ดูเวอร์ชั่นเต็มได้ที่กลางเว็บไซต์👇
5 อันดับ ตึกที่สูงที่สุดในโลก (Tall Building)
LnW Loon 1 มิถุนายน 2025

5 อันดับ ตึกที่สูงที่สุดในโลก (Tall Building) เบิร์จคาลิฟา (Burj Khalifa) เบอร์ 1 มีความสูง 828 เมตร
มนุษย์เราเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล และพัฒนาก้าวหน้าขึ้นตามเทคโนโลยี หนึ่งในสิ่งที่เป็นหลักฐานของความก้าวหน้าก็คือตึกระฟ้า (Tall Building) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่มีวิสัยทัศน์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังการก่อสร้าง แต่ตอนนี้ความก้าวหน้าของมนุษย์ไปถึงขั้นไหน และสิ่งก่อสร้างใดที่สูงที่สุดในโลก

อันดับ 1 เบิร์จคาลิฟา (Burj Khalifa) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ความสูง 828 เมตร
- อันดับ 1 เบิร์จคาลิฟา (Burj Khalifa) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ความสูง 828 เมตร
ความสูง : 828 เมตร - จำนวนชั้น : 163 ชั้น
- สถานที่ตั้ง : ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- ปีที่สร้างเสร็จ : 2009
- ต้นทุนการก่อสร้าง : 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5.24 หมื่นล้านบาท
เบิร์จคาลิฟา เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก และยังครองตำแหน่งที่สุดในโลกอีกหลายตำแหน่ง ได้แก่ มีจำนวนชั้นเยอะที่สุดในโลก มีชั้นที่คนสามารถอยู่ได้สูงที่สุดในโลก ดาดฟ้าชมวิวกลางแจ้งที่สูงที่สุดในโลก
ด้านการก่อสร้าง มีเหล็กเส้นในโครงสร้างมากกว่า 55,000 ตัน คอนกรีต 110,000 ตัน ในอาคารมีท่อความยาว 100 กิโลเมตร จ่ายน้ำโดยเฉลี่ย 964,000 ลิตรต่อวัน ส่วนระบบปรับอากาศออกแบบมาให้สามารถดึงอากาศสะอาดและอากาศเย็นจากด้านบนได้ ในช่วงวันที่อากาศร้อนจัด สามารถส่งความเย็นได้ 46 เมกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับน้ำแข็งละลาย 12 ล้านกิโลกรัมในวันเดียว
และเมื่อต้องทำความสะอาดตึกนี้ ต้องใช้คนงาน 36 คน ในเวลา 4 เดือน จึงจะสามารถทำความสะอาดภายนอกของอาคารทั้งหมดได้

อันดับ 2 เมอร์เดก้า 118 (Merdeka 118) มาเลเซีย ความสูง 678.9 เมตร
- ความสูง : 678.9 เมตร
- จำนวนชั้น : 118 ชั้น
- สถานที่ตั้ง : กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
- ปีที่สร้างเสร็จ : 2023
- ต้นทุนการก่อสร้าง : 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.82 หมื่นล้านบาท
ตึกนี้มีอีกชื่อที่เป็นที่รู้จักคือพีเอ็นบี 118 (PNB 118) ซึ่งมาจากชื่อเดิมคือ เปอร์โมดาลัน เนชั่นนัล เบอร์ฮาด (Permodalan Nasional Berhad) ตึกนี้ประกอบด้วยแผงกระจกประมาณ 18,000 แผ่น มี “Edge Walk” สำหรับผู้ต้องการความตื่นเต้น ซึ่งสามารถสวมสายรัดนิรภัยและเดินบนพื้นกระจกได้

อันดับ 3 เซี่ยงไฮ้ ทาวเวอร์ (Shanghai Tower) จีน ความสูง 632 เมตร
- ความสูง : 632 เมตร
- จำนวนชั้น : 128 ชั้น
- สถานที่ตั้ง : เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
- ปีที่สร้างเสร็จ : 2014
- ต้นทุนการก่อสร้าง : 2.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 8.17 หมื่นล้านบาท
เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ มีลักษณะเป็นเหมือนทรงกระบอกทั้งหมด 9 กระบอก เรียงซ้อนทับกัน และมีลักษณะเหมือนบิดวน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดแรงลมที่กระทำต่ออาคาร ในขณะที่ใช้วัสดุน้อยลง เหล็กที่ใช้ในตึกนี้เมื่อเทียบกับเหล็กที่จำเป็นในการสร้างอาคารอื่น ๆ ที่มีความสูงใกล้เคียงกัน ใช้เหล็กน้อยกว่า 25% ซึ่งนั่นประหยัดค่าวัสดุได้ประมาณ 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,920 ล้านบาท
หอคอยนี้มีลิฟต์ที่ทำความเร็วได้ 73.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งถือเป็นลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลกที่ติดตั้งในอาคาร และลิฟต์นี้เดินทางได้สูง 578.5 เมตร ถือเป็นสถิติใหม่สำหรับลิฟต์เดี่ยวที่เดินทางได้ไกลที่สุดในโลก

อันดับ 4 หอนาฬิกา อับราจ อัล-เบต (Abraj Al-Bait Clock Tower) ซาอุดิอาระเบีย ความสูง 601 เมตร
- ความสูง : 601 เมตร
- จำนวนชั้น : 120 ชั้น
- สถานที่ตั้ง : เมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย
- ปีที่สร้างเสร็จ : 2011
- ต้นทุนการก่อสร้าง : 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5.24 แสนล้านบาท
ตึกนี้มีนาฬิกาที่หน้าปัดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นอาคารที่รัฐบาลเป็นเจ้าของที่สูงที่สุดในโลก และยังเป็นอาคารที่มีต้นทุนการก่อสร้างแพงที่สุดในโลกด้วย บนยอดหอคอยมีนาฬิกา 4 หน้า (อยู่สูงเหนือพื้นดิน 400 เมตร) มองเห็นได้จากระยะไกล 25 กิโลเมตร แต่ละหน้ามีเส้นผ่านศูนย์กลาง 43 เมตร และทั้ง 4 หน้ามีไฟ LED จำนวน 2,000,000 ดวง
ยอดแหลมที่ด้านบนของนาฬิกาสูง 128 เมตร มีพระจันทร์เสี้ยวสีทองสูง 23 เมตรที่ด้านบน ที่ความสูง 480 เมตรมีชั้นละหมาด และมีจุดชมวิวที่ความสูง 475 เมตร

อันดับ 5 ผิงอัน อินเตอร์เนชันแนล ซีทีเอฟ ไฟแนนซ์ เซ็นเตอร์ (Ping An International CTF Finance Centre) จีน ความสูง 599.1 เมตร
- ความสูง : 599.1 เมตร
- จำนวนชั้น : 115 ชั้น
- สถานที่ตั้ง : กวางตุ้ง ประเทศจีน
- ปีที่สร้างเสร็จ : 2017
- ต้นทุนการก่อสร้าง : 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5.24 หมื่นล้านบาท
ตึกนี้ถือเป็นตัวแทนของตึกระฟ้ารุ่นใหม่ ที่มีความหนาแน่นมาก สูงมาก และเชื่อมต่อกับบริเวณโดยรอบได้อย่างราบรื่น โดยมันมีเส้นทางเชื่อมต่อกับอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย และศูนย์การเงินต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงทางเดินรถไฟฟ้าความเร็วสูงด้วย ตัวตึกมีลิฟต์ 2 ชั้นจำนวน 33 ตัว ความเร็ว 10 เมตรต่อวินาที
ตัวอาคารออกแบบมาให้มีความผอมเพรียวซึ่งช่วยลดแรงลมพื้นฐานลงได้ 35% โครงสร้างโดยรวมของตัวอาคารสร้างด้วยสแตนเลสกว่า 1,700 ตัน ซึ่งเป็นสแตนเลสทนการกัดก่อน ลดการเสื่อมโทรมของอาคารซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลที่มีการกัดก่อนจากเกลือ
เปิดอันดับ 20 มหาวิทยาลัยดีที่สุดในโลก ประจำปี 2025 จาก QS World University Rankings
- ·
- ·
- ·
- ·
- ·
- ·
สวัสดีครับชาว Dek-D สำหรับน้องๆ คนไหนหรือใครที่วางแผนไปเรียนต่อต่างประเทศในปีหน้า และกำลังอยู่ในขั้นตอนการเลือกค้นหาคอร์สเรียนที่ใช่หรือมหาวิทยาลัยที่ชอบ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังตัดสินใจไม่ได้ ต้องบอกว่าการพิจารณาจากผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัย (Rankings) ก็เป็นอีกปัจจัยที่หลายคนให้ความสำคัญ และช่วยทำให้เราค้นหาแหล่งเรียนได้อย่างมีคุณภาพ
