ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
1688 จัดอันดับประเทศ ที่มีกำลังซื้อและใช้จ่ายเงินออนไลน์มากที่สุดในโลก

1688 ฮือฮากับปรากฏการณ์ความนิยมในการช็อปปิ้งออนไลน์มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี โดยเฉพาะชาวอเมริกัน
ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นนักช็อปออนไลน์ที่มีการใช้จ่ายเงินมากที่สุดในโลก รองลงมาคือประชากรในสหราชอาณาจักร สวีเดน และฝรั่งเศส
ความนิยมเพิ่มขึ้นของการช็อปปิ้งออนไลน์
กิจกรรมช็อปปิ้งออนไลน์ เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค คือ ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าและบริการจากผู้ให้บริการได้ โดยไม่ต้องไปถึงหน้าร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้า เพียงแค่ลูกค้าใช้บริการผ่านหน้าเว็บไซต์ของร้านค้าหรือผู้จำหน่ายสินค้า ก็สามารถชำระเงินผ่านทางเว็บไซต์ได้โดยตรง และเมื่อได้ทำรายการสั่งซื้อเป็นที่เรียบร้อย หลังจากดำเนินการต่างๆ เสร็จสิ้น ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ลูกค้าได้ทำรายการผ่านเว็บไซต์จะถูกส่งถึงบ้านของลูกค้า
การช็อปปิ้งออนไลน์ สามารถทำได้ผ่านคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือ สมาร์ทโฟน เว็บไซต์ช็อปปิ้งออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาคือ Amazon (ตั้งแต่ปี 1995) eBay (ตั้งแต่ปี 1995) และ Alibaba (ตั้งแต่ปี 2003) ในขณะที่จีน เว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดในการช็อปปิ้งออนไลน์คือ 1688 Taobao Tmall และ 1688 รวมไปถึง JD.com ฯลฯ ส่วนไทยคือ Lazada Shopee เป็นต้น
ความเปลี่ยนแปลงนิสัยที่เกิดขึ้นกับการช็อปปิ้งออนไลน์
นับตั้งแต่อินเตอร์เน็ตถูกเปิดตัวต่อสาธารณะครั้งแรก มันก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ในทุกๆ วัน การใช้งานออนไลน์ จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งการใช้บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ก็ได้กลายเป็นสิ่งที่สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้คนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหรือคนพื้นถิ่น นอกจากนี้ เทคโนโลยีด้านออนไลน์ได้มีการพัฒนาและก้าวหน้าเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากบริการที่มีอยู่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจได้มีการคาดการณ์เอาไว้ว่าในไม่ช้า มูลค่าของมันจะสูงถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์
ประเทศที่ใช้จ่ายออนไลน์มากที่สุด
กว่า 70% ของประชากรในสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเยอรมนี หมดเงินไปกับการใช้จ่ายเงินผ่านเว็บไซต์ช็อปปิ้งออนไลน์ โดยเฉพาะพื้นที่ในเอเชียแปซิฟิก ได้เพิ่มยอดขายระหว่างประเทศเป็นจำนวน 30% ในปี 2012 รวมทั้งจีนและบราซิล ก็ได้เพิ่มพฤติกรรมการช็อปปิ้งออนไลน์อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน และต่อไปนี้คือ 10 ประเทศที่มีการใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าออนไลน์สูงสุดในปี 2015

