนมาแล้วค่าาา โดยตอนนี้ทาง CP กำลังเริ่มรีแบรนด์ Tesco Lotus ทุกสาขาให้กลายเป็น Lotus’s นำร่องโดยสาขาเลียบด่วนรามอินทรา ที่เปลี่ยนป้ายไปเรียบร้อยแล้ว
นี่ก็เป็นมหากาพย์ที่เราเอามาเล่าสู่กันฟังว่า Hypermarket ทั้งสองเจ้าที่มีอยู่ในประเทศไทย มีความเป็นมาอย่างไร และใครเป็นเจ้าของค่ะ
✎ สรุป
มาดูสรุปกันค่ะว่าทั้งหมดที่เราเขียนมามีใจความสำคัญอะไรบ้าง
– Hypermarket คือ ร้านค้าปลีกที่รวมห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าด้วยกัน
– แนวคิดเบื้องหลัง Hypermarket คือการจัดหาสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผู้บริโภคต้องการมารวมกันให้อยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน
– ไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ขายสินค้าในปริมาณมาก เพื่อเน้นให้ลูกค้าซื้อไปทีละเยอะ ๆ ไม่เหมือนกับซูเปอร์มาร์เก็ตที่เน้นซื้อทีละไม่กี่ชิ้นเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน
– ไฮเปอร์มาร์เก็ตในไทย มี 2 เจ้าคือ Lotus (ที่ตอนนี้กลุ่ม CP เป็นเจ้าของ) กับ Big-C (ถือครองโดยกลุ่ม TCC) เราอาจจะเห็นการตลาดที่ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดเกิดขึ้นในอนาคต เพราะตอนนี้เป็นคนไทยทั้งสองเจ้าที่มาบริหารแล้ว รอดูกันได้เลยค่ะ!
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีกที่เรานำมาให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ ต่อไปจะมีเรื่องราวดี ๆ อะไรอีกต้องติดตาม PN Storetailer กันด้วยนะคะ
Forbes จัดอันดับ 10 มหาเศรษฐีไทย 2567 พบมั่งคั่งลดลง 12%
เศรษฐกิจ4 ก.ค. 67
13:15
66,075
แชร์

อ่านให้ฟัง
07:56Forbes Thailand เปิด 10 อันดับมหาเศรษฐีไทย 2567 “เฉลิม อยู่วิทยา” ขึ้นอันดับ 1 แทนกลุ่ม CP ที่ร่วงอันดับ 2 พบความมั่งคั่งของกลุ่มผู้ร่ำรวยที่สุดในไทยลดลงเกือบ 12% เหตุ “ความไม่แน่นอนทางการเมือง” ส่งผลความเชื่อมั่นนักลงทุนในประเทศหลัง “เศรษฐา” นั่งนายกฯ
เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2567 นิตยสาร Forbes Thailand เปิดเผยข้อมูล 10 อันดับมหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2567 หลังนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ ได้เข้ารับตำแหน่ง ความไม่แน่นอนทางการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังส่งผลให้ดัชนีหุ้นอ้างอิงลดลงร้อยละ 15 นับตั้งแต่ปีที่แล้ว ต่อเนื่องไปถึงผลกระทบจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง
ความมั่งคั่งรวมของเหล่ามหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดของประเทศจึงลดลงเกือบร้อยละ 12 เหลือเพียง 153,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 173,000 ล้านเหรียญในปีที่แล้ว
39 มหาเศรษฐีไทยรวยน้อยลง
จากข้อมูลดังกล่าวพบว่ามีเพียง 7 รายที่มีแนวโน้มรวยสวนกระแสเศรษฐกิจจากกำไรของธุรกิจที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรูปของค่าเงินดอลลาร์ ได้แก่
อันดับ 1 (ใหม่) : เฉลิม อยู่วิทยา และ ครอบครัว หุ้นส่วนของแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นถึง 2,600 ล้านเหรียญ ส่งผลให้มูลค่าความมั่งคั่งเพิ่มตามไปด้วยเป็น 36,000 ล้านเหรียญ ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา Red Bull มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 11,000 ล้านเหรียญ จากยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังที่ขายได้มากกว่า 12,000 ล้านกระป๋องทั่วโลก
หลังจากครองตำแหน่งอันดับ 1 มายาวนานเกือบทศวรรษ ล่าสุด พี่น้องตระกูลเจียรวนนท์ของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ ได้ร่วงลงมาอยู่อันดับ 2 โดยเป็นผลจากรายได้ 34,000 ล้านเหรียญในปีก่อน ลดลงเหลือ 29,000 ล้านเหรียญในปีนี้ การลดลงดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากการตกต่ำของหุ้นหนึ่งในบริษัท Ping An Insurance ของจีน ซึ่งรายงานผลขาดทุนในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ของบริษัทในปี 2566 มูลค่า 2,700 ล้านเหรียญ ส่วนอีก 3 อันดับที่เหลือใน 5 อันดับแรกยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน แม้ว่ามหาเศรษฐีทั้ง 3 รายจะมีมูลค่าความมั่งคั่งลดลงก็ตาม
