ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
5 อันดับตึกสูงที่สุดในไทย สูงที่สุดกี่เมตร มีตึกไหนที่ครองแชมป์ที่สุด
FacebookMessengerWhatsAppLineTwitterGmailGoogle TranslateCopy Link
เปิดอ่าน 17,336 ครั้ง

จัดอันดับ 5 ตึกสูงที่สุดในประเทศไทย สูงเท่าไหร่ ตึกไหนที่ครองแชมป์
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา มีผู้คนพูดถึงตึกสูงของไทยกันหลากหลาย ตึกสูงที่สุดของไทยคือตึกไหน และแน่นอนหลายคนเคยได้ยินว่า “ตึกใบหยก 2” เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในไทยมาก่อน แต่ปัจจุบันได้ถูกโค่นแชมป์ไปเป็นที่เรียบร้อย เป็นตึกที่สุงสุดของไทย นั้นคือ “แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์” วันนี้ ไทยโฮมทาวน์ จึงมาแชร์ 5 อันดับ ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันอันดับ 1-5 ตึกสูงที่สุดในไทย มีตึกไหนบ้าง สูงเท่าไหร่ มีทีมาที่ไปอย่างไร ซึ่งสะท้อนอะไรหลายอย่างมากกว่าความสูงของอาคาร เพราะสื่อถึงสัญลักษณ์ของการพัฒนา ยิ่งมีตึกสูงมากก็สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวิศวกรรมของประเทศ
5 อันดับตึกสูงที่สุดในประเทศไทย อัพเดทล่าสุด ปี 2025
ตึกสูงของไทยนอกจากนี้ยังเพิ่มมุมมองของอนาคต ทำให้มีการแข่งขันสร้างตึกสูงขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ของการพัฒนาเมืองและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป บางทีอาจจะเป็นแรงบันดาลใจด้านสถาปัตยกรรม เพราะแต่ละอาคารมีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นการรู้ตึกสูงที่สุดในไทย ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของตัวเลข แต่มันบอกเล่าเรื่องราวของประเทศได้มากกว่าที่คิด ไปดูอันดับที่เรารวบรวมมาให้ได้เลย
1 แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์

ชื่อทางการ : แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ แอท ไอคอนสยาม
ชื่ออังกฤษ : Magnolias Waterfront Residences at ICONSIAM
เป็นตึกระฟ้าในกรุงเทพมหานคร เป็นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดประเทศไทยและเป็นโรงแรมและคอนโดทำเลติดแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยความสูง 317.95 เมตร มีจำนวนชั้นอยู่ที่ 73 ชั้น (รวมชั้นดาดฟ้า) ครองตำแหน่งตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2561-ปัจจุบัน
ก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2557 โดยมีบริษัท ไอคอนสยาม จำกัด และ บริษัท แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอสท์ เรสสิเดนซ์ จำกัด เป็นผู้บริหารธุรกิจ โดยเดิมพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลซึ่งอยู่ติดกับไอคอนสยาม จึงทำให้สองบริษัทร่วมมือกันทำห้างและโรงแรม และทั้งสามอาคารนั้นเปิดในปีเดียวกัน โดยโรงแรมมีจำนวน 73 ชั้น (รวมชั้นดาดฟ้า) พร้อมกับจำนวนที่จอดรถถึง 488 คัน โดยผู้รับเหมาต้องการให้สามารถชมวิวของแม่น้ำเจ้าพระยา และ กรุงเทพมหานคร อนึ่งทั้งสองตึกเป็นที่รู้จักจาก ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย
ที่ตั้ง : ถนนเจริญนคร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร
2 คิงเพาเวอร์ มหานคร

