ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
10 อันดับตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
- March 4, 2012
- 1 minute read
- marumura
บทความโดย : ทีมงาน www.marumura.com
ด้วยความจำกัดของพื้นที่ในประเทศญี่ปุ่น ที่มีพื้นที่ราบราวประมาณ 30% ดังนั้นจึงแออัดหนาแน่นไปด้วยผู้คนที่มาตั้งรกรากที่อยู่อาศัยกัน จึงมีหนึ่งในวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการสร้างอาคารสูงเพื่อต้องการเพิ่มปริมาณพื้นที่สำหรับใช้สอยให้มากขึ้นตามปริมาณความต้องการ ถ้าอย่างงั้นเรามาดูกันว่าเหล่าอาคารตึกระฟ้าในประเทศญี่ปุ่น มีตึกไหนบ้างที่สูงที่สุดติดอยู่ใน 10 อันดับแรกกัน
อันดับที่ 10 ตึกรปปงงิ ฮิลล์ โมริ ทาวเวอร์ (Roppongi Hills Mori Tower)
ตั้งอยู่ในย่านรปปงงิฮิลล์ เขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ตัวอาคารมีความสูง 238 เมตร มีจำนวนชั้นทั้งหมด 54 ชั้น เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2003 ภายในตัวอาคารประกอบไปด้วย โซนที่เป็นช้อปปิ้งมอลล์ ภัตตาคารร้านอาหาร โซนให้เช่าเป็นพื้นที่สำนักงาน และในชั้นที่ 52 เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์รอบโตเกียว และเหนือขึ้นไปในชั้นที่ 53 จัดแสดงนิทรรศการงานศิลปะที่จะมีแวะเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และบริเวณพื้นที่โดยรอบประกอบไปด้วยสำนักงาน อพาร์ทเมนต์ที่อยู่อาศัย ร้านค้าหลากหลายแบรนด์ดังทั้งของญี่ปุ่นและนานาชาติ ภัตตาคารร้านอาหาร ร้านกาแฟ โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ โรงแรมระดับ 5 ดาว สถานีโทรทัศน์อาซาฮีและสวนสาธารณะ
อันดับที่ 9 ตึกซันชานย์ 60 (SunShine 60 Building)
ตั้งอยู่ในย่านอิเคะบุคุโระ ทางด้านตะวันออกของกรุงโตเกียว มีความสูง 240 เมตร มีจำนวนชั้นทั้งหมด 60 ชั้น เปิดใช้งานตั้งแต่ปี 1978 เคยเป็นตึกที่ครองแชมป์ความสูงที่สุดในโตเกียวระหว่างเดือนเมษายน ปี 1978 จนถึงเดือนกุภาพันธ์ ปี 1991 โดยมีตึก TMG Building แย่งไปครองแทน ภายในตัวอาคารประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นสำนักงาน อควาเรี่ยมบริเวณชั้นที่ 10 และท้องฟ้าจำลองที่ฉายภาพด้วยระบบ Skymax และยังมีสวนสนุกภายในร่ม Namco Namja Town ที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหารมากมาย และโรงแรมในเครือปริ้นท์ ซึ่งสถานที่ในการปลูกสร้างของอาคารนี้ มีเรื่องเล่าที่ออกแนวชวนขนหัวลุกอยู่ด้วยคือ ในสมัยก่อนบริเวณนี้เคยเป็นที่สร้างเรือนจำมาก่อน ที่มีชื่อว่า “ซุกาโมะ” เป็นที่คุมขังและประหารชีวิตของอาชญากรสงครามระหว่างทำการรัฐประหารเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ จึงมีเรื่องร่ำลือเกี่ยวกับวิญญาณของหล่านักโทษประหารที่ยังล่องลอยไปมาอยู่ในบริเวณนี้
อันดับที่ 8 ตึกเอ็นทีที โคโดโมะ โยะโยะงิ (NTT DoCoMo Yoyogi Building)
ตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจเขตชินจูกุ กรุงโตเกียว มีความสูง 240 เมตร มีทั้งหมด 27 ชั้น เปิดใช้งานในปี 2000 ถึงแม้จะเป็นตึกที่สูงเป็นระดับ 3 ในโตเกียว และกลับเป็นตึกที่เป็นหอนาฬิกาที่สูงที่สุดในโลก ด้วยตัวเรือนนาฬิกาบอกเวลามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เมตร ซึ่งสร้างต่อเติมมาภายหลังจากการเปิดใช้อาคาร เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบปีที่ 10 ของบริษัท NTT Docomo และส่วนบนของตึกยังติดหลอดไฟสีต่างๆ สำหรับพยากรณ์สภาพอากาศในแต่ละวันด้วย ภายในตัวอาคารเป็นสำนักงานทั้งหมด ไม่มีร้านอาหารหรือสถานที่ท่องเที่ยวแต่อย่างไร และไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมภายในตัวอาคารอีกด้วย เพราะฉะนั้นคงได้มีโอกาสถ่ายรูปตึกหอนาฬิกานี้แต่ภายนอกอย่างเดียวเท่านั้น