1.สหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกายังคงครองอันดับ 1 โดยมียอดรายได้รวมสูงสุดจากการช็อปปิ้งออนไลน์ถึง 346.66 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2012 นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำของโลกในเรื่องการจับจ่ายซื้อของออนไลน์โดยเฉลี่ยอยู่ที่คนละ 1,804 ดอลลาร์สหรัฐ จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ราว 96% ของประชากรสหรัฐฯ ชอบการช็อปปิ้งออนไลน์มากกว่าไปเดินห้าง พวกเขาใช้เวลาเฉลี่ยโดยประมาณ 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และประมาณ 36% ของงบที่ใช้ในการช้อปปิ้งนั้น นำไปสู่การช็อปปิ้งออนไลน์ในที่สุด โดยเว็บไซต์ออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรกในสหรัฐฯ ได้แก่ Amazon eBay และ WalMart แต่ละแห่งมีสินค้าหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์ส่วนตัว และบริการต่างๆ
2.สหราชอาณาจักร
สหราชอาณาจักรเป็นประเทศ ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูงสุดเป็นอันดับสองจากทั่วโลก โดยมีผู้ใช้จ่ายออนไลน์เป็นจำนวน 1,629 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี และในการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคปี 2016 จากการวิจัยพบว่า 81.2% ของผู้ซื้อในสหราชอาณาจักร อันดับแรกที่เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ คือ ราคาผลิตภัณฑ์ในสถานที่จำหน่ายราคาปลีก หลังจากนั้น จะมีการเปรียบเทียบราคาที่มีอยู่ในร้านค้าออนไลน์ ซึ่งผู้บริโภคมากกว่า 50% มักซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ทีวี โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ ฯลฯ จากเว็บไซต์ออนไลน์มากกว่าในร้านค้า ยิ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า 30% ของผู้ซื้อเสื้อผ้าจะเช็คราคาออนไลน์ก่อนเสมอ และก่อนจะลองเสื้อผ้าในร้านค้าจริง นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกว่า วันอาทิตย์เป็นวันที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับการช็อปปิ้งออนไลน์ ในทางตรงกันข้ามวันศุกร์เป็นวันที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุด
3.สวีเดน
ผู้บริโภคในสวีเดนมีการใช้จ่ายเงินสูงสุดเป็นอันดับสามในร้านค้าออนไลน์เป็นประจำทุกปี โดยในปี 2015 ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์หรือใช้บริการผ่านทางออนไลน์ในประเทศนี้ใช้เงินเฉลี่ย 1,446 ดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งมีวันที่จัดกิจกรรมช้อปปิ้งออนไลน์เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วย ตัวอย่างเช่น ปี 2015 มียอดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้น 40% และมีรายงานว่าผู้บริโภคจำนวน 20% ได้สั่งซื้อออนไลน์อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามวิธีการเลือกช็อปปิ้งออนไลน์ของประชากรทั่วโลกทุกประเทศยังคงมีแนวโน้มสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และในภูมิภาคเอเชียคงหนีไม่พ้นเว็บไซต์ออนไลน์ช็อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความสนใจมากที่สุดคือ Taobao และ Tmall เพราะที่นี่เต็มไปด้วยร้านค้าชั้นนำของประเทศจีน และมีสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ให้เลือกซื้อตรงตามความต้องการและจุดประสงค์การใช้งานของผู้บริโภคส่วนใหญ่ และสินค้าบางประเภทยังมีการอิงตามเทรนด์ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ในประเทศไทย มักสั่งซื้อสินค้าราคาส่งหรือราคาโรงงานจากผู้ผลิตโดยตรงจากประเทศจีน ตัวเลือกที่หนีไม่พ้นเลยคือ Taobao Tmall หรือ 1688 เพราะเป็นสินค้ามีคุณภาพ ราคาถูก ตามเทรนด์แฟชั่นอยู่ตลอดเวลา นำเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทย เมื่อได้สินค้าที่สินค้าตามที่ต้องการแล้ว สามารถเลือกใช้บริการ Shippingจีน กับทาง Papershipping ได้ โดยมีเงื่อนไขการใช้บริการที่สะดวกรวดเร็ว มาตรฐานการนำเข้าสินค้าอย่างมืออาชีพ มีมาตรฐาน ส่งถึงมือผู้บริโภคแน่นอน และยังสามารถตรวจสอบสถานะสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
12 ปี 11 ประเทศ ‘ทศ’ นำทัพกลุ่มเซ็นทรัล ครองห้างอันดับ 1 โลก
ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล
20 ก.ย. 2565 | 16:40 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2565 | 23:42 น.
เปิดเส้นทาง 12 ปี “ทศ จิราธิวัฒน์” นำทัพกลุ่มเซ็นทรัลสยายปีกรุกต่างประเทศ ปักหมุด 120 สาขาใน 11 ประเทศ 80 เมือง กวาดรายได้ 2.6 แสนล้านบาท
ความแข็งแรงของ “กลุ่มเซ็นทรัล” ในเมืองไทย คงไม่มีใครปฏิเสธ การเติบโตต่อเนื่องมากว่า 60 ปี ทำให้กลุ่มเซ็นทรัล เริ่มมองหาความท้าทายใหม่ นั่นคือ การสยายปีกรุกธุรกิจในต่างประเทศ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าซื้อกิจการห้างหรู “รีนาเชนเต” (Rinascente) ในอิตาลี ในปี 2554 ตามด้วย อิลลุม ในเดนมาร์กในปี 2556 ซึ่งแม้ช่วงต้นจะต้องเผชิญปัญหารอบด้านแต่กลุ่มเซ็นทรัลก็ฝ่าด่านมาได้
ล่าสุดการเข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจส มูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านบาท เป็นบทพิสูจน์ฝีมือของ “กลุ่มเซ็นทรัล” กับการก้าวสู่ “ห้างสรรพสินค้าที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในโลก” โดยมีห้างครอบคลุม 11 ประเทศ 80 เมือง 120 สาขา และห้างแฟลกชิปหรู 16 แห่ง ในหัวเมืองหลักของยุโรปและเอเชีย มียอดขายกว่า 6.7 พันล้านยูโร หรือกว่า 2.6 แสนล้านบาท