ชื่อทางการ : คิง เพาเวอร์ มหานคร
ชื่ออังกฤษ : King Power Mahanakhon
ชื่อเดิมอาคาร มหานคร เป็นตึกระฟ้าในรูปแบบอาคารประเภทใช้ประโยชน์ผสมผสาน ตั้งอยู่ติดกับสถานีช่องนนทรี ของรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีลม ในย่านสีลมและสาทรซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร ออกแบบให้เสมือนโอบล้อมด้วยริบบิ้น 3 มิติ หรือพิกเซล เป็นอาคารกระจกทั้งหลัง สร้างสรรค์โดยบริษัทสถาปนิกในกลุ่มบริษัท บูโร โอเล่อ เชียเรน กรุ๊ป คิง เพาเวอร์ มหานคร ปัจจุบันเป็นอาคารที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย ด้วยความสูง 314.2 เมตร จำนวน 78 ชั้น ประกอบไปด้วยส่วนโรงแรม ร้านค้าปลีก และส่วนห้องชุดพักอาศัยจำนวน 209 ห้อง โดยราคาของห้องชุดดังกล่าว ราคาเฉลี่ย 3.5 แสนบาท/ตร.ม. เริ่มต้นที่ 32 ล้านบาทไปจนถึง 305 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็น 1 ในอาคารชุดพักอาศัยที่มีราคาสูงที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร โดยในชั้น 74–78 เป็นที่ตั้งของภัตตาคารมหานครแบงค็อกสกายบาร์ และมหานครสกายวอล์ก จุดชมทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานคร
คิง เพาเวอร์ มหานครตั้งอยู่บนพื้นที่จำนวน 9 ไร่ บนถนนนราธิวาสราชนครินทร์ มีพื้นที่ใช้สอย 135,000 ตร.ม.[9] ออกแบบภายใต้แนวคิดอาคารเสมือนถูกโอบล้อมด้วยริบบิ้น 3 มิติหรือ “พิกเซล” ด้วยความสูง 314.2 เมตร จำนวน 78 ชั้น เมื่อตึกสร้างเสร็จได้ทำลายสถิติความสูงของตึกใบหยก 2 ที่มีความสูง 304 เมตร
ที่ตั้ง : ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
3 โฟร์ซีซั่นส์

ชื่อทางการ : โฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ กรุงเทพฯ
ชื่ออังกฤษ : Four Seasons Private Residences Bangkok
อาคารนี้เป็นอาคารที่สูงเป็นอันดับที่ 4 ในกรุงเทพมหานคร และประเทศไทย เป็นอันดับที่ 13 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอาคารที่อยู่อาศัยที่สูงเป็นอันดับที่ 23 ของโลก อาคารตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และมีความโดดเด่นมากกว่าอาคารที่อยู่อาศัยอื่นด้วยความสูง รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบสมัยใหม่ และมีรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
อาคารนี้พัฒนาโดยบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริหารโดยเครือโรงแรมโฟร์ซีซันส์ ได้รับการออกแบบให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยถาวรหรือชั่วคราวสำหรับผู้คน วัสดุก่อสร้างที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นกระจกและคอนกรีต เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวและประชาชนเดินทางเข้ามาในเมืองมากขึ้น ได้รับการยกย่องให้เป็น “แหล่งทองคำแห่งสุดท้ายในกรุงเทพฯ” เนื่องด้วยประชากรหนาแน่นและมีพื้นที่ก่อสร้างอาคารน้อย
ที่ตั้ง : ซอยเจริญกรุง 64 เขตสาทร กรุงเทพมหานคร
4 ตึกใบหยก 2