อันดับที่ 7 ศาลาว่าการกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government Building)
ตั้งอยู่ในย่านชินจูกุ อาคารที่ตั้งสูงตระหง่านนี้ถูกสร้างในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ของญี่ปุ่น มีความสูง 243 เมตร จำนวนชั้นทั้งหมด 48 ชั้น เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1991 ใช้งบประมาณในการสร้าง 156,900,000,000 เยน (TMG Building) ศาลาว่าการกรุงโตเกียวนี้เป็นหมู่ตึกที่ประกอบด้วย 3 ตึกหลัก ได้แก่ Tokyo Metropolitan Main Building No.1 สูง 243 เมตร มีทั้งหมด 48 ชั้น (รูปตึกแฝดตามในรูป), Tokyo Metropolitan Main Building No.2 สูง 163 เมตร มีทั้งหมด 34 ชั้น และ Tokyo Metropolitan Assembly Building สูง 41 เมตร รวม 7 ชั้น ภายในเป็นที่ตั้งของสำนักงานสำคัญๆ ของกรุงโตเกียวกว่า 30 สำนักงาน และในชั้น 45 ของ TMG Building No.1 สามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์รอบกรุงโตเกียว โดยมีทั้งฝั่งเหนือและฝั่งใต้ซึ่งจะสลับกันหยุด ดังนั้นต้องเช็คข้อมูลกับประชาสัมพันธ์ด้านล่างของอาคารก่อน ว่าวันนั้นฝั่งใดเปิดให้บริการขึ้นไปชมวิวได้ และที่สำคัญ Free of Charge
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม >>> จุดชมวิวฟรี! ที่ศาลาว่าการกรุงโตเกียว
อันดับที่ 6 ตึกเจอาร์ เซ็นทรัล ออฟฟิต ทาวเวอร์ (JR Central Office Tower)
ตั้งอยู่ในย่านนากามูระ เมืองนาโงย่า จังหวัดไอจิ ตัวตึกตั้งอยู่ใจกลางเมืองตรงข้ามกับสถานีรถไฟนาโงย่า มีความสูง 243 เมตร มีชั้นทั้งหมด 51 ชั้น เปิดตัวในปี 2000 โดยตัวอาคารเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัท Central Japan Railway ภายในเป็นสำนักงานของเจอาร์ เซ็นทรัล แต่บางชั้นก็ปล่อยให้เอกชนเช่าเช่นกัน และมีส่วนที่เป็นโฮเท็ล ทาวเวอร์ มีโรงแรมแมริออทตั้งอยู่ด้วย ส่วนด้านล่างของตัวตึกทั้งสองที่สร้างเชื่อมกัน เป็นห้างสรรพสินค้า Takashimaya และถัดลงไปจะเป็นสถานีรถไฟนาโงย่า ไม่ว่าจะเป็นรถไฟธรรมดา และรถไฟชิงกันเซน ต่างต้องผ่านมาที่นี่ทั้งสิ้น ดังนั้นชั้นใต้ดินของตึกเจอาร์ จึงสลับซับซ้อนทับกันหลายชั้นอาจทำให้ผู้มาเยือนมีอาการงงกับแผนผังใต้ตึกได้
อันดับที่ 5 ตึกมิดแลนด์ สแควร์ (Midland Square)
หรือรู้จักกันอีกชื่อว่า ตึกโตโยต้า ไมนิจิ (Toyota-Mainichi) เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของ บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เป็นอาคารสูงตั้งอยู่ในย่านนากามูระ เมืองนาโงย่า มีความสูง 247 เมตร มีจำนวนชั้นทั้งหมด 47 ชั้น เปิดตัวในปี 2007 ภายในตัวอาคารที่เป็นสำนักงานของโตโยต้าแล้ว ยังเป็นโชว์รูมขนาดใหญ่จัดแสดงผลิตภัณฑ์จากค่ายรถโตโยต้า และบริเวณชั้นล่างของตึกเป็นพื้นที่ ที่เรียกว่า มิดแลนด์ ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ สแควร์ อุดมไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมกว่า 60 ร้านค้า และโรงภาพยนตร์ หรือจะขึ้นไปชมวิวเมืองนาโงย่าชั้น 46 ก็สามารถขึ้นไปชั้นด้วยลิฟท์ที่มีความเร็วสูง ใช้เวลาเพียง 40 วินาทีเท่านั้นเอง
อันดับที่ 4 ตึกมิดทาวน์ ทาวเวอร์ (Mid-Town Tower)
ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว เขตมิดทาวน์ มีความสูง 248 เมตร มีทั้งหมด 54 ชั้น เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2007 นับเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโตเกียว ชิงอันดับที่ 1 มากจากตึกซันชายน์ 60 ตั้งอยู่ในย่านอิเคบุคุโระ ที่ครองความเป็นแชมป์อาคารสูงในโตเกียวมากว่า 29 ปี เนื่องจากถูกออกแบบมาให้เป็นอาคารอเนกประสงค์ แต่ละชั้นจึงใช้ประโยชน์แตกต่างกัน ทั้งในส่วนสำนักงาน ร้านอาหาร ร้านค้า และโรงแรมที่พักระดับ 5 ดาว ซึ่งอยู่ส่วนบนของตึก แต่ส่วนที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของอาคารบริเวณชั้น 5 คือ Tokyo Midtown Design Hub ซึ่งเป็นห้องแสดงผลงานและพื้นที่จัดนิทรรศการ ประชุมร่วมมือ และอภิปรายของนักออกแบบ ซึ่งมีน้อยอาคารนักในญี่ปุ่นที่จะพื้นที่ที่เกี่ยวกับงานศิลป์เหมือนที่นี่
อันดับที่ 3 ตึกโอซาก้า เวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ (Osaka World Trade Center)
ตั้งอยู่ที่บริเวณริมอ่าวของโอซาก้า มีความสูง 252 เมตร มีจำนวนทั้งหมด 55 ชั้น สร้างเสร็จเมื่อปี 1995 ภายในตัวแบ่งเป็นหลายโซน มีทั้งออฟฟิตสำนักงานร้านอาหาร ร้านทันตกรรม แม้กระทั่งสถานที่สำหรับจัดงานแต่งงานในชั้น 49 และจุดที่เป็นสัญลักษณะที่สะดุดตาของอาคารนี้คือ ส่วนที่อยู่บนสุดของตึก Sky Lobby ที่เป็นลักษณะปิรามิดกลับหัว ซึ่งเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่ชาวโอซาก้านิยมมาดื่มด่ำกับบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติคยามค่ำคืน เพราะเป็นจุดที่สามารถชมวิวได้รอบแบบพาโนรามา ไกลจนถึงสนามบินคันไช ยาวไกลจนถึงสะพานอาคาชิที่วางตัวทอดยาวจนถึงเกาะอาวาจิ นับเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของโอซาก้าเลยทีเดียว
อันดับที่ 2 ตึกริงกุเกต ทาวเวอร์ (Rinku Gate Tower Building)
ตั้งอยู่ที่เมืองอิซุมิซะโนะ จังหวัดโอซาก้า (อยู่ใกล้ ๆ กับสนามบินคันไซ) ด้วยความสูง 256 เมตร ประกอบไปด้วย 56 ชั้น สร้างเสร็จในปี 1996 ตัวอาคารแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นศูนย์ประชุม ส่วนที่สองเป็นสำนักงาน ส่วนที่สามเป็นโรงแรม แต่เดิมเป็นโรงแรม ANA Gage Tower ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นชื่อเป็น Star Gate Hotel Kansai Airport ตัวตึกตั้งอยู่ติดกับ SKY GATE BRIDGE ที่ทอดข้ามไปยังท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ และอยู่ติดกับ ริงกุ ทาวน์ สถานที่ช้อปปิ้งและศูนย์อาหารจานด่วน รวมถึง ริงกุ พรีเมียม เอ้าท์เลท ที่ทำให้คนไทยหลาย ๆ คนติดอกติดใจกับร้านค้าหลากหลายแบรนด์ พากันเทตังค์ในกระเป๋าหอบของกันก่อนกลับกรุงเทพฯ
อันดับที่ 1 ตึกโยโกฮาม่า แลนด์มาร์ค (Yokohama Landmark Tower)
ตั้งอยู่ที่เมืองโยโกฮาม่า จังหวัดคานากาวะ เป็นเจ้าของสถิติตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1993 จนถึงปัจจุบัน ใช้เวลาในการสร้างเพียง 3 ปีเท่านั้น มีความสูงถึง 296 เมตร ภายในตึกเป็นที่ตั้งของสำนักงาน โรงแรมระดับ 5 ดาว และช้อปปิ้งมอลล์ มีจำนวนชั้นทั้งหมด 70 ชั้น นอกจากเป็นตึกที่สูงที่สุดแล้ว ยังเป็นตึกที่มีลิฟท์ขึ้นลงเร็วที่สุดในโลกด้วย โดยใช้เวลาจากชั้น 1 ถึงชั้น 69 ใช้เวลาเพียง 40 วินาทีเท่านั้น และในชั้นที่ 69 ยังเป็นจุดชมวิวด้วยเช่นกัน โดยสามารถมองเห็นวิวรอบบริเวณอ่าวโตเกียว และรอบตัวเมืองโยโกฮาม่า ซึ่งถ้าวันไหนอากาศเปิดสามารถมองเห็นถึงภูเขาไฟฟูจีได้เลยทีเดียว และพื้นที่โดยรอบของตึกที่เรียกว่า Minato Mirai ยังประกอบไปด้วยสวนสนุก Cosmo World พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ศูนย์ประชุมนานาชาติขนาดใหญ่ และสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจของชาวโยโกฮาม่าด้วยเช่นกัน