“ทศ จิราธิวัฒน์” ประธานกรรมการบริหารของกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวถึงความสำเร็จว่า หลังการรวมกลุ่มเซลฟริดเจสเข้าสู่คอลเลคชั่นห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ของกลุ่มเซ็นทรัล ทำให้กลุ่มเซ็นทรัล กลายเป็นผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ระดับโลกอย่างแท้จริง และวันนี้ ธุรกิจห้างสรรพสินค้าของกลุ่มเซ็นทรัล มีเครือข่ายห้างสรรพสินค้าในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก
“การเข้าซื้อกิจการห้างรีนาเชนเต ในอิตาลี ถือเป็นสิ่งที่ดี สอดคล้องกับจังหวะที่แบรนด์ลักชัวรี่ของยุโรปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยกระแสของการท่องเที่ยวทั่วโลก ถึงแม้เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนในระยะที่ผ่านมา ตลาดลักชัวรี่ได้แสดงศักยภาพสามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากความต้องการผู้บริโภคที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง”
ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมากลุ่มเซ็นทรัลได้สร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับแบรนด์ลักชัวรี่ยักษ์ใหญ่หลากหลายแบรนด์ ซึ่งได้มีการร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ ของบริษัทตลอดมาเพื่อพัฒนาห้างของเราให้เป็นจุดหมายแห่งการช้อปปิ้งที่โดดเด่น ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของคนท้องถิ่น และเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน ปัจจุบันห้างในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัลต้อนรับลูกค้ากว่า 130 ล้านคนต่อปี กว่า 200 เชื้อชาติ และมีสมาชิกกว่า 6 ล้านคน

กลยุทธ์ที่ทำให้กลุ่มเซ็นทรัล ประสบความสำเร็จในยุโรปและจะยังคงเดินหน้าต่อ คือ 1. พัฒนาและขยายห้างสรรพสินค้าที่มีเอกลักษณ์ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญด้วยการร่วมมือกับลักชัวรี่แบรนด์การพัฒนาแปลงโฉมห้างสรรพสินค้า โดยแต่ละห้างได้ถูกออกแบบให้แสดงถึงเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง เพื่อให้คนในท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวได้ชื่นชม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘ห้างเซ็นทรัล’ เดินหน้า Omnichannel กระทุ้งยอดโค้งท้ายโต 15%
ฮือฮา! ห้างแรกในอาเซียน “เซ็นทรัล” คลอด NFT
75 ปี เซ็นทรัล จากร้านหนังสือ สู่ห้างใหญ่อันดับ 1 ของโลก
เปิดโรดแมป “ห้างเซ็นทรัล” 5 ปี ดันยอดขายโต 1.7 เท่า
ยักษ์เช็นทรัล ปั้นมิกซ์ยูส 30 เมือง นำร่องโคราชนิวซีบีดี ดันราคาที่ดินพุ่ง
กลุ่มเซ็นทรัลยังประกาศเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องในภูมิภาคยุโรปใน 5 ปีข้างหน้า ด้วยการทุ่มงบกว่า 1.36 หมื่นล้านบาท ในการดำเนินโครงการปรับปรุงและพัฒนาห้างสรรพสินค้าหลายแห่งทั้งคาเดเว, โกลบุส และรีนาเชนเต รวมถึงใช้เงินอีกว่า 3.27 หมื่นล้านบาทการสร้างโครงการใหม่ อีก 3 แห่งทั้งในเยอรมนี, ออสเตรีย และสวิสเซอร์แลนด์

อีกกลยุทธ์คือการ เดินหน้าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งวันนี้กลุ่มเซ็นทรัลมีฐานลูกค้าในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในยุโรปกว่า 30 ล้านคนต่อเดือน มีการจัดส่งสินค้าไปยังกว่า 130 ประเทศทั่วโลก และสร้างยอดขายกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท หรือราว 1 พันล้านยูโรต่อปี คิดเป็น 17% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งหลังการเข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจส ทำให้ได้ Selfridges.com แพลตฟอร์มออนไลน์ลักชัวรี่ระดับโลกที่สมบูรณ์แบบที่สุดมาเสริมทัพ
“Selfridges.com แพลตฟอร์มออนไลน์ลักชัวรี่ระดับโลก ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และฐานข้อมูลลูกค้า ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์ และมอบบริการให้ลูกค้าได้แบบเฉพาะบุคคล รวมทั้งการมีเครือข่ายห้างสรรพสินค้าใน 11 ประเทศ จะทำให้การประชาสัมพันธ์และเข้าถึงลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
รวมถึงให้บริการแบบออมนิแชแนล ที่แตกต่างและเหนือกว่าคู่แข่งอีคอมเมิร์ซทั่วไป โดยเฉพาะในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นฐานการดำเนินธุรกิจหลักของกลุ่มเซ็นทรัล ลูกค้าของกลุ่มเซ็นทรัลในประเทศไทยจะสามารถเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ลักชัวรี่และคอลเล็คชั่นที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นผ่านช่องทางนี้”
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,818 วันที่ 15 – 17 กันยายน พ.ศ. 2565