ชื่อทางการ : ใบหยก 2
ชื่ออังกฤษ : Baiyoke Tower II
ตึกใบหยก 2 เป็นตึกที่ครองตำแหน่งตึกที่สูงที่สุดในไทยนานที่สุดเป็นเวลา 19 ปี เป็นอาคารในเครือใบหยก ซึ่งมี พันธ์เลิศ ใบหยก เป็นประธานและกรรมการผู้จัดการ ก่อสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2540 โรงแรมเริ่มเปิดให้บริการใน 14 มกราคม พ.ศ. 2541 และในปีเดียวกันมีการติดตั้งเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ช่อง ไอทีวี ออกอากาศระบบยูเอชเอฟ ช่อง 29 ของตึกใบหยก 2 ที่ความสูง 54 เมตร (150 ฟุต) บนยอดตึก และหลังจากนั้น สทท. กรมประชาสัมพันธ์ ระบบวีเอชเอฟ ช่อง 11 / วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 โมเดิร์นไนน์ทีวี (ชื่อในขณะนั้นของ ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี) ระบบวีเอชเอฟ ช่อง 9 / เดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 ช่อง 3 ได้เปลี่ยนระบบการส่งเป็นระบบยูเอชเอฟ ช่อง 32 ออกอากาศรวมกันโดยใช้เสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ช่องไอทีวีออกอากาศ (ต่อมาใช้ชื่อว่า ทีไอทีวี และปัจจุบันใช้ชื่อว่า ไทยพีบีเอส) ซึ่งตึกใบหยก 2 นับว่าเป็น ตึกระฟ้า หลังแรกของ ประเทศไทย ที่มีความสูงเกิน 300 เมตร
ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 ได้มีการทดลองการออกอากาศทางโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน จึงมีรายละเอียดการออกอากาศดังนี้ ททบ. ระบบยูเอชเอฟ ช่อง 36 (ใช้โครงข่ายที่ 2) / บมจ. อสมท (หรือช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี) ระบบยูเอชเอฟ ช่อง 40 (ใช้โครงข่ายที่ 3)[6] และในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นปีที่มีการออกอากาศทางโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดินอย่างเป็นทางการ จึงได้มีการเริ่มออกอากาศช่องความถี่โครงข่ายโทรทัศน์เพิ่มเติมคือ กรมประชาสัมพันธ์ (หรือ สทท.) ช่อง 26 (ใช้โครงข่ายที่ 1) / ไทยพีบีเอส ช่อง 44 (ใช้โครงข่ายที่ 4) / ททบ. ช่อง 52 (ใช้โครงข่ายที่ 5) เพราะด้วยความสูงของอาคาร ทำให้เสาส่งสัญญาณสามารถทำหน้าที่แพร่กระจายสัญญาณโทรทัศน์ได้ทั่วถึงในพื้นที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงทำให้อาคารฯ กลายเป็นที่ตั้งของสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์หลักของ กรุงเทพ
ที่ตั้ง : ถนนราชปรารภ เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
https://www.google.com/maps/embed?pb=!1m18!1m12!1m3!1d3875.405609495049!2d100.53778147509026!3d13.754396286637753!2m3!1f0!2f0!3f0!3m2!1i1024!2i768!4f13.1!3m3!1m2!1s0x30e29ec880ba7353%3A0xe60b22d0f9c7a580!2z4Lit4Liy4LiE4Liy4Lij4LmD4Lia4Lir4Lii4LiBIDIg4LmB4LiC4Lin4LiH4LiW4LiZ4LiZ4Lie4LiN4Liy4LmE4LiXIOC5gOC4guC4leC4o-C4suC4iuC5gOC4l-C4p-C4tSDguIHguKPguLjguIfguYDguJfguJ7guKHguKvguLLguJnguITguKMgMTA0MDA!5e0!3m2!1sth!2sth!4v1743714919660!5m2!1sth!2sth
5 วันซิตี้ เซ็นเตอร์