โดยในระหว่างนี้ยังมีโครงการก่อสร้างอาคารสูงในญี่ปุ่นอีกหลายโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งถ้าสร้างเสร็จแล้วก็จะเป็นอาคารที่มีความสูงที่สุด มาแทนการจัดอันดับตามขั้นต้นอย่างแน่นอน จึงขอนำเสนอข้อมูลเบื้องต้นเผื่อเอาไว้ก่อนจะได้อินเทรนอัพเดตกันตลอดเวลา
Abenobashi Terminal Building Tower
ตั้งอยู่ที่เมืองโอซาก้า กำลังดำเนินการก่อสร้าง เริ่มมีการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2014 ตัวอาคารมีความสูงถึง 300 เมตร ประกอบไปด้วย 59 ชั้น ถ้าอาคารเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ก็จะคว้าอันดับ 1 อาคารที่สูงที่สุดของญี่ปุ่นไปครองทันที
Loop Line #2 Shimbashi / Toranamon Redevelopment Project Building III
ตั้งอยู่ที่กรุงโตเกียว กำลังดำเนินการก่อสร้างเช่นกัน ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2014 ซึ่งถ้าสร้างเสร็จแล้วจะมีความสูงถึง 255.5 เมตร จำนวนชั้นทั้งหมด 52 ชั้น
8 อันดับสถาบันสอนการโรงแรมที่ดีที่สุดในโลก
การบริหารโรงแรม | 22 มิถุนายน 2020
สาขาการโรงแรมถือเป็นอีกหนึ่งสาขาที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลก เนื่องจากเป็นสาขาที่ผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพให้แก่ธุรกิจการบริการต่างๆ ซึ่งมีหลายหลายทั่วโลก ไม่เพียงแต่สำหรับธุรกิจโรงแรมอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมไปถึงงานบริการด้านอื่นๆอีกมากมาย ทำให้มีสถาบันสอนการโรงแรมต่างๆ ทั่วโลก จึงเป็นเรื่องยากทีเดียวในการตัดสินใจเลือกสถาบันที่ถูกใจ มาดู 10 อันดับสถาบันสอนการโรงแรมที่ดีที่สุดจากทั่ว จัดอันดับโดย CEOWORLD magazine เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยที่ชอบสถาบันที่ใช่
อันดับ 1 โรงเรียนการโรงแรมโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (Ecole hoteliere de Lausanne)
(ที่มา https://info.ehl.edu)
ครองอันดับ 1 ถึง 2 ปีติดต่อกัน เนื่องจากเป็นที่ยอมรับสูงสุดจากผู้ประกอบการที่รับนักศึกษาที่จบจาก EHL รวมถึงมี campus หลายที่ให้นักศึกษาได้เลือก รวมถึงชื่อเสียงที่มีอย่างยาวนานและความมีมาตรฐานของหลักสูตรระดับนานาชาติ ทำให้ EHL มีพันธมิตรอยู่ทั่วโลก ที่เปิดการเรียนการสอนภายใต้มาตรฐานของ EHL รวมถึงประเทศไทยเองก็มีวิทยาลัยดุสิตธานี ที่เปิดการเรียนการสอน ระดับปริญญาตรี หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการโรงแรมและรีสอร์ท (นานาชาติ) ที่ได้รับการรับรองจากโรงเรียนการโรงแรมโลซาน (EHL) ทั้งเนื้อหาของหลักสูตร รูปแบบการเรียนการสอน และคุณภาพของคณาจารย์ประจำสาขาวิชา โดยวิทยาลัยดุสิตธานี เปิดรับนักศึกษาใหม่ทุกภาคการศึกษา สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนหลักสูตรแบบ EHL แต่ไม่อยากไปไกลถึงสวิตเซอร์แลนด์
อันดับ 2 วิทยาลัยบริหารโรงแรม William F. Harrah College of Hospitality
(ที่มา https://www.unlv.edu/hospitality)
ขึ้นชื่อเรื่องการส่งนักศึกษาไปฝึกงานและได้ทำงานตำแหน่งสำคัญๆในอุตสาหกรรมการบริการ รวมถึงคุ้มค่าราคาไม่สูงเกินไป และเป็นสถาบันสอนการโรงแรมอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