ทั้งนี้ มหาเศรษฐีของธุรกิจเครื่องดื่ม อย่าง เจริญ สิริวัฒนภักดี ต้องเผชิญกับความเป็นจริงอันโหดร้าย โดยความมั่งคั่งของเขาหายไปราว 1 ใน 4 ของมูลค่าในปีก่อน ทรัพย์สินหดตัวลงเพียง 10,000 ล้านเหรียญในปีนี้ แม้ว่าเขาจะยังครองตำแหน่งอยู่ในอันดับ 3 ตามเดิมเหมือนปีก่อนก็ตาม
ถัดมาอันดับ 4 คือ ตระกูลจิราธิวัฒน์ ซึ่งถือเป็นเจ้าของกลุ่มธุรกิจเซ็นทรัลที่ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในห้างสรรพสินค้า Selfridges อันโด่งดังในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยล่าสุดในปีนี้มีมูลค่าความมั่งคั่งอยู่ที่ 9,900 ล้านเหรียญ ลดลงจากปีก่อนราวร้อยละ 20
อันดับ 5 สารัชถ์ รัตนาวะดี มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของมหาเศรษฐีด้านพลังงานและโทรคมนาคม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เขาเปิดตัวในการจัดอันดับเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ได้ลดลงในปีนี้เป็นครั้งแรกเหลือมูลค่าอยู่ที่ 9,200 ล้านเหรียญ

10 อันดับ มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2567
- เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 36,000 ล้านเหรียญ หรือ 1.32 ล้านล้านบาท
แหล่งความมั่งคั่ง : อาหารและเครื่องดื่ม
อันดับ : ขึ้นจากอันดับ 2 - พี่น้องเจียรวนนท์ ประกอบไปด้วย 3 พี่น้อง รวมถึงครอบครัวของมนตรี เจียรวนนท์ ส่วน “ธนินท์ เจียรวนนท์” ยังคงเป็นประธานอาวุโส
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 29,000 ล้านเหรียญ หรือ 1.06 ล้านล้านบาท
แหล่งความมั่งคั่ง : อาหารและเครื่องดื่ม
อันดับ : ร่วงลงจากอันดับ 1 - เจริญ สิริวัฒนภักดี
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 10,000 ล้านเหรียญ หรือ 368,000 ล้านบาท
แหล่งความมั่งคั่ง : อาหารและเครื่องดื่ม
อันดับ : คงที่ - ครอบครัวจิราธิวัฒน์
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 9,900 ล้านเหรียญ หรือ 364,000 ล้านบาท
แหล่งความมั่งคั่ง : แฟชั่นและค้าปลีก
อันดับ : คงที่ - สารัชถ์ รัตนาวะดี
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 9,200 ล้านเหรียญ หรือ 338,000 ล้านบาท
แหล่งความมั่งคั่ง: พลังงาน
อันดับ: คงที่ - ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 3,800 ล้านเหรียญ หรือ 139,000 ล้านบาท
แหล่งความมั่งคั่ง : ธุรกิจแพทย์
อันดับ : ขึ้นจากอันดับ 7 - อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และครอบครัว
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 3,600 ล้านเหรียญ หรือ 132,000 ล้านบาท
แหล่งความมั่งคั่ง : แฟชั่นและค้าปลีก
อันดับ : ขึ้นจากอันดับ 8 - วานิช ไชยวรรณ
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 3,300 ล้านเหรียญ หรือ 121,000 ล้านบาท
แหล่งความมั่งคั่ง : การเงินและการลงทุน
อันดับ : ร่วงจากอันดับ 6 - ครอบครัวโอสถานุเคราะห์
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 2,200 ล้านเหรียญ หรือ 81,000 ล้านบาท
แหล่งความมั่งคั่ง : อาหารและเครื่องดื่ม
อันดับ : ขึ้นจากอันดับ 10 - ประยุทธ มหากิจศิริ
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 2,150 ล้านเหรียญ หรือ 79,100 ล้านบาท
แหล่งความมั่งคั่ง : อาหารและเครื่องดื่ม
อันดับ : ขึ้นจากอันดับ 12
วิธีการจัดทำ
ทำเนียบการจัดอันดับ เรียบเรียงจากข้อมูลการถือหุ้นและการเงินของทั้งครอบครัวและรายบุคคล การซื้อขายและวิเคราะห์หุ้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ
การจัดอันดับนี้แตกต่างจากการจัดอันดับมหาเศรษฐีอื่น ๆ โดยจะนับทรัพย์สินของครอบครัวรวมถึงที่มีการแบ่งปันกันในวงศ์ตระกูลจากหลาย ๆ รุ่นมารวมด้วย ทรัพย์สินที่มีการเปิดเผยคำนวณจากราคาหุ้นและอัตราการแลกเปลี่ยน การประเมินมูลค่าบริษัทเอกชนอ้างอิงจากเปรียบเทียบกับบริษัทแบบเดียวกันที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
รายชื่อทั้งหมดยังรวมเอาชาวต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจ พักอาศัย หรือมีพันธะอื่น ๆ ในประเทศไทย รวมถึงพลเมืองที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่มีธุรกิจหรือพันธะสำคัญกับประเทศ