ชื่อทางการ : วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์
ชื่ออังกฤษ : One City Centre
วันซิตี้เซ็นเตอร์เป็นอาคารสำนักงานระดับ A+ ที่สูงที่สุดในกรุงเทพมหานคร โดยมีความสูงทั้งหมด 275.8 เมตร (905 ฟุต) มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งหมด 61,000 ตารางเมตร ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่สำนักงาน 57,000 ตารางเมตร และพื้นที่ค้าปลีก ภัตตาคารและร้านกาแฟอีก 4,000 ตารางเมตร โครงการประกอบด้วยอาคารสำนักงานสูง 61 ชั้น และร้านค้าปลีกที่เป็นส่วนฐานความสูง 3 ชั้น อาคารนี้เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท ที่สถานีเพลินจิต ด้วยทางเดินลอยฟ้าที่ออกแบบเป็นสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียว เพื่อให้ตัวอาคารมีความสูงและพื้นที่ในอาคารได้มากที่สุดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง วันซิตี้เซ็นเตอร์มีห้องโถงพักคอยบนดาดฟ้าที่ชั้น 37 เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปยังชั้นที่สูงขึ้น ชั้นบนมีบาร์และภัตตาคารบนดาดฟ้าที่สามารถรับชมทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครในแบบมุมกว้างได้ ในชั้นฐาน จะมีลานและร้านค้าปลีกครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของทั้งชั้น โดยมีร้านอาหารญี่ปุ่นและศูนย์อาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง นอกจากนี้ ภายในอาคารยังมีพื้นที่ทำงานร่วม (Co-working space) และห้องประชุมให้เช่าในพื้นที่ส่วนกลางอีกด้วย
นอกจากนี้ อาคารแห่งนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย เช่น ระบบจอดรถโดยไม่ต้องใช้ตั๋ว โปรแกรมประยุกต์พิเศษสำหรับคนงานก่อสร้าง และเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ตามความต้องการของผู้เช่าพื้นที่สำนักงานในช่วงหลังการระบาดทั่วของโควิด-19 และมีพื้นที่จอดรถรวมทั้งหมด 837 คัน แบ่งเป็นที่จอดรถอัตโนมัติ 400 คัน ที่ชั้น 5-10 และที่จอดรถธรรมดาอีก 437 คัน ที่ชั้น B1-B4 พร้อมจุดชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าที่ชั้น B1
ที่ตั้ง : เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
อย่างไรก็ตามก่อนที่เมืองไทยจะมาถึงยุคของตึกสูงอย่างในปัจจุบัน บ้านเราได้มีวิวัฒนาการทางการก่อสร้างอาคาร(ตึก) สูงมาร่วม 100 กว่าปีแล้ว ซึ่งหากย้อนกลับไปในอดีตในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากที่ได้มีการตัดถนนเยาวราชขึ้นในย่านคนจีนที่อพยพมาจากโพ้นทะเล ทำให้ย่านแห่งนี้คึกคักและเจริญรุ่งเรืองทางด้านธุรกิจเป็นอย่างมาก

ปัจจุบันอันดับของตึกสูงที่สุดในประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงจากอดีต หลายคนอาจจะเคยจำว่าอันดับหนึ่งคือ ตึกใบหยก 2 ต่อมากลับมีตึกคิง เพาเวอร์ มหานคร มาครองตำแหน่งนี้แทน แต่ปัจจุบันตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย มีโครงการก่อสร้างอาคารสูงใหม่ เช่น ซิกเนเจอร์ ทาวเวอร์ แอท วัน แบงค็อก (Signature Tower at One Bangkok) ที่คาดว่าจะมีความสูงถึง 436.1 เมตร ซึ่งจะกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย
ต่างชาติทะลัก ‘โรงแรมไทย’ ฮอตติดอันดับโลก! เปิด 12 อันดับแพลตฟอร์มคนนิยมจองห้องสูงสุด
By พรไพลิน จุลพันธ์28 ม.ค. 2025 เวลา 6:21 น.