วันนี้ พี่วุฒิ เลยขอพาทุกคนไปอัปเดตผลอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดย “QS World University Rankings 2025” ที่เพิ่งประกาศกันออกมาสดๆ ร้อนๆ ว่าแล้วก็ตามมาส่องกันเลยว่าปีนี้มีสถาบันไหนมาแรง รวมถึงภาพรวมการศึกษาทั่วโลกและในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง?
QS Quacquarelli Symonds (QS) ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษาชั้นนำระดับโลก ประกาศเผยแพร่ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกประจำปี 2025 ซึ่งเป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยนานาชาติที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยเป็นกรอบการจัดอันดับเพียงแห่งเดียวที่ประเมินทั้งความสามารถในการจ้างงานและปัจจัยด้านความยั่งยืน
ส่องเกณฑ์ในการจัดอันดับ
| การชี้วัด | สัดส่วนคะแนน |
| ชื่อเสียงทางด้านวิชาการ (Academic Reputation) | 30% |
| การยอมรับจากนายจ้าง (Employer Reputation) | 15% |
| สัดส่วนอาจารย์ต่อนักศึกษา (Student to Faculty Ratio) | 10% |
| การอ้างอิงผลงานทางวิชาการ (Citations Per Faculty) | 20% |
| สัดส่วนอาจารย์ต่างชาติ (International Faculty Ratio) | 5% |
| สัดส่วนนักศึกษาต่างชาติ (International Faculty Ratio) | 5% |
| เครือข่ายการวิจัยระหว่างประเทศ (International Research Network) | 5% |
| ผลลัพธ์การจ้างงาน (Employment Outcomes) | 5% |
| ความยั่งยืน (Sustainability) | 5% |
รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการจัดอันดับสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
QS World University Rankings 2025 methodology
20 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกโดย QS ปี 2025
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก QS ประจำปี 2025 ครั้งนี้ ประเมินมหาวิทยาลัย 1,500 แห่ง จาก 106 ระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยสหรัฐอเมริกาส่งสถาบันเข้าร่วมการจัดอันดับมากที่สุด โดยมีสถาบันที่ติดอันดับ 197 แห่ง ตามมาด้วยสหราชอาณาจักร 90 แห่ง และจีน (แผ่นดินใหญ่) 71 แห่ง
ส่วนประเทศไทยมีสถาบันที่ติดอันดับ 13 แห่ง ในจำนวนนี้ 3 แห่ง มีอันดับดีขึ้น 5 แห่ง มีอันดับลดลง และอีก 5 แห่ง ยังคงอยู่ในอันดับเดิม ส่งผลให้ภาพรวมของประเทศไทยดีขึ้น 23%
| ปี 2025 | ปี 2024 | สถาบัน | ประเทศ |
| 1 | 1 | Massachusetts Institute of Technology (MIT) | United States |
| 2 | 6 | Imperial College London | United Kingdom |
| 3 | 3 | University of Oxford | United Kingdom |
| 4 | 4 | Harvard University | United States |
| 5 | 2 | University of Cambridge | United Kingdom |
| 6 | 5 | Stanford University | United States |
| 7 | 7 | ETH Zurich – Swiss Federal Institute of Technology | Switzerland |
| 8 | 8 | National University of Singapore (NUS) | Singapore |
| 9 | 9 | UCL | United Kingdom |
| 10 | 15 | California Institute of Technology (Caltech) | United States |
| 11 | 12 | University of Pennsylvania | United States |