อันดับ 3 School of Hotel Administration at Cornell University
(ที่มา https://sha.cornell.edu/)
จุดเด่นของ SHA คือใช้ connection ในการหาคนที่มีประสบการณ์และประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมการบริการมาพูดคุย และสอนโดยใช้ประสบการณ์แบบตัวต่อตัวกับนักศึกษา รวมถึงให้ความสำคัญต่อการทำวิจัยเกี่ยวกับธุรกิจการบริการอย่างครอบคลุม แม้แต่ อสังหาริมทรัพย์และการเงิน(real estate and finance), การบริหารจัดการด้านบริการและการตลาด(services management and marketing), ทรัพยากรมนุษย์(human resources), การบริหารจัดการอาหารและเครื่องดื่ม(food and beverage management) และยังมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีอย่างมาก(technologically savvy)
อันดับ 4 Rosen College of Hospitality Management at the University of Central Florida
(ที่มา https://hospitality.ucf.edu/)
สำหรับใครที่ชอบตามล่าหาทุนการศึกษา UFC มีทุนให้นักศึกษาถึง 225,000 US ต่อปี และได้รับรางวัลหลักสูตรปริญญาโทออนไลน์ที่ดีที่สุด อีกทั้งยังโดดเด่นเรื่องการวิจัยอีกด้วย
อันดับ 5 School of Hospitality Business at Michigan State University
(ที่มา https://broad.msu.edu/hospitality-business/)
เป็นสถาบันสอนการโรงแรมที่เก่าแก่อันดับสองในสหรัฐอเมริกา ที่มีศิษย์เก่าประสบความสำเร็จมากกว่า 10,0000 ทั่วทุกธุรกิจการบริการไม่ว่าจะเป็นโรงแรม รีสอร์ท , clubs, sports and entertainment, the cruise industry, ฯลฯ และมีอัตราจ้างงานสูงถึง 94.2%
อันดับ 6 Oxford School of Hospitality Management
(ที่มา https://www.brookes.ac.uk/hospitality/)
สถาบันนี้มีอายุยาวนานถึง 50 ปีโดยพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่องจากการทำงานจริงในอุตสาหกรรมการบริการ โดยใช้ความสัมพันธ์ที่มีอย่างเหนียวแน่นต่อสถาบันกับองค์กร และผู้ประกอบการในการนำคำแนะนำ และความต้องการทักษะต่างๆในการทำงานมาพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่องให้อัพเดตมากที่สุด
อันดับ 7 Johnson & Wales University JWU Providence
(ที่มา https://www.jwu.edu/)
สถาบันจากสหรัฐอเมริกาที่การันตีอัตราการจ้างงานสูงถึง 96.8% อีกทั้งนักศึกษาถูกเสนอให้ทำงานประจำต่อหลังจากไปฝึกงานแล้วถึง 70% ที่สำคัญมี major เยอะถึง 13 major ที่เกี่ยวข้องกับการโรงแรมและการบริการ เช่น Adventure, Sport and Sustainable Tourism Management, Applied Food Science, Innovation & Technology, Baking & Pastry Arts and Food Service Management, Cruise Management, Culinary Arts and Food Service Management, Event Management, Food & Beverage Industry Management, Hospitality Management
อันดับ 8 International School of Hospitality and Tourism Management at Fairleigh Dickinson University
(ที่มา https://www.fdu.edu/academics/colleges-schools/hospitality/)
สาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยวที่นี่เป็นหนึ่งในหลักสูตรที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา และตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจอย่างนิวยอร์ค ผลิตนักศึกษาออกไปทำงานตำแหน่งสำคัญๆมากมายในธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว โดยมีรายได้เฉลี่ยในตำแหน่ง Hotel Manager ถึง 127,000$ เลยทีเดียว