Play
‘SiteMinder’ แพลตฟอร์มระดับโลกด้านการจัดจำหน่ายห้องพักและจัดการรายได้ของธุรกิจโรงแรม เปิดเผยรายงาน “SiteMinder’s Hotel Booking Trends” อ้างอิงจากข้อมูลการจองโรงแรมมากกว่า 125 ล้านครั้ง ซึ่งนับเป็นยอดการจองโรงแรมปริมาณมากที่สุดภายใต้แพลตฟอร์มเดียว พบว่า “ประเทศไทย” ติดอันดับโลกในปี 2567 จากการต้อนรับ “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” หลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก
ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่ประสบความสำเร็จในการเติบโตระดับ 2 หลัก
อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR) ในประเทศไทยในปี 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 5,377 บาท/ห้อง/คืน จาก 4,648 บาท/ห้อง/คืนในปี 2566 โดยมีอัตราค่าห้องพักสูงสุดในเดือน ธ.ค. แตะระดับ 6,460 บาท/ห้อง/คืน เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
รายงานของ SiteMinder ยังแสดงให้เห็นว่าโรงแรมของ “ประเทศไทย” นำหน้าประเทศอื่นๆ ใน “เอเชีย” ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีแขกผู้เข้าพักชาวต่างชาติคิดเป็นสัดส่วน 77% ของการเช็กอินทั้งหมด สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 48% ตัวเลขนี้ทำให้ประเทศไทยอยู่อันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียง “ออสเตรีย”
นอกจากนี้ ยังมี “ข้อมูลเชิงลึก” น่าสนใจเพิ่มเติม ชี้ให้เห็นว่านักท่องเที่ยวที่เข้าพักในโรงแรมของไทยจองห้องพักล่วงหน้านานขึ้น โดยระยะเวลาการจองล่วงหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 27 วัน ยาวนานที่สุดในเอเชีย และใกล้เคียงกับช่วงเวลาการจอง 29 วันล่วงหน้าในปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด
ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางเพื่อการพักผ่อนชั้นนำ โดย “โรงแรมท้องถิ่น” ถูกจัดอยู่ในอันดับ 5 ของโลกด้านระยะเวลาการเข้าพักที่ยาวนานที่สุด โดยมากกว่า 15% ของการจองมีระยะเวลา 3 คืนขึ้นไป สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 11% รองจากโรงแรมในโปรตุเกส 21% และโคลอมเบีย เม็กซิโก กับสเปน ที่มี 18% เท่ากัน
แม้ว่าเดือน ธ.ค. ยังคงเป็นเดือนที่คึกคักที่สุดของประเทศไทย แต่โรงแรมต่างๆ ก็มีการพึ่งพาเดือนสุดท้ายน้อยลงสำหรับจำนวนผู้เข้าพักประจำปี จำนวนแขกในช่วงเดือนที่อากาศเย็นของปี 2567 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวที่สมดุลมากขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศด้วย

สุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย SiteMinder กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยในประเทศไทย รวมไปถึงการกลับมาอย่างแข็งแกร่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แสดงให้เห็นว่านี่ไม่เพียงเป็นปีที่ทำกำไรสำหรับโรงแรมในไทยเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมโรงแรมในท้องถิ่นท่ามกลางความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของการเดินทางในประเทศ และเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน โรงแรมต่างๆ จำเป็นต้องมีความคล่องตัว โดยจากข้อมูลในปี 2567 ของ SiteMinder แสดงให้เห็นว่าโรงแรมในประเทศไทยทั้งตระหนักและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในเรื่องนี้
“ด้วยระยะเวลาการจองที่ยาวนานขึ้น การเข้าพักในโรงแรมที่ยาวนานขึ้น และปริมาณนักท่องเที่ยวที่ค่อนข้างคงที่ตลอดทั้งปี ทำให้โรงแรมในประเทศไทยมีโอกาสในการตอบสนองต่อโอกาสใหม่ๆ ที่สามารถเพิ่มรายได้ที่น่าพอใจ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยของเราบอกว่าความต้องการที่จะเดินทางเพื่องานอีเวนต์อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และนักเดินทางก็เต็มใจที่จะใช้จ่ายกับประสบการณ์ที่มีความหมาย ผู้ประกอบการโรงแรมไทยสามารถใช้ประโยชน์จากทิศทางเหล่านี้ในการสร้างความสำเร็จอย่างมั่นคงในขณะที่อุตสาหกรรมกำลังอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ”