| 12 | 10 | University of California, Berkeley (UCB) | United States |
| 13 | 14 | The University of Melbourne | Australia |
| 14 | =17 | Peking University | China (Mainland) |
| 15 | =26 | Nanyang Technological University, Singapore (NTU) | Singapore |
| 16 | 13 | Cornell University | United States |
| 17 | =26 | The University of Hong Kong | Hong Kong SAR |
| 18 | =19 | The University of Sydney | Australia |
| 19 | =19 | The University of New South Wales (UNSW Sydney) | Australia |
| 20 | 25 | Tsinghua University | China (Mainland) |
สรุปภาพรวมทั่วโลก
- สหราชอาณาจักรมีมหาวิทยาลัยชั้นนำมากที่สุดในโลก ด้วย 3 ใน 5 อันดับแรก และโดดเด่นในอัตราส่วนนักศึกษานานาชาติ โดยได้คะแนนเฉลี่ยสูงเป็นอันดับสองรองจากซาอุดีอาระเบียเท่านั้น
- สหรัฐอเมริกายังคงรักษาชื่อเสียงระดับโลกตามการจัดอันดับของนายจ้างและนักวิชาการ
- ระบบการศึกษาระดับสูงของแคนาดาโดดเด่นด้านความยั่งยืน โดยมีมหาวิทยาลัย 2 แห่งติดอันดับ 5 ของโลก รวมถึงมหาวิทยาลัยโทรอนโต
- ออสเตรเลียเป็นผู้นำเครือข่ายวิจัยระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครอง 9 ใน 10 อันดับแรก และมีสถาบัน 3 แห่งติดอันดับ 20 อันดับแรก
- ใน 5 มหาวิทยาลัยชั้นนำ 100 อันดับแรกของจีน มี 4 แห่งที่ขยับอันดับขึ้น มหาวิทยาลัยปักกิ่งอยู่อันดับที่ 14 ซึ่งสูงที่สุด เพิ่มขึ้น 3 อันดับ
- อินเดียประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง โดยมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับ 46 แห่งจากทั้งหมด 91% ขยับอันดับ คงที่ หรือเป็นสถาบันที่เพิ่งเข้าร่วมการจัดอันดับ
- อินโดนีเซีย ปากีสถาน และตุรกี เป็นประเทศที่พัฒนาขึ้นมากที่สุด
- ละตินอเมริกา มีมหาวิทยาลัย 4 แห่งติดอันดับ 100 อันดับแรก ได้แก่ Universidad de Buenos Aires, Pontificia Universidad Católica de Chile, Universidad Nacional Autónoma de México และ Universidade de São Paulo
- KFUPM (อันดับที่ 101) ในซาอุดีอาระเบีย เป็นสถาบันอาหรับที่ติดอันดับสูงสุด เกือจะติด 100 อันดับแรก ในขณะเดียวกัน University of Cape Town (อันดับที่ 171) เป็นผู้นำของแอฟริกา
ผลการจัดอันดับของประเทศไทย
QS World University Rankings 2025
| อันดับปี 2025 | อันดับปี 2024 | สถาบัน |
| 229 | 211 | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
| =368 | =382 | มหาวิทยาลัยมหิดล |
| =567 | =571 | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
| =596 | =600 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
| 781-790 | 751-760 | มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
| 951-1000 | 901-950 | มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ |
| 951-1000 | 951-1000 | มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
| 951-1000 | 951-1000 | มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
| 1201-1400 | 1201-1400 | มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี |
| 1201-1400 | 1201-1400 | มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ |
| 1201-1400 | 1201-1400 | สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง |
| 1401+ | 1201-1400 | มหาวิทยาลัยนเรศวร |
| 1401+ | 1201-1400 | มหาวิทยาลัยศิลปากร |
สรุปภาพรวมประเทศไทย
- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครองอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย โดยขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในหกจากเก้าตัวชี้วัดของ QS มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับคะแนนสูงสุดในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งเน้นการสร้างงานที่มีคุณภาพและความสัมพันธ์ที่ดีกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยติดอันดับ 60 ของโลกในด้านผลลัพธ์ด้านการจ้างงาน
- สถาบันการศึกษากว่า 69% ของไทย ได้ขยับขึ้นในตัวชี้วัด ด้านชื่อเสียงทางวิชาการ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงคุณภาพงานวิจัย แนวทางการเป็นพันธมิตรทางวิชาการ ผลกระทบเชิงกลยุทธ์ นวัตกรรมทางการศึกษา และผลกระทบที่สถาบันเหล่านั้นมีต่อการศึกษาและสังคมโดยรวม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในตัวชี้วัดนี้ โดยติด 1 ใน 100 อันดับแรกของโลกที่อันดับที่ 97
- ถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยไทยกว่าสองในสามจาก 13 แห่งที่ติดอันดับจะร่วงลงในตัวชี้วัด ด้านความยั่งยืน แต่มีถึง 8 แห่งที่ติดอันดับ 500 อันดับแรกของโลก มหาวิทยาลัยมหิดล พุ่งขึ้นถึง 195 อันดับในตัวชี้วัดนี้ โดยอยู่อันดับที่ 276 ของโลก ตามหลังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่อยู่อันดับที่ 198 อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงครองอันดับสองในด้านคะแนนเฉลี่ยความยั่งยืนที่สูงที่สุดในเอเชีย
- ประเทศไทยยังมีช่องว่างสำหรับการปรับปรุงผลลัพธ์ด้านการจ้างงานและการเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม โดยมหาวิทยาลัยทั้งหมด 100% ของประเทศไทยมีคะแนนลดลงในตัวชี้วัด ด้านการยอมรับจากนายจ้าง (Employer Reputation) และ 92% มีคะแนนลดลงใน ด้านผลลัพธ์การจ้างงาน (Employment Outcomes)
- ประเทศไทยมีโอกาสในการพัฒนากลยุทธ์ในการทำให้เป็นสากล ทั้งในด้านวิชาการ ทางด้านนักศึกษา และสถาบันการศึกษาของไทยทั้ง 13 แห่งที่ติดอันดับนั้น ไม่มีแห่งใดที่ติดอันดับ 500 อันดับแรกของโลกในตัวชี้วัดอัตราส่วนของอาจารย์ต่างชาติ (International Faculty Ratio) หรืออัตราส่วนนักศึกษาต่างชาติ (International Student Ratio) เมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยระหว่างตัวชี้วัดทั้งสองนี้ ประเทศไทยติดอันดับหกประเทศล่างสุดในเอเชีย
- ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ทำคะแนนเฉลี่ยด้านความยั่งยืน (Sustainability) สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก สะท้อนให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยมีการนำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาใช้อย่างแข็งขัน นอกจากนี้ คะแนนเฉลี่ยสูงสุดของไทยยังอยู่ในประเภทเครือข่ายวิจัยระหว่างประเทศ (International Research Network) ซึ่งบ่งชี้ว่าความพยายามร่วมมือของมหาวิทยาลัยไทยกำลังส่งผลลัพธ์เชิงบวกและเริ่มสร้างผลกระทบที่สำคัญ