สำหรับ “12 อันดับช่องทางการจองโรงแรมที่สร้างรายได้รวมสูงสุดให้กับโรงแรมไทยในปี 2567” โดยพิจารณาจากข้อมูลการใช้บริการจองผ่านแพลตฟอร์มของ SiteMinder พบว่าอันดับ 1 คือ “Booking.com” รองลงมาได้แก่ Agoda, เว็บไซต์โรงแรม (การจองโดยตรง), Expedia Group, Trip.com, Hotelbeds, Tiket.com, Goibibo & MakeMyTrip, Traveloka, WebBeds, Klook และ TBOHolidays

การเติบโตของการเช็กอินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ นำโดยประเทศจาก “เอเชีย” เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ “Klook” ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทางจากตลาดต่างๆ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ ได้เปิดตัวในฐานะช่องทางสร้างรายได้อันดับต้นๆ ในประเทศไทย ในขณะเดียวกัน ผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอของ “Trip.com” ตอกย้ำสถานะของ “นักท่องเที่ยวจีน” ในฐานะตลาดต้นทางที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากมาตรการยกเว้นวีซ่า (วีซ่าฟรี) ถาวรระหว่างไทย-จีน เริ่มมีผลเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2567 เป็นต้นมา
อีกจุดที่น่าสังเกตคือ “การจองผ่านเว็บไซต์ของโรงแรม” กลับคืนสู่ตำแหน่ง 3 อันดับแรก แซงหน้า Expedia Group หลังจากถูกแซงไปเมื่อปีก่อน สิ่งนี้สอดคล้องกับการค้นพบทั่วโลกในรายงานของ SiteMinder ซึ่งพบว่าเว็บไซต์ของโรงแรมมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเมื่อปีที่แล้ว สร้างรายได้เฉลี่ย 519 ดอลลาร์สหรัฐต่อการจองสำหรับโรงแรม สูงกว่าปีก่อน 8.5% และสูงกว่ามูลค่าการจองเฉลี่ยที่สร้างโดยแพลตฟอร์มจองสินค้าท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) มากกว่า 60% ที่ 320 ดอลลาร์สหรัฐ

สุภกฤษฎิ์ กล่าวเสริมว่า “นักเดินทางที่จองโดยตรงมักจะเลือกห้องพักที่มีราคาสูงกว่า พักนานขึ้น และเพิ่มบริการเสริม ปัจจัยเหล่านี้แต่ละอย่างแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่สำคัญสำหรับโรงแรมในการนำเสนอข้อเสนอพิเศษที่นักเดินทางกำลังมองหา และผลการวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าโรงแรมหลายแห่งกำลังทำเช่นนี้อย่างมีประสิทธิภาพ”
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ประกอบการโรงแรมควรเพิกเฉยต่อช่องทางของบุคคลที่สามในปี 2568 ช่องทางต่างๆ เหล่านี้ช่วยสร้างการเข้าถึงที่เป็นเอกลักษณ์และไม่สามารถแทนที่ได้ รวมถึงการใช้งานที่ง่าย ซึ่งแสดงให้เห็นจากการครองตลาดอย่างต่อเนื่องในรายชื่อ 12 อันดับแรกของผู้สร้างรายได้จากการจองโรงแรมของประเทศไทย แต่สิ่งที่ผลการวิจัยของ SiteMinder เน้นย้ำคือความสำคัญของโรงแรมในการมอบประสบการณ์การจองที่ง่ายดายแก่นักเดินทาง ซึ่งรวมถึงการชำระเงินที่ราบรื่น และมีความปลอดภัย เช่นเดียวกับที่ช่องทางของบุคคลที่สามที่ทำได้เป็นอย่างดี

สุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์

